เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 พฤษภาคม 2024.

  1. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพนำคณะเดินทางไปยังท่าเรือเมืองเล่อซาน เพื่อที่จะไปกราบสักการะหลวงพ่อโตเล่อซานต้าฝอ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปแกะสลักองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นมรดกโลกของประเทศจีนด้วย ผู้ที่ริเริ่มในการแกะสลักก็คือหลวงปู่ไห่ทง ที่วันก่อนมารับคณะของกระผม/อาตมภาพถึงสนามบินนั่นเอง

    หลวงปู่ไห่ทงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต บัดนี้บำเพ็ญบารมีมา มีฉัพพรรณรังสี ๒ สีแล้ว ก็คือสีเหลืองและสีเขียว

    เมื่อเดินทางไปถึง ปรากฏว่าบริเวณปากทางเข้าห้องน้ำสาธารณะ ก่อนที่จะถึงสถานที่ขายตั๋วนั้น มีพวกนำเอาผลไม้พื้นเมืองมาจำหน่าย ก็คือส้มจุกของบ้านเรา ซึ่งมีลูกค่อนข้างจะใหญ่ ภาษาจีนเรียกว่า จวี๋จื่อ ซึ่งไม่ใช่ ต้ากิก ถ้าหากว่า "กิก" นั้นจะเป็นส้มเขียวหวานจีน รสชาตินับว่าอร่อยใช้ได้ทีเดียว เสียอย่างเดียวว่ามาขายอยู่หน้าห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งถ้าหากว่ามีคนใช้มาก ๆ กลิ่นก็ไม่ค่อยจะโสภาสักเท่าไร..!

    พวกเราต้องรอคุณไวนำเอาพาสปอร์ตไปซื้อตั๋ว จนกระทั่งได้มาครบถ้วนแล้ว ก็ยังต้องรอให้บุคคลอื่นแซงคิวไป เพื่อที่จะลงให้เต็มลำเรือ โดยที่พวกเราจะขึ้นเรือลำใหม่ เพื่อที่จะได้ลงพร้อมกันทั้งคณะ แม้ว่าจะมีผู้อื่นแทรกมาบ้าง เขาก็จะกลายเป็นคนส่วนน้อยไป

    ครั้นลงไปในเรือแล้ว ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ประจำเรือมอบเสื้อชูชีพให้พวกเราใส่กันทุกคน แต่เป็นเสื้อชูชีพที่ประหลาดมาก เนื่องเพราะว่าดูอย่างไรก็ไม่น่าที่จะช่วยให้ลอยน้ำได้ ซ้ำยังน้ำหนักมาก น่าจะช่วยถ่วงให้จมน้ำเสียมากกว่า แล้วบรรดาอาเฮีย อาเจ้แต่ละคนก็เสียงดังเหลือเกิน ตามแบบฉบับของคนจีน ก็คือพูดจาเปิดเผยโผงผางมาก ทำให้คนที่ไม่เคยชิน คิดว่าตัวเองโดนดุเสียอีก..! ครั้นใส่เสื้อเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็หามุมถ่ายรูปตามอัธยาศัย ก็คือรูปหมู่ รอจนกระทั่งคนลงมาครบถ้วนแล้ว เขาก็ออกเรือวิ่งทวนน้ำไป

    บริเวณที่สร้างหลวงพ่อโตเล่อซานนั้น เป็นจุดบรรจบของแม่น้ำสามสาย แม่น้ำหลักคือแม่น้ำชิงอีเจียง ซึ่งมีน้ำค่อนข้างจะใสและสีเขียว อีกสายหนึ่งก็คือแม่น้ำหมิ่นเจียง ซึ่งไหลมาจากทางด้านจิ่วไจ้โกว เมื่อมาถึงทางด้านนี้ ไม่ทราบว่าหลากมาจากที่สูงหรืออย่างไร สายน้ำจึงเป็นคลื่นรุนแรงและขุ่นมาก ทำให้นึกถึง "โขงสีปูนมูลสีคราม" ของบ้านเราขึ้นมาทันที

    แต่ที่นี่ยังมีแม่น้ำสายที่สาม คือต้าตู้เหอ ซึ่งไหลมาจากทางด้านอุทยานแห่งชาติย่าติง ที่พวกกระผม/อาตมภาพเคยไปมาแล้ว จึงทำให้กลายเป็นสบแม่น้ำสามสาย ที่ในสมัยโบราณนั้นเมื่อถึงหน้าน้ำหลาก มักจะทำให้เกิดอุทกภัยน้ำท่วม ผู้คนล้มตายกันปีละมาก ๆ..!
     
  3. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    หลวงปู่ไห่ทงเห็นแล้วเกิดเวทนาสัตว์โลก ตามประสาพระโพธิสัตว์ผู้สร้างบารมี จึงได้ออกเรี่ยไรเงินทองเพื่อที่จะสร้างหลวงพ่อโตเล่อซานขึ้นมา ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยก็คือ ใช้ข่มภูมิทัศน์บริเวณนั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่น่าเชื่อ แม้ว่าการสร้างหลวงพ่อโตเล่อซานของหลวงปู่ไห่ทงไม่ทันจะสำเร็จ ท่านก็มรณภาพเสียก่อน แต่มีผู้มารับช่วงสร้างจนสำเร็จ แล้วตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แม่น้ำสามสายก็ไม่สามารถที่จะแผลงฤทธิ์ได้อีกเลย..!

    กระผม/อาตมภาพก็สงสัยว่าเป็นเพราะอะไร ปรากฏว่าในพื้นน้ำนั้น เหมือนอย่างกับมีสัตว์ประหลาดล็อกเนสส์โผล่ขึ้นมา ๗ ตัว ๘ ตัวเต็มไปหมด มาถึงก็รายงานว่า "ผมก็คือสุ่ยเจียวครับ" "ผมคือสุ่ยเกาครับ" กระผม/อาตมภาพก็สงสัยว่าอะไรวะ ? เดี๋ยวนี้เขามี "ตระกูลสุ่ย" หรืออย่างไร ? เพราะว่าท่านเจ้าที่คือท่านสุ่ยหลง ปรากฏว่าท่านสุ่ยหลงโผล่มาบอกว่า "ไอ้สุ่ยเจียวนั่นเป็นงูหม่างครับ งูหม่างเป็นงูประเภทงูเหลือมยักษ์ บำเพ็ญบารมีมาจนกระทั่งกลายเป็นมังกร เขาเรียกว่าเจียว"

    "ส่วนไอ้เจ้าสุ่ยเกานั่นเป็นปลาครับ ที่เขาลือกันว่าปลาหลีฮื้อข้ามสามโตรกแยงซีเกียงจะกลายเป็นมังกร ไอ้เจ้าสุ่ยเกาสามารถบำเพ็ญบารมีจนครบ ๑,๐๐๐ ปี จึงกลายร่างเป็นมังกรได้ แต่ว่าเป็นมังกรที่คนจีนเรียกว่า "เกา" ซึ่งจะมีกรงเล็บแค่ ๔ เล็บเท่านั้น ไม่ใช่มังกรแท้อย่างกระผมครับ" แล้วท่านสุ่ยหลงก็ชูมือให้ดูว่าตนเองเป็นมังกรแท้ มี ๕ เล็บ กระผม/อาตมภาพจึงได้ถามต่อไปว่า "แล้วเรื่องที่น้ำท่วมนั้นเกิดอะไรขึ้น ?"

    ท่านสุ่ยหลงบอกว่า
    "โดยปกติแล้ว เมื่อถึงหน้าน้ำ พวกลูกน้องของผมก็เล่นกันสนุกสนาน เพียงแต่ว่าร่างกายใหญ่โตไปหน่อย คลื่นลมก็เลยทำให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อน ล้มตายกันไปตามกรรมที่ตนเองสร้างมา แต่พอหลวงปู่ไห่ทงสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา พวกผมไม่กล้าที่จะเล่นสนุกต่อหน้าพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คลื่นลมต่าง ๆ ก็เลยลดความรุนแรงลง ทำให้ไม่เกิดน้ำท่วมขึ้นมาอีกครับ"

    กระผม/อาตมภาพฟังนิทานทั้ง ๆ ที่ "ฝันแบบลืมตาอยู่" ก็งง ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือโค้งตาลูเก้ ซึ่งอยู่ที่บริเวณทองผาภูมิขึ้นสังขละบุรี ก่อนหน้านี้โค้งนั้นมีคนล้มตายไม่เว้นแต่ละวัน ก็คือถ้าหากว่าไม่แหกโค้งลงไป ก็จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาอย่างใดอย่างหนึ่งจนได้ แม้ว่าจะสร้างศาลเอาไว้จนกลายเป็นโค้งร้อยศพไปแล้ว ก็ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขได้..!
     
  4. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    มีอยู่วันหนึ่งกระผม/อาตมภาพเดินทางขึ้นไป เพื่อที่จะบรรยายที่หน่วยจัดการต้นน้ำซองกาเลีย ขาขึ้นเห็นเขากำลังสร้างศาลอยู่ รุ่งขึ้นบรรยายเสร็จ ช่วงบ่ายเดินทางลงมา ศาลราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว..! มีรถเสยกระจาย แล้วก็มีผู้รู้นำเอาพระพุทธรูปโลหะ หน้าตักประมาณ ๙ นิ้ว ไปตั้งเอาไว้ เพื่อให้ค้ำอยู่กับตรงจุดนั้น

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่เคยมีเหตุให้เกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตอีกเลย เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ก็เป็นเรื่องของพุทธบารมี แต่คนที่ไม่เชื่อ ก็อาจจะบอกว่าเป็นความบังเอิญก็ได้..!

    ส่วนหลังจากที่เดินทางกลับมาแล้ว พวกเราก็ไปแวะฉันภัตตาหารเพลกัน แต่ปรากฏว่าทางทัวร์จีนไม่ทราบว่าพระเราควรที่จะแยกโต๊ะออกจากฆราวาส แล้วการแยกโต๊ะนั้น จะจำนวนมากจำนวนน้อย เขาก็จัดกับข้าวมาเต็มเหมือนกัน กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่า "ไม่ต้องแยกโต๊ะหรอก เอาบรรดาผู้ชายมานั่งคั่นพระเอาไว้ก็แล้วกัน" หลังจากนั้นพวกเราก็ตักภัตตาหารฉันก่อน ที่เหลือก็ยกให้โยมว่ากันไปตามใจชอบ

    เสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ตรงไปจุดบริการนักท่องเที่ยว ปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติเอ๋อเหมย ซึ่งเป็นมรดกโลกอีกที่หนึ่ง วันนี้เราจะขึ้นไปกราบสักการะพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ๑๐ พักตร์ ซึ่งเขาสร้างเอาไว้บนยอดเขาจินติ่ง คำว่า "จินติ่ง" นี้ ถ้าเป็นภาษาแต้จิ๋วที่นิยมกันในเมืองไทยก็คือ "กิมเต้ง" หรือแปลง่าย ๆ ว่าหลังคาทองนั่นเอง

    เมื่อถึงเวลาพวกเราซื้อตั๋วแล้ว ก็ต้องอาศัยรถของทางอุทยานเดินทางขึ้นไป โดยที่ต้องรัดเข็มขัดให้ดี เพราะว่ามีโค้งเยอะมากเป็นพิเศษ ทำให้พลขับทั้งหลายจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูงในการขับรถ จึงไม่อยากให้พวกเรานั่งตัวเปล่าเล่าเปลือยกัน

    ส่วนเส้นทางนั้น จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้มีอันตรายอะไรมาก เพราะมีแค่สองโค้งเท่านั้น ก็คือโค้งซ้ายกับโค้งขวา..! ใช้เวลาวิ่งขึ้นไป ๑ ชั่วโมง ๑๘ นาที แล้วก็ต้องเดินขึ้นบันไดไปเป็นระยะทางกิโลเมตรเศษ ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า กิโลเมตรกว่า ๆ นั้น เป็นทางเดินขึ้นเขา คนที่ไม่เคยชินก็ออกอาการย่ำแย่ไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ประธานกรรมการบริษัทเอ็นซีทัวร์ถึงกับขาแพลง ขาลงก็เลยต้องจ้างคานหามหามลงมาแทน..!
     
  5. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    พวกเราไปขึ้นรถกระเช้า เพื่อที่จะขึ้นไปสักการะองค์พระสมันตภัทรโพธิสัตว์บนยอดเขา แต่ว่ารถกระเช้าก็ไม่ได้ส่งจนถึงที่ พวกเรายังต้องเดินต่ออีกระยะหนึ่ง ท่านใดก็ตามที่ไปเที่ยวเมืองจีน ขอให้ทำใจไว้เลยว่า ไม่มีที่ไหนไม่ต้องเดิน และการเดินไม่มากของคนจีนนั้น บางทีก็เกินกำลังของพวกเราอยู่เหมือนกัน..!

    แต่ว่าวันนี้เนื่องจากว่าอากาศอยู่ที่ ๑๔ องศาเซลเซียส การเดินก็เลยไม่เหนื่อยมาก แต่ว่ายิ่งขึ้นสูงก็ยิ่งหนาว ครั้นไปถึงบริเวณลานประดิษฐานพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ อากาศก็ลดลงเหลือแค่ ๑๒ องศาเซลเซียส..! ซ้ำยังลมแรงมาก แทบจะพัดตัวคนปลิวทีเดียว

    กระผม/อาตมภาพรู้สึกว่าหนาวจนมือเท้าแข็งไปหมด แต่เป็นที่อัศจรรย์ว่า ด้วยบารมีของหลวงปู่ไห่ทงและท่านสุ่ยหลงที่รับปากดูแลเอาไว้ ต่อให้หนาวขนาดไหน ปรากฏว่าวันนี้ไม่มีอาการมาลาเรียกำเริบแม้แต่นิดเดียว สามารถเข้าไปสักการะสิ่งสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ก็ดี องค์พระศรีศากยมุนีโคดมก็ดี หรือว่าพระพุทธเจ้า ๓ กาล ก็คืออดีต ปัจจุบัน และอนาคตก็ตาม เพียงแต่ว่าเจ้าหน้าที่เขาห้ามถ่ายรูป กระผม/อาตมภาพต้องฉวยโอกาสที่เจ้าหน้าที่เผลอ กดรูปไปทุกครั้งอยู่เหมือนกัน

    แล้วพวกเราเดินลงมาอีกด้านหนึ่ง เพื่อที่จะมาขึ้นกระเช้ากลับ เส้นทางนี้มีคนเอากุญแจไปคล้องเอาไว้ เป็นเครื่องหมายแห่งความรักจำนวนมากมายเต็มไปหมด กระผม/อาตมภาพยังสงสัยว่า ถ้าสิ้นรัก เลิกกันไปแล้ว เขาจะกลับมาปลดกุญแจที่คล้องเอาไว้หรือเปล่าเท่านั้นเอง ?
     
  6. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เมื่อพวกเรากลับขึ้นมาบนรถได้ รู้สึกว่าเหมือนกับรอดตายไปที เนื่องเพราะว่าอาการหนาวจนแข้งขาแข็งไปหมดนั้น แล้วมาคลายตัวลงตอนขึ้นรถนี่เอง ใช้เวลาในการวิ่งลง ๑ ชั่วโมง ๑๕ นาที เหตุที่เกือบใช้เวลาเท่ากับขาขึ้น ทั้ง ๆ ที่เป็นขาลง น่าจะง่ายกว่า ก็เพราะว่าหนทางลาดชันมาก ทางโชเฟอร์ไม่กล้าที่จะใช้ความเร็วเต็มที่ เนื่องเพราะเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้

    พวกเราลงมาถึงข้างล่าง ส่วนหนึ่งก็เข้าห้องน้ำ อีกส่วนหนึ่งก็ไปต่อรองซื้อหาสิ่งของ โดยเฉพาะส้มและลูกโลค็อต หรือที่พวกเราคนจีนเรียกกันว่า ผีผาจื่อ, ปี่แป้จื้อ ขนเอาขึ้นรถมา แล้วทางเอ็นซีทัวร์ โดยน้องการ์ตูน (นางสาวศรันย์พร บุรินทรโกษฐ์) ก็แจกบะหมี่สำเร็จรูป ให้แก่บุคคลที่กินข้าวเย็น เพราะว่าวันนี้เราต้องวิ่งไปจนถึงที่พักเมืองตูเจียงเอี้ยน ซึ่งห่างไปเป็นระยะทางประมาณ ๒ ชั่วโมง ๓๐ นาที

    กระผม/อาตมภาพรอจนกระทั่งเขามาพักรถ ที่จุดพักรถแห่งหนึ่ง ซึ่งทันสมัยมาก ๆ โดยขอเวลาพักรถ ๒๐ นาที จึงฉวยโอกาสในการพักรถนี้บันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันนี้เอาไว้ก่อน แม้ว่าจะมีเสียงรบกวนบ้าง ก็ยังดีกว่าไม่ได้ฟังอะไรกันเลย เนื่องเพราะว่ากว่าที่จะถึงที่พักคืนนี้ ก็ไม่หนี ๓ ทุ่มของเมืองจีน ท่านทั้งหลายที่นอนหัวค่ำ ก็อาจจะหลับไปเสียก่อนที่จะได้ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนในวันนี้

    ส่วนพรุ่งนี้จะมีอะไรบ้างนั้น ถ้าหากว่ายังอยู่รอดปลอดภัย ก็จะนำมาเล่าถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมกันต่อไป

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     

แชร์หน้านี้