ครับผม
กระทู้เก่าที่เคยเล่า
http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87-1-%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-205-a.139052/page-182#post2894231
ใจความคือ
ขอเล่าเพิ่มเติมดังนี้นะครับ
ปกติ พวกเครื่องราง เสือ สิงห์ มีตบะในตัว ใช้ดีกับลูกน้อง
ผมเคยพกเสือหลวงพ่อ ว. รุ่นสาม กับลูกน้องก็ดีเค้าเชื่อฟัง แต่ไปหาเจ้านายกลับโดนด่า
และผมเคยพกแหวนมงคลเก้าหัวสิงห์ หลวงปู่ ม. ไปหาเจ้านายก็โดนด่าอีก
แต่ทั้งสองหลวงพ่อผมนับถือหมด วันใดผมไม่มีเจ้านาย ผมเป็นเจ้านายตัวเอง ผมคงจะนำเสือและแหวนดังกล่าวมาติดตัวอีกแน่นอน
แต่ทุกวันนี้ผมยังมีเจ้านาย สิ่งวิเศษสุดคือแหวนเสือหลวงปู่ทรงนี่เอง ตอนแรกก็กลัวจะเป็นดังหลวงพ่อที่กล่าวมาทั้งสอง เวลาเจอเจ้านายเรียก ผมต้องถอดออกก่อน แต่ทุกวันนี้ลืมถอด แต่กลับไม่โดนด่า แสดงว่าเสือของหลวงปู่ทรงถูกโฉลกกับผมมากๆครับ ลูกน้องเกรงใจเจ้านายก็รัก ถ้าไม่จริงก็ไปถามพี่ "ชาวประมง"ได้ครับ ขอบอก ถ้ามีโอกาสต้องเก็บครับ
อย่าช้า เดี๋ยวเหมือนจันทร์ลอยของหลวงปู่ทรง ผมได้จากเสี่ยเบนไม่แพง เทียบกับกระทู้ที่เค้าประมูลกันแล้ว ราคาห่างกันมาก ของดีต้องรีบครับ ก่อนที่ราคาจะไปไกลกว่านี้
ตบะ บารมี เป็นของดีสำหรับคนมีลูกน้องนะครับผม
และก็ อีกประสบการณ์
http://palungjit.org/threads/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%8D.122347/page-453
สรุปย่อดังนี้
เย็นวันที่ 27 ตุลาคม 2552
ผมและครอบครัวกำลังจะกลับบ้าน หลังจากทำงาน โดยปกติแล้วภรรยาผมจะไปรับลูกที่โรงเรียน แล้วมาพักที่สำนักงานก่อนกลับบ้าน
ระยะทางจากสำนักงานซึ่งอยู่ในเมือง กลับบ้าน 15 km. โดยประมาณ ( บ้านผมอยู่ หางดง เชียงใหม่ ) หลายอาทิตย์มาแล้ว รถผมวิ่งๆอยู่ ไฟหน้าปัดมักจะขึ้นรูปแบตเตอรี่
เวลาขึ้นลูกเนินที่ทำเป็นระยะๆ ในหมู่บ้านแล้วก็ดับลง พอเจอลูกต่อไปก็ไฟขึ้นแล้วก็หายไป ข้อสันนิษฐานของผมเอง คิดว่าน่าจะเกิดจากแบตเตอรี่ไฟอ่อน
ผมตรวจดูก็ไม่มีปัญหา รถสตาร์ทติดง่าย น้ำกลั่นก็ไม่พร่อง อ๋อ ลืมบอกไปว่าช่วงที่ไฟขึ้นแล้วหายไป เวลาเปิดที่ปัดน้ำฝน รู้สึกมันจะช้ากว่าปกติ สันนิษฐานว่าไฟแบตคงอ่อน
แต่เป็นสักวันเดียวอาการก็หายไป รถผมก็วิ่งได้ปกติดี
และแล้ววันอันเกิดเหตุก็มาถึง ชีวิตดำเนินมาปกติดี แต่เย็นนี้(27 ตุลาคม)กลับบ้านค่ำหน่อยประมาณหกโมงเย็น มีพี่ที่ทำงานซึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกันติดรถมาด้วย
โดยแวะส่งแกที่โลตัสหางดง start รถไม่มีปัญหา แต่เปิดไฟหน้าแล้วปรากฎว่าไฟหน้าปัดแสงจะจางๆ ไม่ชัด ( เหมือนอยู่บ้านแล้วไฟฟ้าตก แสงจะสลัวๆ ) แต่รถยังวิ่งได้
ออกจากสำนักงานด้วยใจระทึกว่าเอ๊ะ ยังงี้จะถึงบ้านหรือเปล่า ผู้โดยสารก็มี ภรรยาผม และพี่ผู้หญิงที่สำนักงาน ที่ขอติดไปด้วย โดยจะลงที่โลตัสหางดง ( วันนี้ลูกกลับก่อนกับเพื่อนโดยพ่อเพื่อนมารับ )
เหลือสามคนในรถ สาวๆ เค้าไม่ใช่คนขับเค้าไม่ทราบและไม่ค่อยเป็นกังวลเหมือนผมหรอกครับ ผมต่างหากที่วิตกอยู่คนเดียว ว่ากลัวรถจะดับกลางทาง กลางถนน คงจะลำบากน่าดู
วันนั้นรถก็ติดน่าดู ผมก็ลุ้นไปตลอดทาง พอถึงโลตัสหางดงก็เข้าไปส่งพี่ผู้หญิง แล้วเหลือผมกับภรรยา ไฟหน้ารถปกติจะสว่าง ผมสังเกตุว่ามันมึดๆนะ ไม่ค่อยจะสะท้อนกับท้ายรถคันหน้าเวลาจอดติดไฟแดง
ผมก็คิดว่าจะรอดมั้ยเนี่ย ติดไฟแดงก็พยายามลุ้น ผมเอ่ยปากขอหลวงพ่อทรงว่าช่วยลูกด้วยครับ อย่าให้ดับกลางทางเลย ( ผมเพิ่งได้พระแหวกม่านจากเบน มาสักวันที่ 26 ตุลาคม )
เมื่อเลยสี่แยกไฟแดงหางดง-สะเมิงมาหน่อย ผมคิดว่าจะขอจอดสักหน่อย จะดูว่าไฟหน้าจะสว่างหรือเปล่าเพราะดูๆแล้วเหมือนจะดับ มันมึดๆ ครับ อันตรายน่าดูถ้าขับรถแบบไม่มีไฟหน้า ไฟหลัง
พอเปิดไฟขอทาง( ออกเปล่าก็ไม่รู้)เพื่อจะจอดดูไฟรถ โอ้แม่เจ้าผมจอดหน้าอู่ซ่อมรถ ขายแบตเตอรี่ เช็คช่วงล่วง เวลานั้นร้านยังไม่ปิดเห็นมีช่างอยู่ ผมก็รีบเลี้ยวเข้าร้านไป บอกพี่ๆ รถผมจะดับอยู่แล้ว พี่เปลี่ยนแบตให้ผมหน่อย
ครับ ช่างเค้าก็มาดูโดยเปิดกระโปรงรถเพื่อดูแบต เค้าบอกว่าแบตยังมีไฟนะ มาดูที่ได ช่างบอกว่าน่าจะเป็นที่ไดชาร์จนะ ( ไม่ใช่ไดสตาร์ทนะครับ ) และไม่รู้ว่าช่างไปขยับอะไรเข้า รถดับเองเลย (หลอกเสียเงินเปล่าเนี่ย )
ช่างบอกว่าสงสัยต้องจอดละครับ ต้องเปลี่ยนไดชาร์จ ตอนนี้ร้านก็คงจะปิดกันหมดแล้ว พี่ต้องจอดรถไว้นะ ผมก็ตอบว่าได้ๆ ช่างก็สตาร์ทรถเพื่อถอยเข้าโรงจอด โอ้คุณพระช่วย รถสตาร์ทไม่ติด
ก็เลยต้องเอาแบตมาพ่วงเพื่อสตาร์ทแล้วขับเข้าโรงเก็บ ผมมานึกภาพดูถ้ามาไม่จอดที่นี่ สงสัยต้องดับกลางทางแน่ๆ เพราะช่างบอกว่างระยะทางจากนี่ไปบ้านผม ไฟน่าจะไม่พอเพราะต้องเปิดไฟหน้ารถด้วย ถ้ากลางวันก็อาจจะรอด
ผมมาคิดดูว่าอะไรมาดลใจให้ผมจอดรถเพื่อดูไฟหน้า โดยจอดหน้าร้านพอดี ซึ่งถนนเส้นนี้มีเพียงร้านนี้ร้านเดียวเท่านั้นที่เป็นอู่ซ่อมรถ และช่างยังบอกว่าปกติจะกลับเร็วประมาณ 5 โมงปิดร้านแล้ว แต่พอดีวันนี้มีงานต่อเนื่องเลยอยู่ต่อ
วันนั้นคิดว่าจะวานน้องเขยมารับกลับบ้าน แต่น้องต้องเลิกงานห้าทุ่ม เลยแห้วไป ภรรยาเลยโทรหาพี่ผู้หญิงที่ผมแวะส่งที่โลตัสว่ากลับบ้านหรือยัง ( สามีแกมารับที่โลตัส ) แกตอบว่าเพิ่งเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน(เลยผมไปแล้ว)
เป็นอันว่าสงสัยได้โบกรถกลับบ้านแล้ววันนี้ ไหนจะกระเป๋าลูก,กระเป๋าภรรยา ส่วนกระเป๋าผมสองใบหนักน่าดูเพราะเป็น NOTEBOOK สักครู่พี่ผู้หญิงก็โทรมาหาภรรยาผมว่าเดี๋ยวพี่กลับไปรับนะ
ครับนับผมโชคดีที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิช่วยเหลือสาธุๆๆ นับว่าหลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายยังสงเคราะห์ลูก ไม่ให้ลูกต้องลำบาก โดยเฉพาะหลวงพ่อทรงที่ลูกเอ่ยปากขออย่างเป็นทางการ
ครับประสบการณ์ครั้งแรกที่ท่านช่วยผม ผมจะไม่ลืมเด็ดขาด เมื่อวานก็ไปรับรถเรียบร้อยแล้ว ไดชาร์จไหม้ช่างยังเอาอะไหล่ให้ผมเก็บไว้เองเลย หุหุ
ปล. วันนั้นผมห้อยแหวกม่านหลวงพ่อทรง เหรียญหลวงพ่อเจริญ จ.อุดร , เหรียญหลวงพ่อชาตรี จ.สกลนคร ตะกรุดหลวงพ่อเพี้ยนที่เอว+ตะกรุดหลวงปู่มีวัดมารวิชัย ที่เอว
และในรถผมยังมี หลวงปู่หมุน+หลวงปู่บุญหนา ห้อยที่กระจกส่องหลัง ในกระเป๋ายังมีพระ เหรียญเศรษฐีหลวงปู่ดู่พรมปัญโญ เหรียญหลวงปู่ทวดรุ่นสาม พระแม่อุมาครูบาคำเป็ง
ครับผม
Click to expand...