เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๖
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 6 กรกฎาคม 2023.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปกราบสักการะรอยพระพุทธบาท ณ มณฑปพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาท ราชวรมหาวิหาร หมู่ที่ ๓ ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี รอยพระพุทธบาทนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ซึ่งสมัยก่อนครูบาอาจารย์ที่ออกเดินธุดงค์นั้น มักจะต้องเดินทางมาเพื่อกราบสักการะยังรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ทั้งสิ้น
ในสมัยนั้นรอยพระพุทธบาทนั้นยังอยู่กลางป่ากลางดง แม้ว่าพอที่จะมีถนนหนทางมาได้ แต่ก็ค่อนข้างจะลำบาก ทุรกันดาร และประกอบไปด้วยสัตว์ร้าย ตลอดจนกระทั่งภูตผีต่าง ๆ การเดินธุดงค์ไปรอยพระพุทธบาทจึงเป็นการทดสอบกำลังใจของนักปฏิบัติเป็นอย่างดี เนื่องจากว่าต้องประกอบไปด้วยศรัทธาอย่างแท้จริง และมีความเข้มแข็งของกำลังใจมากเพียงพอ ที่จะฝ่าฟันอันตรายต่าง ๆ ไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้
สมัยก่อนถึงขนาดมีคำพูดว่า "ใครไปกราบรอบพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ได้ ๗ ครั้ง ชาตินี้จะไม่ตกนรก" ซึ่งการเดินทางไปยากลำบาก และประกอบไปด้วยอันตรายขนาดนั้น หากว่าเรายังพากเพียรที่จะเดินทางไปจนกระทั่งได้ถึง ๗ ครั้ง ก็ต้องบอกว่ากำลังใจที่ยึดมั่นอยู่ในคุณงามความดีขนาดนั้น ก็ควรอยู่ที่จะมีสุคติเป็นที่ไป
สำหรับวันนี้ที่กระผม/อาตมภาพเดินทางไปสักการะรอยพระพุทธบาทนั้น ก็เนื่องจากว่าได้รับนิมนต์จากท่านเจ้าคุณหลวงตา พระเดชพระคุณพระราชภาวนาพัชรญาณ วิ. ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ที่ท่านนิมนต์ไปปลุกเสกเหรียญหลวงปู่ปานออกธุดงค์ ซึ่งนำเอาแบบมาจากประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงได้เล่าเอาไว้ ถึงการที่หลวงปู่ปานได้พาท่านและเพื่อนไปร่วมกันธุดงค์ อธิษฐานขอให้พระพุทธบาทแสดงซึ่งปาฏิหาริย์ เพื่อเป็นศรัทธาแก่คณะศิษย์ แล้วก็ได้เห็นกันจริง ๆ
เนื่องจากว่าทางคณะสงฆ์จังหวัดสระบุรีนั้น มาขอให้พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงตาท่านช่วยหาทุนเอาไว้บริหารกิจการคณะสงฆ์จังหวัดสักก้อนหนึ่ง หลวงตาท่านจึงปรารภว่า ในเมื่อมาขอให้ช่วยแล้ว ครูบาอาจารย์ก็คือหลวงพ่อฤๅษีฯ ก็เคยตามหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ธุดงค์มายังพระพุทธบาทแห่งนี้ จึงได้กราบขออนุญาตใช้สถานที่พระอุโบสถวัดพระพุทธบาท ราชวรมหาวิหาร ในการปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งนี้
เมื่อเข้าไปกราบสักการะรอยพระพุทธบาท กระผม/อาตมภาพจึงฉวยโอกาสกราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ในการปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งนี้ด้วย -
เมื่อเข้าไปสู่ในมณฑลพิธี กระผม/อาตมภาพจึงได้ขึ้นไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ขอให้ท่านช่วยเสกวัตถุมงคลครั้งนี้ แต่ปรากฏว่าโดนหลวงพ่อท่านเตะโด่ง บอกว่างานนี้ไม่ใช่ภาระของท่าน ให้ไปกราบขอจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าหลวงปู่ปานเอาเอง
เมื่อกราบขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านก็แสดงนิมิตให้เห็น ด้วยการที่ประทับรอยพระพุทธบาท ซึ่งใหญ่โตมโหฬาร ขนาดที่ครอบพระอุโบสถไว้ได้ทั้งหลัง หลังจากนั้นก็เป็นภาพพุทธนิมิต แสดงลักษณะการยืนประทับรอยพระพุทธบาทให้ดู แล้วก็ชี้ไปที่หลวงปู่ปานว่า "มอบเป็นภาระของหลวงปู่ปานในการที่จะปลุกเสกวัตถุมงคลในครั้งนี้"
เมื่อเสร็จพิธีแล้ว กระผม/อาตมภาพจึงได้กราบลาเพื่อเดินทางต่อไปยังเชียงราย เนื่องจากได้รับนิมนต์จากครูบาเหนือชัย โฆสิโต เจ้าสำนักสงฆ์ถ้ำป่าอาชาทอง ให้ไปปลุกเสกวัตถุมงคลอีกเช่นกัน
ในเรื่องของการปลุกเสกวัตถุมงคลแต่ละงานนั้น บางทีพวกเราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นภาระของผู้ใด ด้วยความเคยชิน ก็ต้องขึ้นไปกราบขอครูบาอาจารย์ก่อน แต่ปรากฏว่าครูบาอาจารย์ท่านก็ยกเป็นภาระของครูบาอาจารย์อีกที แล้วครูบาอาจารย์ของครูบาอาจารย์ ก็ต้องรอคำสั่งจากพระท่าน ว่าจะมอบหมายให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาร่วมพิธีครั้งนี้
แต่ว่างานนี้ต้องบอกว่าเป็นการรวมสายลูกศิษย์วัดท่าซุง ซึ่งประกอบไปด้วย หลวงตาชลอ (พระครูสาครสิทธิวิมล) วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ ตุ๊พ่อสิงห์ (พระอธิการสิงห์ วิสุทฺโธ) วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ตลอดจนกระทั่งท่านอื่น ๆ อีกหลายท่านด้วยกัน โดยมีท่านเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งในสมณศักดิ์เดิมก็คือพระวิสิฐคณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมงคลชัยพัฒนา เจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เป็นประธานสงฆ์ในวันนี้
เมื่อเจอหน้ากันท่านเจ้าคณะจังหวัดสระบุรีก็ยังหัวเราะ เนื่องเพราะว่าท่านก็เพิ่งไปรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชที่พุทธมณฑลมาด้วยกัน คาดว่าหลังจากนี้คงจะได้เจอะเจอกันมากขึ้นไปอีก เนื่องเพราะว่าเป็นคณะกรรมการโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล ๕" ด้วยกัน
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บางอย่างก็ต้องบอกว่าเป็น "ธรรมะจัดสรร" เนื่องเพราะว่าถ้าหากโดยสายงานแล้ว ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างไกลกัน ขนาดจังหวัดสระบุรีและจังหวัดกาญจนบุรี ก็ยังมีโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ที่ต้องเป็นคณะกรรมการด้วยกัน มายึดโยงให้ทำงานร่วมกันจนได้ -
โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังดำรงชีวิตอยู่ ก็ได้นิมนต์พระเถระจากหลายจังหวัด โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร มารับกิจนิมนต์ในงานต่าง ๆ ที่วัดท่าซุงอยู่เสมอ
กระผม/อาตมภาพเป็นคนโลภมาก ได้เรียนถวายหลวงพ่อว่า "พระเถระบางรูปนั้นกำลังใจยังไม่สะอาดพอ" แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกว่า "มีพระแก้วอย่างหลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร ป.ธ.๙) วัดสามพระยาเป็นประธานสักรูปหนึ่งก็พอแล้ว แกจะโลภมากไปถึงไหน ? โดยเฉพาะบรรดาพระเถระที่นิมนต์มานี้ ต่อไปท่านจะเจริญก้าวหน้าในสายการปกครอง ถ้าพวกแกได้รู้จักมักคุ้นเอาไว้ ต่อไปการงานทุกอย่างก็จะสะดวกง่ายดายไปหมด" แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นจริงตามนั้น
กระผม/อาตมภาพซึ่งเป็นพระเด็กน้อยในสมัยนั้น ทำหน้าที่ต้อนรับพระเถระต่าง ๆ จนเกิดความมักคุ้นกัน เมื่อถึงเวลาไปพบเจอกันหลังจากที่ออกจากวัดท่าซุงไปแล้ว ก็ได้รับความเมตตาจากท่านทั้งหลาย ที่ถือว่าเป็นผู้ที่รู้จักมักคุ้น ไม่ว่าจะกระทำงานด้านใดก็ตาม มักจะได้รับการอนุเคราะห์สงเคราะห์ ได้รับความสะดวกอยู่เสมอ จึงเป็นวิสัยทัศน์ในการมองการณ์ไกลเป็นอย่างยิ่ง ของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่าน
ถ้ากล่าวถึงในหลักธรรมก็คือ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีจักขุมา หรือว่าวิสัยทัศน์อันยาวไกล สามารถมองเห็นไปว่า ในอนาคตท่านใดท่านหนึ่งจะเจริญก้าวหน้าในการปกครอง จึงได้นิมนต์มาให้พวกเราทั้งหลายได้รู้จักมักคุ้นเอาไว้ก่อน
ประกอบไปด้วยวิธุโร ก็คือสามารถที่จะทำงานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการประสานงานกับเครือข่ายต่าง ๆ ที่ท่านเองได้สร้างเอาไว้ จนกระทั่งงานการทุกอย่างสะดวกสบาย และข้อสุดท้ายนิสสยสัมปันโน ประกอบไปด้วยที่พึ่งอันถึงพร้อม ก็คือทั้งพระเถระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด ที่ท่านได้แนะนำเอาไว้ให้นั้น ภายหลังก็ได้เจริญก้าวหน้าในสายการปกครอง ถึงระดับสมเด็จพระราชาคณะบ้าง รองสมเด็จพระราชาคณะบ้าง
อย่างเช่นว่า หลวงปู่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดสุวรรณาราม ซึ่งภายหลังก็คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พุฒ สุวฑฺฒโน ป.ธ.๗) วัดสุวรรณาราม
หลวงพ่อพระพุทธิวงศมุนี วัดเบญจมบพิตร ภายหลังก็คือสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สุวรรณ สุวณฺณโชโต ป.ธ.๗) วัดเบญจมบพิตร
หลวงพ่อพระธรรมปัญญาบดี วัดปากน้ำภาษีเจริญ ภายหลังก็คือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ ป.ธ.๙) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
พระพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ ซึ่งภายหลังก็คือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.๙) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
พระธรรมปิฎก วัดชนะสงคราม ภายหลังก็คือสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร ป.ธ.๙) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นต้น -
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้ว ในสมัยนั้นพวกเราก็ไม่ได้เห็นแววเลยว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะเจริญงอกงามในการปกครองขึ้นไป ยิ่งใหญ่ได้ถึงระดับนั้น โดยเฉพาะพระราชปริยัติโมลี วัดพิชยญาติการาม ใครจะไปคิดว่าท่านเจ้าคุณราชในสมัยนั้น จะสามารถเจริญขึ้นมาจนเป็นถึงสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙) เจ้าคณะใหญ่หนกลางได้เช่นกัน
เรื่องพวกนี้จึงเป็นการที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นจักขุมา มีวิสัยทัศน์อันยาวไกล หรือที่เรียกกันแบบไม่เกรงใจก็คือ มีอนาคตังสญาณที่แจ่มใสมาก วิธุโร เป็นผู้ประกอบกิจธุระการงานได้อย่างวิเศษยิ่ง และนิสสยสัมปันโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยที่พึ่งต่าง ๆ เรื่องเหล่านี้จึงเป็นสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้บรรดาคณะศิษย์ทั้งหลายยอมมอบกายถวายชีวิตให้แก่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน แบบปราศจากข้อสงสัยอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพเอง ติดตามพิสูจน์หลวงพ่อท่าน ในชีวิตฆราวาสมา ๑๑ ปีเต็ม ๆ แล้วยังในชีวิตของพระภิกษุอีก ๗ ปีเต็ม ๆ พบเห็นทุกสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งหมดความสงสัยอย่างสิ้นเชิง ว่าหลวงพ่อท่านมีความสามารถอย่างแท้จริงขนาดไหน จึงเป็นเรื่องที่บรรดาลูกศิษย์รุ่นก่อน ๆ นั้น สามารถที่จะมอบกายถวายชีวิตให้ตามที่ได้ปฏิญาณกรรมฐานกันเอาไว้ อย่างชนิดที่คนรุ่นหลังก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงได้มอบกายถวายชีวิตกันให้ได้ขนาดนั้น..!?
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)