เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 พฤษภาคม 2022.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องไม่ดีไม่งามในพระพุทธศาสนา เพียงแต่ว่ากระแสน่าจะตีกลับ แม้กระทั่งกระผม/อาตมภาพเองก็ได้บันทึกไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่า "ถ้าไปแตะหลวงปู่แสง ญาณวโร คนแตะมีสิทธิ์เจ็บตัวอย่างแน่นอน"
เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องใช้ความเป็นทิพย์ ก็สามารถที่จะตรองเอาตามตรรกะทั่ว ๆ ไปได้ เพราะว่าหลวงปู่แสงท่านอายุตั้ง ๙๘ ปีแล้ว ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่นั้น เท่าที่ฟังนักข่าวสัมภาษณ์ก็ค่อนข้างที่จะสติปัญญาน้อย เพราะว่าแต่ละสิ่งแต่ละอย่าง แทนที่จะชี้แจงแถลงไขให้ชัดเจน กลับไปนั่งเถียงกับนักข่าว เถียงไปเถียงมาก็ยกน้ำปัสสาวะขึ้นมาซดอีกต่างหาก เท่ากับว่าไปเตะลูกเข้าทางตีนเขาอีก..!
เพียงแต่ว่าตรงนี้เราจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง บางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมเวลาถ่ายรูปแล้วโดนกระผม/อาตมภาพด่าประจำ ก็เพราะว่ามักจะถ่ายกันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ
โดยเฉพาะล่าสุดก็ที่หาดใหญ่ ไอ้ที่ด่าก็เพราะว่ากำลังตักข้าวเข้าปาก แล้วโยมก็ถ่ายรูป ซึ่งถ้าหากว่าดูกันทั่ว ๆ ไปก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าโพสต์ออกไปเป็นสาธารณะเมื่อไร ก็จะมีไอ้พวกปากหอยปากปูเข้ามาคอมเมนท์ทันที..!
มีหลายครั้งที่บรรดาลูกศิษย์เอารูปที่กระผม/อาตมภาพกำลังทำงานอยู่ไปลงในโซเชียล พอเห็นก็ต้องด่ากันเลย อย่างเช่นรูปกำลังขุดดิน ฟันหญ้า ตัดต้นไม้อยู่ บรรดาลูกศิษย์ก็ปลื้มใจนักหนาว่า ครูบาอาจารย์ของเราช่างขยันและเป็นตัวอย่างที่ดี ทำงานเพื่อคณะสงฆ์ ทำงานเพื่อวัด แต่ไม่ได้ศึกษาเลยว่าการขุดดิน การฟันหญ้า การตัดต้นไม้นั้น ศีลพระท่านห้ามเอาไว้หมด ในเมื่อเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ก็จะมีไอ้พวกแสนรู้ขุดขึ้นมาด่าทันที โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้มาช่วยทำความสะอาดวัดให้..! -
ศีลพวกนี้พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติเอาไว้ เพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายในยุคนั้นไม่ตำหนิติเตียนพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เนื่องเพราะว่าในสมัยนั้นเขาเชื่อกันว่าแผ่นดินมีชีวิต ต้นไม้มีชีวิต การไปขุดดิน การไปตัดหญ้า การไปตัดต้นไม้ ก็เท่ากับไปทำลายชีวิตของเขา
ในเมื่อพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปทำในสิ่งที่ขัดกับความเชื่อของเขา ก็จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราไม่ได้รับความเคารพเลื่อมใส การเผยแผ่พระพุทธศาสนาอาจจะไม่ได้ผล จึงต้องบัญญัติศีลทั้งหลายเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อเอาใจชาวบ้าน
เหมือนอย่างที่กระผม/อาตมภาพมีโอกาสกราบเรียนถามหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุขว่า "ถ้ากระผมปฏิบัติอยู่ในมรรค ๔ ผล ๔ แล้ว จะมีอะไรเป็นเครื่องวัดว่ามาถูกทาง ?" แต่ยังไม่ทันที่จะถามครบประโยค แค่ขึ้นว่า "ถ้ากระผม..." หลวงปู่ท่านบอกว่า "ดูที่ศีล คนทั่วไปก็ศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาก็ศีล ๘ พระอรหันต์ก็ศีล ๑๐"
กระผม/อาตมภาพได้ฟังแล้วก็นั่งอึ้ง กำลังจะพูดว่า ..."พระเราต้องถือศีล ๒๒๗ ไม่ใช่หรือครับ ?" หลวงปู่ท่านบอกต่อทันทีว่า "ไอ้นั่นมันศีลเอาใจชาวโลก สามเณรแค่ศีล ๑๐ ทำไมเป็นพระอรหันต์ได้ ?" ก็แปลว่าหงายท้องนับ ๑๐ ไม่ฟื้น..! โดนหลวงปู่ทิ้งหมัดตรงใส่ปลายคางเข้า แล้วก็เห็นจริงตามที่หลวงปู่ท่านบอก
ดังนั้น...ศีลพระจำนวนมากจึงเป็นศีลเอาใจชาวบ้าน เพื่อให้เขาเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ว่าเรามีพระภิกษุสงฆ์ที่เคร่งครัด ทำให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนามีจุดแข็งที่จะเอาไปสู้กับศาสนาอื่นเขาได้ -
แต่คราวนี้เรื่องอย่างที่หลวงปู่ท่านทำ กระผม/อาตมภาพไม่ทำ เพราะว่าถ้าทำก็ตายเร็ว อย่างเช่นเมื่อเช้าเดินผ่านพื้นที่ว่างที่เขาติดป้ายอยู่ว่า "อนุญาตให้บุคคลที่มีพืชผลการเกษตร ผัก ผลไม้ นำมาวางจำหน่ายฟรีได้" แล้วก็มีซุ้มขายไก่ย่าง..! ผมก็หันไปบอกท่านแม็ก (พระกรกฤต ฐิตสาโร) ว่า "ดูให้ดี...ไก่ย่างทอดกระเทียม กระเทียมจัดเป็นพืชผลการเกษตร..!" คุณต้องเข้าใจว่า ท่านแม็กเตรียมที่จะบอกว่า "ไก่ย่างเป็นพืชผลการเกษตรด้วยหรือ ?"
หรือไม่ก็เมื่อครั้งก่อนที่ทิดเฟิร์ส (บัณฑิต เอี่ยมตระกูล) กับทิดดอย (ภาณุพงศ์ วังประภา) เอารถมารับกระผม/อาตมภาพเพื่อที่จะไปงาน ขากลับวิ่งผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง ที่สนามหญ้าของเขามีของประดับบ้าน กระผม/อาตมภาพก็หันไปบอกกับทิดเฟิร์สว่า "เหมือนคน..ถ้าเห็นตอนกลางคืนมีช็อกแน่..!" เพราะทิดเฟิร์สกำลังคิดว่าเหมือนคนมาก..!
แต่ว่าตรงนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนในเจโตปริยญาณ ไม่ได้สอนให้ไปดูใจคนอื่น เพราะว่าแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เนื่องจากว่าดูได้เฉพาะคนที่เสมอตัวเองหรือต่ำกว่า ส่วนบุคคลที่สูงกว่า ถ้าเขาเจตนาปิด เราก็ไม่สามารถที่จะดูได้
เจโตปริยญาณที่มีประโยชน์อย่างแท้จริงก็คือดูกำลังใจของเรา ว่าตอนนี้มีความชั่วอยู่หรือไม่ ? ถ้ามีอยู่ ก็ขับไล่ออกไป แล้วคอยระมัดระวังไว้ อย่าให้ความชั่วนั้นเข้ามาอีก ใจเรามีความดีอยู่หรือไม่ ? ถ้ายังไม่มีก็สร้างความดีให้เกิดขึ้น ถ้ามีแล้วก็ทำให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าอย่างนี้ ถึงจะเป็นเจโตปริยญาณที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง
คราวนี้ย้อนกลับมาใหม่ตรงจุดที่ว่า เมื่อหมอปลาไปแตะหลวงปู่แสงแล้วกระแสจะตีกลับ ถึงขนาดกระผม/อาตมภาพบันทึกเอาไว้ในบันทึกประจำวันนั้น ตรงนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ความเป็นทิพย์ แค่เราตรองด้วยตรรกะธรรมดา ก็สามารถที่จะฟันธงแบบนั้นได้ -
เพราะว่าอันดับแรกเลยก็คือ หมอปลาไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียง มีอำนาจอะไรเลยที่จะไปทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
ประการที่สอง...หลวงปู่ท่านเป็นพระที่มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ไม่มีโอกาสที่จะไปทำอะไรนอกเหนือเกินเลยไปจากสิ่งที่เห็น
ประการที่สาม...จากในคลิปก็คือผู้หญิงเสนอไปให้หลวงปู่จับนมเอง แล้วเจตนาถ่ายคลิปไว้ ทั้ง ๆ ที่เขามีข้อห้ามแล้วว่าห้ามถ่าย ก็เท่ากับว่าตั้งใจสร้างเรื่องเพื่อทำลายพระโดยตรง
ดังนั้น...สิ่งหนึ่งประการใดที่เกิดขึ้น สำคัญที่สุดก็คือเราต้องมีสติ อย่าเพิ่งไปใส่อารมณ์ตามเขา หากแต่ต้องพิจารณาให้รอบคอบและรอบด้าน อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยเล่าให้ฟังว่า ในช่วงที่ยังอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง พระวัดท่าซุงเหลือคาถาสุดท้ายไว้เหมือนกันหมดทุกรูป ก็คือ "กูไม่เชื่อ" ยิ่งใครรู้เห็นชัดเจนเท่าไร โอกาสโดนหลอกก็ยิ่งมีมากเท่านั้น
ดังนั้น...เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าเราไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญแบบมิจฉาทิฐิ ก็คือทำให้คนเลวกลายเป็นคนดัง อย่างเช่นว่าอดีตนักบวชชวนอดีตพริตตี้ไปชมสันเขื่อน ก็มีคนจะหางานให้ทำ จะให้เป็นดารา แค่ใช้หัวแม่เท้าตรองดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่..!
สังคมเราควรจะยกย่องคนที่ทำดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ไม่ใช่ไปยกย่องคนเลว คนชั่วที่ทำผิดศีลผิดธรรม แล้วไปสนับสนุนให้โด่งดัง ก็ลักษณะเดียวกับหมอปลา ไม่ได้มีอำนาจ ไม่ได้มีหน้าที่ สิ่งที่ทำนั้นผิดกฎหมายอย่างชัดเจนด้วย ก็คือบุกรุกสถานที่คนอื่น แต่ว่าทำไมกระแสสังคมในระยะหนึ่งถึงได้ฝากความหวังไว้กับหมอปลา ?? ทั้ง ๆ ที่เราก็มีหน่วยราชการ และองค์กรหน่วยงานสงฆ์ที่ดูแลกันตามระดับชั้นลงมา
ตรงนี้กระผม/อาตมภาพขอฝากเอาไว้สำหรับเจ้าคณะปกครองทั้งปวง เป็นการบ้านให้ท่านทั้งหลายไปคิด ไปพิจารณา และหาทางแก้ไขว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายกลับมาเชื่อถือศรัทธา ในองค์กรปกครองสงฆ์ของเราว่าจะเป็นที่พึ่งได้ ไม่ใช่อะไรก็วิ่งไปหาสื่อโซเชียล ไม่ใช่อะไรก็วิ่งไปหาหมอปลา
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)