เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๕
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 16 สิงหาคม 2022.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ปกติแล้วกระผม/อาตมภาพก็น่าจะกลับมาถึงวัดท่าขนุนเร็วกว่านี้ แต่ว่ารถมีปัญหา ต้องไปเข้าศูนย์ จึงทำให้กลับมาช้าไปหลายชั่วโมง
ทั้งในช่วงเช้าและเมื่อกลับมาแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้เข้าระบบ Zoom Meeting Online เพื่อร่วมงานสัมมนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา แต่คราวนี้หัวข้อเรื่องก็คือ "บทบาทของพระสงฆ์กับเทคโนโลยีในการต้านทุจริต" ซึ่งมาถึงตรงนี้ กระผม/อาตมภาพ เห็นว่าไปไกลเกินไป
เรื่องของเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ โลกต้องก้าวไปข้างหน้า แต่ว่าเราต้องใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา อย่างเช่นวัดท่าขนุน มีการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนออกอากาศจากทางช่องยูทูบทุกวัน นี่ก็เป็นการใช้เทคโนโลยีอย่างหนึ่ง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วพระภิกษุสามเณรทั่วไป ตลอดจนกระทั่งญาติโยม มักจะตกเป็นทาสของเทคโนโลยี แล้วก็มีจำนวนมากที่เป็นทาสแบบโงหัวไม่ขึ้นอีกด้วย..!
ดังนั้น...ในหัวข้อบทบาทของพระสงฆ์กับเทคโนโลยีในการต้านทุจริต จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาให้ดี การที่เราจะต้านทุจริตได้ อันดับแรกเลยก็คือ กำลังใจของเราต้องเข้มแข็งพอ ถ้ากำลังใจของเราเข้มแข็งไม่พอ ยังเป็นทาสของ รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ โอกาสที่จะเอาชนะความทุจริต ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ นั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้
ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ ก็แปลว่า ตัวเราเองยังไม่สามารถที่จะสั่งสอนตนเองให้สำเร็จลงได้ แล้วเราจะไปสั่งสอนญาติโยมได้อย่างไร ? ซ้ำยังต้องใช้เทคโนโลยีไปช่วยอีกต่างหาก
ถ้าเราดูบรรดาพระธรรมทูตรุ่นแรก ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งออกเพื่อประกาศพระพุทธศาสนา ทั้ง ๖๐ รูปคือพระอรหันต์ เป็นผู้ที่สามารถพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อประพฤติปฏิบัติแล้วจะมีผลอย่างไร ในเมื่อมีผลแล้ว ตนเองจะนำไปเผยแผ่อย่างไร เป็นเรื่องที่ทุกท่านชัดเจนและทำได้อย่างเต็มกำลัง เพราะว่าไม่มีภาระแล้ว
อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มุตตาหัง ภิกขะเว สัพพะปาเสหิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อะหัง ตัวเรา มุตตะ พ้นแล้ว สัพพะปาเสหิ จากบ่วงทั้งปวง
เยจะ ทิพพา เยจะ มะนุสสา ทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์ แม้เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วเช่นกัน ดังนั้น...ภิกษุทั้งหลายขอพวกเธอจงเที่ยวไป เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก เพื่อความสุขของชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก
แต่เราจะเห็นว่าในปัจจุบันนี้ พระภิกษุสามเณรของเรา แม้ว่าจะศึกษาจนจบปริญญาเอก ก็ยังเป็นการศึกษาเพียงด้านเดียว ก็คือปริยัติธรรม แต่ในส่วนของการปฏิบัติ น้อยคนที่สามารถทำจนก่อประโยชน์ให้เกิดแก่ตนได้อย่างแท้จริง
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่าท่านทั้งหลายยังเป็นผู้ที่ต้องศึกษาอยู่ ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า เสขบุคคล ในเมื่อตนเองยังต้องศึกษาอยู่ แล้วจะให้ไปเผยแผ่หลักธรรมต่อผู้อื่น ความชัดเจนในหลักธรรมย่อมไม่มี นี่เป็นประการหนึ่ง -
ประการที่สอง กำลังใจมีเพียงพอหรือไม่ที่จะทำหน้าที่นั้น ๆ อย่างชนิดมอบกายถวายชีวิต ?
ประการที่สาม ถ้าใช้เทคโนโลยีแล้ว จะตกเป็นทาสของเทคโนโลยีหรือไม่ ? นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องคิดเลย รับประกันว่าร้อยละ ๙๙.๙๙ เสร็จหมด..!
ก็แปลว่า การต้านทุจริตศึกษา อันดับแรกเลยก็คือ ต้องใช้หลัก Inside Out ก็คือจากภายในไปสู่ภายนอก แปลว่าต้องขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเองจนเกิดผลก่อน แล้วถึงจะนำไปเผยแผ่ต่อผู้อื่น ซึ่งก็อาจจะมีคำถามว่า "จะช้าเกินไปหรือไม่ ?"
ถ้าหากว่าเราขัดเกลาจนกระทั่งเกิดผลแก่ตนเองแล้ว ไม่ถือว่าช้าเกินไป เพราะว่าบุคคลที่ทำได้เองย่อมจะมีความน่าเชื่อถือ ถ้าภาษาอังกฤษก็คือ Trust
ความน่าเชื่อถือตรงนี้จะก่อให้เกิดศรัทธา คือความเชื่อมั่น ปสาทะคือความเลื่อมใส เพราะว่าตนเองทำได้ เป็นตัวอย่างได้ สามารถแสดงผลได้ นำไปบอกต่อได้ ต่อให้ท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล แต่อย่างน้อย ๆ ในเรื่องของสมาธิสมาบัติ ท่านทั้งหลายจะต้องทำได้ ถ้าหากว่าทำไม่ได้ คุณค่าของความน่าเชื่อถือก็จะมีน้อยมาก
พวกท่านจะเห็นว่าในปัจจุบันนี้ พระภิกษุสามเณรที่จบปริญญาเอกมีจำนวนมาก แม้กระทั่งในจังหวัดกาญจนบุรีก็มีถึง ๑๐ กว่ารูป แล้วยังมีที่กำลังศึกษาอยู่อีก แล้วทั้งหมดมีใครที่ได้รับความเชื่อถือจากญาติโยม จนกระทั่งปรากฏชื่อเสียงชัดเจนในด้านการเผยแผ่บ้าง ? ในระดับจังหวัดมีหรือไม่ ? ในระดับประเทศมีหรือไม่ ?
กระผม/อาตมภาพเป็นคนจังหวัดนครปฐม อยากจะยกตัวอย่างก็คือหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ท่านศึกษาวิชาความรู้จากหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา แล้วหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตาเป็นใคร ? เป็นเจ้าของลูกอมอันดับ ๑ ในประเทศไทย คือลูกอมมหาจินดามณีมนตราคม
หลวงปู่บุญเป็นเจ้าคณะปกครองระดับสูง คือเจ้าคณะมณฑล เพียงแต่ในสมัยนั้น ยศ ศักดิ์ สมณศักดิ์ได้มายากมาก พวกท่านดูแค่หลวงปู่สาย วัดท่าขนุนของเรา ท่านเป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะอำเภอชั้นตรี แต่พัดยศหลวงปู่นั้นเป็นด้ามงาทั้งเล่ม..! นี่คือสิ่งที่มีคุณค่าเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
หลวงปู่บุญเป็นท่านเจ้าคุณที่พระพุทธวิถีนายก เป็นเจ้าคณะมณฑลนครชัยศรี ซึ่งใหญ่กว่าภาค ๑๔ ในปัจจุบันนี้อีก เพราะว่ากินพื้นที่หลายจังหวัดกว่า แต่หลวงปู่ท่านฝึกฝนขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเอง โดยเฉพาะวิชาการต่าง ๆ ซึ่งชาวบ้านต้องอาศัยพึ่งพา จนปรากฏผลอย่างชัดเจนในระดับที่เรียกว่าทำอะไรก็ขลัง แต่ท่านไปดังที่สุดในเรื่องของเบี้ยแก้ กับยาวาสนาจินดามณี -
แล้วถัดจากนั้นก็คือหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว กินตำแหน่งที่พระพุทธวิถีนายกเหมือนกับครูบาอาจารย์ตนเอง ถัดจากนั้นมาก็เป็นหลวงปู่เจือ ที่เป็นแค่พระครูฐานานุกรมที่พระครูสังฆรักษ์ เป็นหลวงตาแก่ ๆ เฝ้าวัด แต่ชื่อเสียงเกียรติคุณในด้านเบี้ยแก้นั้น โด่งดังใกล้เคียงครูบาอาจารย์ คือหลวงปู่เพิ่มเลย
ทำไมกระผม/อาตมภาพถึงได้ยกตัวอย่างตรงนี้ ? ก็เพราะว่าถ้าหากว่านับในจังหวัดนครปฐมแล้ว เราจะเห็นว่า ยุคของหลวงปู่บุญมาถึงหลวงปู่เพิ่ม มาถึงหลวงปู่เจือซึ่งเป็นยุคปัจจุบันที่พวกเราทันกันอยู่ ทั้ง ๓ รูปล้วนแล้วแต่ได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากญาติโยมเป็นอย่างยิ่ง ทำอะไรก็ได้รับการสนับสนุน พูดอะไรก็ขลัง เพราะว่าท่านทำเองได้ ปรากฏผลอย่างชัดเจน เครื่องรางของขลังทำออกมาทุกชิ้นมีประสบการณ์ทั้งสิ้น ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องของมรรคของผล แค่เรื่องของไสยเวทย์อาคม วัตถุมงคล แค่นี้ก็กินขาดแล้ว
ดังนั้น...ในเรื่องของการที่จะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา อันดับแรก ต้องทำให้เกิดผลแก่ตัวเอง ถึงจะสร้างศรัทธาปสาทะได้มาก
ประการที่สอง เมื่อทำจนเกิดผลแล้ว ย่อมมีกำลังใจที่จะต่อต้าน รัก โลภ โกรธ หลง ได้ ต่อให้อยู่แค่ระดับฌานสมาบัติ ถ้าทรงฌานเอาไว้ กิเลสก็โดนกดดับไปชั่วคราว จะมีกำลังในการต้านทุจริต ทางกาย ทางวาจา ทางใจได้ในระดับหนึ่ง
ผลของการปฏิบัติ แม้จะอยู่ในระดับฌานสมาบัติ แต่ก็จัดเป็นอุตริมนุสสธรรม คือธรรมอันยิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้ ก็ย่อมสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้น ในเมื่อคนเขาเชื่อถือ คราวนี้จะจูงไปทางไหนก็ไปด้วย ชี้ให้ไปทางไหนก็ไปทางนั้น
ดังนั้น...ในเรื่องของการต้านทุจริต นอกจากที่ต้องเริ่มจากครอบครัว ดังที่กระผม/อาตมภาพได้เคยกล่าวไปแล้ว ต่อด้วยครูบาอาจารย์ในโรงเรียน แล้วจึงมาถึงพระอุปัชฌาย์อาจารย์ในความเป็นพระภิกษุสามเณร จากนั้นเรายังต้องบ่มเพาะตนเอง จนไปถึงระดับที่ญาติโยมให้ความศรัทธาเลื่อมใส ถึงจะก่อให้เกิดผลดีแก่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ดังนั้น...เรื่องพวกนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ว่าเรากำหนดหลักสูตรเท่ ๆ ขึ้นมา เอาหลักธรรมข้อโน้นข้อนี้ใส่เข้าไป นั่นเหมือนอย่างกับท่านทั้งหลายมีสูตรอาหารอยู่ในมือ ถึงจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าคนไม่เอาไปทำกิน จะออกมาได้ผลได้ประโยชน์บ้างไหม ?
แต่ถ้าหากว่าท่านอยู่ในระดับของหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ผลิตสูตรอาหารออกมาก็ต้องมีคนเอาไปลองว่าอร่อยตรงไหน ก็แปลว่าอย่างน้อย ๆ ต้องสั่งสมคุณงามความดี ความน่าเชื่อถือไปถึงขนาดนั้นถึงจะมีคนคล้อยตาม ปฏิบัติตาม นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยากมาก ไม่ใช่ว่ามีหลักสูตรแล้วจะสำเร็จ สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบยังมีอีกมากมายมหาศาล
วันนี้จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)