เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 กันยายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพได้เดินทางไปยังสำนักปฏิบัติธรรมอนันต์บูรพาราม บ้านมาบฟักทอง ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เจอฝนกระหน่ำไปตลอดทางจนกระทั่งมาถึงพัทยาใต้ กำลังสงสัยว่าทำไมมีรถวิ่งสวนเลนกลับมา ? พอเลยไปเล็กน้อยก็พบว่าน้ำท่วมสูง มีแต่รถใหญ่ ประมาณว่ารถสิบล้อหรือว่ารถสิบแปดล้อถึงจะวิ่งผ่านได้ ที่พอจะผ่านได้อีกประเภทก็อย่างเช่น พวกรถกระบะยกสูง

    เรื่องพวกนี้ท่านที่ขับรถสวนเลนกลับมา ถึงแม้ว่าจะอันตรายมาก แต่ก็ถือว่าทำถูกแล้ว เพราะว่าถ้าหากเครื่องดับกลางน้ำ แล้วน้ำเข้าไปภายในเครื่องก็เป็นอันว่าจบกัน..! เพราะว่าทันทีที่น้ำผสมกับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเครื่องจะกลายเป็นสีเหมือนกับนมข้น แล้วก็ทำให้การหล่อลื่นหมดสภาพลง มีสิทธิ์เครื่องพังได้ง่ายมาก กว่าที่จะแก้ไขได้ ก็ต้องถอดเครื่องออกมาล้างกัน ใช้เวลาเป็นวัน ๆ

    กระผม/อาตมภาพเคยเสี่ยง แต่ด้วยความมั่นใจ ช่วงนั้นเดินทางผ่านเขตอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณว่าเลยช่วงโรงน้ำตาลมาแล้ว มีน้ำท่วมหลากข้ามถนน สูงขนาดถึงขอบประตูของรถกระบะ แล้วก็ไม่ใช่ขอบประตูล่าง แต่เป็นขอบประตูบน..! แปลว่าเหลืออีกประมาณครึ่งคืบก็จะท่วมรถทั้งคันอยู่แล้ว

    บรรดารถต่าง ๆ ติดนิ่งบนถนนกันหมด รถคันของกระผม/อาตมภาพเองใช้วิธีเลาะซ้ายไปเรื่อย ด้วยสาเหตุที่สงสัยว่าทำไมรถติดได้ขนาดนี้ ? เมื่อไปถึงตรงแถวหน้าสุดถึงได้เห็นว่าน้ำท่วมสูงถึงขนาดนั้น ก็คือถ้าเปรียบกับรถสิบล้อแล้ว ก็สูงท่วมถึงขอบกระบะล่างของรถสิบล้อ..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    เหตุที่ทราบเช่นนั้นก็เพราะว่ามีรถสิบล้อคันหนึ่งออกตัวลุยนำหน้าไป กระผม/อาตมภาพจึงตัดสินใจบอกพระครูแสง (พระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล) ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้บวชและมาช่วยทำหน้าที่พลขับอยู่ บอกว่าจี้ติดท้ายไปเลยอย่าให้ห่าง พระครูแสงก็ทำได้อย่างใจ ก็คือจี้ติดท้ายรถสิบล้อที่วิ่งนำอยู่ด้านหน้า

    รถสิบล้อทำหน้าที่แหวกน้ำออกไป รถกระบะของกระผม/อาตมภาพก็อาศัยไหลเกาะตูดรถสิบล้อไป โดยที่ภาวนาอย่างเดียวว่า "เอ็งอย่าหยุดเป็นอันขาด..!" หรือ "เอ็งอย่าเบรกเป็นอันขาด..!" เพราะว่าทันทีที่รถสิบล้อหยุดหรือเบรก สายน้ำที่โดนแหวกออกก็จะกลับมารวมกันเหมือนเดิม รับประกันได้ว่ารถกระบะที่กระผม/อาตมภาพนั่งอยู่ มีหวังลอยทั้งคัน..!

    แล้วก็สามารถผ่านไปได้แบบใจหายใจคว่ำ โดยที่ไม่มีใครกล้าตามมาแม้แต่คันเดียว เนื่องเพราะว่ารถที่อยู่คันด้านหน้าทั้งหมดตอนนั้นเป็นรถเล็ก แม้กระทั่งรถกระบะก็ไม่กล้าตามไป รถสิบล้อคันที่วิ่งน้ำหน้า เมื่อดูดรถของกระผม/อาตมภาพไปจนกระทั่งพ้นบริเวณน้ำท่วมแล้ว ก็วิ่งไปตามปกติของเขา ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านทั้งหลายที่ติดอยู่ทางด้านหลัง และไม่กล้าติดตามมานั้น ใช้เวลารอกี่ชั่วโมงกว่าที่น้ำจะลดลงในระดับที่รถเล็กสามารถผ่านได้

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายขับรถลุยน้ำ แล้วระดับน้ำสูงถึงขนาดท่วมท่อไอเสีย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพยายามเลี้ยงเครื่องไว้อย่าให้ดับ เพราะว่าทันทีที่ดับ น้ำจะทะลักเข้าทางท่อไอเสีย ไปถึงห้องเครื่อง แล้วก็จะเกิดอาการน้ำมันเครื่องกลายเป็นน้ำนม อย่างที่ได้บอกกล่าวไปแล้ว

    เรื่องเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่
    กระผม/อาตมภาพพบเห็นมาด้วยตนเอง และไม่แนะนำให้ใครปฏิบัติตาม เพราะว่าเวรกรรมของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน กระผม/อาตมภาพในตอนนั้น อาจจะไม่ได้อยู่ในช่วงที่เวรกรรมส่งผล แต่ถ้าท่านทั้งหลายไปปฏิบัติตาม ถ้าหากว่าอยู่ในวาระที่วิบากกรรมส่งผลให้ ก็อาจจะทำให้รถคันหน้าเบรก หรือว่าหยุด แล้วท่านทั้งหลายก็จะเดือดร้อนกว่าที่คิด..!

    เพราะว่าน้ำที่ไหลผ่านถนนตอนนั้นแรงมาก มีหวังได้ลอยตามน้ำไป ไม่ทราบว่าจะต้องไปเก็บรถของตนเองคืนที่ไหน ? แล้วถ้าหากว่าพลาดพลั้ง ปล่อยให้น้ำเข้ารถได้ ขนาดเบาก็เป็นอันว่าพังยับทั้งคัน ถ้าขนาดหนักก็อาจจะต้องจมน้ำเสียชีวิตไปเลย

    เมื่อฝ่าสายน้ำไปจนถึงสำนักปฏิบัติธรรมอนันต์บูรพาราม ก็ได้เข้าไปภายในมณฑลพิธี ได้แต่ยืนสวัสดีทักทายท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย (พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ.) ที่ปรึกษาเจ้าจังหวัดสระบุรี เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) และหลวงพ่อบุญส่ง (พระครูสังฆรักษ์บุญส่ง อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดเขาแร่ในพระสังฆราชูปถัมภ์ อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ซึ่งทั้ง ๒ รูปมาถึงในพิธีก่อนแล้ว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงตาท่านได้ "แซว" ว่า ตอนนี้กระผม/อาตมภาพไม่ยอมคุกเข่าให้ใครอย่างเด็ดขาด..! ท่านที่ไม่รู้ก็อาจจะเข้าใจว่าหยิ่งมาก แต่ความจริงก็คือเล็บหัวแม่เท้าหลุด ทำให้ไม่สามารถที่จะคุกเข่าลงไปได้ กระผม/อาตมภาพรับหน้าที่บวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย เจิมเทียนชัย จุดเทียนชัย แล้วก็เริ่มเข้าสู่พิธีการพุทธาภิเษก

    พระครูโก้ (พระครูสังฆรักษ์ฬัสวัชร์ ฐิตสีโล) เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมอนันต์บูรพาราม ท่านก็ยึดหลักตามแบบของหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คืออาศัยคุณพระรัตนตรัยเป็นหลัก จึงได้นำญาติโยมทั้งหลายที่มาร่วมพิธี เจริญบทสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณตามกำลังวัน แล้วต่อด้วยพระคาถาเงินล้าน

    ส่วนกระผม/อาตมภาพเมื่อเข้าสู่อาสนะที่เขาจัดไว้ ก็กำหนดจิตขึ้นไปกราบขอบารมีพระ เห็นภาพพระพุทธนิมิตหน้าตักใหญ่ถึง ๒๐ วา ครอบลงมาบริเวณพิธี เป็นอันว่าศาลาทั้งหลังอยู่ตรงกลางองค์พระพอดิบพอดี เมื่อกระผม/อาตมภาพกำหนดใจต่อไปอีก ก็เห็นพระรัศมีสีทองสว่างไสว พุ่งเป็นลำลงมาเต็มบริเวณพิธี

    ก่อนหน้านี้บางที
    กระผม/อาตมภาพก็เห็นเป็นรูปองค์พระบ้าง บางทีก็เห็นเป็นแสงสว่างบ้าง แต่ว่าไม่ได้สงสัยอะไร แต่ว่าพอดีวันนี้นั่งอยู่ข้างพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางด้านขวานั้นท่านปู่ท่านย่า พร้อมกับพี่ ๆ หลายท่านนั่งอยู่ กระผม/อาตมภาพจึงได้กราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า "ทำไมบางทีกระผมถึงเห็นเป็นภาพพระพุทธนิมิต ทำไมบางทีถึงเป็นแสงสว่างครับ ?"

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านหัวเราะ แล้วเมตตาตอบว่า "แกมันโง่เอง..! เรียกง่าย ๆ ว่า "มีของ..ใช้เป็น" แต่ไม่เข้าใจว่าตนเองใช้อะไร การที่แกเห็นเป็นภาพพระพุทธนิมิตเป็นการใช้ทิพจักขุญาณทั่วไป แต่การที่แกเห็นเป็นแสงสว่างนั้น เป็นทิพจักขุญาณในเจโตปริยญาณ ซึ่งแกเคยใช้ดูสีดูจิตทั้งของตนเองและผู้อื่น"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    คราวนี้ด้วยความที่ฝึกฝนญาณ ๘ มาครบถ้วน ทำให้บางทีการใช้ก็เร็วจนกระทั่งตนเองลืมไปว่าใช้ไปในลักษณะอะไร ต้องบอกว่าญาณ ๘ นั้น หลัก ๆ เลยคือทิพจักขุญาณ เมื่อได้ทิพจักขุญาณแล้ว

    ถ้าหากว่าท่านใช้ในการดูอดีต เขาเรียกว่า อตีตังสญาณ

    ถ้าใช้ในการดูอนาคต เขาเรียกว่า อนาคตังสญาณ

    ถ้าใช้ในการดูปัจจุบันว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ไหนในทุกมุมโลก หรือว่าในภพภูมิอื่น ๆ เขาเรียกว่า ปัจจุปันนังสญาณ

    ถ้าใช้ในการระลึกชาติเรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ

    ถ้าใช้ในการดูว่าคนและสัตว์ ก่อนเกิดมาจากไหน ถ้าตายแล้วจะไปไหน เรียกว่า จุตูปปาตญาณ

    ถ้าหากว่าใช้ในการพินิจพิจารณาดูว่า คนและสัตว์แต่ละรายสร้างกรรมอะไรไว้ ถึงเวลาจะได้รับผลกรรมอย่างไร เขาเรียกว่า ยถากัมมุตาญาณ

    ซึ่งในส่วนของญาณ ๗ อย่างนี้ก็คือทิพจักขุญาณทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเปลี่ยนวิธีการใช้ไปเท่านั้น

    กระผม/อาตมภาพเมื่อกระจ่างแจ้งแล้ว ก็ยังวอนหาไม้เท้าด้วยการถามต่อไปว่า "แล้วการดูหวยละครับ ?" พระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตาตอบว่า "เป็นการใช้ทิพจักขุญาณในอนาคตังสญาณ แกจะดูไปนานกี่งวด ก็ระบุให้ชัดเจนด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วมีโอกาสโดนหลอกสูงมาก อย่างเช่นถามว่า หวยจะออกอะไร สมมติท่านบอกว่า ๓ แล้วเราเองไปแทง ปรากฏว่าผิด..! ก็เพราะเราไม่รอบคอบ ไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นหวยของงวดไหน วัน เดือน ปี อะไร เหล่านี้เป็นต้น"
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    ดังนั้น...ความรู้พิเศษที่ได้รับมาในวันนี้ก็คือว่า ญาติโยมทั้งหลาย ตลอดจนกระทั่งพระภิกษุสามเณรที่ได้ทิพจักขุญาณ ถ้าหากว่าท่านกำหนดใจดู แล้วเห็นเป็นภาพพระพุทธนิมิตบ้าง เห็นเป็นรูปคนรูปสัตว์บ้าง ท่านก็เข้าใจได้ว่านั่นคือการใช้ทิพจักขุญาณเป็นหลัก แต่ถ้าหากว่าท่านเห็นเป็นแสงสว่าง เป็นดวง เป็นเส้น เป็นขีด เป็นแผ่น เป็นผืน ให้เข้าใจว่านั่นเป็นการใช้ทิพจักขุญาณในเจโตปริยญาณ เป็นต้น

    เมื่อพระท่านตรัสว่า "เต็มแล้ว ให้กลับลงไปได้" กระผม/อาตมภาพก็กราบลาทุกท่าน ลงมาทำน้ำมนต์พรมรอบพิธี โปรยดอกไม้ถวายเป็นพุทธบูชา นั่งรับศรัทธาญาติโยมทั้งหลายที่มาร่วมบุญด้วย แล้วก็มอบคืนให้ท่านพระครูโก้ เพื่อนำเอาไว้ใช้จ่ายในสำนักปฏิบัติธรรมอนันต์บูรพารามแห่งนี้ แต่ว่าพระครูโก้รวบถวายกลับคืนมาทั้งหมด บอกว่า "ร่วมสร้างวิทยาลัยสงฆ์กับหลวงพ่อครับ"

    แล้วกระผม/อาตมภาพก็ได้บอกลาพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัยและหลวงพ่อบุญส่ง เดินทางกลับทันที เพราะว่าวันอาทิตย์นั้น ถ้าหากว่าท่านกลับช้า บรรดาผู้ที่ไปเที่ยวตั้งแต่วันเสาร์แล้ว โดยเฉพาะในเส้นทางภาคตะวันออกก็ดี ภาคตะวันตกก็ดี ก็จะประเดประดังกันกลับ ท่านใดที่เคยกลับหลังบ่าย ๒ โมงมาแล้ว ก็อาจจะพบกับความ "โหด" ของการจราจร ซึ่งกระผม/อาตมภาพเคยพบมาแล้ว

    ตอนนั้น
    กระผม/อาตมภาพเพิ่งบวชได้ไม่กี่พรรษา ไปวัดสนามรัตนาวาส ที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง แล้วขากลับมาติดแบบนิ่งสนิทมาก..! โชคดีที่ว่าหลังจากที่ขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์แล้ว ก็มีรถฉุกเฉินคันหนึ่งวิ่งขอทางมา จึงอาศัยเกาะท้ายเขาไป จนกระทั่งถึงสถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่ง ก็รีบวิ่งเข้าไปห้องน้ำ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าติดอยู่บนถนนมาหลายชั่วโมง ด้วยเหตุที่รถยนต์ประเดประดังกันกลับจากวันหยุดยาว

    แล้วภาพที่คิดไม่ถึงก็คือ รถทัวร์ซึ่งมีคนแห่กันลงมาเพื่อเข้าห้องน้ำนั้น มีสาวสวยท่านหนึ่งที่ต่อแถวเข้าห้องน้ำอยู่นั้น ใส่กางเกงยีนส์สีซีด ๆ แต่ว่ากางเกงยีนส์มีสีเข้มเป็นทางลงไปตามขาของตนเอง ก็ทำให้รู้สึกว่าน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ขนาดที่มาถึงแล้ว ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าห้องน้ำได้ทัน..!

    ดังนั้น...ในเรื่องของการขับรถในระหว่างน้ำท่วมก็ดี ในเรื่องของการใช้ทิพจักขุญาณก็ดี ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...