เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 มีนาคม 2022.

  1. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพได้ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ของคุณแม่เลี้ยง รอดภัย ที่วัดกุฏิ หมูที่ ๕ ตำบลบางเค็ม อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี มีบางเรื่องที่อยากจะนำมาบอกกล่าวในที่นี้

    เรื่องแรกก็คือว่ากระผม/อาตมภาพได้แม่ใหม่มา ๑ คน ก็คือคุณแม่เลี้ยง รอดภัย ผู้วายชนม์ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ทางด้านเจ้าภาพได้นิมนต์ให้กระผม/อาตมภาพไปยืนแจกวัตถุมงคลที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ให้แก่บรรดาแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานในวันนี้ ที่ถูกต้องแล้ว บุคคลที่แจกของที่ระลึกในงานศพ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า "ของชำร่วย" นั้น ควรที่จะเป็นลูกหลานของผู้ตาย เพื่อที่จะได้กล่าวขอบคุณต่อแขกผู้มีเกียรติซึ่งเมตตามาร่วมงาน

    แต่ในเมื่อได้นิมนต์ให้กระผม/อาตมภาพเป็นผู้แจกแทน กระผม/อาตมภาพก็เสียเวลาไปคัดค้าน เนื่องเพราะว่าการมีญาติเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งย่อมดีกว่าไม่มี อยู่ ๆ ก็ได้แม่เพิ่มขึ้นมาฟรี ๆ ๑ คน ถึงแม้ว่าจะเสียชีวิตแล้ว ก็ถือว่ายังเป็นกำไรมากโขอยู่ จึงยืนแจกวัตถุมงคลให้แก่ญาติโยมจนกระทั่งหมดถึงคนสุดท้าย และวัตถุมงคลเป็นชิ้นสุดท้ายหมดลงพอดี

    ในระหว่างที่กำลังรอเพื่อที่จะรับไฟพระราชทานหรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า "กล่องเพลิงพระราชทาน" นั้น ก็ได้เห็นโยมท่านหนึ่งที่มาร่วมงาน มีความรู้สึกแวบขึ้นมาว่า เหมือนกับท่านอาจารย์ ดร.อัมพร ทองเหลือง อดีตอาจารย์ของวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ ซึ่งได้เสียชีวิตและเผาไปแล้ว

    ทันทีที่คิดว่าเหมือนกับท่านอาจารย์ ดร.อัมพร ทองเหลือง ท่านอาจารย์ก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีทันใด เยื้อง ๆ ไปทางด้านขวามือ มาในชุดขาวสว่างไสวมาก ก็เลยถามว่า "ท่านอาจารย์มาได้เร็วทันใจขนาดนี้ ตอนนี้อยู่ที่ภพภูมิไหน ?" ท่านอาจารย์ดร.อัมพร ทองเหลืองบอกว่า "อยู่ที่สวรรค์ชั้นยามา"

    เมื่อถามต่อไปว่าท่านอาจาย์ไปด้วยบุญอะไร ? ท่านบอกว่า ก่อนที่จะเสียชีวิต บรรดาพระภิกษุทั้งที่เป็นเพื่อนอาจารย์ และที่เป็นลูกศิษย์ได้พากันไปเจริญพระพุทธมนต์ให้ กำลังใจเกาะตรงจุดนั้น เมื่อเสียชีวิตแล้วจึงมาเป็นนางฟ้าอยู่ที่ชั้นยามา เสวยสุขอยู่ตามอัตภาพของตน

    ตรงจุดนี้ก็เป็นที่น่าคิดว่า โบราณของเรานิยมมีการ "สวดต่อนาม" ให้แก่คนป่วยหนัก บางท่านเมื่อตั้งใจฟังสวด ก็กลายเป็นว่าหายป่วยหายไข้ แข็งแรงขึ้นมาได้ บางท่านที่ไม่ได้ตั้งใจฟังสวดลักษณะนั้น แต่ว่าสภาพจิตเกาะเสียงพระสวดอยู่ เมื่อเสียชีวิตไปก็ได้ไปสุคติ คือภพภูมิที่ดีได้
     
  3. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    แม้กระทั่งเมื่อตอนที่พระคิริมานันทะท่านป่วย แล้วพระอานนท์ขออนุญาตองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเยี่ยม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้สอนคิริมานนทสูตรให้พระอานนท์ ไปสวดสาธยายให้พระคิริมานันทะได้ฟัง ทำให้พระคิริมานันทะหายจากอาการป่วยไข้ได้ ตรงจุดนี้มีหลักฐานยืนยันชัดเจนอยู่ในพระไตรปิฎก

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การ "สวดต่อนาม" ที่บางท่านเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ความจริงแล้วแฝงไว้ด้วยสิ่งที่ดีงามเป็นจำนวนมากมายมหาศาลเลยทีเดียว

    เรื่องต่อไปที่จะนำมาบอกกล่าวเล่าในที่นี้ก็คือว่าบรรดาลูก ๆ ของคุณแม่เลี้ยง รอดภัยนั้น เป็นครูไปเกือบหมด และที่สำคัญก็คือเป็นครูนาฏศิลป์ เนื่องจากว่าในอดีตคุณแม่เลี้ยง รอดภัย นั้นเป็นเจ้าของวงพิณพาทย์ จึงทำให้ลูก ๆ ซึมซับเอาตรงจุดนี้มา และเมื่อเข้าศึกษาก็เลยศึกษาทางด้านนาฏศิลป์กันเสียเป็นส่วนใหญ่
    ลูกชายท่านหนึ่งเป็นอาจารย์อยู่ที่วิทยาลัยนาฏศิลป์พัทลุง ลูกชายอีกท่านหนึ่งสอนอยู่ที่วิทยาลัยนาฏศิลป์นครศรีธรรมราช ส่วนคุณครูวารุณี พรมฝ้าย ที่เป็นลูกสาวคนเล็ก เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งกระผม/อาตมภาพเป็นประธานสภาวัฒนธรรมอยู่ ท่านก็เป็นครูผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สอนวิชานาฏศิลป์ให้แก่เด็กนักเรียน และสามารถประยุกต์วิชาการทั้งหลายเหล่านี้ให้กับท้องที่ท้องถิ่น คิดเอาท่ารำและการแสดงใหม่ ๆ ออกมามากมาย

    ในวันนี้ด้วยความที่ลูกเป็นครูนาฏศิลป์หลายคน ก็เลยมีการแสดงโขนสดหน้าไฟตอน "พระรามตามกวาง" ก็คือเมื่อทศกัณฐ์อยากจะได้นางสีดา ก็เลยให้มารีศไปแปลงกายเป็นกวางทอง ไปหลอกให้นางสีดาเห็นแล้วชอบใจ ขอให้พระรามช่วยจับมา จะได้เลี้ยงเอาไว้

    เมื่อพระรามเสียอ้อนวอนของนางสีดาไม่ได้ ก่อนที่จะตามกวางไป ก็มอบหมายให้พระลักษณ์คอยเฝ้าดูแลนางสีดาอยู่ แต่ว่าเมื่อตามไปแล้วได้แผลงศรถูกกวางมารีศที่เป็นยักษ์แปลงมา กวางมารีศก่อนที่จะเสียชีวิตก็ตะโกนเป็นเสียงของพระรามว่า " ลักษมัณ..ช่วยพี่ด้วย..!" เมื่อเสียงนี้ดังไปถึง นางสีดาก็รีบไล่พระลักษณ์ให้ตามไปช่วยพระราม

    พระลักษณ์คัดค้านว่าพระรามนั้นเป็นพระนารายณ์อวตารมา ไม่มีใครสามารถที่จะทำอันตรายได้ แต่ว่านางสีดาไม่ฟังเสียง เมื่อโดนตำหนิด่าว่ารุนแรง พระลักษณ์ก็เลยสั่งเอาไว้ว่า ให้นางสีดาอยู่ ณ ที่นี้ อย่าออกไปไหน ถึงมีใครมาก็อย่าได้ต้อนรับ จนกว่าที่พระรามและตนเองจะกลับมา แต่เมื่อพระลักษณ์คล้อยหลังไป ทศกัณฐ์ก็แปลงเป็นพระฤๅษีมา ด้วยความเคารพในนักบวช ทำให้นางสีดาเปิดบรรณศาลาออกมาต้อนรับ จึงโดนทศกัณฐ์ที่แปลงเป็นพระฤๅษีขโมยตัวไปได้
     
  4. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เรื่องราวตอนนี้ เชื่อว่าท่านที่ศึกษาวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์มาก็รู้อยู่ทุกคน แล้วกระผม/อาตมภาพนำมาบอกกล่าวเพื่ออะไร ? ที่อยากจะบอกกล่าวนี้ ไม่ได้บอกกล่าวแค่ญาติโยมทั้งหลาย แต่อยากจะบอกกล่าวไปถึงวิทยาลัยนาฏศิลป์จังหวัดต่าง ๆ ทุกแห่ง บอกกล่าวไปถึงสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ บอกกล่าวไปถึงกรมส่งเสริมวัฒนธรรม บอกกล่าวไปถึงกระทรวงวัฒนธรรมว่า การแสดงโขนตอนพระรามตามกวางนั้น ผิดจากความเป็นจริงอย่างใหญ่หลวง

    เนื่องจากว่าโขนที่คนทั้งหลายไปดูนั้น นอกจากท่าเต้นท่ารำอันงดงามแล้ว ส่วนหนึ่งที่ไปดูก็คือความอลังการของเครื่องทรงต่าง ๆ แค่มงกุฎอย่างเดียวก็มีสารพัดสารพันแบบ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีความคล่องตัวและเชี่ยวชาญจริง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่ามงกุฎนี้บุคคลใดสวมใส่

    คราวนี้ความอลังการในเครื่องทรงก็เลยทำให้โขนทั้งหลายนั้น ส่วนหนึ่งขายท่ารำอันงดงาม ส่วนหนึ่งขายเครื่องทรงอันอลังการ อีกส่วนหนึ่งขายเสียงขับร้อง อีกส่วนหนึ่งขายเทคนิคแสงสีเสียงต่าง ๆ

    แต่ว่าการขายเครื่องทรงนั้นเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เหตุเพราะว่าพระราม พระลักษณ์ และนางสีดานั้น ออกไปถือเพศเป็นนักพรตในป่า แต่ว่านักแสดงแทนที่จะใส่ชุดขาว หรือว่าชุดสีกรัก หรือว่านุ่งห่มหนังเสือในเพศของพระฤๅษีตามความนิยม ก็กลายเป็นว่าทรงเครื่องกษัตริย์ ทรงเครื่องนางกษัตริย์กันอย่างเต็มที่ ผิดไปจากความเป็นจริงอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะพระรามนั้น ถือศรติดพระหัตถ์อยู่ พระลักษณ์ก็ถือพระขรรค์ติดพระหัตถ์อยู่ ซึ่งไม่ใช่วิสัยของนักบวช..!

    ถ้าหากว่าการแสดงนั้น เราให้พระราม พระลักษณ์และนางสีดา นุ่งห่มผ้าลายหนังเสือ เมื่อนางสีดาขอร้องให้พระรามออกไปตามกวาง ก็ให้พระรามใช้บ่วงเถาวัลย์ในการคล้องกวางก็ได้ ไม่ใช่แผลงศรทำให้กวางมารีศเสียชีวิต ซึ่งการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้น ย่อมไม่ใช่วิสัยของนักบวช ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อนูปฆาโต ก็คือนักบวชต้องไม่เข่นฆ่า ไม่ทำร้ายใคร สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต การเบียดเบียนผู้อื่นย่อมไม่ใช่วิสัยของสมณะ
     
  5. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปให้ถูกต้องตามลักษณะวรรณคดี ก็ต้องไม่ขายความอลังการของเครื่องทรงกษัตริย์ แต่ว่าต้องขายความเป็นจริง ก็คือต้องอยู่ในชุดของนักบวช จะเป็นพระฤๅษีหรืออะไรก็ตาม และต้องไม่ถืออาวุธ คือพระแสงศร หรือว่าพระแสงขรรค์ติดไปในลักษณะอย่างนั้น

    ถ้าสามารถแก้ไขตรงนี้ให้เป็นไปตามความเป็นจริงได้ โขนละครของไทยเราก็น่าจะมีความก้าวหน้าไปอีกระดับหนึ่ง ไม่ใช่ขายจินตนาการและเครื่องทรงอย่างเดียว โดยลืมนึกถึงความเป็นจริงของเพศภาวะนักบวชไป

    ตรงจุดนี้ก็ขอมอบเป็นภาระของทางกระทรวงวัฒนธรรม เป็นภาระของทางกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และเป็นภาระของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ในการที่จะคิดค้นท่าโขนต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับเพศภาวะนักบวช ให้แก่พระราม พระลักษณ์ และนางสีดา ซึ่งในตอนนั้นถือเพศเป็นนักพรตอยู่

    ดังนั้น...ในส่วนนี้จะเป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ก็ตาม ก็ถือว่ากระผม/อาตมภาพได้พูด ได้บอกกล่าวในสิ่งที่สมควรแล้ว จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมที่ได้ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     

แชร์หน้านี้