เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๕
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 31 สิงหาคม 2022.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ต้องบอกว่าทุกวันพุธงานจะมาก แล้วถ้าเป็นวันพุธสิ้นเดือนก็ต้องจ่ายหนักมาก..!
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าทางวัดต้องจ่ายค่าสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนต้องจ่ายงวดละ ๘ ล้านบาท แล้วจ่ายค่าก่อสร้างตลาดชุมชนริมฝั่งแม่น้ำแควน้อยอีก งวดหนึ่งประมาณ ๒ ล้านเศษ แค่ ๒ รายการนี้ เดือนหนึ่งก็ตกประมาณ ๑๐ ล้านบาทเข้าไปแล้ว ถ้าเป็นพวกคุณก็เป็นลมตาย..!
เรื่องพวกนี้อย่างที่เมื่อวานที่กระผม/อาตมภาพได้กล่าวไปแล้ว ว่าเราต้องมีความมั่นใจ กระผม/อาตมภาพสร้างเกาะพระฤๅษีฯ ขึ้นมาจากพื้นดินเปล่า ๆ ใช้เวลาแค่ปีกว่า มีอาคาร ๑๐ กว่าหลัง รวมทั้งอาคารแทนโบสถ์ด้วย โดยที่พระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล พระน้องชายท่านเตือนว่า "หลวงพี่ครับ ถ้าเฝือนี่ติดหนี้หัวโตเลยนะครับ" คำว่า "เฝือ" ก็คือกำลังใจของเราผิดพลาด
แต่คราวนี้ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพ เป็นคนที่นอกจากช่างสังเกตแล้ว สิ่งหนึ่งประการใดที่ฝึกฝนอยู่ก็ยังซ้อมแล้วซ้อมอีก ย้ำแล้วย้ำอีก โดยเฉพาะสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านบอกเอาไว้ หลายอย่างเป็นเคล็ดลับในการปฏิบัติทิพจักขุญาณ แต่คนส่วนมากมักจะมองข้ามไป
อย่างเช่นที่ท่านบอกว่า "ให้เชื่ออารมณ์แรกที่เกิดขึ้น" พวกที่ได้ทิพจักขุญาณแล้วมาเสียตรงนี้ ร้อยละ ๘๐ - ๙๐ เลย..! ก็คือพอเกิดความรู้สึกขึ้น แล้วก็ "เอ๊ะ..จะใช่หรือ ?" เอ๊ะ..เมื่อไรก็เจ๊งเมื่อนั้น..! พอถึงเวลาเราเปลี่ยนแปลงไป ก็ปรากฏว่าผลออกมาตามความรู้สึกแรกจริง ๆ ดังนั้น..ตรงเรื่องของเคล็ดลับต่าง ๆ บางทีเราก็ต้องมีประสบการณ์ด้วยตนเอง จนกระทั่งจดจำได้
สมัยที่กระผม/อาตมภาพฝึกทิพจักขุญาณอยู่ ไม่ได้เหมือนกับที่พวกท่านฝึกนะครับ พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้กระผม/อาตมภาพไปนั่งข้างถนน หลับตาลง วางกำลังใจสบาย ๆ ในระดับที่จะรับรู้ทุกอย่างได้ พอเสียงรถยนต์วิ่งมา ให้ถามตัวเองเดี๋ยวนั้นเลยว่ารถยนต์คันนี้สีอะไร ? พอความรู้สึกมีคำตอบขึ้นในใจ ให้จดใจไว้แล้วลืมตาขึ้นมาดู จะพิสูจน์ได้ในระยะเวลาแค่ไม่กี่นาที หรือไม่กี่วินาที ถ้าถูกให้จดจำอารมณ์นั้นไว้ ถ้าผิดให้ลืมเสียแล้วเริ่มต้นใหม่
ถ้าหากว่าทายถูกประมาณ ๘ ใน ๑๐ คันแล้ว ให้เพิ่มรายละเอียดว่า รถยนต์คันนั้นสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ?
เมื่อถูกถึงขนาด ๘ ใน ๑๐ คันแล้วก็เพิ่มรายละเอียดเข้าไปอีกว่ารถยนต์คันนั้นสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ? แต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีอะไร ? อย่าคิดว่ายุ่งยากนะครับ ความเป็นทิพย์นี่เร็วมหาศาลเลย แค่ช่วงการรับรู้ไม่ถึงวินาทีนี่ บางทีอธิบายออกมาได้หลายหน้ากระดาษ..!
จนกระทั่งท้ายสุดรถยนต์คันนั้นสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ? ผู้หญิงกี่คน ? ผู้ชายกี่คน ? แต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีอะไร ? แม้กระทั่งเลขทะเบียนอะไรก็บอกถูก..! -
เพียงแต่ว่าถ้าพวกท่านจะฝึกจริง ๆ ขอให้อยู่คนเดียวนะครับ ของกระผม/อาตมภาพกองเชียร์เยอะ อย่างพวกเจ๊เกียง (นางสาวมาลินี ตีรเลิศพานิช) เจ๊นี๊ (นางสาวสุมาลี ตีรเลิศพานิช) พอถึงเวลา ๗ คน ๘ คน อยู่ข้างหลัง ทายถูกปุ๊บก็เฮ ตบมือชอบใจ ถ้าสมาธิไม่ดีนี่พังฉิบหายตั้งแต่แรกเลย..!
ในเมื่อมีการซักซ้อมแบบนั้น จนกระทั่งจำแม่นว่าอารมณ์อะไรที่ใช่ วางกำลังใจแบบไหนถูก แบบไหนไม่ถูก แล้วค่อยไปลองอย่างอื่น ก็เปลี่ยนจากการรู้เรื่องพวกนี้ไปดูใจชาวบ้านเขา แต่จนกระทั่งทุกวันนี้ กระผม/อาตมภาพเองก็นั่งเซ็ง ๆ อยู่ ก็คือพอพูดอะไรไป ไอ้พวกเราก็จะไปว่าใครฟ้อง ? "หลวงพ่อไม่อยู่ รู้ได้อย่างไร ?" ไม่ได้คิดในแง่ดีเลย กลายเป็นไปจับผิดคนอื่นเพิ่มขึ้นอีก..!
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ของแปลก ในสมัยพุทธกาลเขาทำกันได้จนกระทั่งเป็นสาธารณะ แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ คนที่ทำได้ก็มีมากต่อมากด้วยกัน เพียงแต่เขาไม่ได้มาแสดงให้พวกเราดู เนื่องจากว่าบุคคลที่รู้จริง จะต้องรู้ด้วยว่าสามารถแสดงออกได้เท่าไร สามารถพูดได้เท่าไร บางทีกระผม/อาตมภาพไปเจอที่ญาติโยมส่งมาในกลุ่มไลน์ เห็นแล้วจะเป็นลม..! คือบ้านเรา "ไอ้พวกโง่แล้วขยัน" มีมากเป็นพิเศษ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องอะไรมา ด้วยความสามารถระดับของท่านจะพอเหมาะ พอดี พอควร ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าเราไปเติมก็เกิน ถ้าตัดก็ขาด อย่างเช่น ท่านเล่าเรื่องอดีตชาติให้ฟัง ก็จะมี "ไอ้ควายพวกนี้" ไปฟันธงออกโซเชียลว่า หลวงพ่อเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นพระองค์นี้ นี่ถ้าหลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ กระผม/อาตมภาพรับประกันว่าได้รางวัลแน่นอน..! เพราะว่าเท่ากับละเมิดเบื้องสูง ไปดึงฟ้าต่ำ หาเรื่องเดือดร้อนเพราะมาตรา ๑๑๒ ให้ท่าน..!
หรือไม่ที่กระผม/อาตมภาพเล่าเรื่องพระองค์ที่ ๑๐ พระองค์ที่ ๑๑ ก็มี "ไอ้โง่บางคน" ไปบอกว่า พระพุทธเจ้าเหยียบรอยเท้าบนผ้าขนหนูประทานให้ แล้วคุณคิดว่าคนทั้งโลกจะคิดไหมว่าพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ?
เรื่องบางเรื่อง คนทั่วไปเขารับไม่ได้ไม่พอ ยังจะปรามาสพระรัตนตรัยอีก แล้วเราเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองทำไปแล้วจะก่อทุกข์ก่อโทษให้คนอื่นมากมายเท่าไร ในเมื่อไปฟันธงอย่างชัดเจน ทั้ง ๆ ที่คนอื่นพูดไว้พอดี พอเหมาะ พอควร แต่ดันไปเติมเข้าก็กลายเป็นเกิน แล้วก็ยังทะลึ่งภูมิใจอีกว่า "กูรู้" แล้วก็รีบบอกคนอื่น อวดโง่ชัด ๆ...!
ฉะนั้น...หลายต่อหลายเรื่อง ก่อนที่เราจะนำลงโซเชียล โปรดพินิจพิจารณาให้รอบคอบ ว่าจะสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับคนอื่นมากมายแค่ไหน -
วันนี้กระผม/อาตมภาพได้เซ็นอนุญาตให้ Pada ชื่อจริงก็คือนางสาวฌานิยา ลิขิตกุล นำเอาเนื้อหาเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเทศน์ การเขียนในเว็บวัดท่าขนุน ไปเผยแพร่ได้ แต่ต้องไม่เป็นไปเพื่อการพาณิชย์
แต่ก็ยังมีหลายคนที่พยายามอวดฉลาดว่า กระผม/อาตมภาพบอกกล่าวไว้นานแล้วว่าเรื่องของธรรมะไม่หวง ใช่...ไม่หวง แต่มึงควรที่จะมีมารยาทบ้างไหม ? ไม่ใช่ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้เขาไม่หวงของในบ้าน แล้วมึงก็เดินเข้าไปหยิบใช้สบายใจเฉิบ ช่วยบอกสักคำได้ไหม ? ความมีมารยาท ความมีกาลเทศะ ไปอยู่ที่ไหนหมด ?
โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพไม่หวง แต่ไม่ใช่ว่าผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการเปิดเว็บเพจ เปิดเฟซบุ๊ก เปิดเว็บไซต์ เขาจะไม่หวงไปด้วย เพราะถ้าหากว่ากิเลสเท่ากัน หรือกิเลสมากกว่าคุณ คุณอาจจะเดือดร้อน ก็เลยเอาตัวอย่างที่ทางวัดท่าขนุนขออนุญาตนำเรื่องของท่านอาจารย์วศิน อินทสระก็ดี ท่านอาจารย์แสง จันทร์งามก็ดี มาลงในเว็บไซต์วัดท่าขนุนว่า เรามีการทำหนังสือขออนุญาต เมื่อได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องแล้ว ยังต้องมีหนังสือขอบคุณอีกต่างหาก
เรื่องพวกนี้เป็นมารยาทในสังคม ถ้าคุณจะไปอ้างว่า คุณอยู่ในสังคมโดยไม่ต้องใช้มารยาทก็ได้ ผมเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าคุณเป็นผู้ปฏิบัติธรรมจริง คุณมาสนใจอะไรกับมารยาทของผม ไอ้นั่นก็ควายอีก..! ก็ในเมื่อเราอยู่ร่วมกับคนอื่น แล้วดันไปทำตัวเป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่น
อย่างบางคน พ่อท้วงบอกว่าผมยาวเกินไป ไปตัดผมซะบ้าง ก็ยังอุตส่าห์เถียงพ่อว่า "ผมอยู่บนหัวของผม พ่อเป็นนักปฏิบัติธรรม มายุ่งอะไรกับตัวผมด้วย" ลักษณะอย่างนี้เขาเรียกว่าปล่อยวางแบบวางลงบนกบาลคนอื่น..!
ตราบใดที่ตัวคุณยังอยู่ในสังคม ก็โปรดเกรงใจสังคมเขาบ้าง ไม่ใช่ว่านึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจตัวเอง การทำตามใจตัวเองโดยไม่ดูกาลเทศะ ก็มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเอง
โดยเฉพาะสมัยนี้พวกเกรียนคีย์บอร์ดมีเยอะ แสดงความคิดเห็นอะไรผิดพลาดหน่อยเดียว ก็โดนถล่มจนไม่มีที่จะไป แล้วมาคุยว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม แต่กำลังใจหยาบจนไม่รู้ว่ากาย วาจา ใจ ตัวเองเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเท่าไร คิดอยู่อย่างเดียวว่ากูทำแบบนี้แล้วถูก
ตราบใดที่เรายังสร้างกรรมอยู่ การที่จะตัดวิบากกรรม เพื่อที่จะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เป็นเรื่องที่ยากมาก จึงต้องพยายามลดกรรมใหม่ให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะได้มีเวลาชดใช้กรรมเก่า ไม่ใช่สร้างหนี้เพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน
ถ้าหากว่าเราหยุดสร้างกรรมใหม่ ขัดเกลาจิตใจของเราที่มืดบอดด้วยกรรมเก่า ทำไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดดวงจิตก็ผ่องใสพอที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล ไม่ใช่มีแต่ กาย วาจา ใจ เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นตลอด แล้วไปหวังมรรคหวังผล จะบอกว่าชาติหน้าบ่าย ๆ จะได้ก็เกรงใจ น่าจะนานกว่านั้นมาก..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกเล่าแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)