เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 กุมภาพันธ์ 2023.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ เมื่อครู่ที่เห็นมากันวุ่นวายก็คือพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เรียนมาด้วยกัน ตั้งแต่สมัยประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรี ปริญญาโท เช่น พระครูโกศลธรรมรัตน์ (ประพันธ์ จิตฺตกโร) เจ้าอาวาสวัดวังน้ำเขียว รองเจ้าคณะอำเภอกำแพงแสน
พระครูปิยธรรมพิมล (สมควร ปิยํกุโร) เจ้าอาวาสวัดบางปลา รองเจ้าคณะอำเภอบางเลน
พระครูวิสุทธิ์ธีรคุณ (ธีระ จิตฺตวิสุทฺธิ) เจ้าอาวาสวัดห้วยม่วง ต้องบอกว่าพรรคพวกไม่ได้รู้ข่าวว่ากระผม/อาตมภาพป่วย แต่ว่าไปซื้อหาเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่สังขละบุรี ขากลับก็แวะมาเยี่ยมเยือนกันตามประสาคนที่คุ้นเคย
คราวนี้จากระยะเวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ที่ไม่ได้บันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เห็นพระภิกษุสามเณร แม่ชี ฆราวาสของเราแล้วบางทีก็กลุ้มใจ คือระยะเวลาที่ว่างเว้นจากเสียงธรรม ควรจะเป็นเวลาที่เราเร่งรัดตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบรรดาข้อธรรมต่าง ๆ นั้น ถ้าส่วนไหนสะดุดใจของเราแล้วนำไปใช้งานได้ ก็แปลว่ากำลังใจของเราพร้อมที่จะรับเอาข้อธรรมตรงจุดนั้นมาเป็นสมบัติของตนเอง ก็มีแต่ต้องรีบเร่งในการที่จะกอบโกยเอามาให้ได้
แต่ว่าท่านทั้งหลายกลับมาตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่า เมื่อไรจะมีเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนใหม่ ซึ่งเป็นการวางกำลังใจที่ผิด ถ้าเป็นเด็กสมัยนี้ที่ซื้อหนังสือก็จะบอกว่า "กองดอง" ก็คือกองเอาไว้ ดองเอาไว้ก่อน ไม่มีโอกาสได้ใช้งาน แล้วรับของใหม่เข้าไปจะมีประโยชน์อะไร ? ในเมื่อของเก่าไม่ทันที่จะเคี้ยว ยังไม่ทันที่จะกลืน ยังไม่ทันที่จะย่อยสลายให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง รับเอาของใหม่เข้าไปก็ล้นเกินเสียเปล่า ๆ
ดังนั้น..พระภิกษุสามเณร แม่ชี ตลอดจนกระทั่งฆราวาสในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นเพียงผู้ศึกษาธรรมเท่านั้น แถมศึกษาแล้วยังแบกเอากิเลสไปอวดชาวบ้านเขาอีก ก็คือคิดว่าตนเองนั้นรู้มาก เข้าใจหลักธรรมได้มาก แต่เป็นการศึกษาในลักษณะของปริยัติ คือเรียนรู้เท่านั้น ไม่ได้นำไปปฏิบัติจนกระทั่งเกิดผล แล้วก่อให้เกิดปฏิเวธ คือการใช้ผลให้เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นอย่างแท้จริง
ตรงจุดนี้เป็นจุดที่พวกเราทุกคนสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไข ท่านทั้งหลายที่อยู่กันมาเก่า ๆ อาจจะเคยได้ยินกระผม/อาตมภาพบอกกล่าวไปหลายครั้งแล้วว่า สมัยที่อยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ที่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพฟังสิ่งที่ท่านสอนเป็นคำสั่ง ก็คือท่านสั่งให้ทำ เราต้องทำตาม ไม่ใช่ฟังเป็นคำสอนเหมือนกับคนอื่นเขา ถ้าเราฟังเป็นคำสอนก็คือจะทำเมื่อไรก็ได้ แล้วแถมยังแบกกิเลสใส่หัวไปอีกว่าเรารู้มาก ฟังหลวงพ่อมามากแล้ว แทนที่จะลดกิเลสลง ก็กลายเป็นเพิ่มกิเลสมากขึ้น..! -
อีกส่วนหนึ่งก็คือ ท่านทั้งหลายที่ไปตามราวีบุคคลที่ให้คำแนะนำ แม้ว่าจะเป็นคำแนะนำในทางโลก ๆ ก็ตาม แต่ท่านเห็นแล้วไม่ชอบใจ ก็ไปตามต่อว่า ไปตามคอมเม้นท์ ไปตามถล่มยันเฟซบุ๊กของเขา..! สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าพิจารณาในแง่ของผู้ปฏิบัติธรรม ก็คือ กำลังก่อกรรมทำเข็ญ ทั้งกาย ทั้งวาจา และทั้งใจ
ถ้าท่านทั้งหลายเข้าไปดูคอมเม้นท์ใต้คลิปเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เมื่อได้รับคำแนะนำมา กระผม/อาตมภาพจะตอบกลับไปพอเหมาะพอดีกับบุคคลนั้น ๆ อย่างเช่นที่เขาบอกว่าให้พักผ่อน ให้มีเวลาเป็นของตนเอง ให้คนอื่นไปทำงานแทน กระผม/อาตมภาพเองก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้มาเห็นว่ากระผม/อาตมภาพทำงานอย่างไร ถึงได้ให้คำแนะนำผิด ๆ มีใครไม่อยากพักบ้าง ? ทุกวันนี้ถึงได้กล่าวว่า ถ้าหากว่าใครเป็นโรคนอนไม่หลับ กระผม/อาตมภาพนี่อิจฉามาก เพราะว่าตัวเอง หัวถึงหมอนก็สลบไสล พักไม่เคยพอสักวัน
เนื่องเพราะว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ทำไปนั้นมีตำแหน่งเป็นเครื่องรองรับและบังคับอยู่ อย่างเช่นว่า ต้องประชุมคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ถ้าตัวกระผม/อาตมภาพที่เป็นประธานสภาไม่ไปประชุม แล้วคนอื่นเขาจะทำอะไรได้ ? ประชุมคณะกรรมการชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน แล้วประธานชุมชนต้นแบบอย่างกระผม/อาตมภาพไม่เข้าประชุม งานเขาจะไปได้ไหม ? หรือถ้าหากว่าเขานิมนต์ไปพุทธาภิเษก ไม่ได้นิมนต์เปล่า มีกำชับมาตอนท้ายด้วยว่า "กราบอาราธนามาด้วยความเคารพนับถือเป็นส่วนตัว ถ้าขัดข้องไม่ต้องส่งผู้แทน" แล้วจะให้ใครไปแทนได้ ???
เมื่อวานนี้กระผม/อาตมภาพคุยโทรศัพท์กับท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.๙) ประธานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ท่านก็บอกว่า "คิดว่าจะมาประชุมด้วยกัน" จึงได้กราบเรียนท่านไปว่า "เขานิมนต์ไปพุทธาภิเษกพระกริ่งจอมสุรินทร์ หาคนแทนไม่ได้จริง ๆ ครับ ถึงต้องทิ้งงานประชุมของพระเดชพระคุณไป"
ดังนั้น..ในส่วนนี้ที่กระผม/อาตมภาพตอบคอมเม้นท์เขาไป ถึงได้บอกว่า ถ้าเป็นปลาก็อย่าได้บังอาจแนะนำว่าเต่าควรจะอยู่บนบกอย่างไร เพราะว่าปลาไม่มีวันที่จะรู้หรอกว่าบนบกมีสภาพอย่างไร นอกจากคิดว่า คาดว่า เดาเอาเองไปเรื่อย ๆ
ในเมื่อเห็นคนอื่นให้คำแนะนำในลักษณะอย่างนั้น แทนที่จะโกรธ เราควรที่จะสงสารเขา ไม่ใช่ไปตามราวี ไปตามถล่มเสียจนเละเทะแบบนั้น แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังใจของพวกเรานั้นแย่มาก..! สิ่งที่กระผม/อาตมภาพสอนไปไม่ได้เอาไปใช้งานจริงเลย บอกไม่ทราบกี่ครั้งแล้วว่า ตัวเราอย่าเป็นทุกข์เป็นโทษต่อผู้อื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจเลย -
กระผม/อาตมภาพเองถ้าไม่ได้อยู่ในฐานะครูบาอาจารย์ จะไม่เสียเวลามาด่าคนอื่น พวกท่านทั้งหลายที่อยู่ในวัด ก็จะเห็นว่าบุคคลบางคนประเภทสอนไม่ได้ หรือสอนไปแล้วไม่จำ ท้ายสุดกระผม/อาตมภาพก็ยกให้ในฐานะปาปมุต ก็คือกูเลิกยุ่งกับมึงไปเลย เพราะว่าสอนไปก็เหนื่อยเปล่า บอกไปก็จะจำแค่ครึ่งวัน หรือไม่ก็สอนไปเท่าไร ก็แค่ฉลาดแต่ไม่มีเฉลียว ประมาณว่านาคสองคนดูแลพระแค่สิบกว่ารูป หัวถึงท้ายไม่เคยดูแลได้ทั่ว กระผม/อาตมภาพก็เลิกพูดไปนานแล้ว ยังดีที่กระผม/อาตมภาพใช้คำว่า "เป็นปลาอย่าได้แนะนำเต่าให้อยู่บนบกอย่างไร" ถ้าไม่เกรงใจจะบอกว่า "เป็นควายแล้วอย่าไปแนะนำนกว่าควรที่จะบินอย่างไร..!"
เพราะฉะนั้น..สิ่งหนึ่งประการใดที่กระผม/อาตมภาพบอกกล่าวแก่พวกเราไปนั้น เจตนาจริง ๆ ที่มุ่งหวังก็คือให้พวกเรา "ทำได้" ไม่ใช่ "จำได้" การจำได้เป็นแค่สัญญาเท่านั้น แล้วจะก่อให้เกิดกิเลสอีกต่างหากว่าเราเป็นคนรู้มาก แต่ถ้าเราทำได้นี่จะเป็นปัญญา ก่อให้เกิดประโยชน์แก่พวกเรามาก แล้วเราจะได้รู้ว่า ก้าวต่อไปเราควรจะไปต่อในด้านไหน ไม่ใช่กี่ปี ๆ ก็ย่ำเท้าอยู่กับที่ แล้วมีแต่ถอยหลัง ไม่มีขึ้นหน้า..!
ดังนั้น..ระยะเวลาที่ผ่านมา ควรจะเป็นช่วงที่พวกเราทบทวนตัวเองและกอบโกยความดีใส่ตัวให้มากที่สุด ไม่ใช่แหงนคอรอคอยว่าเมื่อไรหลวงพ่อจะบันทึกเสียงธรรมให้ฟังอีก ไอ้ลักษณะทำตัวเป็นลูกนกไม่รู้จักโต อ้าปากรอแต่แม่ป้อน ก็อาจจะตายเปล่าไปอีกหลายชาติ..!
เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าสภาพจิตของพวกเรายังหยาบอยู่ ก็จะคิดไม่ถึง มองไม่เห็น แล้วหลายคนสภาพจิตที่หยาบกระด้าง ทำให้คำสั่งสอนของครูบาอาจารย์เข้าไม่ถึงใจอีกต่างหาก เกิดอาการต่อต้าน ประมาณว่าเรื่องนี้กูรู้แล้ว แต่ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ไอ้รู้แล้วกับทำได้นั้นเป็นคนละเรื่องกัน..!
รู้แล้วเป็นแค่ปริยัติ ก็คือการศึกษา เมื่อศึกษาแล้วต้องปฏิบัติให้เกิดผล ถึงได้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม ภาษาบาลีว่าธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ก็แปลว่าสิ่งที่เราคิด คำที่เราพูด กายที่เราทำ จะต้องเป็นไปในลักษณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น ยถาการี ตถาวาที ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เป็นคนไม่มีกำมือ ก็คือไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ถ้าหากว่าเป็นหลักธรรมาภิบาลก็คือโปร่งใสและตรวจสอบได้
ให้พวกเราเอาไปพินิจพิจารณาว่าสิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดมานั้นใช่หรือไม่ใช่ ? ถ้าหากว่าใช่แล้วควรที่จะปฏิบัติตามหรือไม่ ? ไม่ใช่คิดแต่จะรอฟังว่าวันนี้หลวงพ่อจะพูดเรื่องอะไร จะเล่าเรื่องอะไร แล้วไม่เคยที่จะนำไปขบคิดให้เป็นหลักธรรมที่เกิดประโยชน์แก่ตนเองเลย
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)