เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 ตุลาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ วันนี้วันเดียวมีการอบรมออนไลน์ประดังเข้ามา ๖ งาน..! แล้วยังจะต้องส่งสารพัดบัญชีและรายงาน เพราะว่าสิ้นปีงบประมาณ วันนี้เพิ่งจะทำบัญชีรับจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ จบลง

    ส่วนที่ยังเหมือนเดิมก็คือการทำบุญออนไลน์ ญาติโยมก็ยังคงมีความสุขกับการทำบุญทีละบาท...ทีละบาท หรือ ๙ บาท ๙๙ สตางค์ ก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมของอาตมาที่จะต้องมาค่อย ๆ ลงบัญชีทีละรายการ ก็เพราะว่าในเรื่องของการโอนเงินทำบุญทางคิวอาร์โค้ด หรือว่าทำบุญออนไลน์นั้นผูกอยู่กับสรรพากร เพื่อที่จะต้องเตรียมเสียภาษี ทุกบาททุกสตางค์จะต้องลงตามความเป็นจริงทั้งหมด

    อาตมาเคยขอร้องญาติโยมหลายครั้งแล้วว่า ถ้าอยากทำบุญวันละบาท ก็หยอดกระปุกให้ครบก่อนแล้วค่อยโอนมาสิ้นเดือน ๓๐ บาทเลย หรือไม่ก็ท่านที่ทำบุญ ๙ บาท ๙๙ สตางค์ ก็เพิ่มอีก ๑ สตางค์ให้เป็น ๑๐ บาท แต่ปรากฏว่าทุกท่านก็ยังคงมีความสุขที่ได้ทำบุญแบบนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็นเพราะอาตมาสร้างเวรสร้างกรรมไว้เยอะเอง..!

    อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า ระหว่างที่ทำบัญชีไป หูก็ฟังการอบรมไป เวลาอาจารย์ผู้อบรมถามอะไร ก็ต้องตอบให้ทัน ซึ่งเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่หนักใจ เพราะว่าฝึกการแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่างมาตั้งแต่ยังเป็นพระใหม่อยู่

    สมัยโน้นกระผม/อาตมภาพใช้วิธีภาวนาพระคาถาเงินล้าน กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย นับลูกประคำไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วย ซึ่งเราจะต้องรู้ว่าภาวนาไปกี่จบแล้ว แล้วเนื้อหาในหนังสือเป็นอย่างไร ลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วเป็นกีฬาสมาธิอย่างหนึ่ง เพราะว่าเราต้องซักซ้อมความคล่องตัวในการเข้าออกสมาธิ และแยกจิตเป็นหลาย ๆ ส่วน โดยเฉพาะยิ่งแยกทำงานหลายอย่างมากเท่าไร ก็ต้องกำหนดให้ชัดเจนทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเรามุ่งเน้นไปที่ใดที่หนึ่ง ส่วนอื่นก็จะไม่ชัดเจน หรือไม่ก็ลืมไปเลย

    เรื่องพวกนี้มีประโยชน์ตอนที่เราจะต้องทำงานหลายอย่างพร้อมกัน แต่ว่ามีโทษทีหลัง เพราะว่าถ้าท่านทำจนชินแล้ว ใจหนึ่งภาวนาอยู่ อีกใจหนึ่งก็ฟุ้งซ่านได้ แต่จะว่าไปแล้ววิธีแก้ก็ง่ายมาก เพราะว่าเราแค่กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างจริง ๆ จัง ๆ เท่านั้น แต่หลายท่าน เมื่อใจหนึ่งภาวนา ใจหนึ่งฟุ้งซ่าน ก็แก้ไม่ถูกว่าจะต้องทำอย่างไร

    เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ก็ไม่ได้มีความจำเป็น แต่กระผม/อาตมภาพเป็นคนที่ทำอะไรแล้ว ต้องทำให้ได้ดี แล้วถ้าทำให้ได้ดีแล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุด อย่างช่วงระยะประมาณ ๑ เดือนที่ผ่านมา พอมีแบบทดสอบมาก็เข้าไปทำ แบบไหนไม่ได้ ๑๐๐ คะแนนเต็ม อาตมภาพก็จะนั่งบ่น แล้วบรรดาคนที่ได้ยินก็จะโวยวายว่า ได้ตั้ง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ แล้วยังจะบ่นอีก ก็ด้วยความที่เคยชินว่าทำแล้วต้องได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ พอได้น้อยก็ต้องนั่งบ่นกันบ้าง

    ตรงจุดนี้ก็คือว่า ถ้าหากว่าเราพยายามกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของตนเองอย่างเดียว เพียงแต่ซักซ้อมการเข้าการออก การสลับระดับของสมาธิ การกำหนดเวลาในการเข้าสมาธิ ถ้าหากว่าทำพวกนี้ได้คล่องก็ถือว่าพอกินแล้ว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    แต่ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพทำอะไรแล้วต้องทำให้ดี ในเมื่อทำดีแล้วก็ต้องทำดีที่สุดด้วย กลายเป็นนิสัยเฉพาะตัว จึงได้เล่นโน่นเล่นนี่ไปเรื่อย แต่ว่าส่วนหนึ่งไปได้ดีทีหลัง ก็คือเมื่อเราแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ถึงเวลาภาวนากำหนดภาพพระ เราก็สามารถกำหนดได้หลาย ๆ องค์พร้อมกัน แล้วก็สามารถกำหนดให้ชัดเจนแจ่มใสได้เท่ากัน

    ตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับความขยัน ความอดทน ตั้งหน้าตั้งตาซักซ้อมทบทวนอยู่เสมอ ถ้าหากว่าไม่ขยัน ไม่อดทน ไม่ซ้อมเอาไว้บ่อย ๆ ก็สนิมขึ้น แล้วท้ายสุดหลายท่านก็จะเกิดอาการ "เคยปฏิบัติธรรม" มา

    คำว่า อาการเคยปฏิบัติธรรมมา ก็คือเคยทำได้ แต่ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว..! และถ้าต้องการคืน ก็จะเป็นเรื่องที่ยากมากด้วย เพราะว่าท่านทั้งหลายก็จะไปมุ่งใจว่า เคยได้อย่างนั้น เคยเป็นอย่างนั้น เราจะต้องได้อย่างนั้นอีก จะต้องเป็นอย่างนั้นอีก จนกลายเป็นความฟุ้งซ่าน กำลังใจไม่ทรงตัว ก็เลยไม่ได้เสียที

    จนกระทั่งบางคนถึงขนาดสรุปว่า ถ้าใครเคยทำสมาธิได้ดีแล้ว ต่อไปอย่าหวังอีกเลยว่าจะทำได้ เหตุที่เขากล้าสรุปเช่นนั้น ก็เพราะว่าเราไปฟุ้งซ่านอยากได้แบบนั้นอีก

    วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือทำใจสบาย ๆ ว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของมัน ถ้าทำใจลักษณะนี้ได้ กำลังก็จะหวนคืนมาเร็วมาก แต่ถ้าทำใจไม่ได้ เมื่อไร ๆ ก็ฟุ้งซ่าน อยากได้ อยากมี อยากเป็น โอกาสที่เราจะได้เหมือนเดิมก็เป็นเรื่องยาก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    ฉะนั้น..ถ้าหากว่าหลายท่านคิดที่จะทำอย่างที่กระผม/อาตมภาพทำ ก็คือการที่แยกจิตแยกกายทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ก็ให้เข้าใจว่ามีจุดบอด ก็คือต่อไปท่านทั้งหลายภาวนาอยู่ก็จะฟุ้งซ่านได้ ส่วนวิธีแก้ก็ง่ายมาก แค่กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้าเท่านั้นเอง

    ส่วนท่านที่ไม่ต้องการจะเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ เราก็มุ่งตรง ก็คือภาวนาจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัว มั่นคง แล้วก็ลองตั้งเวลาดู ว่าเราจะรักษาอารมณ์ใจไว้เท่านั้นนาที เท่านี้ชั่วโมง หลังจากนั้นก็สลับอารมณ์ขึ้นลง ให้กำลังใจของเราสูงสุด ต่ำสุด หรือว่าปานกลาง หมุนเวียนกันไป เข้าสมาธิให้ได้ทุกเวลาที่เราต้องการ และออกให้ได้ทุกเวลาที่เราต้องการ

    ถ้าหากว่าทำได้แค่นี้ เมื่อถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง จะกินใจของเรา เราก็เข้าสมาธิเสีย พริบตาเดียวก่อนที่ รัก โลภ โกรธ หลง จะกำเริบมากจนเป็นโทษแก่เรา ทันทีที่รู้ตัว เรามุ่งเข้าไปหาสมาธิ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ทำอะไรเราไม่ได้

    เมื่อรักษาตัวด้วยสมาธิได้แล้ว ก็พยายามใช้ปัญญาในการพิจารณาให้เห็นว่า รัก โลภ โกรธ หลง นั้น จริง ๆ แล้วก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นปกติ ถ้าเราไปส่งส่ายวุ่นวาย ไปตามสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เราก็เป็นทุกข์ แล้วท้ายที่สุด รัก โลภ โกรธ หลง ก็เป็นแค่สมบัติของร่างกาย
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    ตราบใดที่เรายังมีร่างกายอยู่ รัก โลภ โกรธ หลง ย่อมมีอยู่เป็นปกติ เพียงแต่เราอย่าไปปรุงแต่งเพิ่มเติม เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส อย่าไปฟุ้งซ่าน อยากมี อยากได้ อยากเป็น หยุดอยู่กับลมหายใจเฉพาะหน้าของเราเท่านั้น กิเลสทั้งหลายก็เกิดขึ้นไม่ได้แล้ว

    ดังนั้น...ในสิ่งที่กระผม/อาตมภาพทำ ท่านทั้งหลายไม่จำเป็นต้องเลียนแบบทั้งหมด แต่ว่าให้หยิบฉวยเอาในส่วนที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เอามาใช้งานแทน ไม่อย่างนั้นแล้ว ก็จะเสียเวลามาก
    พูดง่าย ๆ ก็คือ ครูบาอาจารย์เตรียมอาหารไว้พร้อมแล้ว มีหน้าที่ตักใส่ปากเท่านั้น ไม่ต้องไปคอยเสาะหาดูว่าท่านทำอย่างไรถึงเกิดอาหารนี้ขึ้นมา หรือว่าประกอบไปด้วยส่วนของเครื่องปรุงอะไรบ้าง

    เพราะว่าลักษณะอย่างนั้น เป็นลักษณะของบุคคลที่ต้องเป็นครูเขา หรือเรียกง่าย ๆ ว่าพวก "พุทธภูมิ" ต้องศึกษาให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ของเราเองถ้าไม่ถึงระดับนั้น เราก็ตั้งหน้าตั้งตามุ่งไปตามทางตรง ถ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ครบถ้วนสมบูรณ์ เราก็หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ไม่จำเป็นที่ต้องไปทำอะไรเป็นมากมาย แต่ใช้ประโยชน์ได้น้อยในเวลาภายหลัง

    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมทุกท่านแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...