เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๔
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 ธันวาคม 2021.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ หลายวันที่ผ่านมาขาดบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนไป ก็ด้วยเหตุว่ามีงานข้างนอกต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคล
คราวนี้ภายในงานนั้น มีหลายอย่างที่รับรู้มาแล้วก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง อย่างเช่นหลายวัดไปเข้าใจว่า ถ้าจะสร้างรูปสมเด็จองค์ปฐม ต้องขออนุญาตจากกระผม/อาตมภาพก่อน กระผม/อาตมภาพก็สงสัยว่าเขาเข้าใจอย่างนั้นไปได้อย่างไร ? เพราะไม่ว่าอย่างไรกระผม/อาตมภาพก็คงไม่มีปัญญาเป็นเจ้าของสมเด็จองค์ปฐมได้ แม้แต่ฝุ่นใต้พระบาทของพระองค์ท่าน ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็น แล้วจะมีสิทธิ์อะไรไปอนุญาตให้คนอื่น สร้างหรือไม่สร้างรูปของพระองค์ท่าน ???
ก็มีอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าใครจะสร้างก็ต้องกราบขอพระบรมพุทธานุญาตจากพระองค์ท่านเอง ไม่ใช่มาขออนุญาตจากกระผม/อาตมภาพ เรื่องนี้ถ้าหากว่าเป็นมาถึงระดับนี้ ก็ "ไปไกล" เกินไปแล้ว แล้วทำไมคนเราถึงได้เข้าใจผิดไปไกลได้ขนาดนั้น ?
ดังนั้น...ขอย้ำไว้ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะพระภิกษุสามเณร แม่ชี ฆราวาส ในวัดท่าขนุนนี้ หรือว่าที่อื่นก็ตาม ถ้าจะสร้างรูปสมเด็จองค์ปฐม มีอย่างเดียวก็คือ กราบขอพระบรมพุทธานุญาตด้วยตัวเอง ไม่ใช่ขออนุญาตจากกระผม/อาตมภาพตรงนี้แล้วจะสร้างได้ เพราะว่ากระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะอนุญาตได้ เนื่องจากว่าแม้แต่ตนเองจะสร้าง ยังต้องขอแล้วขออีกกว่าที่พระองค์ท่านจะอนุญาต
ประการต่อไปก็คือ บรรดาเจ้าของสถานที่ต่าง ๆ ที่ไปบวงสรวงพุทธาภิเษก เขามักจะใช้คำว่า "ศิษย์เอกหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" ซึ่งถ้าหากว่าในความหมายนี้ก็คือ เป็นลูกศิษย์คนเดียวของหลวงพ่อวัดท่าซุง ซึ่งไม่ใช่ เพราะว่าสมัยที่กระผม/อาตมภาพอยู่กับหลวงพ่อท่านนั้น มีพระพี่พระน้องอยู่ถึง ๔๐ กว่ารูป แล้วกระผม/อาตมภาพเองก็แทบจะรั้งท้ายแถวสุด
ไม่ต้องเอาอะไรมากมาย เอาแค่ท่านทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง แล้วออกไปสร้างความเจริญในที่ต่าง ๆ กันไป ไม่ว่าจะเป็นตุ๊พ่อสิงห์ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ หลวงพ่อชลอ วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ หลวงพ่อวิรัช วัดธรรมยาน หรือเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย ก็ล้วนแล้วแต่อาวุโสกว่ากระผม/อาตมภาพทั้งนั้น
แม้กระทั่งเจ้าคุณหลวงตา ท่านก็ยังมากกว่ากระผม/อาตมภาพตั้ง ๔ พรรษา แต่ในสถานที่นั้น ๆ หรือว่าผู้ที่อยู่ในที่นั้น มักจะใช้คำว่าศิษย์เอกหลวงพ่อฤๅษีฯ หรือหลวงพ่อวัดท่าซุง ไอ้คำว่า เอก, เอกะ คือหนึ่งเดียว ซึ่งแค่ที่ยกตัวอย่างมา ก็รู้อยู่แล้วว่าเกินกว่าหนึ่งไปมาก
-
อีกส่วนหนึ่งก็คือ ไประบุชัด ๆ เลยว่ากระผม/อาตมภาพเป็นพระอรหันต์ ตรงนี้กระผม/อาตมภาพสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าบุคคลที่จะรู้ว่าคนอื่นเป็นอะไร อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับที่เท่ากันหรือสูงกว่า แล้วฆราวาสปุถุชนที่หนาไปด้วยกิเลส ศีลยังสู้พระทั่วไปไม่ได้เลย มารู้ได้อย่างไรว่ากระผม/อาตมภาพเป็นอรหันต์ ???
การที่จะเป็นหรือไม่เป็นพระอริยเจ้า ไม่ว่าในระดับพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีหรือว่าพระอรหันต์ อันดับแรกเลยก็คือ ระดับของเราต้องสูงกว่า ถึงจะรู้ได้ว่าท่านเป็นอะไร และอย่างน้อย ๆ เราต้องเป็นบุคคลอยู่ในประเภทวิชชา ๓ อภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔
ถ้าเป็นสุกขวิปัสสโกทั่วไป ต่อให้ท่านเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าผู้อื่นเป็นพระโสดาบันหรือเปล่า ? แล้วดันไปแสดงความโง่ประกาศออกมาชัดเจนขนาดนั้น ต้องบอกว่าเด็กทารกยังไม่ทันที่จะจบปริญญาตรีเลย ดันไปประกาศบอกว่า รู้ว่าคนอื่นจบปริญญาเอก ความรู้ของคุณเท่าเขาแล้วหรือ ?
อีกประการหนึ่งก็คือเรื่องของวัตถุมงคล โดยเฉพาะในส่วนของตะกรุดมหาสะท้อน กระผม/อาตมภาพโดนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งห้ามทำหลังจากที่ลูกศิษย์เอาไปใช้ผิด ทำให้มีคนตายติดต่อกันถึง ๒ คน ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าหากว่าวาระเหมาะสม ท่านจะอนุญาตเป็นคราว ๆ ไป
เพราะฉะนั้น...ไม่ว่าท่านจะสร้างตะกรุดมหาสะท้อนมาเข้าพิธีสักเท่าไร ก็ไม่ได้มีอานุภาพตรงนั้น เพราะว่าต่อให้กระผม/อาตมภาพเสกให้ตาย ถ้าหากว่าพระท่านไม่อนุญาตก็ไม่เป็นมหาสะท้อน..!
โดยเฉพาะตะกรุดมหาสะท้อนนั้น อันดับแรกเลยก็คือ ต้องสร้างด้วยวัสดุมีค่า อย่างน้อยก็ต้องเป็นเงิน หรือถ้ามากกว่านั้นก็เป็นนาก หรือเป็นทองคำเท่านั้น น้ำหนักอย่างน้อยต้อง ๑ บาทขึ้นไป ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้เป็นทองคำ เป็นนาก เป็นเงิน น้ำหนักไม่ถึง ๑ บาท ทำไปก็ไร้ประโยชน์ อย่าว่าแต่ท่านทั้งหลายไปทำด้วยตะกั่ว ทำด้วยทองเหลือง ทำด้วยทองแดงแล้วไปประกาศว่า "เป็นตะกรุดมหาสะท้อน หลวงพ่อเล็กเป็นคนเสกให้" ไปทดลองใช้ดูก็แล้วกันว่าความซวยจะมาเยือนหรือไม่ !? -
ตรงจุดนี้จำได้ว่ากระผม/อาตภาพก็ประกาศไปอย่างชัดเจนแล้ว แม้กระทั่งตุ๊พ่อสิงห์ที่กระผม/อาตมภาพเคารพท่านอย่างที่สุด ท่านทำตะกรุดมหาสะท้อน กระผม/อาตมภาพยังแจ้งไปว่า "ถ้าจะให้เป็นมหาสะท้อน ตุ๊พ่อก็ต้องเสกเอง เพราะว่าผมไม่ได้รับอนุญาต ผมทำไม่ได้" เพราะฉะนั้นของพวกนี้ ไม่ใช่ว่าท่านจะมาฉวยโอกาสว่ากระผม/อาตมภาพไปเสกให้ แล้วก็ทำสารพัดสิ่งของมาเข้าพิธี แล้วคิดว่าจะเป็นไปตามที่ท่านได้ "มโน" เอาเอง ขอบอกว่าสร้างมาได้ แต่ต้องการอานุภาพมหาสะท้อนนั้นไม่มีให้..!
เหตุที่พูดอย่างนี้ เพราะว่าโดยหลักการแล้วเป็นเช่นนั้นโดยตรง ไม่ใช่ว่าพูดเพราะว่าหวงวิชา หรือว่าหวงความรู้ หรือว่าสงวนเอาไว้เพื่อที่จะสร้างจำหน่ายในวัดตนเอง เพราะว่าตัวเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอยู่แล้ว ส่วนที่ทำไปก็แค่ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
อย่าลืมว่าวัสดุที่สร้างต้องเป็นเงิน เป็นนาก หรือเป็นทองคำ น้ำหนักบาทหนึ่งขึ้นไป ต่ำกว่านั้นก็ไม่เป็นมหาสะท้อน ดังนั้น...ไม่ต้องเสียเวลามาถามว่าพระที่เป็นหน้ากากเงิน หน้ากากนาก หน้ากากทองจะเป็นมหาสะท้อนหรือไม่ เพราะว่าเหรียญทั้งเหรียญน้ำหนักยังไม่ถึง ๑ บาท แล้วแค่หน้ากากจะเป็นไปได้อย่างไรว่าน้ำหนักถึงบาทหนึ่ง ??
เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าปล่อยให้ผ่านเลยไป ก็จะเละเทะไปเรื่อย แล้วก็จะเลอะเทอะหนักขึ้น จะมีคนฉวยโอกาสหาประโยชน์จากตรงนี้ เพราะว่าในงานล่าสุดที่ไปอธิษฐานจิตปลุกเสกมา วัตถุมงคลที่เข้าพิธีมีประมาณ ๒ คันรถสิบล้อ..! ซึ่งถ้าหากว่ากระจายออกไป ก็คือจะมีคนเป็นจำนวนมากที่ได้รับไป พอรับไปแล้วไม่มีอานุภาพตรงนั้น แล้วท่านไปเข้าใจว่ามี ถึงเวลาเอาไปใช้แล้วอานุภาพตรงนั้นไม่มี ความซวยอาจจะมาเยือนโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะถ้าไปทดสอบกับไสยศาสตร์..!
ในเรื่องของมหาสะท้อนนั้น ไม่ว่าผู้อื่นจะทำดีทำชั่วกับผู้ที่ใช้วัตถุมงคล ก็จะได้รับผลสะท้อนคืนทั้งหมด ทำดีกับเขาก็ได้ดีคืนไปหลายเท่า ทำชั่วกับเขาก็ได้ชั่วคืนไปหลายเท่า -
โดยเฉพาะส่วนที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือ ห้ามเข้าไปในที่คนหรือสัตว์กำลังจะคลอด เพราะว่ามหาสะท้อนคือย้อนกลับ จะทำให้คลอดไม่ได้ แล้วก็ไม่ต้องไปทดสอบ เพราะว่าเจอมาเสียจนกระทั่งเข็ดไปตาม ๆ กันแล้ว บางรายก็ไม่รู้ ถึงขนาดไปผ่าออกแล้วถึงได้มารู้ว่าตัวเองแขวนตะกรุดมหาสะท้อนไว้ทั้งผัวทั้งเมีย..! แล้วไอ้ผัวก็ทะลึ่งเข้าไปลุ้นในห้องคลอดอีกด้วย เมียจึงคลอดไม่ออกจนจะหมดแรงตาย ท้ายสุดต้องยอมให้หมอผ่า ถ้าหมอสมัยนี้ผ่าไม่เป็นก็ตายกันพอดี..!
อีกประการหนึ่งก็คือ ห้ามไม่ให้เด็กใช้อานุภาพของวัตถุมหาสะท้อน เหตุที่ห้ามไม่ให้เด็กใช้ในที่นี้ คำว่า เด็ก ก็คือเด็กที่ไม่รู้เดียงสา ไม่สามารถที่จะรักษาวัตถุมงคลได้โดยการระมัดระวังตนเอง เนื่องจากว่าผู้ใหญ่อาจจะลงโทษเด็ก ถ้าหากว่าเด็กมีวัตถุมงคลที่เป็นมหาสะท้อน ความซวยก็มาเยือนผู้ใหญ่โดยไม่รู้ตัว สมมติว่าตีเด็กไป ๑ ที ตัวเองอาจจะไปโดนกระทืบมา ๒๐ ตีน..! เป็นต้น
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่บอกให้ชัดเจนลงไป ยิ่งนานก็จะยิ่งเลอะเทอะไปเรื่อย แล้วโดยเฉพาะช่วงนี้ ชื่อของกระผม/อาตมภาพสามารถขายได้ในวงการวัตถุมงคล แล้วขายแพงมากด้วย..! ก็เลยทำให้มีคนฉวยโอกาสนิมนต์ โดยสร้างวัตถุมงคลมาเข้าพิธี แล้วก็อ้างว่า "พระอาจารย์เล็กหรือหลวงพ่อเล็กเสกให้เป็นมหาสะท้อนแล้ว" ก็ในเมื่อ "โดนยึดอาวุธ" แล้วถึงเวลาจะไปใช้อาวุธนั้นได้อย่างไร ?
จึงต้องแจ้งให้กับพระภิกษุสามเณร แม่ชี ฆราวาส ทั้งที่นี่ ที่อยู่ทางบ้าน หรือที่อยู่ต่างประเทศให้ทราบอย่างชัดเจนว่า สิ่งหนึ่งประการใดที่กระทำไปในเรื่องของวัตถุมงคล ถ้าหากว่าได้รับอนุญาตให้เป็นมหาสะท้อน ก็จะประกาศบอกอย่างชัดเจน ก็คือบอกออกจากปากของกระผม/อาตมภาพนี้เอง หรือว่ามีข่าวออกไปจากวัดท่าขนุนแห่งนี้ ไม่ใช่ไปออกจากปากของบุคคลหรือว่าเจ้าของวัดที่สร้างและนิมนต์ไปเสก
ก็ได้แต่หวังว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะได้ซา ๆ ลงไปบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วก็สงสารญาติโยมที่อยากได้วัตถุมงคลประเภทนี้ แล้วก็ไปเช่าบูชามา ถึงเวลาไม่มีอานุภาพอย่างที่ตนเองต้องการ ถ้าไปเจอพวกคะนองเอาไปทดสอบ ก็ต้องเตรียมรับผลการทดสอบของตนเองด้วย..!
ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)