เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 มกราคม 2022.

  1. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ระยะนี้ก็มีข่าวคราวด้านไม่ดีในวงการสงฆ์อยู่เป็นจำนวนมาก สาเหตุก็ต้องโทษสื่อมวลชนอย่างหนึ่ง ว่าข่าวดีไม่มีการนำเสนอ มักจะนำเสนอแต่ข่าวในด้านร้าย อย่างที่บางท่านพูดกันว่า "ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียเงิน"

    ประการที่สองก็คือ ควรที่จะตำหนิติติงพวกที่เสพสื่อทั้งหลาย เพราะว่าท่านไปนิยมเสพสื่อไร้คุณภาพ ที่มีแต่จะทำให้จิตใจเกิด รัก โลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะในส่วนของพระภิกษุสามเณรหรือพระพุทธศาสนา ซึ่งโบราณนั้นกระทำได้ถูกต้องมาก เพราะใช้คำว่า "ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์" ก็คือยกเอาไว้ในฐานที่เข้าใจว่า เราจะไม่กระโดดลงนรกไปด้วย..!

    เหตุที่กล่าวดังนี้ก็เพราะว่า แม้แต่ในพระธรรมบทก็มีตัวอย่างที่ว่า พระภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปแล้ว แต่ว่ายังห่มผ้าเหลืองอยู่ แล้วชาวบ้านก็ไปด่าว่าติเตียนท่าน ปรากฏว่าชาวบ้านท่านนั้นลงนรก..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าตนเองจิตใจเศร้าหมองจากการที่ไปด่าว่าติเตียนผู้อื่น จึงกลายเป็นกระโดดลงนรกตามเขาไป เพราะว่าคนอื่นทำความชั่วในผ้าเหลือง โทษก็ต้องลงอบายภูมิอยู่แล้ว แต่ว่าท่านเองซึ่งไม่ได้ทำความชั่วอย่างเขา กลับไปด่าว่าติเตียน ทำให้กำลังใจของตนเองเศร้าหมอง จึงบังเกิดโทษขึ้นมา

    โดยเฉพาะบางเรื่องบางราว ที่ไม่ควรจะนำมาเป็นสาระและใส่ใจ อย่างเช่นเรื่องของ "๓ พส." ที่สึกหาลาเพศไป เพราะว่าการสึกหาลาเพศนั้น ถือว่าเป็นปกติธรรมดาของพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา ในเมื่อตอนบวชเราไม่แปลกใจ แล้วตอนสึกทำไมต้องแปลกใจ หรือว่าต้องไปให้คุณค่าขนาดนั้นด้วย ?

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปแล้วก็เกิดจากกระแสสังคม โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย ซึ่งพวกนี้ทำให้เราเข้าถึงข่าวคราวได้ง่ายมาก แต่ขณะเดียวกันโทษทัณฑ์ทั้งหลายก็เกิดมากขึ้นไปด้วย เนื่องเพราะว่าถ้าท่านรับเข้ามาแล้วโดยที่ขาดสติ ก็จะไปปรุงแต่งให้เกิด รัก โลภ โกรธ หลง ตามเขาไป ก็แปลว่าเราทำให้จิตใจของเราตกต่ำเอง ดังนั้น...ในเรื่องของการเสพสื่อต่าง ๆ เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสติ
     
  3. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    กระผม/อาตมภาพเองก็ดูข่าว อย่างเช่นว่า ข่าวคราวในกลุ่มไลน์ที่พรรคพวกเพื่อนฝูงส่งมา หรือว่าผู้บังคับบัญชาส่งมา ดูข่าวจากหนังสือพิมพ์ ซึ่งลักษณะของการดูข่าวของกระผม/อาตมภาพนั้นก็คือ ดูแค่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ไหนเท่านั้น ไม่ได้ไปใส่ใจในเรื่องของรายละเอียดต่าง ๆ ยกเว้นว่าบางเรื่องเป็นส่วนที่สังคมให้ความสนใจมาก ก็จะดูไปถึงรายละเอียดว่า ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เสร็จแล้วก็จบลงแค่นั้น ไม่ไปปรุงแต่งว่าผลที่เขาทำจะเป็นอย่างไร ไม่ไปคิดว่า คาดว่า เพราะว่ามีแต่จะทำให้กำลังใจของเรานั้น รัก โลภ โกรธ หลง ตามไปด้วย

    การที่เรามีสื่อโซเชียลต่าง ๆ เข้าถึงเราได้ง่าย เราก็ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง เหตุก็เพราะว่าข่าวคราวต่าง ๆ มีมากมายมหาศาล แต่ว่าข่าวทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเพียงด้านเดียวเท่านั้น และเป็นด้านที่บุคคลผู้นำเสนอมองเห็น

    ดังนั้น...จึงควรที่จะมีกระจก ๖ ด้านอย่างที่ผู้รู้เคยกล่าวกันเอาไว้ว่า ต้องมองทั้ง ซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง เป็นอย่างน้อย ถึงจะพอที่จะรู้ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร ไม่เช่นนั้นแล้วท่านทั้งหลายก็จะโดนสงครามข่าวสารต่าง ๆ หลอกลวงให้หลงทางไปโดยใช่เหตุ ในเมื่อเราหลงทางไป รัก โลภ โกรธ หลง ก็ก่อให้เกิดโทษแก่ตน เพราะว่ากำลังใจของเราเสียเอง

    ตรงจุดนี้นักปฏิบัติธรรมต้องระมัดระวังให้จงหนัก ไม่มีอะไรที่สำคัญสำหรับนักปฏิบัติธรรม ยิ่งไปกว่าการรักษากำลังใจของตนเองให้ผ่องใสอยู่ในแต่ละวัน ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ท่านเพียรพยายามทำมาตลอดชีวิต ก็จะเท่ากับสูญเปล่าไปโดยใช่เหตุ เนื่องจากว่าท่านเป็นคนไปทำให้กำลังใจของตนเศร้าหมองมืดมัวไปเอง ด้วยการไปกอบโกยเอา รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ที่สื่อส่งมาให้ เข้ามาอยู่ในใจของเรา

    โดยเฉพาะในส่วนของพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ตลอดจนท่านผู้ปฏิบัติธรรม เรายิ่งต้องเลี่ยงให้ห่างจาก รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ บรรดาสื่อที่เราเสพก็ควรจะเสพอย่างมีสติ แบบที่กระผม/อาตมภาพได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็คือว่า "แค่รับรู้ แต่ไม่รับทราบ" การรับรู้ก็คือรู้ว่าโลกนี้เกิดอะไรขึ้น ประเทศของเราเกิดอะไรขึ้น บ้านเราเมืองเราเกิดอะไรขึ้น แต่อย่าไปปรุงแต่งตามไป เพราะมีแต่จะทำให้เกิดโทษไม่รู้จบ
     
  4. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ตรงจุดนี้ถ้าจะว่าไปแล้ว ตัวเราทั้งหลายเองที่เป็นนักปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าหากว่ากำลังใจมั่นคง ถึงระดับทรงฌานได้ ข่าวคราวทั้งหลายเหล่านี้ก็จะไม่มีอิทธิพลสำหรับตัวเราเลย เพราะว่าบุคคลที่ทรงฌานได้นั้น จะมีความสุขอยู่กับสมาธิตรงหน้า อยู่ในวิหารธรรมของผู้ที่ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ชั่วคราว ความสุข ความสดชื่น ความแจ่มใสตรงนั้น ไม่มีอะไรที่จะมาทดแทนได้

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายยังไปสนใจเรื่องราวภายนอกอยู่ ก็เป็นเครื่องวัดได้อย่างหนึ่งว่า ท่านทั้งหลายยังก้าวไม่พ้นกิเลสหยาบเบื้องต้น ก็คือนิวรณ์ ๕ เลย


    นิวรณ์ ๕ นั้นประกอบไปด้วย กามฉันทะ คือความยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ

    เรื่องพยาบาท ก็คือ การโกรธ เกลียด คิดอาฆาตแค้นบุคคลอื่น

    เรื่องของถีนมิทธะ คือความง่วงเหงาหาวนอน ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติ

    เรื่องของอุทธัจจกุกกุจจะ คือความหงุดหงิดฟุ้งซ่าน รำคาญใจ

    และเรื่องของวิจิกิจฉา คือลังเลสงสัย เพราะว่าเข้าไม่ถึงผลของการปฏิบัติอย่างแท้จริง

    ถ้าท่านทั้งหลายยังใส่ใจอยู่ในเรื่องของโลก ๆ ก็แปลว่าท่านทั้งหลายยังไม่สามารถที่จะก้าวข้ามในเรื่องของนิวรณ์ ๕ ได้โดยเด็ดขาด โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะตกต่ำ กำลังใจตก สมาธิตก กรรมฐานแตกก็จะมีเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์


    แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายรู้จักประพฤติปฏิบัติในการที่จะรักษากำลังใจของตน ตามหลักของโอวาทปาฏิโมกข์ คือสัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง ให้ละเว้นจากการกระทำชั่วทางกาย ทางวาจา ทางใจทั้งปวง

    กุสะลัสสูปะสัมปะทา ให้รู้จักสั่งสมบุญกุศลด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ คือประกอบเฉพาะในส่วนของกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต และข้อสุดท้าย สำคัญที่สุดสำหรับนักปฏิบัติธรรมก็คือ สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การชำระจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากกิเลส แม้ว่าจะเป็นการปราศจากกิเลสชั่วคราวในลักษณะของโลกียฌาน ก็มีคุณค่าแก่เราอย่างสูงยิ่ง
     
  5. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เนื่องเพราะว่าถ้าท่านสามารถทรงฌานสมาบัติได้เป็นปฐมฌาน ก็สามารถเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓

    ถ้าหากว่าทรงทุติยฌานได้ ก็เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖

    ถ้าสามารถทรงตติยฌานได้ ก็เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗ ที่ ๘ ที่ ๙

    ถ้าสามารถทรงจตุตถฌาน คือฌาน ๔ ได้ ก็สามารถเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๐ และชั้นที่ ๑๑

    ถ้าท่านทั้งหลายทำต่อไปจนเข้าถึงอรูปฌานได้ ก็สามารถเข้าถึงอรูปพรหมอีก ๔ ชั้นเป็นอย่างน้อย

    หลังจากนั้นก็นำเอากำลังสมาธิสมาบัติทั้งหลายเหล่านี้มาพิจารณาในวิปัสสนาญาณ ให้เห็นความไม่เที่ยงของร่างกายนี้ ของร่างกายคนอื่นและของโลกนี้ ให้เห็นความเป็นทุกข์ของร่างกายนี้ ของร่างกายผู้อื่นและของโลกนี้ ตลอดจนกระทั่งความไม่มีอะไรเป็นตัวตนให้ยึดถือมั่นหมายได้ ทั้งตัวเรา ทั้งผู้อื่น และทั้งโลกนี้ กำลังใจของเราก็จะค่อย ๆ สลัด ตัด ละ สิ่งที่ผูกพันทั้งหลายออกไปทีละน้อย ทีละน้อย ถ้ากำลังของท่านสูงพอ ก็อาจจะตัดเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหานไปในทีเดียว

    ดังนั้น...ในเรื่องของฌานสมาบัติ นอกจากจะรักษาตัวรักษาใจของเรา ไม่ให้ไปเกลือกกลั้วกับสิ่งเศร้าหมองแล้ว ยังมีคุณมหาศาลในการที่จะช่วยเราตัดกิเลสเข้าสู่พระนิพพานได้

    สำหรับลำดับต่อไป กระผม/อาตมภาพก็ต้องไปเป็นประธานในการประชุมเพลิงศพของท่านวิมละ อดีตเจ้าสำนักสงฆ์ผาอ้น วันนี้จึงต้องมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนก่อนเวลาตามเคย เพื่อที่จะได้บริหารเวลาให้เหมาะสมกับงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า

    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     

แชร์หน้านี้