เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๗
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 เมษายน 2024.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพไปบรรยายธรรม และนำปฏิบัติธรรมให้กับบุคลากรทางการศึกษาระดับสูง ที่วัดหนองโพ หมู่ที่ ๙ ตำบลหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นระดับผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา จึงได้ปรารภว่า สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ มีคุณครูที่จบแค่ชั้น ป.๔ ครูที่จบสูงที่สุดสมัยนั้นก็คือ พ.ม. (ประกาศนียบัตรประโยคครูพิเศษมัธยม) ส่วนใหญ่ก็จบแค่ ป.กศ. (ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง) แต่สอนเด็กออกมาได้ดีมาก ๆ
สมัยนั้นถ้าหากว่าแบ่งชั้นการปกครอง เขาก็จะมีชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ถ้าไม่ถึงชั้นโท ก็เป็นครูใหญ่ไม่ได้ พอมาระยะหลังของเรามีการเทียบซีแบบต่างประเทศ ตำแหน่งครูใหญ่ก็ปรับขึ้นเป็นอาจารย์ใหญ่ ส่วนปัจจุบันนี้ตำหน่งอาจารย์ใหญ่ ปรับขึ้นเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา บรรดาครูส่วนใหญ่ก็จบครุศาสตรบัณฑิตมาเป็นอย่างน้อย
แต่ปัจจุบันนี้การศึกษาของเด็กไทยเรารั้งท้ายอาเซียน เขาบอกว่าอยู่ในอันดับที่ ๘ ของอาเซียน อาเซียนมี ๑๐ ประเทศ มีพม่ากับเขมรที่อยู่ถัดจากเราไป แต่กระผม/อาตมภาพที่สัมผัสกับพม่ามาหลายปี ขอยืนยันว่า เหตุที่การศึกษาของพม่าอยู่รั้งท้ายอาเซียน เพราะว่าเป็นประเทศปิด ไม่มีคนเข้าไปหาข้อมูลทางด้านนี้
แต่จากที่ไปสัมผัสด้วยตัวเอง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ไปสร้างวัด เด็กพม่าพอเริ่มเรียนชั้นมัธยม ซึ่งเขาแบ่งออกเป็น ๑๐ เกรด บ้านเราแบ่งเป็น ๑๒ เกรด พอเริ่มเข้าชั้นมัธยมปีที่ ๑ ครูบาอาจารย์จะบรรยายเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดแล้ว ไม่มีการใช้ภาษาพื้นบ้านของตนเอง บ้านเราต่อให้ปริญญาตรียังทำไม่ได้เลย ยกเว้นหลักสูตรนานาชาติ
ดังนั้น..ถ้ามีการเก็บข้อมูลได้แบบประเทศอื่น ๆ เขา ประเทศที่รั้งท้ายอาเซียนน่าจะเป็นประเทศไทย..! เพราะว่าอย่างของประเทศลาวหรือประเทศเขมร พอเริ่มเรียนชั้นมัธยม เขาจะให้เลือกว่าจะเรียนโปรแกรมภาษาฝรั่งเศส หรือว่าภาษาอังกฤษ เขาเลือกกันตั้งแต่ชั้น ม.๑
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ในเรื่องของการศึกษา ทำอย่างไรที่เราจะทำให้เด็กของเราเก่งเสมอหน้ากัน ไม่ใช่มี "เด็กรับแขก" แค่ไม่กี่คน ไปได้เหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิก ได้เหรียญทองฟิสิกส์โอลิมปิกมา พอได้มาก็มีผู้ใหญ่ทางการศึกษาวิ่งไปเห่อ ขอถ่ายรูปด้วย หลังจากนั้นก็ทิ้งหายไป ไม่เคยสนับสนุนต่อเลยสักคน..! -
การศึกษาของไทยเราต้องปรับสองอย่าง อย่างแรกก็คือคืนไม้เรียวให้ครู ให้สามารถตีเด็กเป็นการลงโทษได้ ไม่อย่างนั้นเด็กไม่กลัว ประการที่สองก็คือ ใครที่สอบแล้วคะแนนไม่ถึง ปรับตกไปเลย ให้ซ้ำชั้น ไม่อย่างนั้นแล้วเด็กก็ไม่กระตือรือร้น แต่ครูบาอาจารย์จะไปเครียดแทน เพราะว่าให้เด็กตกไม่ได้ พอถึงเวลามีความรู้หรือไม่มีความรู้ ก็ต้องดันให้ผ่านไป ไม่อย่างนั้นตัวเองจะเดือดร้อน ระบบการศึกษาบ้านเราก็เลยพิกลพิการอย่างที่เห็นอยู่ แต่ถ้าสามารถปรับให้เด็กตกได้ และคืนไม้เรียวให้ครู การเรียนของบ้านเราจะดีขึ้นมาก
เนื่องเพราะว่าประเทศข้างเคียงอย่างสิงคโปร์ การศึกษาของเขาอยู่อันดับ ๑ อันดับ ๒ ของโลกมาตลอด ก็คือถ้าสิงคโปร์ได้อันดับ ๑ ฟินแลนด์จะเป็นอันดับ ๒ ถ้าฟินแลนด์ได้อันดับ ๑ สิงคโปร์จะเป็นอันดับ ๒ กระผม/อาตมภาพไปสัมผัสมาด้วยตัวเอง ก็คือชั้นอนุบาล ครูบาอาจารย์บรรยายเป็นภาษาอังกฤษล้วน ๆ ชั้นอนุบาลนะ..! บ้านเราปริญญาตรี ถ้าไม่ใช่หลักสูตรนานาชาติยังทำไม่ได้เลย ในเมื่อบ้านเราไม่สามารถที่จะทำให้เด็กเกรงกลัว และขณะเดียวกัน ก็ห่วงอนาคตของตนเองว่าจะตามเพื่อนไม่ทัน เขาก็จะไม่สนใจการเรียน
กระผม/อาตมภาพเคยบรรยายให้กับเด็กมัธยมชั้นปีที่ ๔ ฟัง เขาบอกว่า "เรื่องการเรียนนั้นไม่จำเป็น มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์กกับสตีฟ จ็อบส์ยังเรียนไม่จบปริญญาเลย แต่เขาร่ำรวยเป็นพันเป็นหมื่นล้าน" กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ใช่..แต่ประชากรโลกหกเจ็ดพันล้านคน มีมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์กกี่คน ? มีสตีฟ จ็อบส์ กี่คน ? แล้วมึงคิดว่ามึงจะทำอย่างเขาได้ไหม..!?"
ในเรื่องของการศึกษาจะเพิ่มวิสัยทัศน์ และเพิ่มโอกาสในการดำเนินชีวิตให้กับทุกคน เป็นเรื่องจริงที่ว่าเราศึกษาจบมา ก็มักจะไม่ได้ทำงานตรงกับสาขาที่ร่ำเรียนมา แต่อย่างน้อย ๆ การศึกษาก็เพิ่มวิสัยทัศน์ ช่วยให้เรามีสายตาที่กว้างไกลขึ้น ช่วยให้มีโอกาสได้งานมากขึ้น
จากประสบการณ์ที่สอนพระภิกษุสามเณรในวิทยาลัยสงฆ์มา ไม่ว่าจะเป็นวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี จังหวัดนครปฐม วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ จังหวัดกาญจนบุรี พระภิกษุสามเณรของเราให้ความสนใจในการเรียนมากกว่าฆราวาสหลายเท่า เพราะว่าส่วนหนึ่งตั้งใจบวชเข้ามา เพื่อให้มีโอกาสได้เรียน
แต่ขณะเดียวกัน ฆราวาสที่พ่อแม่แทบจะทูนหัวทูนเกล้าให้ทุกอย่าง ไม่มีความลำบากเหมือนกับพระเณร ไม่ค่อยสนใจเรื่องการศึกษา สาขาวิชาที่มีฆราวาสเรียนปนกับพระ อย่างเช่นรัฐประศาสนศาสตร์ เป็นต้น ถึงเวลาสั่งงาน พระภิกษุสามเณรส่งครบถ้วน ฆราวาสทวงแล้วทวงอีก จนหมดเทอมยังไม่ส่งเลย แล้วก็มาบ่นว่า "หลวงพ่อเล็กใจร้าย ทำให้ผมติด F"..! -
เพียงแต่ว่าเรื่องการศึกษาคณะสงฆ์ของเรานั้น ควรที่จะศึกษาทางธรรมให้หนักแน่นมั่นคงก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะไหลตามกระแสโลกไปหมด เนื่องเพราะว่าผู้คนสมัยนี้ ต้องบอกว่าไม่รู้กาลเทศะอย่างหนึ่ง นักบวชของเราไม่มีสำนึกในสมณสารูปอย่างหนึ่ง พอไปเรียนห้องเดียวกัน ความเป็นพระกับฆราวาสก็หาย เหลือแต่เพื่อน ซึ่งตรงนี้จะสร้างความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนามาก
กระผม/อาตมภาพยังชื่นชมว่านิสิตของวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ ก่อนที่จะเป็นวิทยาลัยสงฆ์ เราเป็นห้องเรียนขยายโอกาสของคณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กระผม/อาตมภาพเจอนิสิตที่ดีมาก อย่างเช่นว่า ที่เป็นพระวิปัสสนาจารย์โครงการทุนเล่าเรียนหลวง อย่างคุณพรลักษณ์ แม้นบุตร หรือว่าปัจจุบันอย่างอาจารย์กัญญาพร สุทธิพันธ์ ของวิทยาลัยสงฆ์ ถึงเวลาคุยกับพระ จะคุกเข่ากับพื้น นั่นคือบุคคลที่สำนึกในเพศภาวะของตน แต่ขณะเดียวกัน นิสิตที่เป็นพระภิกษุสามเณรส่วนหนึ่ง กลับขาดสำนึกในสมณสารูปของตน เห็นเพื่อนนิสิตผู้หญิงสวยหน่อย กูจีบแม่..เลย..! โดยที่ไม่ได้สนใจว่าอาบัติสังฆาทิเสสหน้าตาเป็นอย่างไร ?!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าเรายังไม่มั่นคงในเรื่องของศีล ในเรื่องของสมาธิ แล้วไปเรียนทางโลก โอกาสที่เตลิดเปิดเปิงจะมีสูงมาก เพราะว่าครูบาอาจารย์สมัยนี้ ส่วนใหญ่แล้วสอนให้พวกเราละเมิดศีลกัน กระผม/อาตมภาพเจอมาเอง ตอนสมัยเรียนปริญญาตรี ท่านบอกว่า "พวกเราเรียนกันหนักมาก ถ้าตอนเย็นหิว ก็กินข้าวเย็นไปเถอะ กินแล้วก็ไปปลงอาบัติกัน" ฟังดูเหมือนกับเมตตามาก แต่สอนให้ลูกศิษย์ละเมิดศีลทุกวัน โดยเฉพาะเป็นการต้องอาบัติโดยไม่ละอาย เพราะรู้อยู่แล้วขืนทำ ซึ่งเป็นการต้องอาบัติที่เขาถือกันว่าเลวร้ายที่สุด..!
กระผม/อาตมภาพเคยเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ว่าวัดเราพร้อมทุกอย่าง ทำไมหลวงพ่อไม่เปิดเป็นสำนักเรียน ? ท่านบอกว่า "ข้าไม่อยากเอาเหี้ยเข้าวัด..!" พวกท่านไปคิดเอาเองก็แล้วกันว่า "เหี้ย" นั้นมาจากไหน..!? -
สำหรับวันนี้ ครูบาอาจารย์ที่สอนบาลีของสำนักปริยัติธรรมวัดท่าขนุน ก็คือมหาจอม (พระมหาภูมินทร์ ฐิตญาโณ ป.ธ. ๗) กับมหาโอ๊ต (พระมหาสราวุธ ปญฺญาวุฑฺโฒ ป.ธ. ๓) ขออนุญาตลากลับสังกัดเดิม ซึ่งทั้งสองท่านได้ทำประโยชน์ให้กับสำนักเรียนวัดท่าขนุนสูงมาก ช่วยในการสอนนักเรียนบาลีของเราได้ดีมาก อย่างเช่นปีนี้วัดเราส่งสอบประโยค ๓ จำนวน ๔ รูป สอบผ่าน ๓ รูป ติดซ่อม ๑ รูป ซึ่งทั้งสองบอกว่า เดี๋ยวจะช่วยส่งพระที่ท่านซ่อมเข้าสอบก่อน แล้วถึงจะกลับสังกัดเดิม
คราวนี้ครูสอนของเราที่มีอยู่ แนวทางในการสอนแบบนั้น เราเห็นแล้วก็ควรที่จะจดจำแล้วนำมาถ่ายทอดให้กับนักเรียนของเราด้วย เพราะว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าเราได้รับการสอนมาโดยตรงในวิชาครู แต่ว่าเห็นว่าอะไรดี ก็เลียนแบบและทำตามได้ โดยเฉพาะวัตถุประสงค์ในการเรียน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ศีลพระต้องมาก่อน สมณสารูปต้องมาก่อน ใครเขาจะทำอะไร สำนักไหนจะเป็นอย่างไร ช่างเขา แต่สำนักวัดท่าขนุนของเราต้องเคร่งครัดไว้ เนื่องเพราะพวกเรารู้ว่าถ้าทำผิดแล้ว จะเกิดโทษอะไรบ้าง
มีบางท่านบอกว่า "พระของเราชอบเทศน์เอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่" กูอยากจะบอกไอ้คนพูดว่า ไม่ต้องเสียเวลาเอามาล่อ หรือเอามาขู่ ถ้าเอ็งทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่วเป็นปกติอยู่แล้ว ต่อให้เอามาล่อเอามาขู่อย่างไร ถ้าหากว่าเอ็งไม่สนใจก็ไม่มีประโยชน์
ดังนั้น..ในปัจจุบันพวกปทปรมะ คือ พวกที่มากด้วยบทบาท มีมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเราต้องมีพื้นฐานการศึกษาที่แน่นด้วย โดยเฉพาะในเรื่องทางธรรม ต้องยึดพระไตรปิฎกเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นพระอนาคามีแล้วยังกลับชาติมาเกิด พวกนั้นปล่อยเขาไปเถอะ อย่าไปให้ราคา อะไรที่ค้านคำสอนพระพุทธเจ้า ขอให้รู้ว่าไร้อนาคต ต่อให้มีคนหลงเชื่อในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ รับประกันว่าตอนตายเจอหนักแน่ ๆ..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)