เห็นจิต เกิด-ดับ ท่านเข้าใจว่าอย่างไรกันครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somchai_eee, 24 เมษายน 2013.

  1. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เราจะรู้ได้ยังไงครับว่านี้รูปภพ นี้อรูปภพ ท่านnopphakan
     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขออนุญาตครับ เท่าที่ผมเข้าใจได้นี้อาจไม่ตรงกับคุณนพฯเท่าไหร่นะครับ ที่ผมเห็นอยู่มันเป็นอย่างนี้ครับ

    การเจริญสติจนกระทั่งแยกรูปแยกนามจะทำให้เราเห็นกระบวนการหลง หลงเป็นทุกข์ได้ชัดเจน (จากที่ไม่เคยรู้มาก่อน) เมื่อเราแยกได้ เราจะรู้ว่าอันไหนเป็นอันไหน จิต สติ ความคิด ทีนี้จะรู้จุดที่จะดู จะควบคุม บริหารจัดการได้ อย่างไรเรียกว่าหลงคิดจนจิตเกิด อย่างไรเรียกว่าเอาจิตเกิดอาการไปคิด เราจะแยกออกอย่างนี้ ทีนี้ก็ฝึกไม่ทำอะไรแบบหลง ๆ เหมือนเคยอีก จะคิดก็คิดไป (ถ้าจำเป็นต้องคิด) แต่ถ้าคิดจนจิตเกิด ก็ต้องหยุดคิด หรือจิตเกิดก็อย่าคิด เลิกคิด หรือถ้าเอาไม่อยู่ มันคิดก็อย่าไปเชื่อมัน สติสัมปชัญญะต้องรู้เท่าทันเสมอ ๆ อานิสงส์ในการเข้าใจจุดนี้ จะไปช่วยในเรื่องการเจริญมรรค ๘ ให้บริบูรณ์ต่อไป เรียกว่า ต่อไปไม่ทำอะไรแบบหลง ๆ เอาแต่ใจตัวเองเหมือนเคย มันจะรู้ มีจุดให้สังเกตตรวจสอบภาวะความหลงในตนได้บ้างแล้ว แต่ตัวปัญญาจริง ๆ อันนี้ยังไม่ใช่ เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

    ทีนี้ก็เจริญอย่างนี้แหละไปก่อน เรียนรู้ไป มีที่สังเกตแล้ว ตรงไหนจิตตรงไหนความคิด รู้แล้ว ใหม่ ๆ มันจะเอาแต่ดับท่าเดียว จนมันเต็มอิ่ม คลายความกังวล (ลึก ๆ มันมีความกลัวอยู่ภายใน) ได้นั่นแหละ ทีนี้มันถึงจะกลายเป็นการรับรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ขยันเอาแต่ควบคุมเหมือนก่อนแล้ว เริ่มเห็นทุกข์ (ระยะเวลาตรงนี้บอกไม่ได้ว่านานเท่าไหร่ แล้วแต่บุคคล บุญทำกรรมแต่งครับ) เมื่อไหร่ที่มันหงายออกมารับรู้ตามธรรมชาติได้นั่นแหละ เราก็จะเริ่มรู้จักคำว่า "ให้รู้ตามความเป็นจริง" นั้นเป็นอย่างไร วิปัสสนาเป็นอย่างไร ต่อไปเรารู้โดยไม่แทรกแซงตะพึดตะพืออีก (ในความหมายที่ผมใช้นี้ แสดงว่ายังมีการแทรกแซงอยู่บ้าง กรณีเถลไถลครับ) ถ้าจะเปรียบไปก็เหมือนกับการเลี้ยงเด็ก เดิมทีเด็กทารกเราต้องประคบประหงมเขามากหน่อย เพราะเขายังอ่อนแอมาก พอเด็กเริ่มโตขึ้น ๆ เขาแข็งแรงมากขึ้น ๆ เราก็ปล่อยให้เขาวิ่งเล่นตามใจได้ แต่ก็คอยดูอยู่ห่าง ๆ อย่าให้ออกนอกลู่นอกทาง ขณะเดียวกันเราก็ศึกษาพฤติกรรมธรรมชาติของเขาไปด้วยให้เข้าใจตามความเป็นจริง จิตมันก็มีเกิดมีดับมีขึ้นมีลง เราจะเอาปัญญาอย่างไร ดูแลเขาไป หลงก็ดึงกลับ สักวันหนึ่งต้องเห็นความจริงทั้งหมดได้อย่างแน่นอน

    ถ้าเราเห็นความเกิดดับตามความเป็นจริงได้ทั้งหมด เราก็จะเข้าใจเรื่องการมีอุปาทานหลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในรูปนาม หรือ ในสภาวะใด ๆ ได้ เรียกว่า เห็นทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์ได้ครับ เท่าที่ผมเห็นมันเป็นแบบนี้..
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,436
    ค่าพลัง:
    +35,021
    ถ้าอรูปภพหลักสังเกตุง่ายๆ..เคยเห็นภาพอวกาศไหมครับหรือหวงจักรวาลตามสื่อตามอะไรต่างๆ.ลักษณะหมู่ดาวถ้าจากภาพ
    จะมองเห็นว่ามีมิติชัดเจนคือบอกได้ว่า เป็นวง
    กลมเป็นรูปร่างแน่นอนและอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนดูเป็นระเบียบในตัวเอง.มีมิติความลึกชัดเจน
    แต่ส่วนอรูปภพจะเป็นคล้ายหวง
    อวกาศเช่นเดียวกัน แต่กลุ่มดาวจะเรียงไม่เป็นระเบียบ สะเปะสะปะ มิติความลึกก็ไม่
    ชัดเจน.และสภาพแวดล้อมสีดำสนิท ไม่ใช่คล้ายตอนเย็นๆเหมือนในรูปภพในกรณี
    ที่ใช้กำลังใจตัวเอง..จุดนี้คือการสังเกตุเรื่องสภาพแวดล้อมและสภาพการเห็นนะครับ..


    ส่วนเรื่องอารมย์ จะมีแต่อารมย์ว่างเปล่า
    เฉยๆ นิ่ง ไม่มีอารมย์อะไรเกิดขึ้นได้ เพราะไม่มีเครื่องที่มืออะไรที่จะสามารถรับรู้อะไรได้
    ในกรณีแบบนี้จะสามารถเข้าถึงได้แบบไม่รู้ตัว
    ซึ่่งนักปฏิบัติทุกคนสามารถทำได้แม้้ไม่ขึ้นรูปมาก่อน
    ที่สำคัญจะไม่มีอารมย์คล้ายๆปิติหรืออารมย์สุข ที่เป็นอารมย์ที่สว่างสไสว
    ออกมาจากจิต และสว่างสไสวไปหมดแต่ไม่มีพระอาทิตย์เหมือนสภาวะ
    ไร้กิเลสที่บางคนสามารถเข้าถึงได้้ชั่วคราว.แต่ถ้าสว่างสไสวเฉยๆแต่ไม่มีความเย็นและไม่มี
    สุขยังอยู่ในช่วงอาการปิติอยู่ และที่สำคัญพอออกจากอารมย์นี้ กิเลสต่างๆก็กลับมาเล่น
    งานได้เหมือนเดิม..


    ยกเว้นว่าจะสร้างรูปก่อนแล้วไปอรูป จะมีเครื่องมือในการพิจารณา
    คือมีตัวสติและกำลังสมาธิที่เพียงพอสำหรับรักษาอารมย์และเรื่องที่สามารถพิจารณา
    ได้จากการวางอารมย์ไว้ก่อนถ้าไม่วางอารมย์ไว้
    เรื่องที่พิจารณาจะกลายเป็นนิวรณ์ทันที และทำให้หลุดอารมย์นี้อัตโนมัติ.
    ส่วนจะพิจารณาเรื่องอะไรเป็นอารมย์ก็สุดแล้วแต่ หากสามารถถอยมาพิจารณา
    ในกำลังฌานสี่ได้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเรื่องนั้นจะคลายออกจากใจได้และแถบจะ
    ไม่กลับขึ้นมาได้อีกเพราะจุดนี้จิตจะตัดเรื่องนั้นๆออกได้ และหลังจากออกอารมย์
    จะรักษาอารมย์สงบได้นานมากกว่าปกติ และจะเข้าสู่สภาวะจิตว่างได้นาน
    ขึ้นในระหว่างวันแม้สภาวะจิตสงบก็จะนานกว่าปกติ

    .
    ส่วนรูปภพในความเข้าใจคือยังอยู่ในภายใต้ สามภพ
    ในเบื้องต้นคือมีรูปแสดงเพื่อความจำได้ แยกแยะ
    ได้ ตามระดับชั้นและตามแต่ระดับบารมี สภาพแวดล้อมการเห็นคล้ายมอง
    ผ่านกล้องส่องกลางคืนคือยังออกสีเขียวอ่อนหน่อย ไม่ดำสนิทเหมือนอรูป
    ในกรณีที่ใช้กำลังตัวเอง..ยกเว้นในกรณีที่จิตดีมากๆ
    ในระดับหนึ่ง หรือในกรณีที่ทางภพภูมิท่านเมตตา จะเห็นได้เหมือนตอนกลางวัน.
    ขึ้นอยู่กับว่าจะไปยังภพภูมิระดับไหน.
    หรือในกรณีที่อยู่ในระดับภพมนุษย์โลกสภาพแวดล้อมจะเป็นไปตามสภาพความจริง


    ถ้าตามปกติหากใช้กำลังใจตัวเองส่วนมากจะไปได้ไม่เกินชั้นพรหม
    จึงต้องมีการขอบารมีพระหรือใช้วิชาพิเศษในการเข้าถึง
    และการไปได้และการสัมผัสอะไรได้ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับฐานสมาธิ(หรือความสามารถในการอุทิศส่วนกุศลไปถึง)
    ซึ่งต้องเป็นการอุทิศส่วนกุศลด้วยกำลังฌานหนึ่งเป็นอย่างน้อย ด้วยการขอ
    บารมีพระรัตนตรัยรวมบารพระทั้งหมดและสามารถสร้างเป็นอุคคนิมิตรได้และบวกกับกำลังตัวเอง
    บุญของตนเองที่เคยทำมาแล้วอุทิศส่วนกุศล ถึงจะสามารถเห็นได้มากกว่าปกติ
    ไปได้ไกลมากกว่าปกติ คืิอ ถึงสามทวีปที่เหลือได้ นอกจากสามภพที่เคยรู้จัก
    ประมาณนี้ครับ..ที่เล่าคือแบบหยาบๆนะครับ.ส่วนผิดถูกประการใดขออภัยมา
    ณ ที่นี้ด้วยครับ และถ้าจะละเอียดกว่านี้คงมีบางท่านอธิิิบายได้มากกว่านี้
    ขอบคุณครับ.
    .​
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,436
    ค่าพลัง:
    +35,021
    ขออนุญาติตอบคุณ Tboon อย่างนี้นะครับ
    คืออ่านแล้วความเข้าใจของคุณ
    และวิธีปฏิบัติที่คุณได้นำเสนอมานั้นความเข้าใจในเบื้องต้น
    และวิธีการที่คุณกำลังดำเนินอยู่นั้นถือว่าถูกต้องและไม่ผิดครับ
    และก็เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถทำให้ถึงปลายทางได้เช่นเดียวกัน..
    และก็เป็นวิธีการที่เข้าถึงได้ง่าย
    และก็ไม่ยากในการปฏิบัติและวิธีการแบบนี้พระอริยะเจ้าที่ทรงอภิญญาบางท่าน
    ก็สอนตามแนวที่คุณเข้าใจอยู่นั่นหละครับ

    .
    .แต่หากว่าวิธีของคุุณและเริ่มต้นเข้าใจอย่างคุณ ถ้าคุณทำต่อไปก็ถึงปลายทาง
    ได้แน่นอนครับ ถ้าเพิ่มเรื่องสัจจะในการลดกิเลส เรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง เข้าไปด้วยและรู้จัก
    วิธีการเดินปัญญา การตามดูขันธ์ ห้าส่วนนามธรรม และที่สำคัญใช้กำลังสมาธิไม่มากแค่ระดับ
    ขนิกสมาธิก็เข้าถึงได้.
    .แต่ยังสุ่มเสี่ยงสำหรับกรณีบุคคลที่ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ และกลุ่มบุคคล
    ที่ไม่มีการสัมผัสเรื่องภพภูมิ เพราะจะมองไม่เห็นจิต เลยทำให้ไม่เห็นกิริยาของจิต
    ไม่เห็นฐานความคิดไม่เห็นลักษณะความคิดที่เกิดจากจิต
    และไม่เห็นลักษณะความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้านามธรรมได้อย่างชัดเจน
    อาจจะเผลอไปเอาตัวความคิดมาพิจารณา
    เพราะนึกว่าเป็นตัวสติและตัวปัญญาทำให้ไม่สามารถคลายกิเลส
    หรือวางกิเลสที่เกาะกับจิตได้จริงเท่านั้นเองครับ..


    ส่วนที่คุณเห็นต่างผมยังไม่อยากใช้คำนี้นะครับ ถ้าคุณลองอ่านดูที่ผมเขียนถึงย่อหน้าที่ห้าอีกรอบจะพบว่าเป็นเส้นทางเดินเดียวกันกับที่คุณกำลังทำตอนนี้นั้นหละครับ..
    .เพียงแต่ว่าวิธีการของคุณ จะไม่เน้นเรื่องความสามารถพิเศษทางจิตต่างๆ.
    คือถ้าเกิดก็จะเกิดเองไม่ได้มาจากฝึกขึ้นอยู่กับระดับกิเลสที่น้อยลงเป็นเกณฑ์
    และจะมุ่งเน้นไปปลายทางทีเดียว ซึ่งวิธีการของคุณจะเหมาะสมกับคน
    ส่วนมากและเป็นวิธีีการแบบวิถีชีวิตคนเมืองด้วย..


    แต่พอหลังจากย่อหน้าที่ห้าลงมา เป็นลักษณะการเข้า
    ถึงของบุคคลที่มีจริตไปในทางมีความสามารถพิเศษทางจิต หรือว่าสัมผัสเรื่องภพภูมิได้เป็นปกติ หรือว่า
    ฝึกบางอย่างเพืิ่อนำเอากำลังสมาธิที่ได้ไปขึ้นวิปัสสนาในส่วนที่สภาวะจิตมีความเป็นทิพย์หรือสภาวะ
    กำลังฌานสี่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง..ผมมองว่าที่เห็นต่างอาจจะไม่ใช่
    แต่ว่ายังเห็นไม่หมดเท่านั้นเอง.และวิธีที่คุณอธิบายมาถ้าดูไม่เกินย่อหน้าที่ห้าที่ผมเขียนไปแล้ว
    คุณจะพบว่าที่คุณเข้าใจเป็นเส้นทางเดินแบบเดียวกัน
    เพียงแต่จริตและเรื่องสัมผัสทางภพภูมิและความสามารถทางจิตอาจแตกต่างกัน
    ซึ่งไม่ใช่ประเด็นหลัก.และก็อยู่ในเส้นทางที่สามารถไปถึงปลายทางได้เหมือนกันทั้้งหมดและ
    การสื่อความหมายทางภาษาพูดอาจแตกต่างกันถ้าเรามองที่กิริยา
    ของจิตจะพบว่าคล้ายกัน..
    ยังไงลองพิจารณาดูอีกซักรอบนะครับ.หวังว่าจะเข้าใจเพิ่มขึ้น.ขอบคุณมากครับ
     
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขอบคุณครับสำหรับการอธิบาย

    เมื่อก่อนผมเข้าใจว่า พอแยกรูปแยกนามได้แล้ว จะเดินปัญญาได้เลยทันที และคิดว่า ตรงนี้คือการเจริญวิปัสสนา ต่อมาจึงได้มาเข้าใจว่า ตรงนี้ยังเป็นเรื่องของการทำสมถะเพื่อเอากำลัง ความตั้งมั่นล้วน ๆ จะเห็นว่า เราพยายามประคับประคอง ให้ว่างเข้าไว้ เหมือนไข่ในหิน เพราะเราเชื่อว่า มีความว่างที่เที่ยงแท้รออยู่นั่นเอง แล้วก็มาพลาดกันตรงจุดนี้มาก นิพพานเที่ยง ความจริงความว่างนั้นจะมีอยู่หรือไม่มีอย่างไร นั้นเป็นอุบายในการตรวจสอบแยกแยะความแตกต่างระหว่างสภาวะแต่ละสภาวะเท่านั้น จุดสำคัญจริง ๆ คือมุ่งสังเกตความปกติของใจเป็นหลัก ใจปกติเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มีตัณหาแทรกเป็นอย่างไร เราแยกตรงนี้ให้ออก ให้เห็นชัดเจน ตรงนี้คือจุดของการเรียนรู้ ถ้าตัณหามันรบกวนเรา เราก็ต้องบริหารจัดการเขาไป แต่คนไม่เข้าใจ เขาจะไปฉวยเอาผล เอาว่าง มาเป็นเป้าในการทำเหตุแทน ทำอย่างไรให้ได้ว่างเรื่อย ๆ มันเป็นความโลภความอยากอย่างหนึ่ง ตัณหาแทรกแล้ว สังเกตดูจะเห็นว่า เจตนาไม่เหมือนกัน

    สังเกตไหมว่า ลึก ๆ มันมีการเอาอะไรอยู่ รูปประโยคที่เขียนอาจจะไม่กระชับรัดกุมพอก็ได้

    ถ้าเป็นการเจริญวิปัสสนาจริง ๆ แล้วคือการรู้ตามความเป็นจริง รอบรู้ในกองสังขารด้วย ทำอย่างไรจะรอบรู้ในกองสังขาร ความเป็นเหตุเป็นปัจจัยกันระหว่างรูปกับนาม อันนี้ก็ต้องมีการพิจารณาทำความเข้าใจเหมือนกัน ขณะเดียวกันทุกอย่างหนีไม่พ้นกฏไตรลักษณ์ ไปสู่การเกิดดับให้เห็นทั้งสิ้น เราก็ดู พิจารณา สังเกต ทำความเข้าใจอย่างนี้เรื่อยไป ถ้าเราเข้าใจความจริงเราก็จะเห็นสภาพที่มันเป็นทุกข์ มันมีทุกข์ของมันอยู่อย่างนั้น ส่วนตัวเราเผลอไปมีอุปาทานไปยินดียินร้ายกับเขา ไปมีตัวเราของเราขึ้นมา มันก็เลยทุกข์ซ้อนทุกข์ ก็ศึกษาอย่างนี้ไปครับ ถ้าเราศึกษาได้อย่างตรงทาง มันก็คลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้


    ทีนี้ในส่วนนี้ไม่ขอก้าวล่วงครับ อาจเป็นเรื่องจริตของแต่ละท่าน ผมแค่มาอธิบายจุดที่อาจทำให้หลงทางได้ก็เท่านั้นเอง





    .
     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    พี่ทีกลับหัวกลับหาง
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เช่น

    " เมื่อก่อนผมเข้าใจว่า พอแยกรูปแยกนามได้แล้ว จะเดินปัญญาได้เลยทันที และคิดว่า ตรงนี้คือการเจริญวิปัสสนา ต่อมาจึงได้มาเข้าใจว่า ตรงนี้ยังเป็นเรื่องของการทำสมถะเพื่อเอากำลัง "

    ลักษณะการเข้าไปรู้รูปนาม
    หรือแยกรูปแยกนามได้ เป็นจุดเริ่มของการเดินวิปัสนา
    เป็นจุดเริ่มของการเดินปัญญา

    หากเข้าใจว่าเป็นการทำสมถะเพื่อเอากำลัง เป็นการเข้าใจไม่ถูกจุด
     
  8. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ถ้าคุณเอาเรื่องวิปัสสนาญาณมาเทียบนะ..
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อีกอย่างนึง

    ขณะจิตที่ไม่มีตัณหาแทรก คือ ขณะจิตที่แยกรูปแยกนามได้

    ขณะจิตที่ไม่มีตัณหาแทรก โดยลักษณะผลที่เป็น
    คือ การแยกรูปแยกนามของจิต
    การแยกรูปแยกนาม จึงเป็นปัญญาขั้นแรก เพียงแต่ว่ามันยังอ่อนอยู่
    พละคือกำลังมันยังไม่กล้า

    ความรอบรู้ในกองสังขารมันยังไม่มีรอบพอ

    หากถามว่า แยกรูปแยกนามได้ เรียกว่ารู้ตามความเป็นจริงมั๊ยเรียกว่าใช่
    แต่ เป็นเพียงเริ่มต้น แต่ยังไม่รอบ เพราะเป็นปัญญาอ่อน

    เมื่อเพียร ในลักษณะ ที่ทำให้เข้าไปเห็นแยกรูปแยกนามได้อย่างไร
    ต้องทำในลักณะนั้น เข้าไปซ้ำ

    ลักษณะการแยกรูปแยกนาม มันเป็นแต่เพียง สภาวะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
    ไม่ใช่ค้างเติ่ง ที่คอยประครองรักษาเอาไว้
    แต่เป็นการใช้ความเพียร สร้างให้เกิดซ้ำขึ้นมาในลักษณะเดิม

    ปัญญามันจึงจะเริ่มกล้าขึ้น ความรอบรู้ของปัญญาในกองสังขาร
    จะอัดแน่นขึ้นเป็นพละ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,436
    ค่าพลัง:
    +35,021
    คุณ Tboon ครับการแยกรูปแยกนามได้. ความหมายคือ
    การที่จิตแยก ออกจากความคิดที่เกิดจากจิต และแยกออกจากความคิดที่
    เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมหรือส่วนที่เป็นวิญญาน และเป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นของการเริ่มต้นเดินปัญญาได้.
    คุณเข้าใจ ณ จุดนี้นะครับ.


    .หรือที่เรียกว่า ขึ้นบ้านได้.ทางปฏิบัติเค้าเรียกว่า พึ่งเริ่มคลานได้..และบ้านที่เราขึ้นถ้าเราไม่ปัด
    ฝุ่นหรือทำความสะอาดบ้าน.เราก็จะอยู่บนบ้านนั้นไม่ได้.
    และต้องลงมาอยู่ข้างล่าง ทางปฏิบัติเรียกว่า สภาวะจิตซึมกลับ
    ซึ่งการจะขึ้นบ้านกลับไปอีกครั้งจะยากกว่าหลายเท่า


    และการดับความคิดที่เกิดจากจิตไม่ให้เกิด ไม่ให้มีมีกำลัง จนสามารถเห็นฐานของความ
    คิดที่เกิดจากจิตได้..จะเป็นตัวที่ทำให้เราทราบได้ว่า อะไรเป็นความคิดที่เกิดจากจิต
    (คือสามารถเปลี่ยนแปลงตามใจเราได้) ตัวนี้ปกติเราจะดับไม่ให้มีการเกิด.หรือถ้ากำลังแรงมากก็ให้ตามดูอย่างเดียว
    แล้วปล่อยให้ดับเองโดยไม่ต้องแทรกแซง เพราะไม่งั้นจิตจะไม่อยู่ใน
    สภาวะที่เป็นกลาง..


    ซึ่งในขณะที่เราดับความคิดไม่ให้เกิดนั้น จนสามารถแยกรูปแยกนามได้
    จิตก็จะเห็นขันธ์ ๕ ส่วนนาม คือจะเห็นความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ
    บังคับไม่ได้ แทรกแซง หรือเปลียนแปลงก็ไม่ได้ ซึ่งเป็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนกับความคิดที่เกิดจากจิต..


    การที่จิตจะเห็นไตรลักษณ์ได้.คือ การที่จิตได้ ตามดู ตามรู้
    ตามทำความเข้าใจ ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ นามธรรม ณ จุดนี้ เราตามดูตัวนี้.และปล่อยให้จิตได้รับรู้ ตามความเป็นจริงด้วยความเป็นกลาง จะทำให้สามารถเกิดปัญญาได้..เราถึงจะรู้เท่าทันในกองสังขารได้..และจิตจะสามารถลง
    ไตรลักษณ์ได้ ไม่ว่าตัวใดก็ตัวหนึ่ง แต่จิตจะสามารถลงไตรลักษณืได้ที่ละตัว.
    . ขึ้นอยู่กับจริตของบุคคลนั้นๆ..


    ถ้าคุณอยู่ในช่วงที่ กำลังเริ่มเดินปัญญาและกำลังอยู่ในช่วงทำให้จิตลง
    สู่ความว่าง และเป็นกลางอยู่ และอยู่ในช่วงที่อาจเห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมได้
    แต่ขาดการสังเกตุ และยังไม่รู้วิธีการ ตามดู ตามทำความเข้าใจ
    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ณ จุดนี้ ให้เค้ารู้ เห็นตามความเป็นจริง ด้วยสภาวะเป็นกลาง ความเข้าใจคุณเลยอยู่ในระดับนี้ ไม่งั้นคุณ จะเข้าใจในประโยคอ้างอิงที่สอง ผมบอก
    ให้เพิ่มสัจจะในการลดกิเลส.ร่วมด้วยเพราะหากเดินปัญญามาระยะหนึ่งแล้ว กำลังสติจะมากพอและจะพอมีปัญญา ที่จะทำให้มองเห็นกิเลสส่วนละเอียดได้แล้ว

    แต่ที่คุณอธิบายเหตุเพราะยังมีไม่ถึง ณ จุดนี้ประเด็นนี้ต้องทำความเข้าใจดีๆนะคับ
    ประเด็นที่คุณสงสัยเรื่องรอบรู้ในกองสังขารคิดว่าคุณคงพอเข้าใจแล้วนะครับ.

    ที่นี้สำหรับคนที่สามารถวิปัสสสนาในระดับอุปจารสมาธิและกำลังฌาน ๔ มาถึงจุดนี้แล้ว
    กิเลสหยาบๆนั้นสามารถตัดได้แล้ว จะเหลือแต่กิเลสส่วนละเอียดที่เราเรียก ว่าอุปกิเลส
    ไม่ใช่ในส่วนที่คุณ ดึงตรงจุดนี้มาเพื่อความเข้าใจในกองสังขารหรือเพื่อเห็นไตรลักษณ์
    นั้นที่คุณสงสัยเป็นเพราะคุณ ไม่เข้าการตามดูขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม.
    และคนที่มาถึงจุดนี้กำลังสติจะมากพอที่จะควบคุมจิตให้อยู่ในร่างกายได้ โดยที่ไม่ออกไปเที่ยว และตัดเรื่องภพภูมิต่างๆเข้ามาได้แล้ว..และรู้จักการวางอารมย์เพื่อวิปัสสนา.
    แต่ถ้าแบบคุณจะใชัการเดินปัญญาบวกกับสัจจะในการลิเลส

    ถ้าผมจะแนะนำ คุณควรไปทำความเข้าใจ วิธีการเดินปัญญาให้ดีๆก่อน.ว่าการตามดู
    ตามรู้ ตามทำความเข้าใจขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม ที่ปล่อยให้จิต ว่างรับรู้ ด้วยความเป็น
    กลางมีเทคนิคขั้นตอนอย่างไร.จนสามารถที่จะพัฒนาไปถึงขั้นที่เห็นกิเลสละเอียดให้ได้
    ก่อน.พอเห็นแล้วจะเข้าใจว่า ทำไมต้องมีสัจจะในการลดกิเลสร่วมด้วย กับการที่เดิน
    ทางตามมรรคมีองค์ ๘ ในขณะเดียวกัน..แล้วจะทราบว่าทำไมผมถึงบอกว่าทำได้
    แต่ว่าช้า...

    แล้ววันหนึ่งถ้ากำลังสมาธิคุณเพียงพอในการรักษาอารมย์ และกำลังสติคุณสามารถ
    ควบคุมจิตให้อยู่ในร่างกายและคุณสามารถรักษาอารมย์เพื่อวิปัสสนา ในโหมดอุปจารสมาธิได้หรือกำลังฌาน ๔ ได้อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วลองเปรียบเทียบผล ของระดับกิเลส
    ที่เกาะกับจิตเป็นเกณฑ์ จะเข้าใจได้เองว่า ผมถึงบอกว่าวิธีการคุณถึงปลายทางได้
    แต่ตัดกิเลสได้ช้า ถ้าไม่มีสัจจะในการลดกิเลสร่วมด้วย..
    .
    ความเข้าใจคุณตอนนี้ยังไม่สามารถเข้าใจในอารมย์ ระดับอุปจารสมาธิและกำลังฌาน ๔
    ได้..เพราะคุณยังเดินปัญญายังไม่ถึงขั้นที่จะเห็นกิเลสละเอียดได้ ช่วงนี้เป็นช่วงตัดกิเลส
    หยายๆของคุณอยู่ คำพูดและประเด็นความสงสัยมันเป็นตัวบอก ณ จุดนี้ หากจุดนี้วิเคราห์
    ผิดพลาดไปต้องขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วย ขอบคุณครับที่ได้สนทนา..​
     
  11. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ครับ เรียกว่า กำลังปัญญามันยังอ่อนอยู่ ต้องเพิ่มในการมีสติตามดู ตามรู้ ตามทำความเข้าใจไป ให้ต่อเนื่อง ปรับปรุงพละไปเรื่อย แล้วมันจะค่อย ๆ ชัดขึ้นเอง
     
  12. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขอบคุณครับที่ช่วยขยายความและชี้แนะให้..
     
  13. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    คุณธรรมภูตินี้สร้างบาปหนาไว้ในพระศษนามาก เผยแผ่แบบผิดๆ เอาที่ไหนมาพูดว่าจิตเที่ยง ถ้าจิตเที่ยงงั้นคุณก็ไปนิพพานเสียสิ จิตไม่เที่ยงโว๊ยยย(อยากแบนก็แบน เบื่อที่จะเข้ามาเล่นเต็มที) จิตเป็นอัตตาหรืออนัตตานั้นวิสัยพระอรหันต์ แล้วคุรก็ชอบอ้างพระสูตร จริงหรือไม่จริงอย่างไรใครรู้ หนำซ้ำยังกล่าวว่าเคยเกิดเป็นอะไรก้เป็นอย่างนั้น นั่นไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนา เทวดาเกิดเป็นคนได้ คนเกิดเป็นพรหมได้ เป็นต้น...
     

แชร์หน้านี้

Loading...