เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 11 พฤษภาคม 2023.

  1. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพออกจากวัดท่าขนุนตั้งแต่ยังไม่ทันจะตี ๓ วิ่งไปร่วมทำวัตรเช้ากับบรรดาผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสใหม่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ที่เข้าอบรมอยู่ที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) และอยู่จนกระทั่งหมดชั่วโมงในช่วงเช้า

    หลังจากนั้นก็ได้วิ่งไปยังวัดโพธิ์ลังกา เพื่อให้ท่านพระอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) ทำการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่เป็นอยู่ แต่ปรากฏว่าท่านอาจารย์บ๊ะไม่ได้รักษาให้ใครแล้ว ท่านบอกว่ามีคนไปฟ้อง ทางด้านสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสิงห์บุรีจึงโทรศัพท์มา แจ้งให้ท่านหยุดทำการรักษา ไม่เช่นนั้นแล้วก็อาจจะมีการแจ้งข้อหาในการรักษาโดยไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ เหล่านั้นเป็นต้น

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปแล้วก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของคน คนบางคนนอกจากไม่มีมุทิตา ยินดีในความดีของคนอื่นแล้ว จิตใจยังประกอบไปด้วยความริษยาเป็นปกติ เห็นคนอื่นดีกว่าไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่ามีญาติโยมมาหามาก คาดว่าต้องมีลาภผลมาก จึงต้องหาทางเตะสกัด

    กระผม/อาตมภาพเจอเรื่องทั้งหลายเหล่านี้มาเกือบจะตลอดชีวิต รายแรกเลยก็คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเองโดนทั้งปล่อยข่าวทำลาย โดนทั้งไสยศาสตร์ โดนทั้งจ้างคนทำร้ายและทำลายซึ่ง ๆ หน้า เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ามีญาติโยมไปหาท่านมากเป็นปกติ คนทั้งหลายเหล่านั้นคิดว่า ถ้าไม่มีหลวงพ่อฤๅษีฯ แล้ว คนเหล่านั้นอาจจะไปหาตนเองบ้าง จึงได้จ้างคนมาทำลาย ไม่ว่าจะเป็นหมอไสยศาสตร์ก็ดี หรือว่ามือปืนก็ตาม..!

    ครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่งคือหลวงพ่อดาบส สุมโน แห่งอาศรมไผ่มรกต ท่านได้สร้างประโยชน์ให้กับญาติโยมเป็นอย่างมาก ช่วงที่อยู่จังหวัดแพร่ ก็นำญาติโยมสร้างพระมหาเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา แต่มีคนเห็นว่าท่านทำงานใหญ่ มีญาติโยมสนับสนุนเป็นจำนวนมาก น่าจะมีลาภผลเงินทองมาก จึงไปไถเงินจากท่านเอาดื้อ ๆ..! แต่ว่าท่านไม่มีให้เขา เพราะว่าทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มานั้น ท่านนำลงทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาไปหมดแล้ว เขาทั้งหลายเหล่านั้นจึงหาเรื่องจับท่านสึก พูดง่าย ๆ ก็คือหาเรื่องทำลายท่านอย่างชนิดไม่ให้เหลือซาก..!
     
  3. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    หลวงพ่อดาบส สุมโน จึงได้ถอดสังฆาฏิส่งให้กับเขาไป พร้อมกับบอกว่า "ถ้าสังฆาฏินี้เป็นเครื่องหมายในความเป็นพระในสายตาของพวกท่าน ผมก็ยินดีสละให้ ต่อไปนี้ผมจะไม่เป็นพระในพระพุทธศาสนาแบบเดียวกับพวกท่าน แต่ผมจะเป็นพระในพระพุทธศาสนาแบบของพระพุทธเจ้า..!" หลังจากนั้นถ้าท่านทั้งหลายสังเกตก็จะเห็นว่า แม้หลวงปู่ดาบส สุมโนท่านจะครองจีวรก็ตาม แต่ว่าท่านไม่ได้พาดสังฆาฏิ เหตุเพราะว่าท่านสละสังฆาฏิให้กับผู้ที่มาจับท่านสึกไปแล้ว

    ส่วนที่ยกมาให้ญาติโยมต่างได้เห็นนี้ ยังเป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ปัจจุบันนี้บุคคลที่ตั้งใจทำลายพระพุทธศาสนา บางทีก็มาในแง่ของความหวังดีปรารถนาดี หรือว่ารับจ้างเขามาทำลายก็ไม่รู้..!?

    เพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพเพิ่งจะโดนมาก็คือ จัดงานปิดทองฝังลูกนิมิต ซึ่งในงานวัดแต่ละงานนั้น ล้วนแล้วแต่จะต้องมีร้านค้ามาจับจองพื้นที่เพื่อจำหน่ายข้าวของ โดยที่จะมี "ค่าที่" ให้กับทางวัด เป็นรายได้ส่วนหนึ่งที่ทางวัดจะได้เก็บเอาไว้เพื่อบำรุงวัด

    แต่ปรากฏว่าเพื่อนของกระผม/อาตมภาพรูปนี้ไปเจอทีเด็ด ก็คือมีโยมท่านหนึ่งไปถ่ายรูปคนที่นั่งกินเบียร์อยู่ในร้านค้า ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกับที่วัด แล้วก็ส่งไปฟ้องสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนั้น โดยที่กล่าวว่า วัดเป็นสถานที่ปลอดจากสุราและยาเสพติดตามกฎหมาย แล้วเหตุใดวัดนี้จึงมีการจำหน่ายสุราเมรัยอยู่ในพื้นที่วัด ? ทำให้ต้องมีการสอบสวนกันขนานใหญ่

    นอกจากท่านเจ้าอาวาสที่เป็นเจ้าคณะตำบลจะโดนสอบสวนแล้ว ท่านเจ้าคณะจังหวัดก็เป็นเพื่อนของกระผม/อาตมภาพเอง ซึ่งท่านเจ้าคณะจังหวัดเมื่อสืบทราบจากทางตำรวจที่เขาไปแจ้งความแล้วว่า วัดนี้ได้มีการจำหน่ายสุราเมรัยภายในวัด ซึ่งจำเป็นที่จะต้องให้สำเนาบัตรประชาชน ให้ที่อยู่เอาไว้ ในฐานะผู้แจ้งความกล่าวหา

    ปรากฏว่าบุคคลนั้นอยู่ในจังหวัดหนึ่งที่ภาคอีสาน เพื่อนของกระผม/อาตมภาพที่เป็นเจ้าคณะจังหวัดจึงดัดหลัง ด้วยการให้ทางตำรวจเรียกตัวมาให้ปากคำ โดยที่เพื่อนของกระผม/อาตมภาพบอกว่า "ในเมื่อเขาตั้งใจกลั่นแกล้งพระ เมื่อถึงเวลาแล้วเราไม่ได้กลั่นแกล้ง เราแค่ทำตามขั้นตอนของกฎหมาย ในเมื่อคุณฟ้องร้อง คุณก็ต้องมาให้การด้วย"

    ดังนั้น..จึงพากันเดือดร้อนด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็คือฝ่ายพระเดือดร้อนเพราะโดนแจ้งข้อหาว่าพื้นที่ปลอดยาเสพติด แต่ทำไมมีการจำหน่ายสุราเมรัย ? อีกฝ่ายหนึ่งก็เดือดร้อนตรงที่ว่า ต้องเดินทางจากภาคอีสานมายังภาคตะวันตก เพื่อที่จะให้ปากคำตามที่ตนเองได้ฟ้องร้องเอาไว้..!
     
  4. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    อีกส่วนหนึ่งที่ท่านอาจารย์บ๊ะได้เล่าให้ฟังก็คือว่า มีญาติโยมบางท่าน วัน ๆ ก็เอาแต่ขี่จักรยานท่อม ๆ ไปตามวัดต่าง ๆ รอบ ๆ วัดโพธิ์ลังกา เข้าไปเจอวัดไหนมีพระภิกษุสามเณรสูบบุหรี่อยู่ ก็ถ่ายรูปส่งฟ้องทันที เนื่องเพราะว่ามีกฎหมายออกมาระบุชัดเจนว่า วัดเป็นเขตปลอดบุหรี่ เป็นสถานที่ห้ามจำหน่าย ห้ามสูบบุหรี่ แล้วก็ตระเวนไปฟ้องเสียหลายวัด ทำให้ต้องเดือดร้อนกันไปหมด เพราะว่าตามกฎหมายที่ลงโทษก็คือ ต้องมีการปรับกัน ๑,๐๐๐ บาทบ้าง ๒,๐๐๐ บาทบ้าง ถ้าหากว่าพระเณรไม่มีปัญญาจ่าย บุคคลที่เดือดร้อนก็คือเจ้าอาวาส ที่จะต้องควักกระเป๋าจ่ายแทนพระเณรลูกวัดของตน..!

    เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพนึกถึงสมัยที่ยังบวชใหม่ ๆ ช่วงนั้นไม่ว่าจะไปกิจนิมนต์ที่ไหนก็ตาม ญาติโยมก็จะถวายหมากพลู บุหรี่เป็นปกติ ถ้าหากว่าเป็นบ้านที่มีฐานะหน่อย พระ ๙ รูป ก็จะถวายบุหรี่รูปละ ๑ ซอง แต่ถ้าหากว่าเป็นบ้านที่มีฐานะน้อยหน่อย ก็จะถวายบุหรี่โดยการแบ่งใส่จานรองถ้วยกาแฟมา รูปละประมาณ ๕ - ๖ มวน แล้วกระผม/อาตมภาพก็มักจะโดนรุ่นพี่หรือว่ารุ่นพ่อที่ท่านสูบบุหรี่เป็นปกติ ขอไปเทใส่ย่ามตนเอง โดยที่บอกว่า "ท่านไม่สูบบุหรี่ ขอผมนะครับ" ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็เต็มใจที่จะสละให้

    ไม่ทราบเหมือนกันว่าตั้งแต่บุหรี่กลายเป็นที่รังเกียจของผู้คน แล้วทำให้เกิดกฎหมายนี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า เป็นโรงภาพยนตร์ เป็นสวนสาธารณะ หรือว่าเป็นศาสนสถาน กลายเป็นเขตปลอดบุหรี่ตามกฎหมายไปหมด คนสูบบุหรี่ก็กลายเป็นตัวน่ารังเกียจของสังคม..!

    ตอนช่วงนั้นกระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่วัดท่าซุง ซึ่งตอนนั้นผู้ที่สูบบุหรี่ก็มีอยู่ด้วยกันแค่ ๓ - ๔ รูปเท่านั้น ไปที่ไหนก็โดนเขาไล่ จนกระทั่งท้ายสุดกระผม/อาตมภาพต้องบอกว่า "หน้าตึกที่กระผม/อาตมภาพทำงานอยู่ ตรงนี้ไม่ใช่เขตปลอดบุหรี่ ใครไม่มีที่สูบบุหรี่ มาสูบตรงนี้ได้เลย..!" บรรดาพระเพื่อนพระพี่ที่สูบบุหรี่อยู่ ๓ - ๔ รูป จึงได้มีสถานที่ผ่อนคลายจำเพาะของตนเอง

    แต่ว่าพอถึงเวลามีการสั่งห้ามขาด พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านก็เตือนพวกเราเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งแต่ละคนก็พยายามที่จะลด ละ แล้วในที่สุดก็จะเลิกบุหรี่เหล่านั้นให้ได้ แต่ปรากฏว่าบางท่านก็มรณภาพเสียก่อนบ้าง บางท่านก็สึกหาลาเพศไปบ้าง บรรดาพระน้อง ๆ ที่มาใหม่ เมื่อมีกฎเกณฑ์ข้อนี้ ต่างก็พยายามที่จะไม่ไปแตะต้องสิ่งเสพติดทั้งหลายที่กลายเป็นของรังเกียจในสังคมปัจจุบันไปแล้ว
     
  5. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    อีกส่วนหนึ่งก็คือกระผม/อาตมภาพมีลูกศิษย์อยู่ท่านหนึ่ง ท่านบวชมาแล้วปฏิบัติหน้าที่ได้ดีมาก ช่วยแบ่งเบาภาระของกระผม/อาตมภาพได้เป็นอย่างดียิ่ง เชื่อหรือไม่ว่าอยู่ด้วยกันมาจนถึง ๔ พรรษา มีอยู่วันหนึ่ง กระผม/อาตมภาพไปเห็นก้นบุหรี่ซุกอยู่ในซอกอิฐบล็อกที่ทำเป็นขอบแปลงดอกไม้ ถึงได้ถามว่าใครเป็นคนสูบบุหรี่ ? ท่านถึงได้บอกว่า "กระผมเองครับ" จึงถามว่าท่านสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไร ? ท่านบอกว่า "ตั้งแต่ก่อนบวช แล้วก็สูบมาตลอดครับ" เพียงแต่ว่าท่านเองปกปิดได้ดีมาก ก็คือจะสูบบุหรี่เฉพาะตอนที่อยู่ในกุฏิที่พักของตน ซึ่งเป็นที่ลับตา ไม่มีใครเห็นเท่านั้น

    แต่บังเอิญว่าช่วงนั้นกระผม/อาตมภาพต้องมารับสังฆทานที่กรุงเทพฯ เป็นเวลา ๓ วัน ช่วงนั้นท่านถือว่าท่านอยู่คนเดียว ท่านจึงได้สูบบุหรี่ในบริเวณวัด ด้านนอกกุฏิของตน แล้วก็เอาก้นบุหรี่ซุกเอาไว้ในรูอิฐบล็อกซึ่งทำเป็นขอบแปลงดอกไม้ บังเอิญกระผม/อาตมภาพตาดีไปเห็นเข้า ถึงได้รู้ว่าตลอดระยะเวลา ๔ พรรษานั้น ท่านสูบบุหรี่มาโดยตลอด แต่เป็นการสูบบุหรี่ที่ไม่มีใครรู้เลยว่าท่านสูบ..!

    ถ้าหากว่าพระภิกษุสามเณรของเราท่านใดไม่สามารถที่จะเลิกบุหรี่ได้ ก็ขอให้พยายามทำให้ได้แบบนี้ ก็คือต่อหน้าธารกำนัล อย่าได้ไปทำให้คนอื่นเขาเห็น เนื่องเพราะว่าบุหรี่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นอันตรายอะไรมากมายเลย พ่อแม่ปู่ย่าตาทวดของเรา หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่านก็สูบบุหรี่กันมาโดยตลอด

    เพียงแต่ว่ามาระยะหลัง เมื่อออกมาเป็นกฎหมาย เป็นข้อห้ามขึ้นมา จึงกลายเป็นที่รังเกียจในสังคมเท่านั้น ถ้าหากว่าเจอผู้ที่ไม่หวังดี ก็จะเจอการกลั่นแกล้งแบบเดียวกับที่ท่านอาจารย์บ๊ะเจอมา แล้วถ้าหากว่าท่านไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ กระผม/อาตมภาพก็คงต้องจ่ายเอง จึงขอให้ท่านถือปฏิปทาของทิดท่านนี้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่บวชพระอยู่หลายพรรษา ท่านเองทำตัวชนิดที่ไม่มีใครรู้เลยว่าท่านสูบบุหรี่ ถ้าหากว่าทำแบบนี้ได้ ท่านจะสูบไป กระผม/อาตมภาพก็ไม่ว่า เพราะว่านอกจากตัวเองแล้ว ก็คงจะไม่มีคนอื่นเดือดร้อนไปด้วย

    จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องสังวรระวัง บางอย่างแม้ว่าพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามไว้ แต่ปัจจุบันนี้ผิดกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ถ้าท่านสามารถลด ละ หรือว่าเลิกได้ ก็จะเป็นบุญแก่ตัวเป็นอย่างยิ่ง ถ้ายังไม่สามารถที่จะเลิกได้ โดยที่มีข้ออ้างว่า "ลงทุนไปมากแล้ว" ก็ขอให้ท่านทั้งหลายพยายามที่อย่าได้ทำในขณะที่อยู่ต่อหน้าสาธารณชน เพื่อประโยชน์ทั้งส่วนตนและส่วนรวม

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     

แชร์หน้านี้