เหตุที่ผมออกจากวัดพระธรรมกาย เพราะ...

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย วงบุญพิเศษ, 30 ธันวาคม 2011.

  1. upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ถ้ามาแบบบ้าๆ ก็แล้วแต่จะชอบก็แล้วกัน

    คุณ rravikran จะไปได้ยินได้ฟังอะไรมาผมไม่รู้นะ

    แต่ถ้าผมได้ยินได้ฟังเรื่องเดียวกัน

    ผมอาจคิดไม่เหมือนคุณก็ได้

    คุณก้คงบอกว่าผมโง่ ก็ได้

    แต่ผมก็เชื่อในวิจารณญาณของตัวผมเอง

    ผมจะหมดศรัทธาก็ต้องด้วยเหตุผลที่เทียบเคียงกับพระไตรปิฎกแล้วเท่านั้น
     
  2. รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717

    ตามอ่านหลายๆเม้น...
    ผมขอสรุป แบบนี้ครับ...คนไหนคิดเก่ง คิดมาก เนี่ยเท่ากับฟุ้งซ่าน
    คนไหนเชื่อมั่นความคิดตนเองแล้ว พยายามคิดเอาเองเหมือนกัน
    ว่าความคิด ตนเอง ถูกคนเดียวแล้วอ้างพระไตรปิฏฏเป็นพยาน..
    ทั้งๆที่ข้อความในพระไตรปิฏก นั้น ตนเองอาจเข้าใจคลาดเคลื่อนก็ได้
    มันยังไม่แน่ ต้องนำพระสูตรลองไปปฎิบัติก่อน แล้วจะเข้าใจพระอภิธรรม

    คนเช่นนี้ เรียกว่า หลงตัวเองครับ...อัตตาสูงครับ..ลดหน่อยๆๆๆ
     
  3. รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717

    ดู ลายเซ็น อยากเป็น พระพุทธเจ้า หุหุ
    คนที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ได้ เนี่ย...
    เขาไม่หลงตัวเองครับ ใจเขามีแต่เมตตา
    กล้าตายเพื่อคนอื่น

    คุณ มีจิต อาสา แบบนั้นหรือยัง มาลงลายเซ็น แบบนี้
    ไม่ใช่แค่เอาเท่ห์ๆนะครับ..สังเกตุ ใจตัวเอง ก็ จะรู้ได้
    ว่า ตนเอง มีพื้นฐานแค่ไหน..คนจะเป็นพระโพธิสัตว์ เนี่ย
    พิ้นฐานต้องกล้าเสียสละ ทุกอย่าง ความมีอัตตา เนี่ย ต้องละให้ได้ก่อน
    ความเสียสละด้านอื่นๆ ค่อยๆทำไปตามๆมาแต่การละตัวตน ต้องมี น้อยที่สุด
    บารมีค่อยสะสม..ไป พวกนัก เสียสละต่อสังคม พวกนี้ มีจิตโพธิสัตว์เป็นพื้นฐานแล้ว

    หากคุณ ตั้งเจตนาเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ เลิกดูถูกคนอื่นเถอะ แล้ว อย่าทะนงตัวว่า กู เก่ง กูคิดเก่ง กู เชื่อแต่พระไตรปิฏก

    ผม ไม่วิวาทะนะ แค่แสดงความเห็น...
     
  4. PowerLife สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +19
    คนแบบคุณก็แบบนี้หละ เคยศึกษาไหมครับ แนวทางวิธีแห่งพุทธ เอาแค่พระไตรปิฏกที่เป็นแนวทาง การดำเนินชีวิตแบบพุทธคุณยังอ่านไม่ถึง 10หน้าเลย ดีไม่ดีไม่เคยแตะเลยอีกต่างหาก
    ทุกคนสามารถอฐิธานเป็นพระสัมมาสมพุทธเจ้าได้ครับ(อฐิธานบารมี) ไม่ว่าจะพุทธนิกายไหน ในโลกนี้ มีแนวคิดแบบนี้หมดครับ แค่คุณมีความคิดแบบที่แสดงออกมากก็มีมิจฉาทิฐฐิแล้วครับ
     
  5. afseven เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +510
    จริงๆแล้วผมมองว่าเรื่องนี้น่าจะจบไปตั้งแต่ปีที่แล้วละครับ
    แต่คิดไปคิดมาแล้ว น่าจะมีภาคต่อไปเรื่อยๆ สำหรับเพื่อนสมาชิกที่มาใหม่คงไม่รู้ว่าผมยืนอยู่จุดใหน ก็ไม่ว่ากันครับ
    ผมสนับสนุนพระพุทธศาสนาเพราะผมเป็นชาวพุทธทั้งกายและจิต ร่วมสนับสนุนผู้ที่ปกป้องพระพุทธศาสนา ร่วมกิจกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทุกครั้งที่มีโอกาส
    คุณธรรมเกินรู้จักผมมาพอสมควรคงเข้าใจผมดี สู้ต่อไปครับ ช่วงนี้งานเยอะมากปัญหาก็มากตาม เวลาเข้าเว็บมีน้อยลง แต่ก็ไม่เท่าไหร่ ช่วงหลังๆมานี่เห็นมีแต่กระทู้ที่เลอะเทอะเยอะมาก ทำให้เปลี่ยนแนวไปดูliverpoolเพื่อผ่อนคลายบ้าง หรือไม่ก็หาอ่านเรื่องเกี่ยวกับฟิสิกส์ควันตัมอ่านบ้างเพลินดี
    อนุโมธนาในฐานะกัลญาณนิมิตรผู้หนึ่งกับผู้แสวงหาความจริงทุกๆท่านครับ สาธุ
     
  6. PowerLife สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +19
    ความจริงคุรว่าหาจากไหนได้ครับ แต่หากจะบอกให้หาจากคนที่คุณระบุตลกละครับ ความจริงเขาไม่ได้หาจากการปฏิบัติเหรอ
     
  7. upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ทำไมถึงกล้าที่จะบอกว่าคนอืนหลงตัวเองหละครับ
    ผมคิดว่าถ้าต่างคนต่างคิดมันก็หาที่จบไม่ได้

    เพราะมันไม่มีหลักยึด แต่ถ้าทุกคนยึดพระไตรปิฎกเป็นหลัก มันก็จะยุติได้
    ถ้าไม่มั่นใจอะไรก็จะไม่นำมาแสดง ถ้านำมาแสดงก็เพราะตรวจตราดูแล้วมั่นใจ

    ถ้าอยากจะถกกันก็แสดงมาตามหลักการ ไม่ใช่เอาความคิดของตนมาตัดสิน

    เหมือนบางท่านตัดสินพระว่าอาบัติปาราชิก แต่พอไล่ไปตามพระธรรมวินัยแล้ว
    ไม่ปาราชิก ตนเองไม่ได้ทำการศึกษาได้แต่ฟังๆมาก็ว่าตามเขาเพราะมันน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่พระธรรมวินัยนั้นมันมีข้อบ่งชี้อยู่ชัดเจนอยู่แล้ว

    แล้วจะให้อ้างอะไรได้นอกจากพระไตรปิฎกที่เป็นแหล่งความรู้

    อ้างความชอบใจหรอ
     
  8. upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    ปกติถ้าคนที่รู้จักพระโพธิสัตว์จะไม่มาพูดอย่างนี้หรอกนะครับ

    ไปทำความรู้จักกับพระโพธิสัตว์เสียก่อน

    ผมไม่ได้ดูถูกใครนะครับ เพียงแต่อยากจะบอกให้ใครๆ คิด พูด ทำ อะไรที่เกียวกับหลักคำสอนในพระพุทธศาสนานั้น ให้ศึกษาในพระไตรปิฎกดูก่อนว่ามีบันทึกไว้อย่างไร

    ท่านนี้ฟังดูแล้ว ดูจะไม่ให้อ้างอิงพระไตรปิฎก แล้วจะให้อ้างอิงอะไรหรือครับ ในเมือความรู้และหลักธรรมในศาสนานี้มาจากในนั้น
     
  9. ธรรมเกิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    487
    ค่าพลัง:
    +140
    ยังจบไม่ได้ครับ เพราะเรื่องราวมันยังคงอยู่ ผมไม่ได้มาเพื่อต่อล้อต่อเถียงกับใคร แค่แสดงความคิดเห็นแบบมนุษย์คนนึงเท่านั้น ส่วนจะเข้าหูใครหรือไม่ ผมไม่สน เพราะผมกำลังทำเพื่อพุทธศาสนาของเรา ...
     
  10. รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    แล้วคุณ แน่ใจแล้วหรือว่า ตัวคุณ แตกฉานพระไตรปิฏก..แค่นี้ก็แสดงความหลงตัวเองแล้วครับ...คุณเองก็อ่านๆมาแล้วก็ สรุปเอาเองว่าคุณคิดถูก..หากแน่จริง อะไรที่เป็นปัญหาในการถกเถียง ในแต่ละหัวข้อ ลองเอาพระไตรปิฏฏมายืนยันสิ บางอย่างคูรก็ ไม่เคยอ่านแต่คุณก็ สรุปเอาเองว่าไม่มีในพระไตรปิฏก..คุณ พูดอย่างกับว่า หัวสมองคุณได้รวบรวมพระไตรปิฏฏไว้หมดแล้ว...
    จะเท่าไรกันเชียว..ผม ไม่คุยหรอกว่าผมอ่านมาเท่าไร แต่แก่น ศศาสนา ผมพอรู้ครับ ไม่คุยด้วยว่าผมรู้เท่าไร เพียงแต่ อะไรผิดไปจากธรรมแท้ๆ ผมพอทราบครับ
     
  11. รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    โลภะ ก็คือกิเลส ร้าย..มันเป็นรากเหง้าของอกุศลทั้งปวง..การก่อตัว ของสิ่งชั่วร้ายใดๆในโลกล้วนมาจาก โลภะกิเลส..หาก การ สร้างกุศล อันเกิดจาก ความโลภ กุศลนั้นเศร้าหมองแน่นอน...เพราะจิต คนเรามันช่างจำ แต่มันคิดไม่เป็น มันปรุงแต่งไม่เป็น..แต่ที่จิต เกิดอาการต่างๆได้นั้น เพราะ จิตรับความปรุงแต่งมาจาก สังขารเจตสิกอีกที..ตัวจิตเอง มีหน้าที่ 2 อย่างคือ แส่ส่าย และรับรู้.เท่านั้น การรับรู้ของจิต มี 3 ทาง คือ เวทนา สัญญา และสังขาร.

    เมื่อรับรู้แล้ว เกิด อาการ ที่เรียกว่าวิญญาณ..วิญญาณ คือ ผลิตผลของจิต..เป็นร่องรอยที่สามารถหา จิต เจอได้ ด้วยการ พบวิญญาณ..กล่าวง่ายๆ วิญญาณ คือ จิต ที่แสดงตัวนั่นเอง..หาก วิญญาณดับ นั่นแสดงว่า จิต ไม่จับ เจตสิกใดๆแล้ว..มีอิสระแล้ว เพราะตัวจิตมันได้รับการ สั่งสมของ ไตรลักษณ์ พอแล้ว มันจึงปล่อย เจตสิก นามธรรม 3 ตัว ทำให้ วิญญาณดับไปด้วย...
     
  12. ธรรมเกิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    487
    ค่าพลัง:
    +140
    ขอบคุณคุณรีล มาดริด ครับ มาช่วยกันให้ความจริงบังเกิดเพิ่มขึ้นด้วยครับ ความรู้ทางธรรมผมอาจไม่มากนัก แต่ความรู้ทางโลกที่ผมมีอยู่ การมองแบบสายกลางในแบบของผม น่าจะพอที่จะทำอะไรได้บ้าง แต่ถ้าได้คนที่พอรู้ทางธรรมลึกพอ น่าจะเป็นประโยชน์ในการชี้แจงได้มากกว่าผม
     
  13. รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717

    สรุปง่ายไปนะท่าน..
    แบบน้ พวก นิกายตันตระ..((ผมไม่แน่ใจว่า อยู่ธิเบตหรือไม่))..มีห้องให้เสพกามด้วย..โดยสอนกันว่าให้เสพกามเมื่อ เกิดความอยาก และพึงเสพมากๆบ่อยๆ จะได้เบื่อไปเอง ด้วยการ สังเกตุ ทุกๆอารมณืขณะ ที่เสพ และความดับไป แห่งตัณหา เมื่อ ถึงจุด ไคลแมกซ์...

    เรื่องแบบที่ผมกล่าวน่าจะตรง กับที่ คุณยกมามาก กว่า...

    ส่วนเรื่องพระ นันทะ..ผม วิเคาะห์ ว่า การต้องการนางฟ้าของ พระนันทะไม่ใช่เหตุแห่งการบรรลุธรรม...คนละเรื่องครับ..แต่ พระนันทะ โดน อุบายของพระตถาคตเจ้า..ต่างหาก อุบายในการชักจูงให้ ลองปฎิบัติธรรม..พระนันทะ ด้วยความอยากได้นางฟ้า เลยหลงกลอุบาย พระพุทธองค์ ลงมือ ปฎิบัตอย่างจริงจัง จนได้คุณวิเศษตามมาเรื่อยๆ แล้ว พระ นันทะ ก็ พบว่า สภาวะธรรม ที่ท่านพบ มันละเมียด สุขุม และมีความสุขกว่า การได้กอด นางฟ้า หรือ สุขกว่าการเสพกามกับนางฟ้า...อีกทั้งเมื่อ ปฎิบัติไปนานๆเข้า จิต พระนันทะ ได้รับรู้ ไตรลักษณ์ จน ตัวจิตเอง วาง กิเลสต่างๆลงได้ และบรรลุ พระสัทธรรม แจ้งพระ นิพพานไปเอง....

    เหตุ มัน สืบเนื่องกัน แต่จะนับว่าเป็น เจตนาที่ตั้งไว้เพื่อ การบรรลุธรรม ไม่ได้แน่ๆ

    หาก พระพุทธเจ้าบอกพระนันนทะ ก่อนว่า นันทะ หาก เธแ ลองปฎิบัติธรรมดู เธอจะเบื่อหน่าย กาม และนางฟ้า แต่เธอ จะบรรลุธรรมได้ ..คุณ คิดหรอว่า พระนันทะ จะยอม บวชต่อไป คงได้รีบสึกเป็นแน่

    ไหนๆ จะคิด แล้ว ก็ ขอให้คิด แบบมีหลักด้วย อย่า มั่วครับ...
     
  14. upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035


    ถูกต้องแล้วเป็นกุศโลบายของพระศาสดา
    ไม่ได้มั่วนะครับ เป็นอย่างนั้นจริงๆ

    เพราะตอนนั้นพระนันทะ กระสันอยากสึก พระศาสดาก้ใช้ความอยากศึกไปมีเมียของพระนันทะ พาไปดูคนที่สวยกว่าเมียของพระนันทะ และประกันกับพระนันทะว่า ถ้าประพฤติธรรมดีๆละก็ จะได้นางเหล่านี้ แต่พอประพฤติธรรมไปเรื่อยๆก็พบความจริงมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น จนภายหลังก็ตัดได้

    มันก็เหมือนกับการที่ใครๆมักจะตำหนิเวลาพระสอนเรื่องผลของบุญ และการเสวยผลของบุญไงครับ เทียบเคียงกันได้ เรียกว่าใช้ความอยากละความอยากครับ

    เป้นอย่างนั้น
     
  15. upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ก็ควรยอมรับความจริงนะครับ อย่าเอาแต่ว่าคนอื่นว่าหลงตัวเอง สรุปเอาเอง มันตลก
    ถ้าคิดว่ามันผิดตรงใหนก็ลองแสดงมาดูก็แล้วกันครับ

    ผมก็ไม่ได้เป้นมหาเปรียญ ผมไม่กล้าบอกว่าแตกฉานหรอกครับ

    แต่มันผิดตรงใหนก็ว่ากันมา อย่ามัวแต่พูดแต่ว่ามันจะสักแค่ใหนกันว้า..มันจะสักแค่ใหนกันเชียว..

    อย่างนั้นมันเหมือนกับเด็กไม่เดียงสา

    ผมดูคุณโพสท์เกี่ยวกับพระโพธสัตว์ว่าต้อง มีจิตอาสา ต้องละทุกอย่าง หรืออะไรที่ว่ามาหนะ ..

    คนที่เขารู้จริงๆเรื่องเหล่านี้เขาก็พอประมาณความรู้ในพระไตรปิฎก ความเข้าใจในหลักธรรมของคุณได้แล้วครับ

    ไม่ได้ดูหมิ่นดูแคลนในความรู้ทางธรรมนะครับ เพราะก็ดีกว่าอีกมากมายหลายคนที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ว่าอยากให้ศึกษาเพิ่มเติมอีก เพราะมันยังรู้ไม่รอบ ทำให้มองภาพรวมไม่ครบถ้วน

    เวลาเอามาใช้มันจึงบกพร่องไป
     
  16. PowerLife สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +19
    คนเราแค่บอกตัวเองถูกคนอื่นผิดมันก็ไม่ใช่วิธีของพุทธแล้ว อย่าว่าแต่ หลักธรรมในพระไตรปิฏกเลย แค่ รักษาใจง่ายๆทำให้ได้ก่อนเหอะครับ
     
  17. ธรรมเกิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    487
    ค่าพลัง:
    +140
    แล้วคุณล่ะ...ทำได้แล้วเหรอ...55555++++
     
  18. kamoochi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +326
    เป็นกุศโลบายจริงๆครับ เรื่องความอยากละความอยากอันนี้ผมยังงงนะครับ กิเลสตัณหาที่ว่าอยากละอยากมันเป็นวัฏฏะนะครับ อยากอันนู้นอันนี้ไปเรื่อย อยากเก่าหมดไปอยากใหม่เข้ามา หมุนเวียนเปลี่ยนแทนกันแบบนี้ไม่ใช่บรรลุธรรมครับ เขาเรียกสนองตัณหา ศานานี้ใช้ความเบื่อหน่ายละครับ(นิพพิทาญาณ) ซึ่งอาจดูคล้ายวิภาวะตัณหาแต่มันไม่ใช่ล่ะครับ ผมขอแสดงความคิดเห็นตรงนี้นะครับคุณ upunya
     
  19. upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ถ้างันเขียนใหม่พูดใหม่เป็น

    "มีฉันทะที่จะละตัญหา" ทีนี้เข้าใจดีขึ้นมั๊ยครับ


    สองคำนี้โดยเนื้อความแล้วแปลเหมือนๆกันแต่ใช้ต่างกันคือ
    ตัณหา คือความอยากได้ อยากเอา ด้วยความเห็นแก่ตัว
    ฉันทะ คือความอยากทำ อยากให้ ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว
     
  20. kamoochi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +326
    เข้าใจเท่าเดิมครับ
     

แชร์หน้านี้