เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 9 ตุลาคม 2024.

  1. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันพระขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ วันพระต่อไปก็คือออกพรรษา ระยะเวลาแต่ละปีผ่านไปเร็วมาก แต่ว่าหลายคนก็ยังคงทำตัวเหมือนอย่างกับ "หายใจทิ้ง" ก็คือไม่ได้คิดที่จะเร่งรัดอะไรตนเองเลย

    ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นงานทางใจก็ดี หรือว่าในเรื่องของการงานอื่น ๆ ก็ตาม ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียรทั้งสิ้น ถึงจะประสบความสำเร็จ ไม่มีใครที่อยู่เฉย ๆ แล้วความสำเร็จจะปรากฏขึ้นมาเอง พูดง่าย ๆ ว่าถ้าหากว่าขยัน โอกาสประสบความสำเร็จจะมีมากกว่า แต่ว่าพวกเราโดยส่วนมากแล้วก็ขี้เกียจ

    สมัยก่อนหลวงตามหาบัว ท่านบอกว่า "เหมือนกับหมูพาดเขียง" ก็คือหมูเดินมาเจอเขียงอยู่ก็นอนหนุนเขียงเลย สบายมาก ไม่รู้ว่าจะโดนเขาเชือดเมื่อไร ?! หรือถ้าหากว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า "พวกเราเหมือนอยู่บนเรือนที่ไฟกำลังไหม้" ก็คืออยู่ในบ้านที่ไฟไหม้อยู่ จะเร่งหนีออกจากบ้านหรือว่าจะนอนสบายต่อไป รอให้ไฟเผาตายก็ตามใจแต่ละคน..!

    อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะต้องเตรียมงาน ไม่ว่าจะเป็นการออกพรรษา ตักบาตรเทโว หรือว่าทอดกฐิน ในเรื่องของงานต่าง ๆ นั้น ต้องการ "การสื่อสาร" หรือว่า "การประสานงาน" ไม่ใช่รอให้คนอื่นเข้าใจว่าเราต้องการอะไร พูดง่าย ๆ ก็คือต้องรู้จักพูด รู้จักบอก รู้จักกล่าว แต่ไม่ใช่เรียกร้องให้คนอื่นมาบริการเราอยู่คนเดียว

    หลายคนเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ประมาณว่า "กูต้องการอะไร คนอื่นต้องรีบทำให้" ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนก็งานเต็มมือเหมือนกัน แล้วพอไม่ได้อย่างใจก็โกรธ ไม่พอใจคนโน้น ไม่ชอบใจคนนี้ เพราะว่าเขาไม่ทำอย่างที่เราต้องการ ขอให้เข้าใจว่าบุคคลที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางนั้น ก็คือคนที่แบกตัวกูของกูเอาไว้อย่างเต็มที่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรม โอกาสที่จะเอาดีได้นั้นมีน้อยมาก เพราะว่าแทนที่เราจะ ลด จะละ จะเลิก ก็กลายเป็นเราไปแบกหนักขึ้นทุกวัน..!
     
  3. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ถ้าเอาอย่างหลวงปู่โรเบิร์ต สุเมโธ ปัจจุบันนี้ท่านเป็นเจ้าคุณชั้นพรหมที่พระพรหมวชิรญาณไปแล้ว ท่านบอกว่า "มีแต่ขี้ทั้งนั้น" เพียงแต่ว่าท่านพูดแบบฝรั่งพูดไทย น่าจะไม่ชัดเหมือนที่กระผม/อาตมภาพมาทวนคำให้

    ก็คือแต่ละคนโกยเอา ขี้รัก ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เอาไว้เต็มตัว แล้วก็แบกขี้ไปอวดคนอื่น ไม่ได้คิดที่จะสลัดทิ้งเสียที กลายเป็นว่าเราเห็นว่าขี้เป็นของดี แล้วก็แบกไปอวดชาวบ้านเขา..! บางทีกระผม/อาตมภาพเองก็ยังทึ่งว่าหลวงปู่ท่านเป็นฝรั่ง แต่ว่าปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งมาก แล้วแต่ละอย่างที่ท่านพูด ที่ท่านเปรียบเทียบออกมา คนไทยได้ยินแล้วมีสะดุ้ง..!

    ดังนั้น..การทำงานทุกอย่างต้องการการสื่อสารที่ชัดเจน อย่าให้คนอื่นตรัสรู้เองว่าเราต้องการอะไร หรือว่าอย่ารอให้คนอื่นมาบริการเราเอง ทุกอย่างต้องทำหน้าที่ของตนให้เต็มที่ไปก่อน ถ้าคนอื่นเขาว่างหรือว่าเขามีน้ำใจ เขาจะมาช่วยเอง ถ้าเขาไม่ว่างหรือไม่มีน้ำใจ ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องไป "แบกขี้" เอาไว้..!

    ถ้าเราไปคิดว่างานทุกอย่างเป็นของเราก็จบ ตั้งหน้าตั้งตาทำให้เสร็จไป ใครมาช่วยก็ขอบคุณเขาที่อุตส่าห์มาช่วย ถึงเขาไม่ช่วยเราก็ต้องทำจนกว่างานนั้นจะสำเร็จ ไม่ใช่แต่งานทางโลกเท่านั้น งานทางธรรมยิ่งต้องกระทำด้วยตนเองหนักกว่าทางโลกหลายเท่า..!

    เนื่องเพราะว่า
    ในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องทำเองถึงจะเกิดผล จะใช้ให้คนอื่นรักษาศีลแล้วเราเองจะได้อานิสงส์ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ใช้ให้คนอื่นเจริญสมาธิภาวนา แล้วกิเลสของเราจะสงบลง ก็เป็นไปไม่ได้ ให้คนอื่นเขาคิดพิจารณาจนกระทั่งถอนจิตออกจากการยึดมั่นถือมั่น แล้วตัวเราเองจะถอนออกมาได้ด้วยก็เป็นไปไม่ได้

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธเย ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของจำเพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำอีกบุคคลหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่ พูดง่าย ๆ ว่าเหมือนกับหิวข้าวก็ต้องกินเอง ให้คนอื่นเขากินแทนแล้วเราจะอิ่มย่อมเป็นไปไม่ได้
     
  4. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    คราวนี้เหลือระยะเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน ประมาณอาทิตย์เดียวจะออกพรรษาแล้ว หลายท่านก็ "ออกอาการล้า" พูดง่าย ๆ ว่าสิ่งที่เคยทำอย่างเข้มแข็งตั้งแต่วันเข้าพรรษาแรก ๆ มา ถึงตอนนี้ก็เริ่มปล่อยปละละเลย แล้วถ้าท่านทั้งหลายที่เป็นพระใหม่ออกอาการล้า แล้วพระเก่าที่ท่านอยู่กันมาเป็นสิบ ๆ พรรษา เขาไม่ล้ากันหมดแล้วหรือ ?

    เรื่องพวกนี้ความจริงแล้วแก้ไขง่ายมาก ก็คือเร่งในการปฏิบัติสมาธิภาวนา ถ้าสามารถทรงฌานได้เท่านั้น ท่านจะหายจากการล้าทั้งหมด เนื่องเพราะมองเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า สมาธิภาวนามีคุณความดีอย่างไร ? ช่วยในการดับกิเลสชั่วคราวได้อย่างไร ? ช่วยหนุนเสริมในการใช้ปัญญาตัดกิเลสอย่างแท้จริงได้อย่างไร ? แต่ว่าพวกเรานอกจากไม่เพียรพยายาม บุคคลที่เพียรพยายามบางทีก็ใช้ความเพียรในทางที่ผิด แทนที่จะดูที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเอง เรากลับไปจ้องจับผิดคนอื่น..!

    พระบาลีกล่าวไว้ชัดเจนว่า อัตตนา โจทยัตตานัง เราต้องกล่าวโทษโจทย์ตนเองไว้เสมอ ถ้าเป็นหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกว่า "อย่าคิดว่าตนเองดีแล้วเป็นอันขาด คนไหนคิดว่าตนเองดีแล้ว คนนั้นระยำที่สุด..!" เหตุเพราะว่า เมื่อคิดว่าดีแล้วก็ไม่ขวนขวายที่จะทำให้ดียิ่งไปกว่านั้น

    เรื่องพวกนี้ความจริงทุกคนเคยได้ยินมา เคยผ่านหูผ่านตามาทั้งนั้น แต่ว่าพอถึงเวลาแล้วกิเลสก็มีอำนาจมากกว่า ชวนให้ไปกินเราก็กิน ชวนให้ไปนอนเราก็นอน แต่พอถึงเวลาเราชวนมาสวดมนต์ ทำวัตร เจริญกรรมฐาน มันไม่อยากจะมา..! แล้วท่านคิดว่าพรรคพวกในลักษณะนี้ยังจะคบได้หรือไม่ ?

    เรื่องของการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราอยู่รอด ก็คือช่วยเสริมสร้างกำลังใจของเราให้เข้มแข็งขึ้น ต่อสู้กับกิเลสได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น แต่เรากลับไม่ขวนขวายที่จะทำให้ดี เหมือนอย่างกับข้าศึกตีเมืองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แทนที่เราจะเสริมสร้างกำแพงให้แข็งแกร่ง ก่อกำแพงให้สูงยิ่งขึ้น สรรหาอาวุธมาต่อสู้กิเลสให้มากขึ้น เรากลับไปอยู่เฉย ๆ รอเวลากิเลสตีเมืองให้แตก ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นโอกาสที่จะโดนข้าศึกเข่นฆ่าสังหาร ก็มีมากกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..!
     
  5. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ถ้าหากว่ากระผม/อาตมภาพเองล้าเหมือนกับทุกคน ถึงเวลาท่านก็จะไม่เห็นว่าตอนช่วงเช้ากระผม/อาตมภาพมาเจริญกรรมฐานแล้ว แต่นี่บางทีมาแล้วก็มีพวกท่านอยู่แค่คนสองคน กว่าที่จะมาพร้อม บางทีเสียงตามสายเกือบจะจบแล้ว หรือจนกระทั่งทำวัตรเสร็จ ที่นั่งก็ยังว่างอยู่มากมาย

    ถ้าเป็นสมัยอยู่ที่วัดท่าซุง โดน "ไอ้ท่านทหาร" ประจานแน่นอน เพราะไอ้เจ้านั่นเป็นหมาขยัน ถึงเวลาก็ไปทำวัตร สวดมนต์ เจริญภาวนา ตรงไหนที่ว่างเพราะว่าพระเจ้าของที่นั่งไม่มา เจ้าทหารก็จะไปนั่งเกาขี้กลากประจานอยู่ตรงนั้น ก็คือไปทำให้ดูว่า "กูเป็นหมาแท้ ๆ ยังขยันกว่าอีก..!"

    หรือไม่ท่านทั้งหลายก็สังเกตดูว่า "แก๊งหมาหน้ากุฏิ" ของกระผม/อาตมภาพ จะวิ่งมาถึงศาลาก่อนเวลาเสมอ ไม่ใช่มาเพราะว่า
    กระผม/อาตมภาพนำแล้วตามมา แต่ว่ามากันเอง เขารู้แค่ว่าระยะเวลานี้ ถ้ามานอนบริเวณนี้เขาจะสงบ จะมีความสุข เขาก็มากันเองโดยอัตโนมัติ แต่ว่าเราเป็นมนุษย์ เป็นพระภิกษุสามเณร เป็นแม่ชี เป็นฆราวาสนักปฏิบัติธรรม จิตสำนึกยังสู้หมาไม่ได้..! ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

    เพราะฉะนั้น..โอกาสของเราที่บางคนตั้งกำลังใจไว้ว่า "ในช่วงพรรษาจะปฏิบัติให้เต็มที่" เผลอหน่อยเดียวไม้เอกหล่นหายเหลือแค่ "เต็มที" ก็ให้ตั้งกำลังใจเสียใหม่ เหลือเวลาอีกแค่ ๘ - ๙ วันเท่านั้น แต่ความจริงจะใช้คำว่าเท่านั้นก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราเร่งรัดปฏิบัติแบบทุ่มเทจริง ๆ ๘ - ๙ วันก็เห็นหน้าเห็นหลังแล้ว
    กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่หวังว่า วันนี้ท่านทั้งหลายฟังไปแล้วจะได้สำนึกกันบ้างว่า ตัวเราอยู่ในบ้านที่กำลังไฟไหม้ ควรที่จะรีบเร่งรัดหนี หรือจะปล่อยให้ไฟเผาตายไปอีกชาติหนึ่ง ก็แล้วแต่จะตัดสินใจกันเอง..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     

แชร์หน้านี้