เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 8 พฤษภาคม 2022.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ก่อนอื่นก็ขอต้อนรับคณะแรลลี่เที่ยวชุมชนยลวิถี ครั้งที่ ๑ จากเว็บเพจกิฟท์จังพลังเวทย์ ที่พวกเราส่วนใหญ่แล้วซื้อทัวร์มาก็เพื่อที่จะมาวัดท่าขนุนโดยเฉพาะ
คราวนี้ในการจัดทัวร์ โดยปกติแล้วก็คือไปเที่ยวสนุกเฮฮากัน ซึ่งหลายคนใช้คำว่า ไปเติมพลังให้ชีวิต แต่ถ้าหากสำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้วก็คือ ไปให้สิ้นเปลืองพลังชีวิต..!
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้ว ในระยะต้น เราต้องสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นจุดรั่วไหลของพลังงานที่จะส่งเราให้พ้นจากโลกนี้ ก็คือนักปฏิบัติธรรมที่ดีต้องปฏิบัติโดยหวังความหลุดพ้นเป็นหลัก
คราวนี้เรามาดูว่า ถ้าหากว่าอเมริกาจะส่งจรวดขึ้นสู่วงโคจร ต้องใช้ไนโตรเจนเหลวหลายร้อยหลายพันตัน คิดเป็นเงินกี่หมื่นกี่แสนล้านก็ไม่รู้ ? แล้วก็ขึ้นไปได้แค่วงโคจรของโลก ซึ่งถ้าไกลกว่านั้นก็คือจะเป็นสุริยจักรวาล ถ้าเราต้องการให้พ้นจากนั้น ก็ต้องหาเชื้อเพลิง หาพลังงานอีกนับไม่ถ้วน เพื่อที่จะส่งตัวเองให้พ้นจากสุริยจักรวาล ก็จะไปติดอยู่ที่แกแล็กซี่ทางช้างเผือก
ถ้ายังมีความสามารถที่จะหางบประมาณมหาศาล ขนาดใช้พลังงานส่งตนเองหลุดจากกาแล็กซี่ทางช้างเผือกไปได้ เราจะไปติดอยู่ในเอกภพคือ Universe ที่ประกอบไปด้วยแกแล็กซี่ต่าง ๆ นับไม่ถ้วน แต่ละแกแล็กซี่ก็ประกอบไปด้วยหมู่ดาวที่นับไม่ถ้วน ประกอบไปด้วยระบบสุริยจักรวาลนับไม่ถ้วน
ถ้าเราสามารถพ้นจาก Universe หรือเอกภพไป ก็เพิ่งจะแตะชายขอบของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาเท่านั้น แต่ว่าถ้าหากเราเป็นบุคคลที่มั่นคงในทาน ในศีล ในภาวนา เราก็จะมีคติที่แน่นอน
ถ้าให้ทานในระดับตัดชีวิต ก็คือสามารถสละให้แก่คนอื่น สัตว์อื่นได้ แม้ตัวเองต้องตาย เราก็จะไปได้ถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ถ้าหากว่าเรารักษาศีลได้มั่นคง ต่ำสุดก็เป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เช่นกัน แต่ถ้าศีลเรามั่นคงทรงตัวระดับเคยชิน ขยับตัวเมื่อไร รู้ว่าศีลจะขาด ถ้าอย่างนั้นสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นเราไปได้หมด แล้วถ้ายังมีสมาธิประกอบ เราสามารถไปยังพรหมโลกได้ ถ้าใครสร้างอรูปฌานให้เกิด ก็ไปยังอรูปพรหมได้อีก ท้ายที่สุดถ้าไม่นิยมการเกิด เราก็จะปลดตนเองจากวงโคจรทั้งปวง หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน -
แต่คราวนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า บุคคลที่สามารถล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ถ้าเปรียบไปแล้วเหมือนกับเขาวัว วัวตัวหนึ่งมี ๒ เขา ต่อให้พิการขนาดไหนก็คงมีไม่เกิน ๓ เขา ๔ เขา แต่บุคคลที่ไม่ประสบความสำเร็จ ปฏิบัติธรรมแล้วอาจจะผิดวิธีบ้าง หลงทางบ้าง ไม่สามารถหลุดพ้นได้ ท่านบอกว่ามากมายมหาศาลเหมือนกับขนวัว
เหตุหนึ่งที่ผิดวิธีก็คือ เราขาดการสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พอถึงเวลาตาอยากเห็นรูป เราก็รีบไปหาให้ พอเห็นแล้วรู้สึกสดชื่น ยิ่งถ้าได้เซลฟี่ไปลงเฟซบุ๊กหรือว่าลงอินสตราแกรมอวดชาวบ้านเขา ก็ยิ่งสดชื่นหนักเข้าไปอีก
หูอยากได้ยินเสียง จมูกอยากได้กลิ่น ลิ้นอยากได้รส กายอยากได้สัมผัสที่ถูกต้องที่ชอบใจ เราก็หาให้ ก็แปลว่าพลังงานที่จะส่งตัวเราให้พ้นโลก รั่วไหลหมดเกลี้ยงทุกครั้ง..!
ดังนั้น...หลายท่านปฏิบัติธรรมมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วไม่ได้อะไรเลย ก็เพราะว่าเราไม่ได้ทะนุถนอมพลังงานที่เราสรรหามาได้ โดยใช้ให้สิ้นเปลืองไปโดยใช่เหตุทุกครั้ง
ในเมื่อกำลังไม่พอ อย่างที่เปรียบเทียบไว้ตอนแรกว่าเราต้องใช้พลังงานนับไม่ถ้วน ราคามากมายมหาศาล แต่สามารถพาตัวเองไปได้แค่วงโคจรของโลกเท่านั้น แล้วจากโลกก็ยังเป็นสุริยจักรวาล จากสุริยจักรวาลเป็นดาราจักรทางช้างเผือก จากดาราจักรทางช้างเผือกยังเป็นเอกภพ หลุดจากเอกภพ เราถึงจะไปแตะชายขอบของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ที่เป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุดได้
ดังนั้น...ในส่วนที่เราทั้งหลายมา โดยที่ไปเที่ยวแรลลี่ ถ้าเป็นสมัยกระผม/อาตมภาพยังหนุ่มอยู่ เขาว่า "ไปเถิดเทิง" ย่อมทำให้พลังงานรั่วไหลหมด แล้วทำไมเรารู้สึกสดชื่นรื่นเริง ? แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าได้เติมพลัง ?
ก็เพราะว่ามันคือวิญญาณาหาร อาหารที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องการ สังเกตดูว่าถ้านักโทษเด็ดขาดโดนขังเดี่ยวในห้องมืด บางคนเฉาตายไปเลย เพราะว่าขาดอาหารทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจที่ควรจะได้
แต่อย่าลืมว่าแม้แต่อาหารปกติ คือข้าว กับ น้ำ ขนมที่เรากินอยู่ ก็สร้างความสิ้นเปลืองให้แก่เรานับไม่ถ้วน ยิ่งระยะนี้ข้าวของยิ่งแพง แล้วถ้าหากว่าอาหารทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็ยิ่งแพงมากเข้าไปใหญ่ เพราะว่าเราต้องสนองความต้องการของกิเลส หูได้ยินเสียงเพราะ ๆ สดชื่นรื่นเริงกระชุ่มกระชวย โดยที่ถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติจริง จะไม่รู้ว่าเราเปิดประตูรับข้าศึกเข้าบ้านแล้ว จะปล้นเราหมดตัวแล้ว..! -
แต่ตรงนี้กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ตั้งความหวังกับญาติโยมทุกคน เพราะว่าปุถุชนคือบุคคลทั่ว ๆ ไปต้องเป็นแบบนี้ ขออย่างเดียวแค่ว่าให้ศีล ๕ ครบถ้วนสมบูรณ์ก่อน หลังจากนั้นใครจะปฏิบัติสมาธิภาวนา หรืออยากพ้นจากกองทุกข์ค่อยมาสอบถามกันอีกทีหนึ่ง
ก็คือเราค่อย ๆ ก้าวไปทีละขั้น เป็นเด็กเริ่มเข้าเรียนหนังสือ ก็ต้องเริ่มจากชั้นอนุบาล ๑, ๒, ๓ ก่อน แล้วค่อย ป.๑, ป.๒, ป.๓, ป.๔, ป.๕, ป.๖ แล้วค่อยไปเป็นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑, ๒ ,๓ ,๔ ,๕ , ๖ จากนั้น เราถึงจะเข้าเรียนในระดับปริญญาตรีได้
ถ้าหากว่านับพระโสดาบันเป็นระดับปริญญาตรี พระสกทาคามีเป็น Diploma ของปริญญาโท พระอนาคามีเป็นปริญญาโท และพระอรหันต์เป็นปริญญาเอก ของพวกเรายังห่างจากนั้นมากนัก
ดังนั้น...การที่เราจะมาเที่ยวรื่นเริง หาพลังงานให้แก่ชีวิต เพื่อที่จะกลับไปทำหน้าที่ของตนให้ดีกว่าเดิม ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องในระดับปุถุชนทั่วไป เพียงแต่ว่าถ้าเราตั้งความหวังเอาไว้ว่าเราจะปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้ากว่านี้ เราก็ต้องระมัดระวัง สำรวมตน ซึ่งถ้าในระยะแรก ๆ ก็จะแปลกแยกจากสังคม เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วก็คือระมัดระวัง กาย วาจา ใจ ของตนไม่ให้ผิด ไม่ให้พลาด
ในเมื่อพวกเราถือว่าทำดีแล้ว ทำถูกแล้วในระดับของปุถุชน ยังต้องรับผิดชอบครอบครัว บางคนก็พาพ่อแม่มาด้วย บางคนก็พาลูกเมียมาด้วย ถือว่าเราได้ทำหน้าที่ปุถุชนของเราโดยสมบูรณ์
แต่ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะตักเตือนพวกเรา ในฐานะบุคคลผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ก็คือว่าอีกประมาณไม่ถึงเดือน บ้านเราจะเจอทั้งพายุและฝนหนักมาก ถ้าหากว่าใครอยู่ที่ลุ่ม มีข้าวของอะไรจะน้ำท่วมเสียหาย ก็ต้องตระเตรียมโยกย้ายเอาไว้ ถ้าไม่เกินกำลัง หาเรือเล็ก ๆ ไว้สักลำได้ก็ดี
-
ประการต่อไปก็คือ เศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่อยู่ จะโดนซ้ำเติมหนักยิ่งขึ้นจากเงินเฟ้อเกือบทุกประเทศ และจากข้าวปลาอาหารที่แพงขึ้น พลังงานแพงขึ้น เราต้องรู้จักเตรียมพร้อมในระดับหนึ่งว่า จะรับมืออย่างไรให้ตนเองเดือดร้อนน้อยกว่าคนอื่น ?
อีกส่วนหนึ่งก็คือ ถ้าเศรษฐกิจไปไม่ได้ ตลาดหุ้นก็เจ๊งไปด้วย ตัดใจ ตัดขาดทุนได้ ก็เจ็บตัวน้อย ตัดขาดทุนไม่ได้ก็เจ็บตัวมาก โดยเฉพาะพวกที่เล่นบิตคอยน์ ที่อาตมาเห็นผิดทุกทีว่า "บิตดอย" หรือ "ติดดอย" นั่น สายตาคนแก่เห็น ค.ควาย เป็น ด.เด็ก หมดเนื้อหมดตัวเอาง่าย ๆ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้มีมูลค่าที่แท้จริง
ถ้าหากว่าเป็นคำพูดอมตะของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร พระบิดาแห่งสหกรณ์ของไทยเรา ท่านกล่าวเอาไว้ว่า "เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาถึงเป็นของจริง"
ดังนั้น...เราต้องพิจารณาว่า ถ้าในระดับบุคคลทั่วไปอย่างเรา สิ่งที่จำเป็นในชีวิตก็คือปัจจัย ๔ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค
ในส่วนที่อยู่อาศัย ถ้ามีแล้วก็ลืมไปได้เลย เพราะว่าอีกหลายสิบปีกว่าที่จะต้องซ่อมแซม หรือว่ากว่าที่จะต้องสร้างใหม่
เครื่องนุ่งห่มก็ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าจะใส่กันจริง ๆ เป็นเดือนก็ไม่ซ้ำ แต่มักจะบอกว่าไม่มีเสื้อผ้าจะใส่..นี่เกิดอะไรขึ้น ?
ยารักษาโรค ถ้าหากว่าเราซื้อใหม่ อยู่ได้ถึง ๔ ปี และที่แน่ ๆ ที่บอกว่าหมดอายุนั้น ยาไม่ได้หมดอายุ..หมดแต่ตัวเลข ถ้าจำเป็น ก็สามารถใช้งานต่อไปได้ -
ก็มีอย่างเดียวคือเรื่องของข้าวปลาอาหาร ถ้าพวกเราเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ หากะโหลกกะลา กระป๋อง ยางรถยนต์ กะละมังอะไรก็ได้ ปลูกพริก ปลูกตะไคร้ ปลูกต้นหอม ต้นกระเทียมอะไรไว้บ้าง อย่างละเล็กอย่างละน้อย ถึงเวลาก็ไม่ต้องไปเสียเงินให้แม่ค้า เพราะสมัยนี้ไปบอกว่าซื้อพริกขี้หนู ๕ บาท เขาบอกว่า "หยิบไม่ได้ค่ะ" อาตมาบอกว่า "ถ้าโยมหยิบไม่ได้ อาตมาหยิบเอง" แต่เขาร้องลั่น บอกว่า "ไม่ได้ค่ะ..มันแพง..!"
หาทางอย่างไรก็ได้ ถ้ามีที่มีทางของตัวเอง พยายามศึกษาเกษตรทฤษฎีใหม่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้วทำตามให้ได้มากที่สุด ถึงเวลาชาวโลกเขาเดือดร้อนกัน เราก็จะได้เดือดร้อนน้อยกว่าคนอื่น
อีกส่วนหนึ่ง ฝากถึงบุคคลที่มีญาติอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรปหรืออเมริกา หรือว่าท่านที่ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่ในขณะนี้ ก็คือถ้าหากว่าไม่ห่วงหน้าพะวงหลังจนเกินไป ก็เตรียมกลับบ้านเราเถอะ ถ้าเหตุการณ์รุนแรงกว่านี้ เดี๋ยวจะกลับไม่ได้ เรื่องอื่นพูดมากกว่านี้ก็คงจะลำบาก
ขออำนวยอวยพรให้คณะแรลลี่เที่ยวชุมชนยลวิถีิ ครั้งที่ ๑ จากเพจกิฟท์จังพลังเวทย์ของพวกเรา เดินทางไปกลับโดยสะดวก ปลอดภัยทุกประการ หากว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมแล้ว ก็ขอให้ความปรารถนาของทุกท่านจงสำเร็จ สัมฤทธิ์ผล สมดังมโนรถปรารถนาจงทุกประการด้วยเทอญ
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)