เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 6 มิถุนายน 2023.

  1. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ทางวัดท่าขนุนได้จัดให้มีการภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ซึ่งในระยะหลังนี้ การปฏิบัติธรรมวันสุดท้ายของวัดท่าขนุนนั้น โดยปกติทั่วไปแล้วก็จะปฏิบัติธรรมช่วงเช้า หลังจากปล่อยเลิกแล้ว ก็เป็นการรับวุฒิบัตร ร่วมกันรับประทานอาหารกลางวัน จากนั้นก็เดินทางกลับ

    แต่ว่าระยะหลังนี้ กระผม/อาตมภาพเห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองนั้นค่อนข้างที่จะตึงเครียด โดยเฉพาะในเรื่องของการทำมาหากิน วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมจึงจัดให้มีการภาวนาพระคาถาเงินล้านแทน เนื่องเพราะว่าเรื่องของพระคาถาเงินล้านนั้น นอกจากต้องการความจริงจัง สม่ำเสมอ และต้องมีทานบารมี เพื่อเสริมในเรื่องของลาภผลที่จะพึงมีพึงเกิดแล้ว ส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือกำลังสมาธิของผู้ภาวนา ยิ่งมีกำลังสมาธิสูง ผลที่จะพึงได้ก็สูงไปด้วย

    การภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบนั้น กระผม/อาตมภาพก็หวังอยู่แค่ตรงที่ว่า ญาติโยมทั้งหลายที่เข้าร่วมภาวนานั้น อย่างน้อย ๆ ในระยะเวลาเกือบ ๒ ชั่วโมง จะได้ทรงสมาธิยาวนานต่อเนื่องกัน ถ้าท่านที่มีความเข้าใจ จะสามารถทรงสมาธิระดับอัปปนาสมาธิในระหว่างที่ภาวนาได้ กำลังสมาธิที่สูงขึ้น ถึงเวลาก็จะช่วยให้ในส่วนของลาภผลที่จะพึงมีพึงได้มากขึ้นไปด้วย

    ในระยะหลังนี้ทุกครั้งที่มีการปฏิบัติธรรม กระผม/อาตมภาพจึงได้จัดให้มีการภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ส่งท้ายการปฏิบัติธรรมมาจนถึงปัจจุบันทุกครั้งไป จนกว่าที่จะมีการเปลี่ยนแปลง

    เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ต้องเดินทางฝ่ารถติดมหาศาล เพื่อที่จะเดินทางเข้าไปพักกลางทางที่วัดอุทยาน ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ก่อนที่จะเดินทางไปยังงานต่าง ๆ ที่ได้รับเอาไว้ต่อไป

    ในช่วงที่ผ่านมานั้น ญาติโยมทั้งหลายได้บูชาเหรียญมหาลาภเงินล้าน ซึ่งมีแต่เนื้อชนวนเงิน จากการหล่อพระพุทธรูปทรงเครื่องปางห้ามสมุทรเนื้อเงินของวัดท่าขนุน หลายท่านยังเล็งว่าจะต้องมีเนื้อทองคำอย่างแน่นอน กระผม/อาตมภาพนั้นได้พยายามแล้ว แต่ไม่สำเร็จ..!

    เนื่องเพราะว่า
    กระผม/อาตมภาพได้เก็บชนวนทองคำเอาไว้ในตู้เซฟ ซึ่งมีญาติโยมเมตตาซื้อถวาย แล้วกระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะเปิดตู้เซฟได้ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเกิดจากเหตุผลกลใด จนน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ได้แนะนำว่า ให้กระผม/อาตมภาพสะเดาะกลอนไปเลย..!
     
  3. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ลังเล เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ส่วนใหญ่แล้วการสะเดาะกลอนในลักษณะอย่างนี้ อาจจะทำให้ระบบของตู้เซฟเสียหาย แล้วไม่สามารถที่จะใช้งานได้ดังเดิม ของราคาหลายหมื่นบาท ถ้าอยู่ ๆ เสียไป ก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง จึงรอจนกระทั่งเผือกน้อย (นายเฉลิมเดช รุจิราวรรณ) มาถึง แล้วก็มาช่วยกันเปิด ปรากฏว่าทำทุกอย่างเหมือนที่กระผม/อาตมภาพเปิด แล้วครั้งนี้เปิดได้ ก็แปลว่าครั้งก่อนนั้นไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะนำเอาทองคำมาสร้างวัตถุมงคล

    อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อสร้างแล้วราคาจะสูงมาก เนื่องเพราะว่าระยะนี้ราคาทองคำนั้นขึ้นไปถึงบาทละ ๓๒,๐๐๐ บาทโดยประมาณ แล้ววัตถุมงคลในท้องตลาดนั้น จะคิดราคาเป็น ๓ เท่าของน้ำหนักทองคำ อย่างเช่นว่า ถ้าน้ำหนักทองคำที่สร้างเหรียญนั้นอยู่ที่ ๑ บาท ราคาจำหน่ายในท้องตลาดจะจำหน่ายเท่ากับราคาทองคำ ๓ บาท ก็แปลว่าเหรียญละเกือบแสนบาทเลยทีเดียว..!

    ตรงจุดนี้อาจจะทำให้ญาติโยมหลายท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับ เนื่องเพราะว่าเงินทองในปัจจุบันเป็นของหายาก ให้ท่านทั้งหลายมาบูชาเหรียญราคาเกือบแสนบาท หรือว่าอาจจะต้องออกในราคาหนึ่งแสนบาท ก็คงไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ จึงเป็นเหตุให้กระผม/อาตมภาพที่ใช้ตู้เซฟใบนี้มานานแล้ว กลับไม่สามารถที่จะเปิดตู้ได้ จนกระทั่งทุกอย่างลงตัว เหรียญมหาลาภเงินล้านเสร็จสรรพเรียบร้อย ออกให้ญาติโยมบูชาไปแล้ว เมื่อมาใช้วิธีเดิมทุกประการ กลับสามารถเปิดตู้เซฟได้..!

    เรื่องพวกนี้บางทีก็อยู่ในลักษณะของการแสดงนิมิตให้เห็นว่าเป็นเรื่องไม่สมควรที่จะทำ จึงทำให้ไม่สามารถที่จะเปิดตู้ได้ กระผม/อาตมภาพเองก็ได้แต่ขำอยู่ในใจว่า "เรื่องแบบนี้บอกกันตรง ๆ ก็ได้ ทำไมต้องมาทำจนกระผม/อาตมภาพคิดว่า ตู้เซฟอาจจะพังไปแล้ว หรือว่าตนเองเป็นอัลไซเมอร์ จำรหัสเลข ๘ ตัวแค่นี้ไม่ได้"

    เรื่องพวกนี้ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมไปเรื่อย ๆ ก็จะมีประสบการณ์มากขึ้นไปตามลำดับ เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ท่านทั้งหลายโปรดระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าสิ่งพวกนี้ไม่ใช่ว่าเราจะเชื่อถือได้ทั้งหมด บางอย่างก็มาทดสอบกำลังใจของเรา บางอย่างก็มาดึงเราให้เป๋ออกนอกเส้นทางที่ถูกต้องไปเลย..!
     
  4. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    อย่างเช่น มีพรรคพวกเพื่อนฝูงบางท่านกลายเป็นหมอดู เนื่องเพราะว่าเมื่อฝึกซ้อมทิพจักขุญาณแล้ว ก็สามารถที่จะทำนายทายทักได้ถูกต้อง กระผม/อาตมภาพเองก็เคยพลาดไปในเส้นทางนั้นถึง ๓ ปี เมื่อถึงเวลาคนเขาชมว่า "รู้ได้ชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ ?" "ทำไมทิพจักขุญาณถึงแจ่มใสขนาดนี้ ?" "ทำไมแม่นเหมือนกับตาเห็นเลย ?" แล้วเราก็เกิดอาการพอง ตัวลอย ปลื้มอกปลื้มใจไปกับคำสรรเสริญเยินยอเหล่านั้น แต่ปรากฏว่าเรากลายเป็นทาสชาวบ้านไปแล้ว ถ้าเป็นภาษาของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านก็ใช้คำว่า "กลายเป็นขี้ข้าชาวบ้าน"

    เนื่องเพราะว่าถึงเวลาเราก็ไปทำนายทายทักให้กับเขาอีก หรือว่าไปช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับพวกเขาอีก แล้วตัวเราก็จะติดอยู่ในวงจรแค่นั้น ก็คือทำหน้าที่ ได้รับการชมเชย ปลื้มใจ อยากจะทำอีก โดยที่หมุนเวียนอยู่แค่นั้น ลืมการปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลของตนเองไปเลย..!

    ในช่วงนั้นถ้าหากว่าท่านตายลงไปในขณะที่กำลังใจทรงสมาธิภาวนาได้ เต็มที่ท่านก็ไปเกิดเป็นพรหม การเกิดเป็นพรหมนั้นอายุก็ยืนยาวมาก ทำให้ท่านทั้งหลายสูญเสียเวลาในการที่จะปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลของตนเองไปโดยใช่เหตุ เรียกง่าย ๆ ว่าทำให้ตัวเองล่าช้า

    แต่ว่าเรื่องพวกนี้ก็ตักเตือนกันไม่ได้ ต้องเป็นเรื่องที่ตัวเองรู้ตัว ได้สติ แล้วเห็นจริง ๆ ว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นโทษ ทำให้เราเสียเวลาในการปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผล แล้วถอนตัวออกมา กระผม/อาตมภาพเองในช่วงนั้น แทบจะไม่ได้มีเวลากินเวลานอน เนื่องเพราะว่ามีคนมาขอให้ดูเรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องนั้น เยอะมาก จนกระทั่งเห็นโทษแล้วจึงทิ้งไปเฉย ๆ

    แม้กระทั่งลูกศิษย์สำคัญท่านหนึ่ง ก็คือหลวงพ่อเอของพวกท่านทั้งหลาย (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ป.ธ.๖) วัดปากน้ำภาษีเจริญ ซึ่งในช่วงที่ท่านยังเป็นฆราวาสอยู่ก็ใช้ปฏิปทาแบบนี้ ก็คือใช้ทิพจักขุญาณในการดูหมอ เพื่อที่จะอนุเคราะห์สงเคราะห์ผู้คน แล้วก็โดนรบกวน ไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ไม่ได้มีเวลาพักผ่อน

    จนกระทั่งอาการเจ็บไข้ได้ป่วยกำเริบแทบจะสิ้นชีวิต ต้องนำเอาพานดอกไม้ธูปเทียนมากราบกระผม/อาตมภาพ บอกว่า "ไม่ดื้อแล้วครับ พระอาจารย์บอกให้บวชตั้งนาน แต่ผมไม่ยอมบวช จนโดนชาวบ้านเขาใช้เกือบตายคางาน ตอนนี้ขออนุญาตบวชแล้วครับ" แล้วกระผม/อาตมภาพก็จัดบวชให้ ปัจจุบันนี้ท่านก็สามารถยืนเป็นหลักให้แก่ญาติโยมหมู่มากได้ เพียงแต่ว่าไม่ได้ดูให้คนทั่วไป ดูเฉพาะบุคคลที่สมควรที่จะสงเคราะห์เท่านั้น
     
  5. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    การดูหมอนั้นเป็นการซักซ้อมทิพจักขุญาณก็จริง แต่เมื่อซักซ้อมไปถึงระยะหนึ่งเราจะจับจุดได้ ว่าเราวางกำลังใจแบบไหนถึงจะทำนายได้ถูกต้อง ไม่เฝือ ไม่ผิดเพี้ยน เมื่อเรารู้ว่าวางกำลังใจถูกต้องเป็นอย่างไรก็ควรที่จะเลิกได้แล้ว ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นขี้ข้าชาวบ้านไป อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านได้บอกกล่าวเอาไว้

    เราจะไม่มีเวลาปฏิบัติเพื่อตนเองเลย เนื่องเพราะว่าบุคคลเมื่อตนเองไปได้รับการทำนายมาแล้ว ก็มักจะปลื้มใจ แล้วบอกต่อ ๆ กันไป ทำให้จากหนึ่งเป็นสาม จากสามเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย เพิ่มขึ้นไปทุกที ถึงระดับร้อยคนเมื่อไร แล้วผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา แค่นี้เราก็ปางตายแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นเลย


    แม้กระทั่งทุกวันนี้ บางคนที่ได้รับคำทำนายจากกระผม/อาตมภาพไป แล้วเที่ยวไปบอกต่อคนโน้นคนนี้ ก็ยังมีบุคคลโทรมา เพื่อที่จะสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ ทางโทรศัพท์ จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพต้องทิ้งโทรศัพท์ เลิกรับโทรศัพท์มาหลายปีแล้ว เพราะว่าดึกดื่นเที่ยงคืน ต้องการพักผ่อนขนาดไหน ตัวคนเดือดร้อนขึ้นมา ก็ไม่คิดว่าพระต้องพักต้องผ่อน ในเมื่อเราไม่นอน พระท่านก็ต้องไม่นอนด้วย ว่าแล้วก็โทรศัพท์มาทันที

    ดังนั้น..กระผม/อาตมภาพจึงเห็นว่า ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถที่จะกระทำได้แล้ว ซักซ้อมจนเกิดความมั่นใจ รู้ว่าวางกำลังจุดไหนถึงจะพอเหมาะพอดี ก็ควรที่จะละ จะเลิก แล้วก็มาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลของตนเองจะดีกว่า


    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     

แชร์หน้านี้