เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๗
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 กรกฎาคม 2024.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ บางท่านก็จดจำว่าเป็นวันประสูติของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี แต่ว่าหลายท่านก็ไปจำว่าเป็นวันชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา
ถ้าหากว่าจำว่าเป็นวันชาติของสหรัฐอเมริกา ก็แปลว่าต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก เนื่องเพราะว่าบุคคลที่เป็นคู่สงครามหรือว่าเป็นศัตรูนั้น มักจะอาศัยวาระสำคัญของประเทศสหรัฐอเมริกาในการดำเนินการก่อการร้ายหรือวินาศกรรม ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่สหรัฐอเมริกาแส่หาเอง ก็คือการอยู่ร่วมกันในโลกนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องก่อสงครามก็ได้ แต่สหรัฐอเมริกาใช้วิธีก่อสงคราม เพราะว่าสามารถหาเงินเข้าประเทศด้วยการขายอาวุธได้เร็วที่สุด แล้วขณะเดียวกันก็แผ่อำนาจของตนไปครอบงำชาติอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศไทยของเรา รอดมาได้หลายยุคหลายสมัยแล้ว
ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า มีอยู่ยุคสมัยหนึ่งที่ประเทศของเรามีแต่ทหารอเมริกันเต็มไปหมด สนามบินหลัก ๆ อยู่ ๓ สนามบิน ก็คือสนามบินอุดรธานี สนามบินโคราช และสนามบินอู่ตะเภา กลายเป็นสนามบินที่บรรดาเครื่องบินทหารของอเมริกันลงจอดเป็นว่าเล่น จนกระทั่งโดนนักศึกษาไทยเดินขบวนขับไล่ออกไป ก็ต้องเปลี่ยนแผนหาวิธีมายึดประเทศของเราใหม่
แต่คราวนี้ด้วยเหตุที่ว่าประเทศของเรานั้นตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่วิเศษมาก อย่างที่กระผม/อาตมภาพไปประเทศเวียดนามมา ถามว่าเวียดนามอิจฉาไทยเรื่องอะไรมากที่สุด ? อาหลันตอบว่า "ประเทศไทยไม่มีภัยธรรมชาติหนัก ๆ เหมือนเวียดนาม พืชผลการเกษตรทุกอย่างไม่ได้โดนทำลายด้วยภัยธรรมชาติหนัก ๆ เหมือนกับเวียดนามที่โดนบ่อย ๆ" ของเราต่อให้มีน้ำท่วมเสียหายก็เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น โดยเฉพาะเป็นหาง หรือว่าเป็นส่วนกระทบจากพายุต่าง ๆ แต่ของเวียดนามนั้นโดนเต็ม ๆ เหล่านี้เป็นต้น ทางด้านใต้ของเรานั้นก็มีฟิลิปปินส์ขวางอยู่ ก็แปลว่าถ้าหากว่าภัยธรรมชาติเข้าทางด้านนั้นก็โดนฟิลิปปินส์ก่อนเต็ม ๆ
แล้วไทยเรายังมีภูมิศาสตร์ที่ยึดครองทั้งสองฟากของทะเล หรือว่ามหาสมุทร สามารถที่จะขยายพื้นที่ออกไปได้โดยไม่จำกัด โดยเฉพาะกำลังทางอากาศ บรรดาประเทศที่ถือกำลังทหารเป็นใหญ่ จึงหวังจ้องที่จะยึดประเทศของเรา
ดังนั้น...ในสงครามใหญ่ที่เกิดขึ้น ผลที่กระทบมากนั้น ส่วนใหญ่ก็มาจากการที่บรรดามหาอำนาจต่าง ๆ ต้องการที่จะวางหมาก หรือว่าดึงประเทศไทยไปเป็นพวก แต่ว่าบ้านเราเมืองเรา บรรดานักการเมืองต่าง ๆ แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาปกป้องประเทศของตนเอง กลับไปขายประเทศเป็นว่าเล่น อย่างเช่นว่าให้เช่าที่ได้เป็นเวลา ๙๙ ปี เป็นต้น -
เราจะเห็นว่าประเทศจีนดิ้นรนทุกอย่างเพื่อให้ได้ฮ่องกง เกาลูน มาเก๊า คืนจากต่างชาติ แต่บ้านเรากลับเอาพื้นที่ไปประเคนให้ต่างชาติด้วยสายตาของพ่อค้า อย่าลืมว่าพ่อค้าเอาแต่ผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ดังนั้น...ถ้าหากว่าเราไม่ตระหนักรู้ จะดึงตัวเองหล่นลงไปในหล่มที่ต่างประเทศเขาขุดล่อเอาไว้
เราจะเห็นว่ารอบบ้านของเราในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว เขมร เวียดนาม ตอนนี้แทบจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเองแล้ว บ้านเราบรรดาทุนสีเทาก็เข้ามาสารพัดชาติ กระผม/อาตมภาพเข้าไปในหาดป่าตอง คิดว่าอยู่ในยุโรป แม้กระทั่งการขับรถก็ต้องชิดขวา ส่วนเชียงใหม่หรือว่ากรุงเทพฯ หลายต่อหลายที่ก็แทบจะมีไชน่าทาวน์เกิดใหม่ เป็นเรื่องที่เราต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง แต่ว่าเรากลับปล่อยปละละเลย ก็เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่าน่าเสียดายมาก
นานไปคนไทยอาจจะไม่ได้ยืนอยู่ในแผ่นดินไทยบางส่วน เนื่องเพราะว่าพอเขาเช่าไปก็กลายเป็นพื้นที่ของเขา แล้วที่ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือทำกิจกรรมต่าง ๆ บนพื้นที่ของเรา แต่ว่ากอบโกยเอาผลประโยชน์ส่งไปบ้านเขาเมืองเขา หรือว่าคนของเขา
บรรดาสัมปทานสิ่งต่าง ๆ ที่ควรจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่คนหมู่มาก ก็กลายเป็นว่ามาสูบเงินจากคนหมู่มาก ปัจจุบันนี้ก็พูดกันมากขึ้นหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นภาระของรัฐบาลที่ต้องมีหน้าที่ในการบริหารจัดการ แต่ก็กลายเป็นอย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยกล่าวไว้ก็คือ ไม่มีรัฐบาลประเทศน่าจะเจริญกว่านี้
ยังโชคดีที่บ้านเราเมืองเรายังมีบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ยังมีพระสยามเทวาธิราชช่วยกันปกปักรักษา ถึงยืนหยัดอยู่ได้มาแบบทุลักทุเลจนทุกวันนี้ กลายเป็นที่อิจฉาของรอบข้างยังไม่พอ ยังทำให้บรรดามหาอำนาจจ้องที่จะครอบงำเอาไว้ในมือให้ได้หนักขึ้นไปอีก
เรื่องเหล่านี้จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่พระของเราควรจะมาพูด เพียงแต่ว่าบางอย่างเมื่อรู้มาแล้วถ้าหากว่าสามารถพูดได้ ก็ควรที่จะบอกจะกล่าวให้รู้กันเอาไว้บ้าง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็คือ รู้ ๑๐๐ พูดได้ ๑๐ ก็ดีมากแล้ว ส่วนใหญ่ก็พูดได้แค่ ๒ ส่วน ๓ ส่วน -
แล้วบางทีบอกให้ญาติโยมที่อยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรปอเมริกาว่าให้กลับบ้านเรา แต่ว่าหลายท่านก็คงคิดว่าตายต่างประเทศน่าจะดีกว่า มาบ้านเราก็ไม่รู้ว่าจะทำอาชีพอะไร เหล่านี้เป็นต้น อาตมภาพก็ได้แต่ห่วงใย ได้แต่กังวล อะไรพอบอกกล่าวได้ก็บอกกล่าวไป ใครที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเกาะก็โปรดระมัดระวังเอาไว้ด้วย ถ้ากลายเป็นคนไม่มีแผ่นดินจะอยู่ก็ไม่ว่า แต่ถ้าพลอยกลายเป็นทับถมแผ่นดินไปด้วย ก็จะเป็นอะไรที่ญาติโยมของตนเองเสียดายและเสียใจเป็นอย่างยิ่งทีหลัง
พระเจ้าของเรา ตลอดจนญาติโยมทั้งหลายก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญภาวนา ถือศีลแผ่เมตตา อย่างน้อย ๆ ไม่สามารถจะดับภัยใหญ่ได้ทั้งหมด ก็ประคับประคองให้ส่วนที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเราเมืองเรา เกิดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ปัจจุบันนี้หลายท่านที่รู้เรื่องแบบนี้ พยายามออกมาพูด แต่ว่าไม่สามารถที่จะสู้กระแสการเมืองได้ เรื่องที่พูดก็เหมือนกับผ่านหูแล้วก็เลยไป
ท่านใดที่มีที่ดินอยู่ พยายามทำเกษตรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง หรือว่าโคกหนองนาในพระราชดำริเอาไว้ ถ้าสถานการณ์หนักขึ้นไปกว่านี้เราจะได้เห็นประโยชน์ เนื่องเพราะว่าต่อให้ไม่สามารถที่จะซื้อหาสิ่งของอุปโภคบริโภคได้ เราเองก็ยังหาได้ในไร่ในสวนของตนเอง
ยังโชคดีที่ชาวทองผาภูมิของเราส่วนใหญ่มีไร่มีสวนของตนเองทั้งนั้น แต่ว่าบุคคลอื่นที่ขายที่ขายทางไปแล้วก็จะลำบาก เพราะว่านานไปก็จะกลายเป็นลูกจ้างคนอื่นเขา แล้วก็เท่ากับว่าเรามอบอนาคตไว้ในกำมือของคนอื่น ขาดความมั่นคงทั้งในชีวิต ขาดความมั่นคงทั้งด้านอาหารการกิน เครื่องอุปโภคบริโภค
การอยู่แบบพอเพียงและพึ่งพาตนเองนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่เราก็มักจะลืมกัน อาศัยความสะดวกสบายที่เขาป้อนมาให้จนถึงบ้าน ทุกวันนี้มีอะไรก็สั่งของออนไลน์ อยู่กับบ้านเฉย ๆ ก็เสียเงินได้ ถ้าเป็นไปได้ พยายามที่จะปรับลดและแก้ไขนิสัยเหล่านี้ อดออมให้มากขึ้น ถือหลักตามแบบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือได้ทรัพย์สินมาก็ใช้หนี้เก่า เป็นเจ้าหนี้ใหม่ ฝังดินไว้ และทิ้งใส่เหว -
ใช้หนี้เก่า ก็คือเลี้ยงดูพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่เคยเลี้ยงดูเรามา
เป็นเจ้าหนี้ใหม่ ก็คือเลี้ยงดูดูแลบุตรหลานของตนเอง
ฝังดินไว้ คือแบ่งส่วนหนึ่งไปสร้างบุญสร้างกุศล เพื่อที่จะเป็นเครื่องนำพาชีวิตของเราในภายภาคหน้า
ส่วนทิ้งใส่เหวนั้นก็คืออุปโภคบริโภค ซึ่งปัจจุบันนี้เรากินล้นกินเกินกันมาก
อย่างที่เมื่อกลางวัน กระผม/อาตมภาพเตือนสติท่านทั้งหลายไปว่า ไม่ใช่ว่าได้มาง่ายแล้วก็กินล้างกินผลาญ เพราะว่าถ้าเรารู้จักประหยัดอดออม สิ่งที่เหลือยังก่อประโยชน์ให้กับคนอื่นได้มาก อย่ามองแต่ตนเองเป็นหลัก แต่ให้มองภาพรวม ก็คือเพื่อนร่วมโลกของเราที่ยากลำบากอยู่ยังมีมาก อย่างที่วัดเรา พอถึงเวลาหลังมื้อเพลแล้ว ก็นำอาหารที่เหลือไปแจกจ่ายให้กับผู้ป่วยติดเตียง ตลอดจนกระทั่งผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนต่าง ๆ
ดังนั้น...ในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราขาดความตระหนัก ไม่มีความพอเพียงพอดี ก็จะกลายเป็นว่าเรากอบโกยสิ่งต่าง ๆ เข้าใส่ตัว แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการหาเงินหาทอง ซึ่งโอกาสที่เราจะมีกิจการเป็นของตัวเองก็ยากขึ้นไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็ต้องไปเป็นลูกจ้างคนอื่นเขา
ดังนั้น...ถ้ามีโอกาส เราก็พลิกฟื้นแก้ไขตัวเองด้วยเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ หรือว่าโคกหนองนาในพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ การปลูกพืชในระยะสั้นเพื่อที่จะเอาไว้กินหรือเอาไว้ขายเริ่มขึ้นมาก่อน หลังจากนั้น พืชระยะกลางและระยะยาวก็จะค่อย ๆ ก่อผลที่มั่นคง แรก ๆ อาจจะเหนื่อยไปแล้วก็ไปสบายทีหลัง แต่ถ้าคิดว่าเราลำบากไม่เป็น เราทำเรื่องเหล่านี้ไม่เป็น ก็ได้แต่รอระยะเวลาว่าบุคคลอื่นเขายังจะเมตตาเราอีกนานเท่าไร ถ้าเขาขาดความเมตตาเท่าไร เรื่องของปัจจัย ๔ จะกลายเป็นเรื่องที่พาให้เราลำบากเดือดร้อนที่สุด
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)