เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 22 กรกฎาคม 2023.

  1. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๘ หลัง ปีเถาะ วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำอย่างเดียวเรียกว่า "วันเสาร์ ๕" วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ เรียกว่า "วันเสาร์ ๕ กระทิงวัน" แรงขึ้นเป็น ๒ เท่า วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง เขาเรียกว่า "ตรีวัน" แรงเป็น ๓ เท่า เป็นวันที่ถือว่าเป็นวันแข็ง เหมาะที่จะใช้ในการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลทั้งปวง

    แต่คราวนี้ตามสายครูบาอาจารย์ของเรา ท่านกำหนดเป็นวันไหว้ครูประจำปี ก็อย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นมาตั้งแต่ช่วงเช้า และวันเสาร์ ๕ ครั้งนี้ได้รับอนุญาตให้เป่ายันต์เกราะเพชรเพื่อสงเคราะห์แก่ญาติโยมด้วย

    เมื่อครู่นี้ท่านทั้งหลายสวดมนต์ทำวัตร ถือว่าจังหวะเริ่มได้อย่างที่กระผม/อาตมภาพต้องการแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเราสวดกันเร็วจนเกินไป การสวดมนต์นั้น พวกเราต้องตั้งใจประกอบไปด้วยเมตตาธรรม ต้องการจะสงเคราะห์แก่สรรพสัตว์จริง ๆ ก็คือเสียงสวดของเราสามารถแผ่ไปได้กี่โลกธาตุ ก็ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นได้รับประโยชน์ ได้รับความสุขด้วย ท่านที่อยู่ในกองทุกข์ ก็ขอให้ล่วงพ้นจากกองทุกข์ ท่านที่มีความสุข ก็ขอให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    กระแสที่ส่งออกไปพร้อมกับเสียงสวดต้องไปด้วยกัน ลักษณะเหมือนกับสายน้ำไหลเอื่อย ๆ ไปเรื่อย ไม่ได้สนใจว่าสองฝั่งน้ำจะมีใครดีใครชั่ว ตั้งใจอยู่อย่างเดียวว่าผู้ใดสามารถรับประโยชน์ได้ ก็ขอให้เขาเหล่านั้นได้รับ ถ้าสามารถสวดในลักษณะอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจะพัฒนาตนเองขึ้นไปได้อีกหลายขั้น หลังจากนั้นจะพัฒนาไปเป็นการสวดมนต์เพื่อสร้างทิพจักขุญาณ สวดมนต์เพื่อทรงฌานสมาบัติ หรือว่าจะสวดมนต์เพื่อความหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อทำได้แล้วจะค่อย ๆ ควานหาเจอเอง

    สำหรับวันนี้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในงานของเรา ส่วนใหญ่เกิดจากความดื้อด้านและเห็นแก่ตัวของบุคคล ก็คือจะเอาสบายอย่างเดียว ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติของสัตว์โลก สำคัญที่ตัวเราก็คือ เรากระทบแบบนั้นแล้ว รักษากำลังใจไว้ได้ไหม ? ยินดียินร้ายไปกับความดื้อด้านของชาวบ้านเขาหรือเปล่า ?
     
  3. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ส่วนปัญหาอื่น ๆ อย่างเช่นว่าทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดับไฟ ท่านทั้งหลายติดต่อเครื่องไฟฟ้าสำรองเอาไว้ ก็ถือว่าแก้ไขหน้างานได้ดี หรือว่าเรื่องของลำโพง ที่ถึงเวลาแล้วจะช้าจะเร็วก็ไม่เสีย มาเสียในช่วงที่จะใช้งาน เราก็แก้ด้วยการใช้ลำโพงสำรองมา ก็ถือว่าในส่วนต่าง ๆ นี้ทำได้ดี เรื่องของโรงทาน เรื่องของการดูแลความสะอาด ทั้งการเก็บขยะและห้องน้ำ ก็นับว่าใช้ได้

    มีอยู่อย่างเดียวคือเรื่องของการจราจร ตอนที่พวกท่านทั้งหลายปรึกษากันนั้น กระผม/อาตมภาพไม่อยู่ เมื่อให้เลี้ยวซ้ายออกจากศาลา ๑๐๐ ปีฯ
    กระผม/อาตมภาพเห็นเลยว่าปัญหาเกิดแน่นอน แต่ต้องปล่อยให้เกิด ไม่อย่างนั้นแล้วพวกท่านก็จะมั่นใจว่าสิ่งที่คิดนั้นถูก คนเราร้อยละ ๘๐ ถนัดขวา แล้วพอเลี้ยวขวาก็จะมีประตูให้ออกเลย แต่ท่านไม่ให้ออกทางด้านขวา ให้ไปเลี้ยวซ้าย ซึ่งไปผ่านตู้วัตถุมงคล ซึ่งใคร ๆ ก็จะหยุดดู คราวนี้ความบรรลัยก็เกิดขึ้น..! เพราะว่าจะไปติดกันอยู่แค่ตรงนั้น จนกระผม/อาตมภาพต้องให้ออกทางประตูด้านขวาแทน ถึงพอที่จะระบายกันออกไปได้บ้าง

    แล้วอีกขั้นตอนหนึ่งที่พลาด ก็คือไปจำหน่ายน้ำมนต์ก่อนการเป่ายันต์รอบแรก พอคนบูชาน้ำมนต์เสาร์ ๕ ไปก็วางไว้ข้างหน้าตัวเอง ที่นั่งหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ต่อให้เราบอกว่าให้แบกเอาไว้บนหน้าตัก ก็ไม่มีใครทำหรอก ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจำบาลีได้ อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ขึ้นชื่อว่าตนนั้น ฝึกยากจริงหนอ

    โบราณเขาบอกว่า "อันลิงค่างกลางป่าจับมามัด สารพัดหัดได้ดังใจหมาย เรานักเรียนครูเพียรสอนแทบตาย เกิดเป็นคนเอาดีไม่ได้ก็อายลิง" แต่ไอ้เจ้าพวกนี้แย่กว่าลิงตั้งเยอะ..! ไม่ว่าจะเอาอะไรไปเปรียบเทียบก็ไม่สามารถที่จะเปรียบได้หรอก

    เราต้องเข้าใจว่า สภาพจิตของบุคคลที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมมีความเห็นแก่ตัวเป็นธรรมดา อะไรที่เราสามารถแก้ไขหน้างานให้ดีขึ้นได้ ก็พยายามแก้ไขให้เต็มที่ ไม่ใช่ท้อใจจนทิ้งงานไปเลย แล้วลักษณะอย่างนั้นนี่
    ก็คือเราแพ้ กำลังใจไม่สามารถที่จะยืนระยะในการชนกับกิเลสของญาติโยมได้

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกกระผม/อาตมภาพอยู่อย่างหนึ่งว่า เรื่องของคันถธุระ นอกจากการศึกษาเล่าเรียน ก็คือการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามเหล่านั้น ถ้าใครทำใจได้ จะเข้าถึงมรรคผลเร็วมาก เพราะว่าเราพบกับการทดสอบอยู่ตลอดเวลา มีแรงกระทบทุกวัน ไม่มากก็น้อย เราถ้าไม่สิ้นสติ ก็คือระลึกรู้อยู่ว่าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม เราก็ต้องฉวยโอกาสเหล่านั้นในการขัดเกลาตนเอง ก็คือทำอย่างไรที่จะให้ กาย วาจา ใจ ของเรานี้ดีกว่าเมื่อวาน
     
  4. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    สิ่งที่มากระทบเป็นเครื่องทดสอบที่ดีที่สุด ว่าเราทำใจได้แค่ไหนแล้ว ถ้ารู้ว่าสู้ไม่ไหวจริง ๆ ก็ถอยหลังมาก่อน หายใจยาว ๆ สัก ๗ - ๘ ครั้ง แล้วก็กลับมาใหม่ "วันนี้แพ้เอ็ง..ข้าไม่ว่า พรุ่งนี้ข้าจะชนะให้ได้" เหมือนกับเอากิเลสไปชน แต่ไม่ใช่..นั่นเป็นอธิษฐานบารมี คือความตั้งใจ และวิริยบารมีคือความเพียร ในการที่เราต่อสู้กับกิเลส ถ้าไม่มีเครื่องวัด เราจะไม่รู้เลยว่าการปฏิบัติของเราไปถึงระดับไหนแล้ว

    หลายท่านพอถึงเวลานั่งกรรมฐาน จิตใจสงบเยือกเย็น มีความสุขมาก แล้วถ้าหากว่าสมาธิทรงตัวในระดับสูง กดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง นิ่งไปเลย เย็นกายเย็นใจ จนบอกเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ แล้วก็ไปคิดว่าตัวเองบรรลุมรรคผลแล้ว ทั้ง ๆ ที่เป็นโลกียฌานธรรมดา ๆ เพียงแต่ว่าฌานนั้นมีอำนาจในการดับ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ชั่วคราว เข้าถึงระดับต่ำก็ดับได้ไม่นาน เข้าถึงระดับสูง ถ้ารักษาเป็นก็ดับได้นาน ทำเอาคนหลงผิดไปมากแล้ว ว่าตัวเองเข้าถึงมรรคถึงผล หลายต่อหลายท่านที่อยู่ในป่า เมื่อออกมาสู่เมืองจึงพังกระจายหมด..!

    เมื่อวานนี้ตอนที่
    กระผม/อาตมภาพเข้าอบรมโครงการ Upskills การสอนวิชาพระพุทธศาสนา ท่านอาจารย์ ศ.ดร.วัชระ งามจิตรเจริญ ท่านบอกว่า ท่านมีคนรู้จัก เป็นอดีตพระธุดงค์ ทรงฌานและมีทิพจักขุญาณแม่นมาก ตอนที่ท่านอาจารย์เป็นสามเณร มีโอกาสได้กราบพบ ท่านทำนายอะไรไว้ ปัจจุบันนี้เป็นจริงตามนั้นหมด แต่ตอนนี้ท่านสึกไปนานแล้ว..! เห็นหรือยังว่านั่นคืออะไร ? นั่นก็คือเรื่องของบุคคลที่ปฏิบัติอยู่ป่า พอเข้าสู่เมืองมา ก็ทนกระแสกิเลสไม่ได้ พังลงมาในเวลาอันรวดเร็ว..!

    หรือถ้าอย่างในธรรมบท หลายท่านที่เป็นมหาเปรียญ แปลผ่านหรือว่าอ่านผ่านมาแล้ว ที่พระราชานิมนต์พระฤๅษีไปรับภัตตาหารในวังทุกวัน ปรากฏว่าวันนั้นพระฤๅษีเหาะผ่านเพื่อเข้าไปรับภัตตาหาร พระมเหสีได้ยินเสียงลมพัดเสียดสีกับหญ้าคากรองที่ฤๅษีครองอยู่ ก็ลุกขึ้นมาดู โดยที่ท่านลืมไปว่า ท่านเองไม่ได้มีเครื่องทรง เพียงเอาผ้าคลุมไว้เฉย ๆ ตอนนอน พอลุกขึ้นผ้าก็หลุด ฤๅษีเห็นเต็ม ๆ ตา ร่วงตุ้บเลย..!

    ก็เพราะว่ากิเลส รัก โลภ โกรธ หลง กำเริบขึ้นมาทันทีทันใดที่ตากระทบรูป สมาธิก็เลยพังทลาย แล้วฤๅษีก็ยังกล้าพอ ไปทูลบอกพระราชา ขอพระมเหสีไปเป็นภรรยาตัวเอง ช่างกล้านะ..! พระมเหสีกระซิบบอกพระราชาบอกว่า "ให้ไปเลย เดี๋ยวหม่อมฉันจะจัดการให้" พระราชาก็ยกพระมเหสีให้
     
  5. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366
    พระมเหสีเมื่อโดนฤๅษีพาเข้าป่าไป เอ้า..อันดับแรก สร้างกระท่อมที่อยู่อาศัยของเราก่อน ฤๅษีก็ต้องเร่งสร้างกระท่อม ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ไม่เคยทำมาก่อน เหนื่อยแทบรากเลือด..! เอ้า..ยังไม่มีเตียง วิ่งไปขอเตียงจากพระราชา ยังไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ วิ่งไปขอโต๊ะขอเก้าอี้จากพระราชา ยังไม่มีเครื่องเรือนเครื่องครัว วิ่งไปขอจากพระราชา ขอจนเริ่มได้สติว่า "นี่กูทำอะไรอยู่วะ !?"

    พระมเหสีถึงได้จับศีรษะที่ยังมุ่นมวยผมอยู่ ในลักษณะของนักบวช ลากเข้ามาแล้วถามว่า "ได้สติหรือยัง ?" ท่านจึงเกิดความละอายใจก็เลยตั้งใจเจริญสมาธิ จนกระทั่งได้ฌานสมาบัติ เหาะได้ตามเดิมก็แผ่นแนบ..! ตั้งแต่นั้นมาไม่กลับมาอีกเลย พระราชวังนี้กับเราขาดกันเสียที

    นั่นคือสิ่งที่บุคคลไม่เคยมีแรงกระทบให้ทดสอบ ทำให้ไม่สามารถที่จะยืนหยัดอยู่ได้ เมื่อถึงเวลาโลกธรรมหรือ รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามาถึง เป็นตัวอย่างที่ท่านทั้งหลายจะพึงดูเอาไว้ว่า วันนี้พวกเราทำงาน แบก รัก โลภ โกรธ หลง ไว้เท่าไร ? ไม่ได้บ่นแค่ญาติโยม บ่นเพื่อนฝูงยังไม่พอ บ่นตัวเองด้วย ให้รู้ว่าครั้งนี้เราขาดทุนแล้ว ครั้งต่อไปเราต้องทำให้ดีกว่านี้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม , ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย
     

แชร์หน้านี้