เหตุที่บรรลุธรรม
ท่านผู้อ่านทั้งหลายคงเคยได้ทราบเรื่องของพระสาวกบางรูปมาแล้วว่า ท่านได้บรรลุพระอรหัตตผลในขณะที่ท่านนั่งฟังพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์นั่นเอง แล้วท่านเคยคิดบ้างไหมว่าทำไมท่านจึงสำเร็จง่ายดายนัก ท่านไม่ได้เจริญ ฌาน-สมาธิ-วิปัสสนา และมรรค ๘ บ้างหรือ
หากท่านตั้งใจคิดและพิจารณาด้วยใจอันเป็นธรรมแล้ว คงจะเห็นชัดด้วยใจของตนเองว่า ท่านเหล่านั้นในขณะนั้นท่านไม่ได้เจริญฌาน หรือหากบางท่านจะเคยได้เจริญฌานมาก่อนแล้วก็ตาม แต่ “ในขณะที่ท่านนั่งฟังพระธรรมเทศนาอยู่นั้น ท่านไม่ได้เจริญฌาน ท่านเจริญสัมมาทิฏฐิ อันมีสัมมาสมาธิเป็นรากฐาน คือดำเนินตามองค์มรรค ๘ ทีเดียว มีวิปัสสนาคือ พระไตรลักษณญาณเป็นผู้อุดหนุน”
หากจะมีความสงสัยว่าสมาธิในขณะนั้นจะมีได้อย่างไร ขอเฉลยไว้ ณ โอกาสนี้เลยว่า..
สมาธิ ไม่ต้องดับรูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส เหมือนฌาน แต่สมาธิจะยึดเอาอารมณ์ทั้ง ๖ นั่นแหละมาเป็นเครื่องพิจารณาจนเห็นอารมณ์ทั้ง ๖ นั้นชัดตามเป็นจริงว่า อายตนะ ๖ มีตาเป็นต้น เป็นบ่อเกิดของอารมณ์ ๖ มีรูปเป็นต้น กิเลสจะเกิดขึ้นที่อายตนะ ๖ นี้เพราะความไม่รู้ตามเป็นจริง แล้วเข้าไปยึดอารมณ์ ๖ นั้นมาไว้เป็นของตัวจึงเดือดร้อนเป็นทุกข์
ความจริงแล้ว อายตนะ ๖ ก็มีไว้สำหรับรับรู้ทำหน้าที่ของตนๆเป็นธรรมดาอยู่แล้ว อายตนะมิได้มาไหว้วอนหรือร้องขอให้ใครๆ มาหลงรักหลงชอบหรือเกลียดชังอะไร แต่ใจของเราต่างหาก แส่ไปยึดไปถือเอาอารมณ์นั้นมาเป็นตน เป็นของตน ทั้งๆที่อารมณ์เหล่านั้นก็หาได้เป็นไปตามปรารถนาไม่ มันเกิดขึ้น ณ ที่ใด มันก็ดับลง ณ ที่นั้น มันเกิดๆ ดับๆ อยู่อย่างนี้ตลอดกาล
ผู้มาพิจารณาเห็นชัดแจ้งอย่างนี้ด้วยใจด้วยปัญญาอันชอบแล้ว จิตจะไม่แส่ส่ายลังเลไปในอารมณ์นั้นๆ แล้วจะตั้งมั่นแน่แน่วอยู่ในความจริงใจว่า อายตนะทั้ง ๖ จะเป็นกิเลส และเป็นภัยก็แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจตามเป็นจริง แล้วเข้าไปยึดถือ เอามาเป็นตนเป็นของตนเท่านั้น
ผู้ที่รู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอายตนะทั้งหลายก็จะเป็นอายตนะอยู่ตามเดิม และทำหน้าที่อยู่ตามเคย ใจก็จะไม่หลงเข้าไปยึดเอามาเป็นตนของตนเลย ที่เรียกว่าสมาธิเกิดขึ้นเพราะเอาความเห็นอันเป็นจริงในสัจจธรรมมาเป็นอารมณ์
ต่อนั้นไป หากมีผู้มาแสดงสัจจธรรมอันเนื่องมาจากอายตนะ-ขันธ์ เป็นต้น อันมีมูลฐานอันเดียวกัน ท่านผู้นั้นก็จะส่องแสงปัญญาตามรู้ตามเห็นไปตามทุกแง่ทุกมุมจนสิ้นสงสัยในธรรมนั้นๆ ที่เรียกว่าได้บรรลุธรรม
สมมติว่า หากท่านผู้อ่านสนใจในธรรมอยู่ ได้ไปเฝ้าฟังธรรมของพระพุทธเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาฉลาดเฉียบแหลมลึกล้ำ สรรเอาแต่ถ้อยคำที่เป็นอรรถเป็นธรรมนำมาซึ่งประโยชน์ เสียงก็ไพเราะเพราะพริ้ง ตรัสคำใดออกมาก็เป็นที่น่าจับใจ พระรูปพระโฉมผิวก็ผุดผ่อง นิ่มนวลชวนให้เกิดความเลื่อมใส จรณธรรมทั้งหลายของพระองค์ไม่มีบกพร่อง ทั้งด้านน้ำพระทัยของพระองค์เล่าก็เปี่ยมไปด้วยพรหมวิหารทั้งสี่เช่นนี้แล้ว ท่านจะทำอย่างไร หากท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าดังนั้นเข้าแล้วท่านจะนั่งภาวนากรรมฐาน เจริญฌานกสิณ ดับอารมณ์ภายนอก มีรูปเป็นต้น เสวยความสุขยึดเอาเอกัคคตารมณ์ชมไม่รู้อิ่มไม่รู้เบื่อ จนเกิดวิปัสสนาญาณ ๙ แล้วจึงจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานอย่างนั้นหรือ หากท่านมัวทำเช่นนั้นอยู่ เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าคงจะต้องเสด็จหนีก่อนเป็นแน่
แต่ถ้าท่านไม่ดับอารมณ์เหล่านั้น แต่มายึดเอาอารมณ์เหล่านั้นขึ้นมาพิจารณาให้เห็นตามเป็นจริงดังแสดงมาแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีจิตใจอันบริสุทธิ์ กลั่นกรองเอาธรรมที่เป็นของบริสุทธิ์มาแสดงให้ท่านผู้มีความเห็นอันบริสุทธิ์ คือสัมมาทิฏฐิและมีสัมมาสมาธิ เป็นผู้อุดหนุนนั่งฟังธรรมอยู่นั้น เมื่อถึงพร้อมเช่นนั้น ขอให้ท่านพิจารณาดูว่าจะมีอะไรเกิดตามมา เท่าที่แสดงมานี้ เข้าใจว่าท่านผู้อ่านทั้งหลาย พอจะเข้าใจเนื้อความที่ว่า ผู้นั่งฟังธรรมของพระพุทธเจ้าได้บรรลุมรรคผลนิพพานในขณะนั้นจะมี ฌาน-สมาธิ หรือไม่
ขอเฉลยว่า ฌานเป็นของเล็กน้อย ฌานเป็นเครื่องอยู่เครื่องเล่นของท่านผู้ที่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงสุดแล้ว ท่านจะเจริญให้เกิดให้มีขึ้นเมื่อไรก็ได้ไม่เป็นของยาก เหมือนคนผู้มีความฉลาดเฉียบแหลมสมบูรณ์แล้ว จะทำตนเป็นคนโง่ย่อมง่ายดาย แต่ถ้าคนโง่นี่ซิ จะทำตนให้เป็นคนฉลาดเปรื่องปราดมันยากนัก ถึงจะทำได้ก็ไม่เหมือน ขอย้ำอีกว่า ถ้าหากท่านยังเห็นว่า ฌาน สมาธิเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ข้อความที่แสดงมาข้างต้นนั้นก็จะไม่สามารถซึมซาบเข้าไปถึงใจของท่านได้เลย
อนึ่ง มติของบางท่านยึดเอาตัวหนังสือเป็นหลักว่าพระอรหันต์สุขวิปัสสกไม่มีสมถะ เจริญวิปัสสนาล้วนๆ คำว่า สมถะใครๆ ก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ได้แก่ฌานหรือสมาธิ ถ้าพระสุขวิปัสสกไม่มีสมถะ มันจะไม่ขัดกันกับพระพุทธพจน์ที่ว่า ผู้เจริญสมาธิดีแล้วย่อมมีปัญญาเป็นผลเป็นอานิสงส์ใหญ่หรือ ที่ว่าผู้ที่จะถึงมรรคผลนิพพานต้องดำเนินอัฏฐังคิกมรรค มรรค ๘ ก็มีสมาธิอยู่ด้วย มรรค ๘ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น เป็นทางเอกอันจะนำสัตว์ให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสได้
ท่านผู้รู้ทั้งหลายทำไมไม่หยิบยกเอาคำเหล่านั้นขึ้นมาพิจารณาดูบ้าง หรือมิฉะนั้นก็ขอให้ลงมือปฏิบัติจนให้จิตเป็นสมถะ วางความยึดมั่นถือมั่นตัวหนังสือแล้วเกิดความรู้จากสมถะนั้น ภายหลังจึงเอาความรู้ทั้งสองอย่างนั้นมาเทียบเคียงกัน ท่านก็จะหายความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์
“น้ำใสแสนใสถ้าไม่นิ่งจะเห็นตัวปลาและเม็ดทรายอยู่ใต้น้ำได้อย่างไร ใจไม่สงบจะเห็นกิเลสและอารมณ์ภายในของตนได้อย่างไร”
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ที่มา สามทัพธรรม
http://tesray.com/three-dhamma-forces
เหตุที่บรรลุธรรม:หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 9 กุมภาพันธ์ 2020.
-
เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium
-
2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់
การพิจารณาอายตนะทั้ง 6 อาจเป็นเรื่องยาก สำหรับหลายๆคน ใครที่รู้สึกว่า ยากขอแนะนำว่า ให้ลองเลือกมาเพียง 1 อย่าง เพื่อพิจารณาให้รู้ชัดแจ้ง เพียงแค่ 1 ก็จะรู้ว่าที่เหลือก็ไม่ต่างกัน รู้1 เข้าใจถึง5 จะยากก็ตรง6คือใจนั้นแหละนะ
-
บุคคลผู้ต้องการดูจิต..
เห็นจิตตนเอง ที่มันส่ง ออก ไป เพ่งโทษ คนอื่นใหม..
เห็น อารมณ์ใจ ที่มัน เดือดดาลใหม..
กำราบมันเสีย ดัดสันดานมันเสีย
สอบอารมณ์ใจตนเอง เป็นใหม..
กำราบ "จิต" ด้วย "สติ" นั้นแล.. -
-
หงบมันเอ๋ออะ สมาธิเป็นเหตุแห่งสติ หรือว่า สติเป็นเหตุแห่งสมาธิ นี่สรุปสั้นลงมาหน่อยนึงแล้วนะ หงบว่าอันไหนเป็นข้อถูก ระหว่างสองอันนั้น
-
อ้อว่าอ้อ เดี้ยวยากไป สมาธิ มีสองลักษณะ อันนึงเรียกว่า ฌานสมาธิ อันนึงเรียกว่า สัมมาสมาธิ หรือ สมาธิในมรรค หวังว่าหงบคงสรุปได้นะ
-
หงบรู้ไหมทำไมเรียกหงบว่า เด็กเห่อหมอย หงบลองอ่านข้อความของหงบข้างบนนั้นซ้ำๆๆๆๆๆ แล้วพิจารณานะว่า ทำไม คำว่าเด็กเห่อหมอย คืออาการอย่างนึงในทางนาม ตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้รู้ สนุกกับสิ่งที่ได้รู้ มันไม่ใช่ทาง เพราะมันเป็นทางของพวกเด็กเห่อหมอย ถ้าชอบก็ไม่ว่า แค่บอกให้รู้เฉยๆ
-
ไม่ได้คุยเรื่องเรื่องปู่เทศน์..
:D:D:D -
อย่างนั้นรึ ก้อให้สองชาติมาคุยต่อแล้วกันนะ อายตนะก็อายตนะ
-
+++ แต่ "สัมมาสมาธิ" ของหลวงปู่ ไม่ได้เข้า "ฌาน"
+++ ตรงนี้คือ "สภาวะรู้" ที่ตั้งมั่นได้ ในตัวของมันเอง
+++ แต่เป็น "โภชฌงค์ ทั้ง 7 (สัมมาสมาธิ)" นั่นแล ...
+++ ตามฉบับ "คองสิบ" ที่ไม่เอาคำของ "อริยะสาวก"
+++ แต่ให้เอาแบบ "คึกนรก คองสิบ" อเวจี การันตี
+++ ไอ้เจ้า "ไม่ใช่ปัญญา" มันต้องตาม "ฬาโง่ไวลัด"
+++ ที่จูงตมูก ไปนรกกับมัน แน่นอน
+++ หึหึหึ "โง่ดักดาน" ที่เสือกทำตัว "ตีเสมอ พระพุทธเจ้า"
+++ ไม่ให้เอาคำ "อริยะสาวก" ให้เอาแต่
+++ พุทธวจน จาก "คึกนรก คองสิบ" ที่ "ไม่ใช่สาวก"
+++ ให้เอาแต่คำ ที่ออกมาจาก "ปากนรก" ของมัน เท่านั้น
+++ ไอ้เจ้า "ไม่ใช่ปัญญา" ตามไอ้เจ้า "ฬาโง่ไวลัด" ต่อไปนะ
+++ เคยโพสท์ไว้ "นานแล้ว" ว่า ใครที่โดดลงไปใน "คลองฉิบ (หาย)"
+++ แล้วจะ "กลับมาเป็นปกติ" นั้น "ไม่มี" ค่อย ๆ ดูกันไป ก็แล้วกัน.... -
สู้กันต่อไป หักล้างกันด้วยธรรมต่อไป..
กระดานหมากรุกเดินต่อไป หาผู้ชนะ เลือกเฟ้นผู้ที่เหมาะสม พอ ที่ จะ ทำ หน้าที่..
วันที่ "พระยา....." ประจักษ์แก่โลกมนุษย์ ใกล้เข้ามาทุกที..
:D:D:D -
ไม่ต้องทำอะไร แดนซ์ ซิ่ง ไป พอ:)