เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 25 กรกฎาคม 2023.

  1. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ขอกล่าวถึงเรื่องราวที่ผ่านไประยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้พูด ก็คือเรื่องการพิสูจน์ว่ามีพระบางรูปที่อ้างว่าเหงื่อออกมาแล้วเป็นพระธาตุ พอไปให้ทางด้านกรมวิทยาศาสตร์พิสูจน์ดู ปรากฏว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับร่างกายมนุษย์เลย หรือสรุปง่าย ๆ ว่าเป็นของปลอม..!

    ในปัจจุบันนี้ความเข้าใจเรื่องพระธาตุยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่มาก อันดับแรกเลยก็คือ เรื่องของการที่บุคคลโดยเฉพาะพระภิกษุ มรณภาพแล้ว เมื่อทำการฌาปนกิจ มีอัฐิบางส่วนเปลี่ยนเป็นแก้วบ้าง เป็นสีแปลก ๆ บ้าง เรื่องนี้ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องของการยืนยันมรรคผล เนื่องเพราะว่าพระเถระบางรูปอย่างหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต มรณภาพแล้วอัฐิไม่ได้เป็นพระธาตุ จนกระทั่งหลายสิบปีให้หลัง อัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุ

    เหตุที่อัฐิสามารถกลายเป็นพระธาตุ หรือว่ากลายเป็นแก้ว กลายเป็นหินได้นั้น เกิดจากการที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สภาพจิตที่ผ่องใส เท่ากับเป็นการฟอกธาตุขันธุ์ของตนเองอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายบางส่วนได้ แต่ที่อัฐิของหลวงปู่มั่นท่านไม่เป็นพระธาตุ เพราะว่าท่านไม่ต้องการให้ลูกศิษย์ไปยึดติดอยู่แค่นั้น แต่ก็มีลูกศิษย์ส่วนใหญ่ เกิดความคลางแคลงใจ ว่าครูบาอาจารย์ที่สอนลูกศิษย์จนกระทั่งลูกศิษย์มรณภาพ อัฐิเป็นพระธาตุมากต่อมากด้วยกัน ทำไมของครูบาอาจารย์ถึงไม่เป็น ?

    เรื่องของอัฐิเป็นพระธาตุนั้นเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ บุคคลเจ้าของอัฐินั้นอธิษฐานทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง คราวนี้หลวงปู่มั่นท่านไม่ได้อธิษฐานทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง เพราะว่ากลัวคนจะไปยึดติด ก็มาเข้าอยู่ในลักษณะที่สอง ก็คือมีพระหรือพรหมเทวดาสงเคราะห์ให้เป็น เนื่องเพราะว่าถ้าความคลางแคลงสงสัยมีมาก ศรัทธาก็จะเคลื่อนคลายลง แล้วในพระไตรปิฎกยังกล่าวถึงประเภทที่สามอีก ก็คือมีบุคคลอธิษฐานขอให้เป็นแทน

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้เราจึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปเอามาวัด เนื่องเพราะว่าถ้าครูบาอาจารย์ท่านได้มรรคได้ผล แต่ว่าท่านไม่ได้อธิษฐานทิ้งไว้ด้วยเหตุผลบางประการ หรือว่าพระ หรือพรหมเทวดาไม่สงเคราะห์ หรือแม้กระทั่งไม่มีบุคคลขอให้เป็นแทน ต่อให้ท่านได้มรรคผลระดับไหน อัฐิก็ไม่เป็นพระธาตุ..!

    แล้วในปัจจุบันนี้ก็มีวัตถุบางอย่างที่คนไปหลงเชื่อว่าเป็นพระธาตุ อย่างเช่นว่าเม็ดสารเคมีดูดความชื้น หรืออีกส่วนหนึ่งก็คือซิลิก้าที่ได้จากการเผาปูนในโรงงานปูนซีเมนต์ จะเป็นพระธาตุที่สวยงามสุด ๆ เม็ดละเอียดยิบเลย และเป็นแก้วใสทุกเม็ด..! ดังนั้น..
    ถ้าหากว่าใครเจอพระธาตุในลักษณะที่เป็นแก้วใส เม็ดเล็กละเอียด ขอให้ระแวงไว้ก่อนว่าจะมาจากโรงปูนซีเมนต์..!
     
  3. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องของครูบาอาจารย์ที่มรณภาพแล้วสังขารไม่เน่าเปื่อย ก็มีจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่หนึ่งก็คือเจ้าของอธิษฐานร่างทิ้งไว้ให้ สาเหตุที่สองก็เรื่องของพระ เรื่องของเทวดาสงเคราะห์เช่นกัน สาเหตุที่สาม เกิดจากการกินว่านยาบางอย่างเป็นประจำ

    ส่วนสาเหตุสุดท้ายนั้น เกิดจากการเสกข้าวกินด้วยคาถาบางบท ถ้าทำต่อเนื่องในระยะเวลาที่ยาวนาน ความคงกระพันที่เกิดขึ้น แม้กระทั่งตายไปแล้วสังขารก็ยังเหมือนกับเป็นหิน ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า แม้แต่การที่มรณภาพแล้วสังขารไม่เน่าเปื่อย ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะยืนยันถึงมรรคถึงผลได้

    เพราะฉะนั้น..ในส่วนของการเป็นพระธาตุก็ดี ในส่วนของการที่ครูบาอาจารย์มรณภาพแล้วสังขารไม่เน่าเปื่อยก็ตาม อย่าได้ถือเป็นสาระ สาระสำคัญก็คือ ครูบาอาจารย์ท่านมีวัตรปฏิบัติอย่างไร โดยเฉพาะท่านมีคำสอนไว้ว่าอย่างไร ถ้าหากว่าดูจากวัตรปฏิบัติของท่านแล้ว เราชอบใจ เห็นว่าไม่ผิดเพี้ยนจากพระธรรมวินัย ก็ให้เร่งปฏิบัติตาม ถ้าหากว่าคำสอนของท่าน พิจารณาแล้วว่าไม่ผิดเพี้ยนจากพระธรรมวินัย เราฟังแล้วชอบใจก็ให้เร่งรีบปฏิบัติตาม นั่นถึงจะเป็นการปฏิบัติ
    ที่ถูกต้อง ต่อบุคคลที่มรณภาพแล้วอัฐิกลายเป็นพระธาตุ หรือว่ากายสังขารไม่เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา

    ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาอธิษฐานทิ้งไว้ให้ก็ดี จะเป็นพระ เป็นพรหม เป็นเทวดา ท่านสงเคราะห์เพื่อกำลังใจของคนหมู่มากก็ตาม เราก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย นอกจากยึดกายสังขารของท่านเป็นอนุสติ หรือว่ายึดในอัฐิธาตุของท่านเป็นอนุสติ แล้วก็ไปได้ไม่ไกลเกินนั้น จึงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายพึงจะต้องใช้สติสัมปชัญญะ พินิจพิจารณาให้รอบคอบว่าเราหลงประเด็นออกทะเลไปไกลหรือเปล่า ?

    อย่างเช่นลูกศิษย์ของครูบาท่านนั้นกับสื่อมวลชนบางสำนัก ก็มีการงัดข้อกัน ทางลูกศิษย์ที่เชื่อถือมั่นใจในครูบาอาจารย์ตัวเอง ทางสื่อสำนักนั้นก็มั่นใจในผลพิสูจน์ของกรมวิทยาศาสตร์ ก็กลายเป็นการถกเถียงปะทะคารมกันในโซเชียล ซึ่งมีแต่จะสร้างกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ให้เกิดมากขึ้น สร้างความแตกแยกในหมู่พุทธศาสนิกชนมากขึ้น

    เพราะฉะนั้น..สิ่งหนึ่งประการใดก็ตาม ที่เป็นสาเหตุให้ถกเถียงกันก็ดี เป็นสาเหตุให้ รัก โลภ โกรธ หลง เจริญงอกงามก็ดี หรือว่าเป็นสาเหตุให้แตกความสามัคคีกันก็ตาม เราควรอย่างยิ่งที่จะต้องเว้นให้ห่างเอาไว้ แล้วก็เร่งปฏิบัติตามในไตรสิกขาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    หลักไตรสิกขาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือศีล สมาธิ และปัญญา ที่ยังสมบูรณ์บริบูรณ์ ใครปฏิบัติตามก็จักได้มรรคได้ผลตามวาสนาบารมีของตน ต่อให้เข้าไม่ถึงมรรคผล หนทางการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารของเราทั้งหลายก็จะหดสั้นลง
     
  4. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    โดยมีหลักของปัญญาขึ้นมาก่อน ก็คือ สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้องว่าสิ่งนี้เป็นความดี สิ่งนี้ไม่ใช่ความดี สิ่งนี้เป็นกุศล สิ่งนี้ไม่ใช่กุศล สิ่งนี้เป็นทางแห่งความหลุดพ้น สิ่งนี้ไม่ใช่ทางแห่งความหลุดพ้น แล้วเลือกรับปฏิบัติในส่วนที่ดีเท่านั้น

    สัมมาสังกัปปะ มีแนวคิดที่ถูกต้อง อย่างเช่นว่า คิดออกจากกาม คิดหาทางพ้นจากกองทุกข์ ทั้งสองข้อนี้จัดอยู่ในหมวดปัญญาสิกขา

    สัมมาวาจา การใช้คำพูดที่ถูกต้อง สัมมากัมมันตะ มีการกระทำที่ถูกต้อง สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพในทางที่ถูกต้อง จัดอยู่ในหมวดของสีลสิกขา เพราะว่าสัมมาวาจาก็คือ เราเว้นจากการโกหก เว้นจากการส่อเสียด เว้นจากการเพ้อเจ้อ เว้นจากการพูดคำหยาบ

    สัมมากัมมันตะ คือเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการดื่มสุราเมรัย

    สัมมาอาชีวะคือเว้นจากการค้าขาย ทั้งที่มีโทษทั้งทางโลกและทางธรรม จัดอยู่ในหมวดของสีลสิกขา

    ต่อไปก็คือสัมมาวายามะ มีความเพียรที่ถูกต้อง ก็คือเพียรในการละชั่ว เพียรในการทำดี เพียรในการระมัดระวังไม่ให้ความชั่วเข้ามาในใจ และเพียรรักษาความดีไว้ให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    สัมมาสติ คือการดำเนินสติไปในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ก็คือ กาย เวทนา จิต ธรรม สรุปลงตรงที่ว่า
    รู้ตัวอยู่เสมอว่าร่างกายนี้ต้องตาย สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงแท้แน่นอน ตราบใดที่ยังดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ มีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ตายเมื่อไร เราพร้อมที่จะไปพระนิพพาน

    และท้ายที่สุด สัมมาสมาธิ
    เมื่อสร้างอัปปนาสมาธิขึ้นมาได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็เอากำลังนั้นมาในการพิจารณาข้อธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกระทั่งสภาพจิตยอมรับ ปล่อยวางลงได้ทั้งหมด เราถึงจะมีโอกาสหลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน สามข้อนี้จัดอยู่ในส่วนของสมาธิสิกขา

    ก็แปลว่าการปฏิบัติตามหลักของไตรสิกขานั้น สำคัญกว่าการที่ครูบาอาจารย์ท่านมรณภาพแล้วจะเน่าเปื่อย หรือไม่เน่าเปื่อย เผาแล้วอัฐิจะเป็นพระธาตุหรือว่าไม่เป็นพระธาตุ ถ้าเราสนใจในสิ่งที่ผิดพลาด อาจจะเกิดมาแล้วเสียชาติเกิด คือตายเปล่าโดยไม่ได้ความดีอะไร เพราะว่าไปสนใจผิดที่

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     

แชร์หน้านี้