((เหรียญเจ้าปู่ศรีสุทโธ แห่งวังนาคินทร์ คำชะโนด พรหมประกายโลก Hot แรงสุดๆ เริ่มหน้า 16))

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย namayti, 9 เมษายน 2017.

  1. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    -----ทักมานะครับ----
    [​IMG]
    -----ทักมานะครับ----
     
  2. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    เหรียญรุ่นแรก โค๊ต"รวย"นิยม มารอบสุดท้าย 10 เหรียญ เลขหลัก 2 พันกว่าๆ สวยผิวรุ้งครามทุกเหรียญ แชมป์เรียกพี่....ด่วนเล้ยนะครับ
    [​IMG]
     
  3. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    เหลือหมายเลข 2819 - 2829 และ 2869
    ท้าย 9 สวยแชมป์ทุกเหรียญ....ในซองซีน ไม่ผ่านรอยนิ้วมือครับ...เหรียญประวัติ"วังนาคินทร์" เก้ออกมาแล้ว...ระวังกันด้วยเด้อพี่น้อง...กรรมของคนสร้างใครทำก็รับกรรมนั้นไป...โอ้ยๆ ประเทศไทย
     
  4. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    เตรียมนับถอยหลังครับ อีก 16 วัน เรียนเชิญร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่อีกครั้ง พิธีใหญ่แน่นอน..เม็ดแตงรุ่นแรก"รวยทันใจ"...ที่ขออนุญาตสร้างถูกต้องจากคณะกรรมการวังนาคินทร์ คำชะโนดของจริง...อดใจเอาไว้ๆๆ
    :):cool::rolleyes:;):D:):cool::rolleyes:;):D:)
     
  5. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    [​IMG]
    ++ อีก 13 วัน พบกันที่วังนาคินทร์ คำชะโนด นะครับ ++

    [​IMG]
     
  6. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    +++++นับถอยหลังอีก 12 วันครับ...ประวัติศาสตร์กำลังจะถูกบันทึกอีกครั้ง +++++
    19148920_1902541593326791_7588758765619586335_n.jpg
    พิธียิ่งใหญ่กว่าอีกแน่นอนจ้า
     
  7. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    +++++นับถอยหลังอีก 11 วันครับ...ประวัติศาสตร์กำลังจะถูกบันทึกอีกครั้ง +++++
    19148920_1902541593326791_7588758765619586335_n-jpg.jpg
    !!!!!!!!พิธียิ่งใหญ่กว่าอีกแน่นอนจ้า!!!!!!!


    ผีจ้างหนัง เผยตํานานผีจ้างหนัง อาถรรพ์ป่าคำชะโนด

    Naka-Movies-06.jpg

    พญานาคจ้างฉายหนังที่คำชะโนด

    ที่มาของผีจ้างหนังจากเจ้าของกิจการแจ่มจันทร์ภาพยนตร์

    สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่รู้จักไปทั่วประเทศจากเรื่องเล่าผีจ้างหนังโดยมีบุคคลนิรนามไปว่าจ้างหน่วยฉายหนังเร่แจ่มจันทร์ภาพยนตร์ในตัวเมืองอุดรธานีไปฉายหนังในเกาะคำชะโนด และพบว่าละแวกที่ฉายหนังนั้นไม่มีหมู่บ้านใด ๆ โดยคนในหมู่บ้านใกล้เคียงแถวนั้นก็ยืนยันว่า ไม่ได้เดินทางมาดูหนังคืนนั้น แต่คนฉายหนังก็ยืนยันว่า ตอนดึก ๆ มีคนมานั่งดูหนังที่ฉายเต็มไปหมด

    คุณธงชัย แสงชัย เจ้าของหนังเร่บริษัทแจ่มจันทร์ภาพยนตร์กล่าวในบันทึกประวัติคำชะโนดของนายสวาท บุรีเพีย อดีตศึกษาธิการอำเภอบ้านดุง “เรื่องเกิดขึ้นในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2532 มีคนมาว่าจ้างให้หนังของผมไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตร ค่าจ้างตกลงกันไว้ 4,000 บาท มีหนังฉาย 4 เรื่อง แต่มีสัญญาพิเศษอยู่ 1ข้อ คือ ให้ฉายถึงแค่ตี 4 เท่านั้น ห้ามฉายถึงสว่าง พอตี 4 ก็ให้รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉาย ซึ่งผมได้ฟังก็แปลกใจมากแต่ไม่ได้คิดอะไรในตอนนั้น เพราะเห็นว่าเป็นความต้องการของผู้มาว่าจ้าง จึงไม่ได้ซักถามถึงเหตุผล แต่ปรกติแล้วเวลาไปฉายหนังที่อื่น ชาวบ้านมักจะให้ฉายถึงสว่างทุกเจ้าไป

    หลังจากนั้นผมก็ได้ส่งหน่วยฉายหนังไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ ในตอนเช้าพนักงานของผมจำนวน 7 คน ซึ่งกลับมาจากฉายหนังเมื่อคืน ก็เล่าให้ผมกับภรรยาฟังว่า เมื่อคืนไปฉายหนังให้ผีดู
    เด็ก ๆ เล่าให้ฟังว่า หนังเริ่มฉายตั้งแต่ตอน 3 ทุ่ม ในตอนหัวค่ำไม่เห็นผู้คน ก็ยังสงสัยว่าหายไปไหนหมด แต่พอ 3 ทุ่มก็มีคนมาเป็นจำนวนมาก และที่แปลกคือ ผู้หญิงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอีกข้างหนึ่ง และคนทั้งหมดก็นั่งกันสงบเงียบเรียบร้อยเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวตัว และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงเอะอะเหมือนกับฉายหนังกลางแปลงทั่ว ๆ ไป ฉายหนังบู๊ก็เฉย ฉายหนังตลกก็เฉย ไม่มีเสียงหัวเราะ

    อีกอย่างคือ งานนี้ไม่มีร้านขายข้าวของ จำพวกของกินเลย โดยทั่วไปงานอื่น ๆ จะมีร้านขายขนม ขายบุหรี่ พอถึงตี 4 พวกคนดูก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด หายไปเร็วเหลือเกิน พวกเด็ก ๆ เขาก็รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉายหนัง พอขับรถมาถึงหมู่บ้านวังทองตอนเช้าก็แวะซื้อบุหรี่ก่อนเลย เนื่องจากเมื่อคืนไม่มีขาย ชาวบ้านถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา เด็ก ๆ ก็บอกว่าฉายในหมู่บ้านวังทอง แต่ชาวบ้านกลับยืนยันว่าไม่มีหนังมาฉายในหมู่บ้านเลย

    เรื่องก็เลยยุ่งว่าเมื่อคืนไปฉายหนังที่ไหนมา ในที่สุดเมื่อสอบถามกันจนเป็นที่เข้าใจ ชาวบ้านสรุปว่า “สงสัยพวกคุณจะไปฉายหนังที่ใน “ดงคำชะโนด” ซึ่งเป็นสถานที่ลี้ลับที่เชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านวังทองนี่เอง

    พวกเด็ก ๆ ก็เลยเชื่อว่าถูกผีจ้างไปฉายหนังจริงอย่างที่ชาวบ้านว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมก็อยากจะพิสูจน์ความจริงจึงเดินทางไปที่บ้านวังทอง ผมไปที่ดงคำชะโนดซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปสัก 3 กิโลเมตร แต่ที่ผมแปลกใจมากเพราะดงไม้ที่ผมมองเห็นอยู่กลางทุ่งนาห่างจากตัวถนนครึ่งกิโลเมตรนั้นเป็นดงไม้ทึบ อย่าว่าแต่ให้ขับรถยนต์จะเข้าไปข้างในเลย แม้แต่จะขึงตั้งจอหนังก็ยังไม่ได้ด้วย

    ผมจึงไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้นว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาในหมู่บ้านวังทอง หรือหมู่บ้านใกล้เคียงมีการฉายหนังกันบ้างไหม ทุกคนต่างก็ยืนยันว่า ไม่มีหนังเข้ามาฉายเลย ทำให้ผมงุนงงเป็นอันมาก ทำให้ผมต้องเดินทางกลับไปที่ดงคำชะโนดอีกครั้ง เพื่อหาข้อพิสูจน์ ว่าเด็ก ๆ ได้มาฉายหนังที่นี่จริง ในที่สุดก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่า เด็ก ๆ ของผมได้เข้าไปฉายหนังในดงคำชะโนดจริง นั่นก็คือ ตรงขอบถนนมีรอยรถยนต์แล่นผ่านลงไปในหล่มดินข้างทาง รอยรถนั้น แล่นผ่าเข้าไปในท้องนาซึ่งเป็นที่ลุ่มน้ำขัง ไม่น่าเชื่อเลยว่ารถฉายหนังจะแล่นเข้าไปในดงคำชะโนดนั้นได้

    ด้วยความประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคุณธงชัยได้ไปนมัสการ หลวงปู่คำตา สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศิริสุทโธ คำชะโนด ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้ ๆ ดงคำชะโนด และได้ไต่ถามถึงเรื่องนี้กับเจ้าอาวาส ซึ่งท่านก็ได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า “คงเป็นเพราะช่วงนั้นเป็นเทศกาลของบรรดาวิญญาณซึ่งอาศัยอยู่ในดงไม้นี้ จึงได้ว่าจ้างให้หนังมาฉายฉลองเหมือนพวกมนุษย์ วิญญาณเหล่านั้นชาวอีสานเรียกว่า “ ผีบังบด” ในวันนั้นที่วัดไม่ได้มีการจัดงานแต่อย่างใด แต่ในป่าคำชะโนดจะมีเสียงซู่ ๆ เหมือนกับมีพายุพัดเข้ามาทั้ง ๆ ที่คืนนั้นไม่มีลมใหญ่พัดมาจากไหนเลย”

    “ในขณะที่หลวงปู่คำตาเล่าเรื่องนี้อยู่ ก็ปรากฏว่ามีงูตัวหนึ่งสีดำสนิท ท่าทางน่ากลัวเลื้อยเข้ามานอนขดอยู่ตรงหน้าของท่าน ผมและภรรยาตกใจมาก แต่หลวงปู่คำตาก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก คงจะเป็นวิญญาณของผู้ที่อาศัยอยู่ในดงไม้ไม่ต้องการให้ท่านเล่าหรือเปิดเผยอะไรต่อไป จึงได้ส่งให้งูตัวนี้มาปรากฏเพื่อเป็นการเตือน หลังจากนั้นท่านจึงขอตัวไม่เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ แต่ผมก็เชื่อว่ายังมีอะไรที่แปลกน่าสนใจอีกมาก เกี่ยวกับดงคำชะโนดนี้”


    ที่มาของผีจ้างหนังจากลูกสาวเจ้าของกิจการ
    สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อธนาทิพย์ แสงไชย เป็นลูกสาวของเจ้าของกิจการแจ่มจันทร์ภาพยนตร์ ร้านดังที่ทุกท่านในเวปนี้เข้าใจกันแล้วว่าได้ไปจัดฉายภาพยนตร์ให้ผีดู ได้มีคนบอกให้ดิฉันมาเปิดอ่านดูกระทู้ต่างๆแล้วเข้าใจว่าหลายๆท่านสับสนกับ เรื่องผีจ้างหนังดังกล่าว เพราะมีหลายกระแสมาก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับทางบ้านค่ะ และทางบ้านของดิฉันก็ไม่มีความต้องการที่จะอยากเด่นดังในเรื่องแบบนี้ดังที่ บางท่านเข้าใจ ดิฉันเคยไปที่คำชโนดด้วยตัวเองหลายครั้งแล้ว ก็จะเจอคนแก่ๆที่คอยมานั่งเล่าเรื่องนี้แบบใส่สีตีไข่เพื่อให้ดูน่าสนใจมาก ขึ้น โดยที่เค้าก็ไม่ทราบว่าครอบครัวดิฉันเป็นใคร จนกระทั่งได้มีการแสดงตัวจึงยอมรับว่าได้เล่าเกินความเป็นจริงอยู่มาก ดิฉันอยากเรียนให้ทุกท่านที่อยู่ในเวปนี้เป็นรายละเอียดคร่าวๆให้ทราบกันว่า

    ตอนที่มีคนมาจ้างเป็นชาวบ้านผู้ชายชื่อ นายจำปา คำแก้วเป็นชาวบ้านหมู่บ้านวังทอง ได้มีการว่าจ้างให้ไปฉายภาพยนตร์ที่บ้านคำชะโนดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 4,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าให้เก็บของออกจากที่ฉายในเวลาตี4 (โดยปกติเจ้าของงานมักให้ฉายภาพยนตร์ถึงสว่าง) ทางร้านตามใจลูกค้าเป็นสำคัญจึงไม่ได้เอะใจอย่างไร จากวันที่ไปฉายมีคนงานไปทั้งหมด 5 คน โดยมีสิ่งปกติดังนี้คือ

    1.เวลา 21.00 น. จีงจะมีชาวบ้านเริ่มทะยอยมาดูหนัง (ปกติจะมากันตั้งแต่ 19.00 น.)
    2.ไม่ว่าหนังจะเป็นบู๊ หรือตลก อย่างใดก็ตามไม่มีการแสดงความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น
    3.เมื่อใกล้เวลา 04.00น. ทุกคนก็รีบเก็บของ(เสื่อปูที่นั่ง)กลับทันที
    4.ไม่มีแม่ค้ามาขายของแม้แต้เจ้าเดียว

    จากความผิดปกติข้อ 4 นั้นทำให้คนงานไม่มีบุหรี่สูบ เมื่อสว่างจึงได้แวะที่หมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อซื้อบุหรี่ โดยได้ถามคนขายว่าได้ไปดูหนังเมื่อคืนหรือเปล่า คนขายจึงถามว่าฉายที่ไหน ไม่รู้เรื่อง คนงานได้บอกว่าฉายที่บ้านคำชะโนด จึงทำให้เกิดความสงสัยจนนำไปถึงการร่ำลือว่าโดนผีหลอก เพราะที่ตรงนั้นรถใหญ่ไม่สามารถเข้าไปได้แน่นอนเพราะเป็นที่ดินน้ำซับ

    เมื่อคนงานทั้งหมดกลับมาที่บ้านก็ได้ตื่นเต้นตกใจว่าผีหลอกแน่นอน และได้นำมาเล่าให้พ่อของดิฉันฟัง แต่ท่านก็ลงความเห็นว่าทั้งหมดเมาจึงคิดไปเอง ซึ่งปกติคนงานก็กินเหล้ากันเป็นประจำและสิ่งที่คนงานเล่าก็ถือเป็นเรื่องที่ เชื่อได้ยาก คุณพ่อจึงไม่สนใจถามเอาความต่อ แต่เรื่องมันเริ่มมาดังหลังจากนั้น 2 เดือนผ่านไป ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นเริ่มบอกกันปากต่อปาก และแน่นอนว่าก็ต้องบิดเบือนความเป็นจริงให้ดูเหมือนนิยายสยองขวัญเพื่อให้ดู น่าติดตาม ดิฉันอยากจะบอกว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีเพียงเท่านี้จริงๆค่ะ เงินที่ได้รับมาก็เป็นเงินปกติไม่ได้เป็นใบไม้หรืออะไรก็ตามที่มีคนกล่าว อ้าง ดิฉันเคยเห็นใบสัญญาจ้างหนังกับตาตนเองว่าได้มีคนมาจ้างจริงๆ ซึ่งภายหลังเมื่อกระแสมันแรงมากขึ้น พ่อกับแม่ของดิฉันจึงเริ่มเก็บข้อมูลและได้ไปพบท่านเจ้าอาวาสวัดที่หมู่บ้าน นี้ ก็ได้รับทราบข้อมูลหลายอย่างที่หากนำมาบอกคงยืดยาวเกินไป

    ทั้งนี้ ที่ดิฉันได้มาลงกระทู้นี้ก็เพื่อให้ทุกท่านรับทราบและเข้าใจด้วยว่า ทางบ้านของดิฉันไม่เคยมีเจตนาที่จะทำเรื่องแบบนี้มาหลอกเพื่อให้ตัวเองดัง หรืออะไรก็ตามที่เป็นการไม่ดี ทางบ้านดิฉันได้เปิดร้านมีชื่อเสียงทางด้านฉายภาพยนตร์กลางแปลงมานานแล้ว ก่อนที่จะมีเรื่องนี้เสียอีก หากไม่เชื่อก็ขอเชิญทุกท่านลองถามคนในจังหวัดอุดรรุ่นเก่าๆดูได้ว่ามีใครไม่ รู้จัก แจ่มจันทร์ภาพยนตร์หรือไม่ ตัวดิฉันและครอบครัวก็เป็นคนมีการศึกษา ซึ่งขณะนี้ดิฉันก็กำลังศึกษาปริญญาโท MBA อยู่ ก็น่าจะเชื่อได้ว่าเป็นผู้มีมาตรฐานทางความคิดที่ดี

    ดังนั้น ขออย่าให้ทุกท่านคลางแคลงใจในเรื่องนี้อีกเลยนะคะ มีอีกสิ่งหนึ่ง ที่ดิฉันอยากเรียนให้เข้าใจใหม่ด้วยว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มาจ้างหนังที่เราท่านเรียกว่าผีนั้น (ซึ่งท่านบังบทหรือสวมมาในร่างคุณจำปา คำแก้วเมื่อมาจ้างหนัง) แท้จริงแล้วท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือจะเรียกว่าเป็นเทพก็ได้ ในเมืองบาดาล ดังที่เราท่านเข้าใจกันคือ พญานาคค่ะ ตัวดิฉันเองเป็นคนเกิดปีมะโรง ซึ่งก็มีความเชื่อในเรื่องของพญานาคอยู่แล้ว ก็คิดว่าเป็นลูกหลานท่านที่ท่านอยากมาช่วยเหลือเพราะฉะนั้น จึงอยากขอความกรุณาทุกท่านที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อในเรื่องนี้ได้เข้าใจกัน ว่า ไม่เชื่อก็โปรดอย่าลบหลู่ดูหมิ่น และขอสาบานด้วยชีวิตของดิฉันเลยว่าทุกสิ่งอย่างที่ได้แจงรายละเอียดไปน้น เป็นความจริงทุกประการค่ะ (ธนาทิพย์ แสงไชย) (ขอบคุณข้อมูลจากบล็อกโอเคเนชั่น)
     
  8. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ความศักดิ์สิทธิ์และพลังศรัทธา...ภาพสดๆวันนี้ 25 มิถุนายน 2560 ผู้คนเรือนหมื่นยังเดินทางมากราบเจ้าปู่-เจ้าย่า กันไม่ขาดสาย...ขอให้ทุกท่านโชคดี ร่ำรวยๆ หมดหนี้หมดสิ้น มีกินไม่มีวันหมด นะครับ...สาธุ
    [​IMG][​IMG]
    กายะ วาจา จิตตัง อะหังวันทา นาคาธิบดี ศรีสุทโธ วิสุทธิเทวา พญานาคินี ศรีปทุมมา วิสุทธิเทวี ปูเชมิ เมตตัญจะ มหาลาโภ ปิโยนาคะ ขันธปริตตัง...สาธุ...สาธุ...สาธุ
    [​IMG][​IMG]
    ใครยังไม่ได้จองเหรียญ...รีบๆเลยครับ...เม็ดแตง"รวยทันใจ"
    [​IMG]
     
  9. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    เมืองบาดาลคำชะโนด กับตำนาน “พญานาค”
    11 มีนาคม 2016
    forestcome10-696x484.jpg
    ทางเดินพญานาคอันศักดิ์สิทธิ์นำพาไปสู่เกาะคำชะโนด (ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บ palungdham)
    เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับพญานาคที่ไปปรากฎร่างตามสถานที่ต่างๆ ในแถบจังหวัดฝั่งภาคอีสานกันใช่ไหม?

    นั่น แหละที่ทำให้ทุกคืนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ทีไร ที่จ.หนองคายเป็นต้องมีผู้คนแห่กันไปดูดวงไฟพญานาคกันอย่างคึกคักครึกครื้น ริมฝั่งแม่น้ำโขง ที่ว่าครึกครื้นก็เพราะมีบรรดากองเชียร์ไปลุ้นนับดวงไฟที่พุ่งขึ้นมาจากท้อง น้ำกันอย่างเนืองแน่น สองฝากฝั่งโขงมีทั้งกองเชียร์ชาวไทยและชาวลาวไปเย้วๆ พร้อมเพรียงกัน ในขณะที่ดวงไฟพญานาคพุ่งขึ้นมาจากน้ำ

    ท่านพญานาคนี้ หนอ ช่วยให้เศรษฐกิจการท่องเที่ยวของชาวหนองคายได้คึกคักครึกครื้น เงินทองลื่นไหลมาเทมาดีจริงๆ ถึงแม้บางปีจะมีนักท่องเที่ยวบางตาไปหน่อย แต่ก็ถือว่าคนเที่ยวก็ยังมีมาไม่ขาดหาย ข้าวของขายได้เป็นกอบเป็นกำพอสมควร

    เว้า ไปถึงเรื่องพญานาคก็เพราะ จะพาไปมององศา แลลิปดากันที่พิกัด 17 องศา 42 ลิปดา 6 พิลิปดาเหนือ มองจากกูเกิ้ลเอิร์ธลงไป นั่นคือเขตอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี จุดนี้เองที่เป็นที่มาของเรื่องเล่า….เรื่องราวพญานาคและวังนาคินทร์แห่ง คำชะโนด

    วังนาคินทร์คำชะโนด หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า เมืองชะโนด ตั้ง อยู่ระหว่างรอยต่อของตำบลวังทอง ตำบลบ้านม่วง และตำบลบ้านจันทร์ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี คำชะโนดมีลักษณะคล้ายเกาะเล็กๆ บนพื้นที่ราว 20 ไร่ เฉพาะพื้นที่นี้จะมีป่าคำชะโนดขึ้นรกทึบ เนื่องจากบริเวณนั้นมีต้นชะโนด (อยู่ในตระกูลเดียวกับปาล์ม คล้ายๆ ต้นตาล ต้นหมาก หรือไม่ก็ต้นมะพร้าว แต่สูงกว่า) ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น มองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ทิวชะโนดสูงเด่นเป็นสง่า ในราวปี 2520 ชาวบ้านได้สำรวจจำนวนต้นชะโนดในป่าแห่งนี้ มีอยู่ราว 2,000 กว่าต้น จนมาถึงปี 2544 ชาวบ้านสำรวจอีกครั้งพบว่าต้นชะโนดลดลงเหลือเพียง 1,865 ต้น ถึงกระนั้นที่นี่ก็ยังคงความเย็นชื้นและให้บรรยากาศวังเวงเหมือนเดิม แต่ที่น่าแปลกก็คือ หากพ้นจากดงชะโนดแห่งนี้ไป ห่างกันแค่ไม่ถึง 300 เมตร ก็จะไม่มีต้นชะโนดปรากฏให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว และที่แห่งนี่แหละที่เป็นที่มาของความแปลกประหลาด ลึกลับ ระคนน่าสงสัยใคร่รู้หลากหลายเรื่องราว

    มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธเป็นพญานาค ครองเมืองหนองกระแสครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งมีพญานาคอีกตัวปกครองอยู่ มีชื่อว่า สุวรรณนาค ทั้งสองพญานาคมีบริวารอยู่ฝ่ายละ 5,000 ตัว เช่นเดียวกัน พญานาคทั้งสองอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความสามัคคี มีอาหารการกินก็แบ่งปันกันกิน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ภายใต้ข้อตกลงข้อหนึ่งว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกไปล่าเนื้อหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งก็จะต้องไม่ออกไป เพราะเกรงว่าบริวารไพร่พลอาจจะกระทบกระทั่งกันได้ และอาจเกิดการรบรากันขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตามที่ออกไปล่าเนื้อหาอาหาร ก็จะต้องนำอาหารที่หามาได้นั้น แบ่งกันกินฝ่ายละครึ่ง

    ด้วยสนธิ สัญญาสันติภาพดังว่านี้ ทำให้พญานาคทั้งสองเมืองสองฝ่ายอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขตลอดมา จนกระทั่งวันหนึ่ง สุทโธนาคได้พาบริวารไพร่พลออกไปล่าเนื้อหาอาหาร ได้ช้างมาเป็นอาหาร กลับมาถึงจึงได้แบ่งเนื้อช้างให้สุวรรณนาคครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนของช้างไปให้ดูเพื่อเป็นหลักฐาน ต่างฝ่ายต่างกินเนื้ออย่างอิ่มหนำสำราญดี วันต่อมาสุวรรณนาคก็ได้พาบริวารไพร่พลออกไปล่าเนื้อหาอาหารได้เม่นมาตัว หนึ่ง สุวรรณนาคจึงแบ่งให้สุทโธนาคครึ่งหนึ่งเหมือนเดิม พร้อมทั้งนำขนของเม่นไปให้ดู ปรากฎว่าเม่นตัวเล็กนิดเดียว แต่ขนของเม่นดันใหญ่เกินตัว ครั้นเมื่อแบ่งเนื้อเม่นให้สุทโธนาค จึงแบ่งออกมาได้น้อย สุทโธนาคพิจารณาดูขนเม่น ก็เห็นว่าขนาดขนช้างเล็กนิดเดียวตัวยังใหญ่โตขนาดนั้น แต่นี่ขนเม่นออกจะใหญ่ขนาดนี้ ตัวเม่นเล่าจะใหญ่โตขนาดไหน…..สุทโธนาคเชื่อสนิทใจว่า ถึงอย่างไรตัวเม่นก็จะต้องใหญ่กว่าช้างอย่างแน่นอน

    เมื่อคิดได้ อย่างนี้ จึงให้เสนาอำมาตย์นำเนื้อเม่นที่ได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งไปคืนให้สุวรรณนาค พร้อมกับฝากบอกไปว่า “ไม่ขอรับอาหารส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรมจากเพื่อนที่ไม่ซื่อสัตย์” สุวรรณนาคเมื่อได้ยินดังนั้น จึงรีบเดินทางไปพบสุทโธนาคเพื่อชี้แจงให้ทราบว่าเม่นถึงแม้ขนมันจะใหญ่โต แต่ตัวเล็กนิดเดียว ขอให้เพื่อนรับเนื้อเม่นไว้เป็นอาหารเสียเถิด แต่ไม่ว่าสุวรรณนาคจะพูดเท่าไร สุทโธนาคก็ไม่เชื่ออยู่ดี ผลสุดท้ายทั้งสองฝ่ายจึงประกาศสงครามกัน ตามตำนานเล่าว่า พญานาคทั้งสองรบกันอยู่นานถึง 7 ปีจนต่างฝ่ายต่างเมื่อยล้า เพราะต่างฝ่ายต่างหวังจะเอาชนะคะคานกันให้ได้ เพื่อจะครองความเป็นใหญ่ในหนองกระแสเพียงคนเดียว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในบริเวณหนองกระแสและบริเวณรอบ ๆ เกิดความเสียหายเดือดร้อนไปตามๆ กัน เป็นผลกระทบจากการแย่งชิงอำนาจกันของสองพญานาคนั่นเอง (คุ้นๆ จังนิ)

    เมื่อ เกิดรบกันรุนแรงเลยทำให้พื้นโลกสั่นสะเทือนเกิดแผ่นดินไหวไปทั่วทั้งสามภพ ความได้ทราบไปถึง พระ อินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ เทวดาน้อยใหญ่ทั้งหลายก็ได้ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์เพื่อร้องทุกข์และเล่า เหตุการณ์ให้ฟัง เมื่อพระอินทร์ได้ฟังดังนั้นจึงคิดหาวิธีการให้พญานาคทั้งสองหยุดรบกันเพื่อ ความสงบสุขของไตรภพ ตัวท่านจึงได้เสด็จจากดาวดึงส์ลงมายังเมืองมนุษย์โลกที่หนองกระแส แล้วตรัสเป็นเทวราชโองการว่า

    “ให้ท่านทั้งสองหยุดรบกันเดี๋ยวนี้! การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าทุกฝ่ายเสมอกัน และขอประกาศให้หนองกระแสเป็นเขตปลอดสงคราม ให้เจ้าทั้งสองแยกกันไปสร้างแม่น้ำคนละสายออกจากหนองกระแส หากใครสร้างถึงทะเลก่อนจะ ให้ปลาบึกมาอยู่ในแม่น้ำแห่งนั้น” ก็เป็นอันว่าการทำสงครามครั้งนี้สองฝ่ายเสมอกันไม่มีใครแพ้ใครชนะ และเพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทของพญานาคทั้งสองอีก พระอินทร์จึงให้เอาภูเขาดงพญาไฟเป็นเขตกั้นคนละฝ่าย ใครข้ามไปราวีรุกรานกัน ก็ขอให้ไฟจากภูเขาดงพญาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลไป

    เมื่อพระอินทร์ ตรัสเป็นเทวราชโองการดังกล่าวแล้ว สุทโธนาคจึงพาบริวารไพร่พลอพยพออกจากหนองกระแสไปสร้างแม่น้ำ โดยมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เห็นตรงไหนเป็นภูเขาคดโค้ง ก็เร่งขุดสร้างทางน้ำไปตามภูเขา บางทีก็ลอดภูเขาไปบ้างตามความยาก-ง่ายในการสร้าง ด้วยความที่สุทโธนาคเป็นคนใจร้อน ก็เร่งสร้างไปจนเสร็จในเร็ววัน แม่น้ำนี้มีชื่อเรียกว่า “แม่น้ำโขง”
    คำว่า “โขง” จึงมาจากคำว่า “โค้ง” ในตำนานนี้ ซึ่งหมายถึงเส้นทางที่คดโค้งคดเคี้ยวไปมานั่นเอง ส่วนทางฝั่งลาวเรียกว่า “แม่น้ำของ”
    ด้าน สุวรรณนาค เมื่อได้รับเทวราช โองการดังกล่าว จึงพาบริวารไพร่พลอพยพออกจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ ด้วยเหตุที่สุวรรณนาคเป็นคนตรง พิถีพิถัน และเป็นผู้มีใจเย็น การสร้างแม่น้ำจึงมีความตั้งมั่นว่าจะต้องทำให้ตรง และคิดว่าเส้นทางตรงๆ นี้น่าจะทำให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน ตนเองจะได้เป็นผู้ชนะ แม่น้ำสายนี้เรียกชื่อว่า “แม่น้ำน่าน” ซึ่งแม้ในปัจจุบันนี้ก็ถือกันว่าแม่น้ำน่านเป็นแม่น้ำที่มีความตรงของเส้น ทางมากกว่าแม่น้ำทุกสายในเมืองไทย

    การสร้างแม่น้ำแข่งกันในครั้ง นั้น ปรากฎว่าสุทโธนาคสร้างแม่น้ำโขงเสร็จก่อน ตามสัญญาของพระอินทร์ ผู้ชนะจึงได้ปลาบึกไปอยู่ในแม่น้ำโขงแห่งเดียวในโลก ตามตำนานที่เล่ากันต่อๆ มายังบอกด้วยว่า น้ำในแม่น้ำโขง กับน้ำในแม่น้ำน่านนั้น จะนำมาผสมกันไม่ได้ ถ้าผสมใส่ขวดเดียวกันจะทำให้ขวดแตกทันที ….ก็ไม่ทราบว่าได้มีผู้ทดลองทำดังกล่าวหรือยัง จริงหรือไม่ข้อนี้ เห็นทีอิชั้นคงต้องหาทางทดลองสักครั้งให้จงได้(แต่ตอนนี้ติดไว้ก่อน ทดลองแล้วได้ผลเช่นไรจะนำมาเล่าสู่กันฟังเด้อ!)

    เรื่องยังไม่จบแค่ นั้น สุทโธนาคเมื่อสร้างแม่น้ำโขงแถมได้ฝูงปลาบึกตามสัญญาของผู้ชนะแล้ว ก็ยังแผลงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่อ ด้วยการเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ แล้วทูลถามพระอินทร์ว่า “ตัวข้าเป็นชาติเชื้อพญานาคจะอยู่บนโลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้ จึงขอทางขึ้นลงระหว่างบาดาลกับโลกมนุษย์เอาไว้ 3 แห่งได้ไหมพะย่ะค่ะ”….ห้าวเป้งสุดๆ ไหมล่ะ? พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่คงเห็นว่า เมื่อเอ็งกล้าขอ ข้าก็กล้าให้ จึงอนุญาตให้มีทางสำหรับขึ้นๆ ลงๆ ของพญา สุทโธนาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ 1.ที่ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ 2.ที่หนองคันแท และ 3.ที่พรหมประกายโลก (หรือที่คำชะโนดนั่นเอง)

    ทางที่ 1-2 นั้นสุทโธนาคเอาไว้เป็นทางขึ้นลงสู่เมืองบาดาลของพญานาคทั้งหลายเท่านั้น ส่วนทางที่ 3 คือพรหมประกายโลกหรือคำชะโนดนั้น สุทโธนาคได้ไปตั้งบ้านเมืองครอบครองเฝ้าอยู่ที่นั่น ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ และขึ้นเฉพาะที่นี่ที่เดียวเท่านั้นด้วย ลักษณะของต้นชะโนดเป็นการเอาต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาลมาผสมอย่างละเท่าๆ กัน และให้ถือเป็นต้นไม้บรรพกาลแก่สุทโธนาค โดยแบ่งว่าข้างขึ้น 15 วัน สุทโธนาคและบริวารจะกลายร่างเป็นมนุษย์เรียกชื่อว่า “เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ” มีวังนาคินทร์คำชะโนดเป็นถิ่นอาศัย และอีก15 วัน ในข้างแรม สุทโธนาคและบริวารจะกลายร่างเป็นนาค เรียกชื่อว่า “พญานาคราชศรีสุทโธ” อาศัยอยู่ที่เมืองบาดาล

    ตั้งแต่นั้นมา พี่น้องชาวบ้านม่วง บ้านเมืองไพร บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง ก็มักจะพบเห็นชาวเมืองคำชะโนดไปเที่ยวงานบุญประจำปี หรือบุญมหาชาติ ที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘บุญพระเวท’ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายอยู่บ่อยครั้ง บางทีก็จะมีผู้หญิงไปยืมเครื่องมือทอหูกเพื่อไปทอผ้าอยู่เป็นประจำ และยังมีเรื่องชวนขนหัวลุกเมื่อยี่สิบปีก่อน ที่เล่ากันว่ามีคนมาจ้างหนังเร่ของนายธงชัย แสงชัย เจ้าของหนังเร่ในตัวจังหวัดอุดรฯ ไปฉายที่คำชะโนด แต่ปรากฏว่าพอไปถึงที่นั้นแล้วกลับไม่มีงานใดๆ ผู้คนที่มาดูหนังก็แต่งตัวเฉพาะสีดำและขาวเท่านั้น แถมยังนั่งดูกันเงียบๆ แม้จะเป็นหนังตลกตาม ตามเงื่อนไขเขาจะต้องฉายหนังให้จบก่อนตี 4 และต้องรีบเก็บของออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสางและห้ามหันกลับมาดู ตามข้อตกลงที่ผู้ว่าจ้างลึกลับกำหนดมา ครั้นพอหนังฉายเสร็จพอขับรถออกมาแล้วหันไปดู ก็พบว่าที่นั่นไม่มีใครอยู่เลย ไม่มีหมู่บ้าน ถามคนแถวนั้นก็บอกว่าวัดไม่ได้จัดงานอะไร แถมพื้นที่สำหรับจะขึงจอหนังกลางแปลงก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ เพราะที่ตรงนั้นล้วนเป็นป่าชะโนดขึ้นจนรกทึบเต็มไปหมด!?

    ปาฏิหาริย์ อีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2519 ครั้งนั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง (รวมทั้งท้องที่อำเภอบ้านดุง) แต่น่าประหลาดที่น้ำกลับไม่ท่วมพื้นที่เกาะคำชะโนดเลยแม้แต่น้อย แถมมีข้อสังเกตว่าผืนดินที่คำชะโนดนั้นเหมือนลอยอยู่ ไม่ว่าน้ำจะท่วมหนักเท่าใด แม้ว่าพื้นที่โดยรอบจะถูกน้ำท่วมจนหมด แต่ก็ไม่สามารถท่วมเกาะคำชะโนดได้

    ปัจจุบันคำชะโนดกลายเป็นสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านดุงได้ช่วยกันต่อสะพานทางเข้าเมืองชะโนด เพื่อให้ง่ายต่อการไปสักการะบูชาพญานาคตามความเชื่อ รวมทั้งยังเข้าไปปรับปรุงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กลางเมืองคำชะโนด ซึ่งมีน้ำซึมออกมาตลอดเวลาไม่เคยแห้งนั้น ให้เป็นสถานที่เคารพสักการะของชาวอำเภอบ้านดุง และจังหวัดอื่นๆ ด้วย ว่ากันว่า น้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์คำชะโนดนี้ ทางจังหวัดอุดรธานียังนำไปร่วมงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ ณ มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวง ที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2530 และในปี 2533 ชาวบ้านในอำเภอบ้านดุงยังช่วยกันระดมทุนสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กแทน สะพานไม้อันเก่า เข้าสู่เมืองชะโนด ทำให้บรรดานักท่องเที่ยวผู้สนใจของแปลกเรื่องประหลาด หรือบรรดาคอหวยทั้งหลายพากันมาสักการะบูชา บ้างก็มาขอเลขเด็ด ไปจนถึงมาเพื่อพิสูจน์ความจริงบางอย่างตามตำนานพญานาคที่เล่าลือกัน บางคนก็มาวิเคราะห์ว่าดินที่นี่อาจเป็นดินพรุที่ทำให้ชุ่มน้ำอยู่ตลอด แต่น้ำไม่ท่วม กลับดูเหมือนว่ามันลอยขึ้นตามระดับน้ำที่สูงขึ้นได้เอง

    เอา เป็นว่าเมืองคำชะโนด ถือเป็นมุมแปลกๆ อีกมุมหนึ่งของโลกที่ทุกวันนี้ยังคงเต็มไปด้วยเรื่องลึกลับดำมืดอันเป็น ที่มาของคำถามถึงปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะพื้นที่แห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้นในโลก ไม่ว่าจะเป็น เมืองบาดาล พญานาค ต้นชะโนด และเกาะที่ไม่จมน้ำ!
     
  10. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ใครยังไม่มี....อยากได้ทักมาคร้าบ....ราคาแบ่งปัน
    โค้งสุดท้ายแล้ว...ก่อนเม็ดแตงจะมา...สวยแชมป์ครับ
    19512004_1856648497929965_2068777706_n.jpg
    เนื้อเงินลงยาเขียว สร้าง 1,000 เหรียญ

    19478277_1856647851263363_1474285021_n.jpg
    เนื้อทองทิพย์ สร้าง 2,000 เหรียญ
     
  11. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    เงินลงยาเขียวเลข 238 ไม่อยู่แล้วครับผม
    ทองทิพย์ 178 ไม่อยู่แล้วครับผม
    ----------------------------------------
    ขอบพระคุณ และยินดีด้วยนะครับ....รวยปังๆๆๆๆเด้อพี่น้อง
     
  12. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ....เศรษฐีคนใหม่มาอีกแล้วครับพี่น้อง....พรเจ้าปู่ฯเจ้าย่าฯศักดิ์สิทธิ์จริงแท้ อีก 4 วัน พบกันที่ วังนาคินทร์ คำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี นะครับเพื่อนๆ
     
  13. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932

    +++อีก 3 วันพบกันที่สะดือคลังมหาสมบัติ วังนาคินทร์ คำชะโนด+++ไปๆๆๆๆไปรับทรัพย์กัน..เจ้าปู่เจ้าย่าเปิดขุมทรัพย์...เปิดมหาขุมทรัพย์+++ไปร่วมสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันนะครับ+++ท่านที่จองเหรียญเอาไว้...จัดส่งวันี่ 7 กรกฎาคม เป็นต้นไปครับ+++ใครที่จองไม่ทัน...รีบๆครับ เหลือเฉพาะเนื้อสำริดและทองแดงนะครับ

    fb_img_1498381094202.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2017
  14. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    +++อีก 2 วันพบกันที่สะดือคลังมหาสมบัติ วังนาคินทร์ คำชะโนด+++ไปๆๆๆๆไปรับทรัพย์กัน..เจ้าปู่เจ้าย่าเปิดขุมทรัพย์...เปิดมหาขุมทรัพย์+++ไปร่วมสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันนะครับ+++ท่านที่จองเหรียญเอาไว้...จัดส่งวันที่ 7 กรกฎาคม เป็นต้นไปครับ+++ใครที่จองไม่ทัน...รีบๆครับ เหลือเฉพาะเนื้อสำริดและทองแดงนะครับ
    fb_img_1498381097542.jpg
     
  15. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ผ่านไปด้วยดี..สมกับที่รอคอย...กำลังแพ็คเตรียมส่งนะครับเพื่อนๆ ไปรษณีย์หยุดยาวๆวัอังคารส่งนะครับผม...ขอให้รวยๆๆๆๆๆ
    [​IMG]
     
  16. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ไม่ผิดหวัง...สวยและแรงแน่นอนครับ...ต้องเก็บๆๆๆๆ
    [​IMG]
    รุ่นสุดท้ายของปี 60 ของคณะผู้สร้างชุดเจ้าปู่ศรีสุทโธนาคราช วังนาคนทร์ รุ่นใหม่รอปีหน้าครับ
    [​IMG]
    สวยไม่แพกัน แต่อาจแรงกว่าครับ
    [​IMG]
    ขนาดกำลังเหมาะ...ได้ทั้งชายและหญิงครับ
    [​IMG]
     
  17. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ใครที่พลาดการจอง...ทักมานะครับ....พอมีแบ่งปันอยู่ครับ...เจ้าปู่แรงจริงของจริง...ต้องมีเก็บมีไว้บูชาครับ..."เสาร์ 5 และรวยทันใจ"
     
  18. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ประวัติ หลวงปู่คำตา

    ประวัติของหลวงปู่คำตา สิริสุทโธ ท่านเกี่ยวข้องกับพญานาค โดยเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าปู่ศรีสุทโธหรือพญาศรีสุทโธ อมตะวิญญาณผู้ครองเมืองคำชะโนด ซึ่งเป็นเมืองพญานาค หลวงปู่คำตามรณภาพเมื่อ 15 สิงหาคม 2533
    เมื่อหลวงปู่คำตาอายุได้ 17 -18 ปี ในวันทำบุญประเพณีเดือนหกของชาวบ้านวังทอง บ้านเกิดของท่านซึ่งอยู่ห่างจากป่าคำชะโนดไม่มากนัก ท่านกับเพื่อนของท่านพากันไปซักผ้าที่บ่อน้ำกลางดงคำชะโนด ไม่ได้ซักผ้าที่บ่อน้ำแต่ท่านเป็นคนตักน้ำให้เพื่อนซัก ขณะที่ท่านกำลังตักน้ำอยู่นั้นก็มองเห็นปลาไหลตัวใหญ่ขนาดกระป๋องนม ลักษณะตาแดงก่ำขนาดเท่าลูกปิงปองโผล่ขึ้นมาให้เห็น ท่านจึงเรียกเพื่อน ๆ ให้มาดู แต่ปลาไหลนั้นก็มุดน้ำลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้บ่อน้ำสั่นสะเทือนเป็นคลื่นใหญ่อย่างน่ากลัว หลวงปู่คำตา หรือนายคำตา ทองสีเหลือง ในขณะนั้นตกใจมากจึงรีบกลับเข้าหมู่บ้าน แล้วเล่าเรื่องให้ญาติพี่น้องฟังซึ่งทุกคนก็เห็นเป็นเรื่องแปลกและสั่งให้ ระวังตัว
    ต่อมาอีกสองเดือน วันหนึ่งเวลาประมาณบ่ายโมง มีฝนตกลงมาตามฤดูกาล ชาวบ้านจึงพากันออกไปยกยอปลาในลำห้วยใกล้ ๆ หมู่บ้าน นายคำตาก็ออกไปกับเขาด้วย ขณะที่ยกยออยู่นั้นปรากฏว่ามีปลามาเข้ายอของท่านมากผิดปกติ และก็เกิดสิ่งประหลาดขึ้นมาคือ รู้สึกว่ามีปลาตัวใหญ่เข้ามาอยู่ในยอ นายคำตาดีใจรีบยกยอขึ้น แต่เมื่อยอพ้นน้ำ แทนที่จะเป็นปลากลับกลายเป็นเต้าปูนที่ใช้ใส่ปูนกินกับหมาก พอนายคำตายื่นมือลงไปจะหยิบดู เต้าปูนนั้นก็ดิ้นไปมาเหมือนปลาและดิ้นกระโดดลงน้ำหายไป นายคำตาตกใจมาก รีบกลับเข้าไปในหมู่บ้านเล่าให้ญาติพี่น้องฟังอีก
    ต่อมาประมาณเดือน 9 ในเวลาพลบค่ำ ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักนายคำตารู้สึกง่วงนอนจึงไม่ได้ไปร่วมวงรับประทานอาหาร เย็นกับครอบครัวตามปกติ แต่มุดเข้ามุ้งนอน พองีบหลับไปก็ฝันว่า มีสาวหลายคนมาชวนไปเที่ยวงานบุญประเพณี ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นจากที่นอนเปิดมุ้งออกมาแล้วเดินลงบันไดเรือนไปโดยไม่ รู้สึกตัว มุ่งหน้าฝ่าฝนจะไปยังลำห้วยที่เคยไปหาปลา ญาติพี่น้องเห็นท่าทางผิดปกติจึงรีบเดินตามแล้วฉุดลากตัวกลับมา แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกตัว จะเรียกหรือทำอย่างไรก็ไม่ยอมฟื้นคืนสติขึ้นมา
    นายคำตาเล่าให้ฟังว่าขณะที่หลับไปหลายชั่วโมงนั้นมีสาว ๆ ชวนไปเที่ยวโดยได้นำเขาไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งกำลังจัดพิธีแต่งงานอยู่ และตัวเขาก็คือเจ้าบ่าวที่จะเข้าพิธีแต่งงานนั้นกับเจ้าสาวสวยชาวบ้าน ขณะที่เขาจะเข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญตามประเพณีก็ได้สติคืนมาพอดี
    เมื่ออายุ 20 ปี นายคำตาก็ได้บรรพชาอุปสมบทที่วัดบ้านวังทอง ซึ่งเป็นบ้านเกิด เรื่องผิดปกติต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขาก็เงียบหายไป ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมารบกวนตลอดเวลาที่บวชเป็นภิกษุสงฆ์ 3 พรรษา ตอนที่บวชเป็นพระอยู่ชาวบ้านเรียกท่านว่า “อาจารย์” บวชอยู่ได้ 3 พรรษาก็สึกออกมาประกอบอาชีพอยู่ในหมู่บ้านวังทอง เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นกับท่านอีก
    กล่าวคือในเดือน 11 เวลากลางวันประมาณบ่ายสองโมง นายคำตาออกไปเกี่ยวข้าวในนาที่บ่อผักไหมซึ่งอยู่ห่างจากคำชะโนดประมาณ 200 เมตร เมื่อหยุดพักจากการเกี่ยวข้าวก็เดินไปที่ห้างนาหรือกระท่อมที่ปลูกไว้สำหรับ พักและเป็นที่นอนเฝ้านา พอเดินไปใกล้กระท่อมก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ในกระท่อมโดยหัน หลังให้ เมื่อเธอผู้นั้นเหลียวหน้ามาก็เห็นเป็นคนแปลกหน้าไม่เคยเห็นมาก่อนอายุราว ๆ 25 ปี นึกถึงเรื่องแปลก ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับตนในระยะก่อน ๆ ที่ผ่านมาทำให้รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที แต่ก็พยายามสะกดกั้นความกลัวไว้ เอ่ยถามผู้หญิงคนนั้นไปว่า
    “นางมาจากไหน จะมาหาใคร” หญิงสาวยิ้มแล้วตอบว่า “มาตามหาอาจารย์คำตา เพราะเห็นพวกผู้หญิงเขาลือกันว่าเป็นผู้ชายสวยรูปหล่อ”
    ทิดคำตาถามต่อไปว่า “บ้านนางอยู่ที่ไหนละ”
    “อยู่ทุกหนทุกแห่งทั่ว ๆ ไป” ฝ่ายหญิงตอบ
    พอได้ฟังดังนี้ ความกลัวยิ่งเพิ่มขึ้น จึงรีบตอบโกหกไปว่า
    “ข้ารู้จักอาจารย์คำตาและสนิทสนมกันดี บ้านอยู่ใกล้กันด้วยจะขออาสาไปบอกเขานะ” แล้วทิดคำตาก็หาทางเลี่ยงไปโดยพูดว่า
    “ขอไปปัสสาวะสักประเดี๋ยว”
    กล่าวจบก็รีบเดินหนี กลับเข้าไปในนาแล้วเล่าให้พี่เขยฟัง พี่เขยและญาติ ๆ จึงรีบออกมาดูที่กระท่อมแต่ไม่พบหญิงคนนั้น เนื่องจากมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับอาจารย์คำตาบ่อยครั้งพวกญาติพี่น้องจึง รู้สึกห่วงกลัวจะเกิดอันตรายจากสิ่งที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอาจถึงชีวิตได้ จึงปรึกษาหารือกันเพื่อหาวิธีป้องกันและช่วยเหลือมิให้เป็นอันตราย
    ขั้นแรก ญาติพี่น้องตกลังกันให้เปลี่ยนชื่อเสีย เพื่อมิให้สิ่งประหลายนั้นจำได้ โดยเปลี่ยนจาก “คำตา” เป็น “สุภาพ” ให้ทุกคนเรียกชื่อใหม่อย่าเรียกชื่อเก่า
    ขั้นที่สอง จัดพิธีแต่งงานหลอก ๆ กับญาติผู้หญิงชื่อนางสาวทองคำ สองพาลี
    ขั้นที่สาม แต่งงานแล้วก็ย้ายหนีออกจากบ้านวังทองไปอยู่วัดบ้านหนองกา โดยไปขออาศัยอยู่กับท่านพระครูคำ หรือพระครูสุภารโสภณเป็นเวลา 7 วัน แล้วจึงย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านวังทองตามเดิม
    เท่า นั้นยังไม่ไว้วางใจ ต่อมาอีกสองเดือนญาติพี่น้องได้ไปสู่ขอสาวบ้านเดียวกัน จัดพิธีแต่งงานจริง ๆ อีกครั้งหนึ่ง ชีวิตการครองเรือนของอาจารย์คำตาหรืออาจารย์สุภาพ ดำเนินไปอย่างมีความสุข จนกระทั่งภรรยาตั้งท้องและคลอดลูกชายคนแรกออกมาหลังจากนั้นอีกไม่นานก็มี สิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอีก บวชครั้งที่ 2
    พอถึงกำหนดวันขึ้น 12 ค่ำ บรรดาลูกหลานและญาติพี่น้องก็ได้นำอาจารย์คำตาไปมอบนาคที่วัดบ้านวังทอง และเข้าสู่พิธีบรรพชา อุปสมบทในวันขึ้น 15 ค่ำ มีประชาชนจากบ้านใกล้ไกลมาร่วมพิธี และร่วมกันถวายปัจจัยเป็นอย่างมาก ถือได้ว่าเป็นงานบวชที่ยิ่งใหญ่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
    อาจารย์คำตาบวชครั้งนี้เมื่ออายุมากแล้ว บรรดาญาติโยมจึงเรียกท่านว่า หลวงปู่คำตา มาจนมรณภาพ
    หลวงปู่คำตามีสมญาทางพระว่า “สิริสุทโธ” พระจะไม่ใช้นามสกุลเดิม แต่จะเรียกนามสกุลสมญาต่อท้ายชื่อจึงต้องเรียกท่านว่า “หลวงปู่คำตา สิริสุทโธ”
    หลวงปู่คำตา ได้เล่าให้ญาติโยมที่ไปหาท่านฟังเสมอว่าเมื่อท่านเข้ามาบวชอยู่ในบวรพระพุทธ ศาสนาแล้ว ท่านก็ฝันถึงเจ้าปู่ศรีสุทโธอยู่เสมอ เจ้าปู่ได้บอกกับท่านว่าหลวงปู่ได้มาคอยดูแลและปกป้องรักษาความปลอดภัย อันตรายให้ตลอดเวลาโดยเฉพาะกุฏิที่หลวงปู่คำตาพักอยู่เป็นประจำนั้น ท่านได้จัดที่นั่งที่นอนสำหรับเจ้าปู่ศรีสุทโธไว้เป็นพิเศษ
    หลวงปู่คำตากล่าวว่า คืนหนึ่งในระหว่างกลางพรรษาปี พ.ศ. 2530 ได้ฝันไปว่าเจ้าปู่ศรีสุทโธมาที่กุฏิแล้วบอกว่า พ่อจะพ่นพิษใส่ตัวลูกเพื่อให้เกิดความขลังในตัวลูก (เจ้าปู่ศรีสุทโธเรียกหลวงปู่คำตาว่าลูก) พูดแล้วก็พ่นพิษออกมาเป็นน้ำเปียกทั่วตัว เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นรีบลูบคลำตามร่างกายคิดว่าร่างจะเปียกน้ำเหมือนในฝันแต่ ก็แห้งเป็นปกติดีทุกอย่าง
    ท่านเล่าต่อไปว่าคาถาอาคมที่ท่านให้ผูกข้อมือและประพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยม นั้นได้มาจากเจ้าปู่ศรีสุทโธซึ่งมาบอกในฝัน ท่านยอมรับว่าเดิมนั้นสมองไม่ค่อยดีจำอะไรไม่ค่อยได้ ครั้งพอกลับมาบวชอีกครั้งรู้สึกว่าความจำดีมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเจ้าปู่บอกหรือสอนคาถาอาคมอะไรให้ก็จะจดจำได้แม่นยำเป็นพิเศษ
    หลวงปู่คำตาได้เล่าอีกว่าในระหว่างพรรษาเดียวกันนี้ ท่านได้ฝันไปอีกว่า เจ้าปู่ศรีสุทโธได้มาเข้าฝันบอกว่า ต่อไปนี้พ่อจะมอบทรัยพ์สมบัติทั้งหมดในเมืองคำชะโนดให้ลูกดูแลและปกครองคน ทั้งหมดในเมืองนี้ แล้วเจ้าปู่ได้นำหลวงปู่คำตาเข้าไปในเมืองคำชะโนดไปดูแลทรัพย์สินที่มีทั้ง หมดในเมืองคำชะโนด เสร็จแล้วพาขึ้นไปบนศาลาหลังใหญ่ ซึ่งมีคนนั่งรออยู่เป็นจำนวนมากประกาศให้ทุกคนได้ทราบว่า
    “นี่คือลูกชายของเจ้าปู่ ต่อไปนี้ทรัพย์สินและการปกครองทั้งหมดในเมืองคำชะโนดนี้จะยกมอบให้ลูกชาย ขอให้ทุกคนเชื่อฟังคำสั่ง และอยู่ในความปกครองของลูกชายตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
    เจ้าปู่ศรีสุทโธได้ให้ความรักความเมตตาหลวงปู่คำตา เพราะท่านเป็นคนดีจึงได้รับความไว้วางใจยินดีให้เป็นบุตรบุญธรรม แม้จะอยู่กันคนละภพแต่เจ้าปู่ศรีสุทโธก็เป็นอมตะวิญญาณที่เป็นเจ้าเมืองพญา นาคอยู่ใต้บาดาล ซึ่งเชื่อกันว่าป่าคำชะโนดแห่งนี้คงเป็นที่ตั้งของบ้านเมืองในอดีต จึงมีสรรพวิญญาณอาศัยอยู่กันมากมาย
    เมื่อหลวงปู่คำตาบวชและพำนักอยู่วัดวังทองได้ระยะหนึ่งก็ย้ายมาตั้งสำนัก สงฆ์เพื่อปฏิบัติธรรมที่ใกล้ ๆ ป่าคำชะโนดโดยใช้ชื่อสำนักสงฆ์ของท่านว่า “สำนักสงฆ์สิริสุทโธ” ท่านได้พัฒนาบุกเบิกตั้งแต่บริเวณนี้เป็นป่าดงดิบจนมีความเจริญได้ตั้งเป็น วัดชื่อ “วัดศิริสุทโธคำชะโนด” มาจนถึงปัจจุบันนี้
    ในปี พ.ศ. 2533 เดือน ขึ้น 8 ค่ำ เวลาประมาณสองทุ่มเศษพระเณรที่อยู่ในวัดศิริสุทโธคำชะโนด ได้ยินเสียงต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งหักโค่นลงมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงดังมาจากป่าคำชะโนดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัด ตื่นเช้าวันใหม่พระเณรพากันเข้าไปดูในดงคำชะโนดยังจุดที่ได้ยินเสียงแต่ไม่ พบอะไรผิดปกติ ไม่มีต้นไม้หักโค่น เข้าไปดูถึงสามครั้งจนแน่ใจ
    ต่อมาอีก 7 วัน คือเดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันทำบุญประเพณีบุญบั้งไฟซึ่งชาวบ้านนำเอาบั้งไฟมาทำพิธีฉลองและจุดถวาย เจ้าปู่ศรีสุทโธเป็นประจำทุกปี นับตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่คำตาก็ไม่เบิกบานเหมือนปกติทุกวัน ท่านจะจำวัดตั้งแต่หัวค่ำ แม้จะมีญาติโยมมาขอคุยด้วยท่านก็ไม่ต้อนรับใครเลย
    ระยะต่อมาร่างกายของหลวงปู่คำตาก็ทรุดโทรมลงโดยลำดับ แม้จะฉันยาอะไรอาการอาพาธก็ไม่ทุเลา อาหารก็ไม่สนใจฉัน จนกระทั่งถึงเดือน 8 ขึ้น 8 ค่ำ ตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม 2533 หลวงปู่คำตา สิริสุทโธ ก็ถึงมรณภาพเมื่อเวลา 03:05 น. ยังความเศร้าโศรกเสียใจให้แต่ญาติโยมเป็นยิ่งนัก เมื้อสิ้นหลวงปู่คำตา สิริสุทโธ แล้ว หลวงปู่จอม ยันตะสีโล รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศิริสุทโธคำชะโนดสืบต่อมา
    มรณภาพไปแล้ววิญญาณของหลวงปู่คำตาก็ยังมาเข้าฝันหลวงปู่จอมบ้าง ญาติโยมชาวบ้านบ้าง เหมือนท่านยังห่วงใยทุกคนอยู่ไม่เสื่อมคลาย บางครั้งหลวงปู่คำตาก็นิมิตให้หลวงปู่จอมเห็นบัลลังก์ที่เจ้าปู่ศรีสุทโธได้ สร้างไว้ให้หลวงปู่คำตา พร้อมกับถามว่าบัลลังก์ของท่านสวยไหม หลวงปู่จอมก็ตอบไปว่าสวยดีและแสดงความชื่นชมยินดีกับท่านด้วย บัลลังก์นั้นมีรูปร่างลักษณะเหมือนกับธรรมาสน์พระแต่ใหญ่มาก
    ในนิมิตหลวงปู่คำตายังได้ชักชวนหลวงปู่จอมว่า บัลลังก์สร้างเสร็จแล้วจะพาหลวงปู่จอมลงไปดู แต่หลวงปู่จอมตอบท่านไปว่า เพียงมานิมิตให้เห็นก็พอใจและภูมิใจแล้วอย่าต้องลำบากพาท่านไปดูเลย
    หลวงปู่จอม ยันตสีโล เป็นผู้ใกล้ชิดกับหลวงปู่คำตา สิริสุทโธ มาตลอด ทั้งได้ร่วมกันสร้างสำนักสงฆ์จนกลายมาเป็นวัดศิริสุทโธคำชะโนดด้วย มีระยะหนึ่งหลวงปู่จอมได้ออกจากวัดศิริสุทโธคำชะโนดไปอยู่ที่อำเภอบ้านดุ งเป็นเวลา 9 เดือน เจ้าปู่ศรีสุทโธไปเข้าฝันท่านว่าให้ท่านกลับไปอยู่ที่วัดศิริสุทโธคำชะโน ดเหมือนเดิมเพราะได้ร่วมสร้างวัดมา ท่านให้มาดูแลวัดนี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ให้ดูแลพระเณรที่อยู่ในวัดศิริสุทโธด้วย ในที่สุดหลวงปู่จอมก็ตัดสินใจกลับมาอยู่ที่วัดศิริสุทโธคำชะโนดกับหลวงปู่คำ ตาตามเดิม
    เจ้าปู่ศรีสุทโธบอกหลวงปู่จอมในนิมิตว่า ถ้ากลับไปอยู่วัดศิริสุทโธ เจ้าปู่จะมาเอาหลวงปู่คำตาไปอยู่แทนท่านเจ้าปู่ที่เมืองใต้บาดาล แล้วจะมอบเมืองให้ทั้งจะให้หลวงปู่คำตาเป็นลูกชายด้วย

    หลวงปู่จอมกลับมาอยู่วัดศิริสุทโธคำชะโนด เมื่อเดือน 4 ขึ้น 14 ค่ำ ต่อมาในเดือน 5 แรม 12 ค่ำ หลวงปู่คำตาได้นิมิตถึงเจ้าปู่ศรีสุทโธ เจ้าปู่บอกในนิมิตว่า “ลูกเอ๋ยฟังพ่อ พ่อจะบอกลูกอีกเป็นครั้งสุดท้าย ถึงเวลาแล้วที่พ่อจะมาเอาลูกไปอยู่แทนบัลลังก์ที่เมืองบาดาลและจะมอบเมือง ให้ครอบครองแทน” ซึ่งหลวงปู่คำตาก็ตอบรับไม่ขัดข้องอีก จากนั้นเจ้าปู่ก็ลงไปเมืองใต้บาดาลตามเดิม ต่อมาถึงเดือน 8 ขึ้น 8 ค่ำ ตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม 2533 หลวงปู่คำตา สิริสุทโธ ก็มรณภาพ
     
  19. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ท่านที่จองเหรียญเอาไว้
    คงถึงมือกันเรียบร้อยนะครับ...ขอแสดงความยินดีด้วย
    ตอนนี้ราคาแรงๆๆๆๆ...ยิ่งเมื่อท่านป๋อง สุพรรณ นำไปลง

    แจกในรายการ เวิร์คพ้อยท์ คราวนี้ยิ่งแรงสวนกระแสแน่นอน
    ท่านใดยังไม่มีรีบๆนะครับ...ยังพอมีแบ่งปัน...สนใจรีบ
    โทรสอบถามหรือแอดไลน์เลยครับ...พระแท้ส่งถึงบ้าน สบายใจจ้า
     
  20. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    สอบถามกันมามาก...เรื่องเหรียญ...หลายท่านส่งรูปมาให้ชมด้วย...น่าเสียใจที่ปรากฏว่า เป็นเหรียญเก้...ออกมาระบาดกันแล้วว ทั้งรุ่นแรก"เสาร์ 5" และเม็ดแตงรุ่นแรก"รวยทันใจ"ก็ขอให้ระมัดระวังกันด้วย เดี๋ยวผมหาภาพมาให้ชมเป็นวัคซีนกันครับ....โอ้ว...เวรกรรม!
     

แชร์หน้านี้

Loading...