วันนี้ร้อนปรอทแตกแน่ๆ...เหอๆๆ
เหรียญบิน หลวงพ่อทรง - แพโบสถ์น้ำ หลวงตา (เล็ก) น. ๑๒๖๕
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย พี เสาวภา, 7 เมษายน 2008.
หน้า 2878 ของ 3280
-
-
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
เล่าสู่กันฟัง เมื่อสัก ๒ อาทิตย์ที่ผ่านมา ได้เห็นดาวอังคารเข้ามาใกล้โลกที่สุด และได้เห็นภาพพระจันทร์ เป็นสีเลือด ก็เลยรอดูว่า นักโหราศาสตร์ เขาจะวิเคราะห์ วิจารณ์กันอย่างไร
เกี่ยวกับสถานะการณ์ของโลก หรือสิ่งบอกเหตุ ลางบอกเหตุ ที่จะเกิดขึ้นกับโลก แต่ก็แปลก เงียบไปหมดเกือบทุกสำนัก
ในเมื่อเขาไม่วิเคราะห์ วิจารณ์ เราในฐานะนักวิเคราะห์ นักสถิติ โดยเฉพาะเชี่ยวชาญเรื่องหวย เรื่องตัวเลข มืออาชีพ อดรนทนไม่ได้ ก็เลยมาเล่าสู่กันฟัง เล่น ๆ อย่าไปคิดมาก นะครับ
เกี่ยวกับดาวอังคาร โบราณขาว่า เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ ของสงคราม และความไม่สงบ ความวุ่นวาย เกี่ยวกับพระจันทร์ หรือดวงจันทร์ เป็นสีเลือด แถวตะวันตก ยุโรป เขามักจะสรุปว่า เกี่ยวข้องกับพวกแวมไพร หรือมนุษยหมาป่า หรืออมนุษย์ เมื่อนำสองเหตุการณ์มารวมกัน แล้ว พอสรุปได้ความว่า เป็นลางบอกเหตุในรอบ ๑๒ เดือนของโลกเรา สงคราม ความตาย และความอดอยาก โลกใบนี้ อันเป็นที่ตั้งของหลายประเทศ หลายเผ่าพันธ์ หลายเชื้อชาติ หลายศาสนา หลายความคิด หลายมุมมอง และความแตกต่างทั้่งหลายเหล่านั้น จะนำมาสู่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ประเทศหลายประเ่ทศ จะทะเลาะกัน คนในประเืทศเดียวกัน แต่แตกต่างทางความคิดจะทะเลาะกัน และอาจขยายตัวเป็นสงครามระหว่างประเทศ และสงครามภายในประเทศที่เรียกว่า สงครามกลางเมือง สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นทุกซอกมุมของโลก ใบนี้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับกฎของกรรม กฏของชะตากรรม หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ดวงของโลกใบนี้ มีดวงขึ้น มีดวงตก แต่ไม่แตกสลายเพราะโลกใบนี้ จะเป็นฐาน เป็นที่มั่นของศาสนาที่สำคัญของจักรวาล แต่จะต้องถูกทำความสะอาด ชะล้างกวาดล้าง ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ที่มีต่อสภาพแวดล้อมของโลก โดยธรรมชาติ
ที่น่ากลัวที่สุด เป็นแผ่นดินไหว เมื่อแผ่นดินไหว ภูเขาไฟที่สงบ จะขยับเขยื้อน ลาวาจะพ่นออกมา ถ้าเกิดในมหาสมุทร ก็จะสร้างความเสียหายให้กับมนุษย์มากมาย เพราะจะเกิดคลื่นยักษ์ ถล่มตามแนวชายฝั่ง
อันนี้เล่าสู่กันฟังสนุก ๆ อย่าคิดมาก เป็นเพียงความเห็นของคนชอบวิเคราะห์หวย มาวิเคราะห์เรื่องดาราศาสตร์ แต่อย่าประมาท เป็นดีที่สุด สร้างบุญ สร้างกุศล เอาไว้ให้มากที่สุด เพราะพระท่านบอกว่า เรื่องบุญ เรื่องกุศล ใครทำ ใครก็ได้ ไม่ทำก็ไม่ได้
-
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
-
-
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
-
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
-
กราบ....กราบ....กราบ....
หลวงปู่บุญศรี -
-
กราบ กราบ กราบ หลวงปู่บุญศรี หลวงพ่อทรง ครับ
วันนี้ไปบวชหลานชายมา เอาบุญบวชมาฝากทุกๆท่านครับ -
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
-
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
-
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
พระพุทธบาทสี่รอย: ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๑
พระพุทธบาทสี่รอย ข้อความโดย ท่าน”สายครูบา” ขออนุญาตนำมาเผยแพร่
สำหรับพระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ นับเป็นมหาปูชนียสถานพิเศษที่ทรงไว้ซึ่งความสำคัญและความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งยวด ด้วยเป็น “บริโภคเจดีย์”ที่เนื่องโดยตรงในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เสด็จอุบัติขึ้นมาแล้วถึง 4 พระองค์คือ
1. พระกกุสันธพุทธเจ้า
2. พระโกนาคมนพุทธเจ้า
3. พระกัสสปพุทธเจ้า
4. พระโคตมพุทธเจ้า(พระองค์ปัจจุบัน)
โดยรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์นี้ ได้ปรากฏเป็นรอยลึกลดหลั่นลงไปในแท่งหินใหญ่บนยอดเขาสูงในเขตป่าดงดิบอันลึกล้ำมาแต่บูรพกาล แม้พระไตรปิฎก ก็ยังได้จดจารึกบันทึกพระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ไว้ในฐานะ 1 ใน 5 รอยพระพุทธบาทที่สำคัญที่สุดมาเนิ่นนานกว่า 20 ศตวรรษ ในนามรอยพระพุทธบาทแห่ง “โยนกปุระ”
หมายเหตุ , รอยพระพุทธบาท 5 แห่งที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ประกอบด้วย
1. สุวัณณมาลิก (ลังกา)
2. เขาสัจจพันธ์คีรี (สระบุรี ประเทศไทย)
3. เขาสุมนกูฏ (ลังกา)
4. แม่น้ำนัมมทานที (อินเดียหรือพม่า)
5. โยนกปุระ (ดินแดนทางภาคเหนือของไทย)ที่เคยเป็นอาณาจักรล้านนา ที่นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีทั่วโลกต่าง
สืบเสาะแสวงหากันมาเนิ่นนานก็ได้ปรากฏหลักฐานทั้งทางฝ่ายวัตถุและบุคคล ดังเช่น คำบอกเล่าของพระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี ก็ได้เคยเล่าให้ผู้เขียน(เนาว์ นรญาณ) ฟังโดยตรงเมื่อประมาณปีพ.ศ. 2538-2539 ว่า
“พระพุทธบาทสี่รอยนี้ เราเคยได้ธุดงค์ไปกราบมาแล้ว...”
-
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
พระพุทธบาทสี่รอย: ตอนที่ ๒
ตอนที่ ๒
“สมัยก่อน ตอนที่เรายังธุดงค์อยู่ในเขตภาคเหนือนั้น เราเคยได้ยินเขาเล่าลือกันว่า มีรอยพระพุทธบาทอยู่ที่โยนกนคร(ปุระ) เราก็ธุดงค์ไปหาอยู่ สมัยที่เราไปนั้น เป็นราวพ.ศ. 2490 ถนนหนทางยังไม่มี เราต้องธุดงค์ข้ามเขาไปหลายลูก จึงไปถึง พบเป็น 4 รอยพระบาท...”
และที่สำคัญที่สุด ก็คือการที่หลวงพ่ออุตตมะได้กล่าวย้ำอย่างหนักแน่นว่า
“พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธเจ้าทรงเหยียบไว้เองจริงๆนะ..!!!!!”
และ
“พระพุทธบาทสี่รอยนี้ ทางเมืองนอก(พม่า)เขาก็รู้ และเสาะหาอยู่เหมือนกัน คิดกันไปว่าน่าจะอยู่ในเขตพม่า แต่จริงๆแล้ว ก็มาอยู่ที่เมืองไทยเรานี่แหละ....”
นอกจากนี้ หลักฐานในทางวัตถุที่ยืนยันว่า รอยพระพุทธบาทแห่ง “โยนกปุระ” แท้จริงแล้วก็คือ “พระพุทธบาทสี่รอย” ก็คือ แผ่นศิลาจารึก ที่ติดอยู่บนพื้นผนังกำแพงมุขหลังพระวิหาร พระนาคปรก วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กทม. อันสถาปนามาแต่รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยในศิลาจารึกนั้น ได้บรรยายถึงรอยพระพุทธบาททั้ง 5 แห่ง โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทที่โยนกปุระนั้น ในศิลาจารึกแผ่นนี้ ได้ขยายความระบุถึงที่ประดิษฐานไว้อย่างชัดเจนยิ่งว่า
“รอยพระพุทธบาท อันพระพุทธเจ้าทรงประดิษฐานไว้บนยอดเขา “รังรุ้ง” แดนโยนกประเทศ คือเมืองเชียงใหม่”
ยิ่งไปกว่านี้ หลักฐานในทางวัตถุที่สำคัญอย่างยิ่งยวดอีกประการก็คือ “คำให้การของขุนหลวงหาวัด” อันว่าด้วยเรื่องราวต่างๆของกรุงศรีอยุธยา ที่พระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่าให้อาลักษณ์บันทึกรับสั่งของเจ้าฟ้าอุทมพร(ขุนหลวงหาวัด) ภายหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 เมื่อปีพ.ศ. 2310 ไว้อย่างละเอียด โดยตอนหนึ่งได้กล่าวถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จพระราชดำเนินปทรงนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย (สมัยโบราณเรียก “พระพุทธบาทรังรุ้ง) ไว้อย่างชัดเจนว่า
“....สมัยสมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปรบที่เมืองหาง พระองค์ทรงทราบว่า มีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขา เรียก “เขารังรุ้ง” จึงได้เสด็จขึ้นไปนมัสการ ทรงเปลื้องเครื่องทรง ทั้งสังวาลและภูษา แล้วทรงถวายไว้ในรอยพระบาท และทำสักการบูชาด้วยธง ธูปเทียน ข้าวตอกดอกไม้ มีเครื่องทั้งปวงเป็นอันมาก แล้วจึงทำการพิธีสมโภชอยู่เจ็ดราตรี”
ด้วยเหตุดังพรรณนามานี้เอง “พระพุทธบาทสี่รอย” ที่มีหลายชื่อหลายนาม ไม่ว่าจะเป็น “พระพุทธบาทรังรุ้ง” หรือ “พระพุทธบาทแห่งโยนกปุระ” จึงเป็นรอยพระพุทธบาทรอยแรกที่คนไทยได้เคยค้นพบและกราบนมัสการ สมดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยได้ทรงรับรองไว้ครั้งหนึ่งว่า “พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย"
-
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
พระพุทธบาทสี่รอย: ตอนที่ ๓
ตอนที่ ๓
ด้วยเหตุนี้ แม้พระเดชพระคุณพระญาณสิทธาจารย์ หรือหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร พระอริยเจ้าผู้ทรงคุณธรรมและญาณสมาบัติชั้นสูงสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ แห่งสำนักถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ก็เคยธุดงค์ไปกราบพระพุทธบาทสี่รอย และนำมาเทศนาบอกเล่ารับรอง ภายหลังจากตรวจการทั้งปวงด้วยญาณวิถีแห่งพระอรหันตเจ้าที่ไม่มีกิเลสาสวะใดมากีดกันปิดกั้นได้แก่บรรดาศิษยานุศิษย์เป็นหลายครั้ง จนพระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นที่รู้จักมักคุ้นและแพร่หลายกันโดยทั่วไปในเวลาต่อมาว่า
“ในเขตเชียงใหม่นี้ ยังมีพระบาทสี่รอย อยู่ในเขตอำเภอแม่ริม แต่ว่าลึกเข้าไปในภูเขาหลวงปู่ผู้เทศน์ไปดูมาแล้ว ไปกราบไปไหว้ มันเป็นก้อนหินก้อนใหญ่ เป็นก้อนสี่เหลี่ยมขึ้นไปอยู่ข้างริมแม่น้ำ.....พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ได้มาตรัสรู้ในโลก ท่านก็มาเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ในยอดก้อนหินนั้น ยาวขนาด 12 ศอก...ขนาดนั้น.... พระพุทธเจ้ากกุสันโธก็โปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย นำพระสาวก อุบาสก อุบาสิกาไปสู่นิพพาน
เมื่อหมดศาสนาพระพุทธเจ้ากกุสันโธแล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้าโกนาคมโน ก็มาตรัสมาสอนรื้อขนสัตว์ไปอีก ก่อนนิพพาน ท่านก็มาเหยียบไว้ที่พระบาทแม่ริมนี้ เป็นรอยที่สอง (ขนาด) ลดลงมา คือคนสมัยนั้นก็เรียกว่า มันกำลังทดลง ไม่ได้ใหญ่ขึ้น(ตัวเล็กลง)
เมื่อพระพุทธเจ้าโกนาคมโนนิพพานไปพร้อมด้วยสาวกแล้วศาสนธรรมคำสอนท่านหมดไป ก็ มาถึงพระสั มมาสัมพุทธเจ้ากัสสโปมาตรัสรู้ ท่านก็มาเหยียบไว้ ได้สามรอยละ....
เมื่อศาสนาพระพุทธเจ้ากัสสโปหมดไปแล้ว มาถึงศาสนาพระพุทธเจ้าของเราในปัจจุบันนี้ ให้ชื่อว่าพระพุทธเจ้าโคตมโคตร พระพุทธเจ้าโคดมมาตรัสรู้ ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ก็มาเหยียบรอยพระบาทไว้ในก้อนหินก้อนเดียวกัน จึงให้ชื่อว่า “พระพุทธบาทสี่รอย”.......
-
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
พระพุทธบาทสี่รอย: ตอนที่ ๔
ตอนที่ ๔
คือในโลกนี้แผ่นดินนี้ ยังเหลืออยู่อีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ที่เราทุกคนได้ยินได้ฟังกันมาจนชินหูแล้วก็มี ว่ายังมี
พระศรีอาริยเมตไตรโยโพธิสัตว์ จะมาตรัสรู้เป็นองค์สุดท้าย เมื่อตรัสรู้แล้ว โปรดเวไนยสัตว์แล้ว ก็มาเหยียบไว้อีก เหยียบทีนี้น่ะดูเหมือนจะใหญ่ คือว่าเหยียบเต็มเลย ก็คล้ายๆกันกับว่า เหยียบปิดเลย ละลายหินก้อนนั้น เพราะว่าเมื่อหมดศาสนาพระศรีอาริย์แล้ว.....ก็ไม่มีศาสดาใดที่จะมาตรัสรู้อีก เรียกว่า แผ่นดินที่เราเกิดนี้ นับว่าเป็นแผ่นดินที่ร่ำรวยที่สุด ....แผ่นดินนี้เรียกว่า “ภัทรกัป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ได้ห้าพระองค์....”
หรือแม้แต่ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม พระอริยเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อย่างยวดยิ่งแห่งวัดป่าอรัญญวิเวก จ.นครพนม เมื่อครั้งยังเที่ยวธุดงค์อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยเช่นกันว่า
“พระพุทธบาทสี่รอยนี้ เป็นสัญลักษณ์แห่งมหาภัทรกัป ที่มีความสำคัญที่สุดในจักรวาล...”
ด้วยเหตุดังกล่าวมาทั้งหมดนี้เอง จึงเป็นที่สมมุตยุติสรุปการทั้งปวงได้อย่างสิ้นสงสัยอย่างสิ้นเชิงแล้วว่า อัน “พระพุทธบาทแห่งโยนกปุระ” หรือ “พระพุทธบาทรังรุ้ง” และหรือ “พระพุทธบาทสี่รอย” ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ. แม่ริม จ.เชียงใหม่ดังที่พรรณนามานี้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่แท้จริง และมีความสำคัญอย่างที่สุด อย่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนตลอดระยะเวลา 4 อสงไขย 100,000 มหากัปถึงเพียงไหน..???
เพราะที่สุด พระคุณเจ้า หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ พระผู้ที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานแห่งยุคก็ยังได้เคยพยากรณ์ไว้ เมื่อครั้งที่หลวงปู่สิมยังเป็นสามเณรอยู่ว่า “เณรสิมนี้ ยังเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ ถ้าเบ่งบานเมื่อได้ จะหอมกว่าหมู่” เมื่อได้เล็งญาณพิจารณาการทั้งสิ้นแล้ว จึงได้กล่าวสรุปปิดท้ายไว้ก่อนละสังขารไม่นานว่า
“พระบาทสี่รอยนี้ เป็นที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาเหยียบรอยพระบาทไว้เองจริงๆ....”
“รอยพระบาทที่จังหวัดสระบุรี เป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคดมเพียงพระองค์เดียว แต่ที่พระบาทสี่รอยนั้น เป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์ ไหว้พระบาทสี่รอยครั้งหนึ่ง ก็เท่ากับได้ไหว้พระพุทธเจ้ารวดเดียวถึง 4 พระองค์นั่นแหละ....”
พระพุทธบาทสี่รอย ข้อความโดย ท่าน”สายครูบา” ขออนุญาตนำมาเผยแพร่
-
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
-
-
-
-
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
จะซื้อสัก ๒ กิโลกรัม ท่านใดพอทราบรายละเอียดช่วยแนะนำร้านด้วย จะเป็นพระคุณ
หน้า 2878 ของ 3280