เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 ธันวาคม 2023.

  1. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,363
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,363
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ บางท่านก็อาจจะเห็นข่าวที่อาจจะสร้างความยุ่งยากให้กับวัดท่าขนุน ก็คือตัวประกันคนไทยที่หลุดจากมือฮามาสมา บอกว่าพกพระขุนแผนเกราะเพชรพิมพ์เล็ก กับสมเด็จองค์ปฐมนั่งบัวเสวยสุข เนื้อสเตนเลส มีติดตัวอยู่แค่ ๒ องค์เท่านั้น ของบางอย่าง โบราณเขาใช้คำพูดประมาณว่า "อยู่ใต้ฟ้าอย่างไรเสียก็ต้องเปียกฝน" ก็คืออยู่เฉย ๆ ไม่ได้คิดจะทำอะไร ฝนก็ตกลงมาให้เปียกได้เหมือนกัน

    สมัยก่อนพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล ป.ธ.๕) วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคุณชั้นราชอยู่วัดป่าดาราภิรมย์ ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า "ถ้าอยากดัง ก็อย่าหวังความสงบ" เนื่องเพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้น คนที่ไม่เชื่อก็แล้วไป แต่ถ้าคนที่เชื่อ จะเห็นท่านเป็นผู้วิเศษ แล้วก็จะแห่กันมาหัวไม่วางหางไม่เว้น โดยเฉพาะจะต้องเอาวัตถุมงคลรุ่นนั้น แบบนั้น เท่านั้น

    กระผม/อาตมภาพเคยโดนล้อมกุฏิมาแล้ว ตชด.มากันเป็นหมวดเลย..! เพราะว่าเพื่อน ตชด.ที่ชุมพร เจออาก้าเข้าไป ๔๐ กว่านัด ไม่เป็นอะไรเลย วัตถุมงคลรุ่นนั้นหมดไป ๑๐ กว่าปีแล้ว เขาจะเอารุ่นนั้นให้ได้ แล้วกระผม/อาตมภาพจะเอาที่ไหนให้ ? แต่ยังโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือเขาคิดว่าหลวงพ่อเล็กจะต้องแก่กว่านี้ คุยกันเสร็จ อาตมภาพก็เลยเดินหนีไปเลย ปล่อยให้พวกเขาล้อมกุฏิต่อไป..!

    เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าตราบใดที่ยังนั่งอยู่ตรงนี้ ก็จะมีมาเรื่อย ๆ แล้วคนจำนวนมากก็จะไม่ใส่ใจว่าท่านมีภาระหน้าที่อะไรบ้าง มาถึงต้องได้เจอเท่านั้น หลายรายถึงขนาดโทรมาต่อว่ายังไม่พอ โทรมาด่าอีกด้วย..! ว่าพบยาก เรื่องมาก ก็เลยสงสัยว่า
    เขามาวัด มาเพื่ออะไร ? มาเพื่อสร้างบุญสร้างกุศล หรือว่ามาสร้างบาป ? ของบางอย่าง ถ้าหากว่าญาติโยมไม่มีจิตสำนึกเอง ต่อให้บ่นปากเปียกปากแฉะ หรือพูดจนปากฉีกถึงใบหู ก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในหัวของเขาหรอก เพราะว่าเขาต้องการอย่างนั้น

    แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพเตือนนักเตือนหนาว่า ถ่ายรูปครูบาอาจารย์ ให้ถ่ายรูปที่ท่านรู้ตัว และอยู่ในท่าที่เรียบร้อย ก็มีคนจำนวนมากจ้องถ่ายแต่เบื้องหลัง ประมาณว่าภูมิใจที่มีรูปต่างจากคนอื่นเขา แล้วบางรูปพอโพสต์ลงไปในโซเชียลเมื่อไร ก็เป็นเรื่องเมื่อนั้น เนื่องเพราะว่าคนดูก็จะไม่พินิจพิจารณา เขาเชื่อในสิ่งที่เขาเห็น..!
     
  3. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,363
    อย่างล่าสุดที่ไปประเทศลาว ตากล้องประจำคณะถ่ายรูปสาวหนึ่งนาง ซึ่งนั่งอยู่ห่างจากที่กระผม/อาตมภาพยืนไม่หนี ๗ - ๘ เมตร แต่ดันเล็งตรงเป๊ะเลย กลายเป็นว่าผู้หญิงอยู่ในอ้อมอกของพระ..! นั่นก็คือสิ่งที่เราต้องระวังตัวเอง เพราะฉะนั้น..ช่วงที่ไปลาว บางทีญาติโยมก็คิดว่ากระผม/อาตมภาพทำอะไรเร็ว เขายังตั้งหลักไม่ทันเสร็จเลย ถ่ายรูปไปแล้ว ความจริงไม่ใช่ อาตมภาพดูท่าว่าไม่ดีก็เดินหนีจากจุดนั้นไปเลย เพราะว่าถ้าขืนให้ถ่ายรูปออกไป เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีก..!

    แม้แต่เตือนว่ารูปของครูบาอาจารย์ควรจะเป็นรูปที่ดูดีที่สุด แต่คราวนี้ คำว่าดูดีที่สุด มาตรฐานของคนก็ดันไม่เท่ากันอีก..! ก็คือเขารู้สึกว่ารูปแบบนั้นดีแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่า ครูบาอาจารย์บางท่านเสียหายเพราะการกระทำของลูกศิษย์ ที่บอกว่ารักและเคารพตนเอง ทำไปด้วยความไม่รอบคอบ ขาดสติ แต่คิดว่าดี แล้วพอเรื่องเสียหายขึ้นมา จะไปโวยกับใคร ก็ตัวเองทำเอง..!

    สมัยก่อนพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง พอมีข่าวคราวในด้านที่ไม่ดี ท่านก็เฉย ๆ ด้วยความที่ยังเป็นบุคคลที่กิเลสอยู่ กระผม/อาตมภาพก็เรียนถามท่านว่า "หลวงพ่อจะไม่แก้ข่าวนี้หรือครับ ?" ท่านบอกว่า "ถ้าคนไม่เชื่อ เราก็ไม่ต้องเสียเวลาไปแก้ข่าว แต่ถ้าคนที่เชื่อไปแล้ว แก้ข่าวให้ตาย เขาก็เชื่อ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็เสียเวลาที่จะไปพูด"

    ปัจจุบันนี้กระผม/อาตมภาพก็ทำแบบเดียวกัน ถึงเวลามีอะไรขึ้นมาก็รอให้เขารู้เอง แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พอรู้ความจริงแล้ว คำขอโทษแม้แต่นิดเดียวก็ไม่เคยได้รับ ตอนที่ด่าที่ว่าก็ใส่ซะเต็มที่ กลัวโลกจะไม่รู้..! แต่ตอนจะขอโทษ..อาย..กลัวคนอื่นรู้..! เป็นเรื่องที่เราต้องทำใจเอง ก็คือ เป็นธรรมดาของการเกิดมา ที่จะต้องเจอกับเรื่องแบบนี้

    ในเมื่อธรรมดาของโลกเป็นเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลกที่มีแต่ความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ ก็ไม่พึงมีกับเราอีก มีสถานที่เดียวซึ่งพ้นตายพ้นเกิด ก็คือพระนิพพาน ก็เปลี่ยนเป็นเอากำลังใจไปเกาะพระนิพพานแทน ไม่ต้องไปยุ่งกับอะไรทางโลก ๆ กันต่อไป

    เรื่องที่บอกที่กล่าวพวกเรา ก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเราไม่ได้คิดเผื่อคนอื่น สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ เราใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางทั้งหมด ไม่เคยเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็คือไม่เคยคิดว่าคนอื่นต้องการแบบใด เข้ามาถึง กูก็ดึงพัดลม เปิดก่อนแล้ว ไอ้คนข้าง ๆ หนาวแทบตาย ไม่เคยถามสักคำว่าเขาหนาวหรือเปล่า..!?
     
  4. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,363
    นี่คือสิ่งที่ยกตัวอย่างเพื่อให้เรารู้ว่า ปกติของปุถุชนธรรมดา ก็คือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางสิ่งรอบข้างทั้งหมด ถ้าเป็นไปตามที่ตนเองต้องการ ก็รู้สึกว่ามีความสุข พอกระทบกับสิ่งที่ไม่เป็นไปตามความต้องการ ก็รู้สึกว่ามีความทุกข์ สภาพจิตก็เลยเหมือนกับเส้นกราฟหัวใจ เด้งขึ้นบ้าง เด้งลงบ้าง หาความสงบราบเรียบได้ยาก จนกลายเป็นเครียด บางคนก็เป็นโรคซึมเศร้า บางคนคิดไม่รู้จักแล้วไม่รู้จักเลิก คิดจนหน้าเหี่ยว แก่เร็วอีกต่างหาก..!

    คราวนี้การที่เราจะเข้าถึงคำว่าธรรมดาได้ อันดับแรกเลยต้องมีศีล ไม่ว่าใครจะรักษาศีล ๕ หรือว่าศีล ๘ เป็นปกติ ถ้าเป็นสามเณรก็ศีล ๑๐ เป็นพระก็ศีล ๒๒๗ ต้องพยายามรักษาทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ การที่เราระมัดระวังสิกขาบทของตนเองไม่ให้บกพร่อง สมาธิย่อมเกิดได้ง่าย เพราะใจจดจ่อแน่วแน่อยู่กับการกระทำของตนเอง

    ถ้าสมาธิทรงตัวได้ระดับ ปัญญาก็จะเกิดขึ้น เนื่องเพราะว่าสภาพจิตของเราเมื่อสงบระงับ ก็เหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำที่กระเพื่อมอยู่ เราจะมองอะไรเห็นไม่ถนัด แต่พอน้ำนิ่ง ก็จะสะท้อนสิ่งต่าง ๆ รอบข้างลงไปเหมือนกับของจริงทุกประการ เราก็จะมีปัญญาแยกแยะว่าต้นเหตุเกิดมาจากอะไร แล้วแก้ไขตรงนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็จะสามารถแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปได้โดยง่าย

    ในเมื่อปัญญาเกิดขึ้น ก็จะไประมัดระวังศีล ยิ่งระมัดระวังศีล สมาธิยิ่งทรงตัว สมาธิยิ่งทรงตัว ปัญญายิ่งเกิด ลักษณะเหมือนกับเราไขน็อต ยิ่งไขก็ยิ่งสั้นไปทุกที ๆ จนกระทั่งท้ายที่สุดก็ไขจนสุดน็อตตัวนั้นไปเลย

    ดังนั้น..
    ในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา จึงต้องเป็นหลักในการปฏิบัติของเรา ส่วนใหญ่แล้วพวกเราหลักลอย บางคนทำอยู่เต็ม ๆ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไร ?! บางคนเรียกไม่ถูกเสียด้วยซ้ำไป แต่ถ้าหากว่าเรียกไม่ถูกแล้วทำถูก ก็ยังพอให้อภัยได้

    ดังนั้น..การที่เราจะมีสติ สมาธิ ปัญญา เพียงพอที่จะรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางโลก หรือว่าแก้ไขปัญหาทางธรรม จึงเป็นเรื่องของการที่ต้องขยันหมั่นเพียร ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ รักษาอารมณ์ไว้ให้ได้กับเราให้นานที่สุด ความก้าวหน้าถึงจะมีขึ้นตามลำดับไป


    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     

แชร์หน้านี้