เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 กุมภาพันธ์ 2022.

  1. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕ อากาศเปลี่ยนแรง จากฝนกลายเป็นหนาว กระผม/อาตมภาพก็มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ เพียงแต่ว่าช่วงนี้มีพระมาขออนุญาตออกธุดงค์

    ในเรื่องของการธุดงค์นั้น ในปัจจุบันนี้น่าจะเรียกว่า จาริก มากกว่า เพราะว่าเป็นการเดินตามถนน เดินระหว่างบ้านต่อบ้าน ถ้าหากว่าเป็นธุดงค์ในความหมายเดิม ๆ ก็คือการที่เราเข้าป่าใหญ่ไปเลย อาศัยเรื่องของสัตว์ร้ายบ้าง เรื่องของผี ของเทวดาบ้าง ช่วยขัดเกลากำลังใจของเรา

    ดังนั้น..ในปัจจุบันที่เห็นเดินทางกันไป อย่างเช่นว่าไปนมัสการสถานที่สำคัญบ้าง ไปแสวงหาความวิเวกบ้าง แต่เดินอยู่บนถนนใหญ่ จึงไม่น่าจะเรียกว่า การธุดงค์ เพราะว่าหาความวิเวกไม่ได้ เพราะคำว่า ธุดงค์ นั้น ถ้าแปลความตรง ๆ คือ องค์คุณเครื่องเผากิเลส มี ๑๓ อย่างด้วยกัน ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าป่าก็ทำได้ อย่างเช่นว่า ถือการฉันอาสนะเดียว (มื้อเดียว) การใช้ผ้า ๓ ผืน การบิณฑบาตเป็นวัตร เป็นต้น

    ในสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ภาพพจน์ของพระธุดงค์นั้นก็คือ พระที่มีความเข้มแข็งในการปฏิบัติ เข้าป่าชนิดสละชีวิตเพื่อแลกกับธรรมะ ถ้าดูแค่ตัวอย่างที่โยมพ่อเล่าให้ฟัง เพราะว่าเป็นเรื่องก่อนที่กระผม/อาตมภาพจะเกิด ก็คือมีพระเดินป่ามาปักกลดอยู่หน้าถ้ำทางป่าท้ายบ้าน ซึ่งถ้ำนั้นมีงูใหญ่อยู่ เคยถามพ่อตอนที่ดูแลท่านระหว่างที่ป่วยว่า "งูตัวใหญ่ขนาดไหน ?" พ่อบอกว่า "เวลาเลื้อยออกมาก็ตัวเต็มปากถ้ำพอดี" จึงต้องถามอีกว่า "ปากถ้ำนั้นกว้างเท่าไร ?" โยมพ่อบอกว่าประมาณหัวของท่านเอง

    โยมพ่อของอาตมานั้นเป็นผู้ชายที่ตัวเล็ก ความสูงเต็มที่ก็น่าจะประมาณ ๑๕๕ เซนติเมตรเท่านั้น ที่กระผมค่อนข้างสูงในปัจจุบันนี้ ได้ความสูงจากโยมแม่มา แต่ถึงความสูง ๑๕๕ เซนติเมตร บอกว่าไปยืนแล้วหัว "ครือ ๆ" กับปากถ้ำ ก็คือใกล้เคียงระดับเดียวกัน แล้วงูเลื้อยออกมาตัวเต็มปากถ้ำพอดี ต้องลองนึกดูว่าตัวใหญ่แค่ไหน !!?

    โยมพ่อพยายามที่จะอธิบายให้พระฟังว่างูใหญ่อาศัยอยู่ในนั้น แล้วแถวใกล้ ๆ ปากถ้ำก็มีโครงกระดูกสัตว์ที่งูกิน ย่อยจนเหลือแต่โครงกระดูก แล้วคายทิ้งออกมาอยู่มากมาย แต่พระธุดงค์ท่านก็บอกว่า "ปักกลดแล้วถอนไม่ได้ จนกว่าจะได้อรุณของวันใหม่ ถ้าถอนก่อนเป็นการเสียสัจจะ ผิดหลักของการธุดงค์"

    โยมพ่อก็เลยต้องกลับบ้าน แบกปืนมานอนเฝ้าพระ ซึ่งในยุคนั้น ปืนส่วนใหญ่ก็เป็นปืนแก๊ป หรือปืนคาบศิลา แต่ว่าโยมพ่อยอมลงทุนซื้อปืนลูกซองไนโตรของเยอรมัน ใส่กระสุนได้ ๒ นัด ก็คือลักษณะเป็นซองกระสุน
    นัดแรกกดลูกให้จมลงไป นัดที่สองก็ขึ้นลำไปเลย ถือว่าเป็นอาวุธที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น แต่ถ้าเรามาเปรียบเทียบกับงูที่ตัวใหญ่ขนาดนั้น ก็คงประมาณจะเอาไม้จิ้มฟันไปกระทุ้งรถไฟ..!
     
  3. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    โยมพ่อเล่าว่า "กลางดึกงูเลื้อยออกจากถ้ำมา พระท่านกำดินสาดไปกำมือหนึ่ง งูหดหายกลับเข้าไปในถ้ำ แล้วท่านก็เอาเชือกเล็ก ๆ ไปขึงขวางปากถ้ำไว้ แล้วก็นั่งหลับ" นี่เป็นสิ่งที่กระผม/อาตมภาพแปลจากภาษาจีนที่พ่อเล่าให้ฟัง ก็คงประมาณว่าพองูออกมา พระธุดงค์ก็เอาทรายเสกซัด พองูหดหายไปก็เอาสายสิญจน์ไปขึงขวางปากถ้ำ แล้วท่านก็นั่งเจริญกรรมฐานของท่าน แต่โยมพ่อเล่าให้ฟังว่า "พระนั่งหลับ..!"

    ด้วยความที่เห็นคาตาว่างูใหญ่ขนาดนั้น ซึ่งตนเองแม้จะมีปืนก็ทำอะไรงูไม่ได้แน่ แต่พระท่านใช้ดินทรายแค่กำมือเดียวซัดไป งูก็ยอมถอย โยมพ่อจึงถามพระท่านว่า "มีอะไรดีถึงไม่กลัวงู ?" พระท่านบอกว่า "มีคาถาวิเศษ ถ้าจะเรียนก็จะบอกให้" โยมพ่อก็เลยขอเรียนคาถา เมื่อบอกคาถาให้แล้วพระท่านก็ยังย้ำว่า "ให้สวดไว้ทุกวัน ถ้าจะให้ดีก็จัดข้าวนิด น้ำหน่อย ขนมนิดหนึ่ง ใส่กระทงบูชาพระแล้วค่อยสวดมนต์ ก็จะทำให้กำลังใจของเรามั่นคงเร็วขึ้น" โยมพ่อก็ทำตาม สวดมนต์ทุกวัน


    ตรงจุดนี้มีเรื่องแปลกที่ว่าโยมพ่อพูดได้แต่ภาษาจีน ส่วนสมัยนั้น คนจีนไม่นิยมการบวช ขนาดมาถึงรุ่นพี่ชายของกระผม/อาตมภาพ บวช ๒ คนพร้อมกัน โยมพ่อเดินแห่รอบโบสถ์ก็เช็ดน้ำตาไปด้วย ไม่ได้ปีติที่ลูกบวช แต่โยมพ่อเข้าใจว่าเสียลูกชายไป ๒ คน เพราะว่าพระจีนบวชแล้วไม่สึก ไม่รู้ว่าพระไทยบวชแล้วสึกได้ ในเมื่อคนจีนไม่นิยมบวช ก็แปลว่าพระรูปนั้นไม่น่าจะพูดภาษาจีนได้ แต่กลับสามารถสื่อกับโยมพ่อ แล้วคุยกันรู้เรื่องทุกอย่าง นี่เป็นประการแรก


    ประการที่สอง เรื่องที่พระรูปนั้นสอนโยมพ่อให้สวดมนต์ทุกวันพร้อมกับถวายข้าวพระ ตรงกับ "วิธีหนีนรกแบบง่าย ๆ" ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงสอนพวกเรามา และที่แน่ ๆ บทสวดที่ว่าเป็น "คาถาวิเศษ"


    เมื่อกระผม/อาตมภาพเริ่มรู้ความสักประมาณ ๒ ขวบ แล้วโดนโยมพ่ออุ้มพาดบ่า คอพับคออ่อนสวดมนต์อยู่ทุกวันจนจำขึ้นใจ ก็คือบท อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ตรงจุดนี้ เราจะเห็นว่าสิ่งที่พระท่านสอนนั้น ตรงกับที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านบอกทุกอย่าง

    คราวนี้ในช่วงนั้น ทางบ้านของกระผม/อาตภาพนั้นอยู่ในพื้นที่ป่าเสียส่วนมาก จะมีชุมโจรใหญ่เลยอยู่ที่ทะเลบก ซึ่งพื้นที่ช่วงนั้นเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอสองพี่น้องของจังหวัดสุพรรณบุรี กับอำเภอพนมทวนของจังหวัดกาญจนบุรี และอำเภอกำแพงแสนของจังหวัดนครปฐม เป็นป่าใหญ่มาก เวลาพลตระเวนมา ก็คือตำรวจนั่นแหละ ถ้าเป็นสมัยนี้คือตำรวจกองปราบ สมัยโน้นเขาเรียกว่าพลตระเวน

    ถ้าหากว่าทางด้านนครปฐมมาปราบ โจรก็หนีข้ามไปสุพรรณหรือหนีข้ามไปกาญจนบุรี ถ้ากาญจนบุรีมาปราบก็หนีข้ามมานครปฐม หรือว่าข้ามไปสุพรรณบุรี ถ้าสุพรรณบุรีมาปราบ ก็หนีข้ามไปกาญจนบุรี หรือว่าหนีมานครปฐม เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับตำรวจแบบนี้ จนไม่มีวันที่จะปราบได้สิ้นได้สุด
     
  4. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    จนกระทั่งมาตอนหลังที่กระผม/อาตมภาพเรียนอยู่ชั้น ป.๓ โดยประมาณ ทางราชการตัดสินใจถล่มป่าตรงนั้นทิ้ง สร้างเป็นสนามบินกำแพงแสน มีพื้นที่ ๑๐,๕๐๐ ไร่ แล้วก็สร้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสนอีก ๘,๐๐๐ ไร่ ทำให้โจรหมดไปโดยปริยาย เพราะว่าไม่มีป่าให้อยู่..!

    ในช่วงนั้น พอถึงเวลาโจรมาก็จะจับเอาตัวบรรดาพี่ ๆ ซึ่งก็คือลูกของพ่อนั่นแหละ ไปเป็นตัวประกัน บังคับให้คนเป็นพ่อเป็นแม่หาบเสบียงไปส่ง โยมพ่อถึงได้เกลียดชุมโจรนั้นหนักหนา เพราะว่ามาทีไร ข้าวปลาอาหารที่เก็บไว้เลี้ยงลูกก็โดนโจรบังคับให้หาบเอาไปส่ง แล้วก็มาจับลูกไปเป็นตัวประกันด้วย

    ดังนั้น...เวลามีพลตระเวนมา โยมพ่อก็รับอาสานำเข้าไปที่ชุมโจร เพราะว่าเคยไปส่งเสบียง รู้จักทางดี ถึงเวลาเข้าใกล้ พวกเวรยามโจรเห็นเข้า ร้องบอกพรรคพวก..ก็ยิงกัน พลตระเวนก็หมอบบ้าง คลานบ้าง โยมพ่อรำคาญ..เสียเวลา แกก็เดินลุยเทิ่ง ๆ เข้าไปเลย แล้วไม่เคยโดนกระสุนแม้แต่นัดเดียว..!

    เมื่อถึงเวลามีงานประจำปีที่เป็นงานศาลเจ้า ก็จะมีเจ้ามาเข้าทรง ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นการทรงของแท้ เจ้าก็จะมีการแสดงฤทธิ์ อย่างเช่นว่าตัดลิ้นตัวเองออกมาแล้วก็เขียนยันต์ ที่ภาษาจีนเรียกว่า ฮู้ ให้คนที่เลื่อมใสเอาไปติด คุ้มครองป้องกันที่บ้าน พอถึงคิวโยมพ่อไปขอยันต์ทีไร เจ้าไม่เคยให้ บอกว่า "ลื้อมีพระคุ้มครองอยู่แล้ว"

    พวกเราต้องมานึกว่าโยมพ่อสวดมนต์ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ อยู่ทุกวัน สวดด้วยความเลื่อมใสศรัทธาพระธุดงค์รูปนั้น กำลังใจปักมั่นเต็มที่ เพราะเห็นกับตาว่างูใหญ่มหึมาขนาดนั้น พระท่านใช้ทรายแค่กำเดียว สามารถปราบได้

    ในเมื่อเกิดความมั่นใจว่ามีคาถาวิเศษ ก็เลยทำให้คาถามีผลมากกว่าคนอื่น ประกอบกับเชื่อพระ ทำตามทุกวันไม่เคยขาด ประมาณทุ่มหนึ่งกลับจากงานไร่มา ก็อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาแล้ว ก็จัดข้าวปลาอาหารชุดหนึ่งถวายข้าวพระ แล้วอุ้มอาตมาที่หลับแล้วหลับอีกสวดมนต์ทุกวัน เพราะโยมพ่อไม่ได้ถามให้ชัดเจนว่าข้าวพระเขานิยมถวายกันตอนไหน ที่บ้านโยมพ่อก็เลยถวายข้าวพระประมาณทุ่มครึ่ง..! สรุปว่าพระที่บ้านของกระผม/อาตมภาพฉันข้าวเย็นทุกวัน..!!!
     
  5. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ตรงจุดนี้ ทำให้เห็นชัดว่าสมัยก่อนนั้นพระท่านไปธุดงค์ ไปหาธรรมด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก ขนาดงูใหญ่ปานนั้น ก็ยังไม่ถอนกลดหนี แต่ว่าสมัยนี้จะเรียกว่าธุดงค์ก็ไม่ได้ เพราะว่าธุดงค์ต้องเป็นการเดินป่า อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "ต้องไปให้ห่างบ้านคน ชนิดไม่ได้ยินเสียงหมาเห่าหรือไก่ขัน ป้องกันการที่ญาติโยมมารบกวน" แต่ว่าสมัยนี้มักจะเดินระหว่างบ้านต่อบ้าน หรือว่าเดินในเมือง เดินบนถนนลาดยางหรือว่าถนนคอนกรีต ซึ่งไม่ได้มีลักษณะของการธุดงค์เลย

    แต่ก็ยังดีที่ว่ามีหลายท่านที่กำลังใจยังต้องการจะขัดเกลาตัวเอง ก็น่าจะได้ในเรื่องของความเพียร คือวิริยบารมี และในเรื่องของความอดทน คือขันติบารมี ส่วนอื่น ๆ ก็ต้องแล้วแต่บุญวาสนาเดิมที่สร้างมาเป็น "ปุพเพกตปุญญตา" ว่าจะนำพาไปทางไหน

    แต่ถ้าอย่างที่พระท่านมาขออนุญาตกับกระผม/อาตมภาพนั้น ก็คือเดินเข้าป่าใหญ่ จากทางด้านทองผาภูมิลัดขึ้นไปทางอุ้มผาง ก็แปลว่ามีโอกาสเจอสัตว์ร้ายอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าช่วงที่กระผม/อาตมภาพธุดงค์เส้นนั้น ใช้วิธีเดินตัดป่าไป เดินตามด่านสัตว์ ไม่ได้เดินระหว่างบ้านต่อบ้าน จึงไม่สามารถที่จะชี้แจงได้ชัดเจนว่า เส้นทางระหว่างบ้านต่อบ้านนั้นเป็นอย่างไร

    รู้อยู่แต่ว่ามีครั้งหนึ่งเดินอยู่ ๑๑ วัน ไม่เจอบ้านคนเลย อยู่แต่ในป่าใหญ่ตลอด แล้วเป็นป่าใหญ่ที่ทึบจนกระทั่งแสงแดดแทบจะส่องไม่ถึงพื้น เดินจนรำคาญ ก็เลยตั้งใจขอบารมีพระ ทำการชุมนุมเทวดา ขอให้เจ้าที่ท่านช่วยชี้ทางให้ ซึ่งพื้นที่ตรงนั้น ท่านโมเช่ที่นำทางให้บอกว่าเดินอีกอย่างน้อย ๗ วัน แต่ปรากฏว่าพอชุมนุมเทวดาแล้ว เดินอีกพักเดียวก็ทะลุ ก็ถือเสียว่าเดินหลงทางก็แล้วกัน แต่เป็นการหลงแล้วพ้นป่าใหญ่ไปได้

    ท่านที่จะไปธุดงค์ขอให้ตัดใจว่าเราไปตาย เหมือนอย่างที่กระผม/อาตมภาพไปครั้งแรก พระพี่พระน้องจะตามไป ๗ รูป ๘ รูป พอถึงเวลารู้ว่าจะไปทางไหนก็หนีกันหมด ไม่มีใครไปด้วย เพราะเห็นว่าไปตายชัด ๆ ถ้าเราตัดใจว่าไปตาย ไม่อาลัยในชีวิตนี้ โอกาสที่จะได้ดีก็มีสูง แต่ถ้าหากว่ายังกลัวตาย ยังห่วงใยชีวิตอยู่ ก็แล้วแต่วาสนาบารมีว่าตัวเราสร้างมาอย่างไร


    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     

แชร์หน้านี้