เห็นภาพคลื่นน้ำทะเลซัดท่วมภูเขามาเลย(พี่ที่ทำงานบอกนั่งสมาธิเห็น)

อ๋อ แปลว่า แหมถามได้ ก็ตายน่ะสิค่ะ

 

ยินดีจ่ะหนูจ๋า...ถ้ามันทำให้คนไทยรักกันสามัคคีกันจริงๆ...ลุงยอมแลกด้วยชีวิตจ่ะหนูแนนจ๋า...หนูก็อย่าลืมเชื่อฟังพ่อแม่ด้วยนะจ๊ะ...ฝึกสมาธิจิตด้วยนะจ๊ะ...แล้วจะรู้ซึ้งว่าความเมตตามันมีคุณค่าอย่างไร❤

 

การสูญเสียทรัพย์เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นภัยธรรมชาติ ถ้าไม่อยากให้เกิดภัย ก็ต้องมีศิล
เป็นปกติ ถึงเกิดก็จะเบาบางลง นี่โชคดีน่ะ ที่ยังมีพระอริยสงฆ์ท่านอยู่ที่นั้นหลายรูป แถมยังมีพวก
กลุ่มโพธิสัตว์ บางพวก คอยแผ่เมตตาปกป้องรวมกับเหล่าเทวาอีก พายุนี้จึงมาแบบเบา ๆ ไม่งั้น
เสียหายยิ่งกว่านี้อีก อ๋อเค้าบอกน่ะ ไม่ได้รู้เอง

 

อยากมีความสามารถล้างใจคนได้จัง = =
ถ้าล้างใจคนได้ ก็คงไม่ต้องล้างภัย

เอาจริง ภัยไม่ต้องมาก็ได้นะ
ปล่อยให้คนล้นโลก เดี๋ยวมันก็ฆ่ากันเอง แย่งทรัพยากรณ์

แต่ทำแบบนั้นทรัพยากรณ์ธรรมชาติก็คงสูญหมด

สัตว์โลกอาจจะเหลือแต่หนู คน สัตว์เลื้อยคลานบางพวก สัตว์ทะเล และแมลง


แต่ภัยธรรมชาติล้างคนก็อาจจะดีก็ได้นะ
คนตายด้วยภัยธรรมชาติยังดีกว่าตายด้วยน้ำมือคนด้วยกันเอง
อย่างน้อยคนที่ตายเพราะภัยธรรมชาติ ที่เป็นภัยธรรมชาติจริง ๆ ก็ไม่รู้จะไปจองเวรกับใคร

 

โห้แย่เลย เราไม่ถนัด กิน หนู และแมลงด้วย ต้องพยายามฝืนแค่ไหนเนี่ย
ว่าไปคงไม่รอดตั้งแต่ฆ่ากันเองแล้วแย่งทรัพยากร แระ เรายิ่งรวยอยู่ด้วย

 

กว่าโลกจะวิกฤตเรื่องทรัพยากรณ์ น่าจะอีกหลายร้อยปีอยู่ครับ
ตอนนี้ แค่ ทรัพยากรณ์ฟื้นตัวไม่ทันการบริโภค

.
.
.
แค่ใกล้วิกฤต

 

โชคดี ที่ตายก่อน

 

คนปรกติจะถูก้อารัดเอาเปรียบเบียดเบียนข่มเหงรังแก จากพวกจิตไม่ปรกติ กว่าโลกจะวิกฤติเรื่องทรัพยากร คนปรกติคงจะใช้ชีวิตอย่างยาก *** ภัยพิบัติมาเพื่อเตือนพวกจิตไม่ปรกติทั้งหลาย ให้มันเพลาๆความชั่วลงบ้าง ทางรอดมีอยุ่หลายวิธีไม่ว่าจะรักษากายรักษาใจตนให้มันอยู่ในทางที่เป็นสายกลาง. หรืออยู่ในที่ที่มีคนมีศีลมีธรรมอยู่ได้อาศัยร่มบุญ . เห็นแล้วเมื่อยกับมนุษย์ยุค4G บางจำพวก อยากบ่นมากกว่านี้แต่แค่นี้ก่อนละกันเดี๋ยวจะรำคานก่อน5555

 

วันนี้วันเกิดครูบาบุญชุ่ม...มีใครไปร่วมงานบ้างเข้ามาเล่าสู่กันฟังด้วยนะ..

 

มาบ่นแถวๆจังหวัดกาฬสินธุ์ก็ได้นะจะไปนั่งฟัง5555

...ป้านี่ยังไม่แก่เลย..ขี้บ่นซะแล้ว

 

คงฝึกไว้บ่นกัน สองคนตายายมั๊ง 5555

 

จ๊ะไม่เป็นอารมณ์ แต่เหมือนข้อความใส่ร้ายอีกศาสนายังไงไม่รู้
แต่พระท่านบอกว่าพระเยซูท่านก็อยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งเป็นชั้น
ของพระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้วน่ะ

 

อันนี้คาดเดาจากการเสพสารคดีนะ

ศาสนาของพระเยซู มีคนแปลงสารเยอะ เพราะต้องการใช้ศรัทธาของผู้คนให้เป็นประโยชน์ในทางการเมือง
อีกอย่าง
พวกทางฝั่งตะวันตกช่วงโน้นเขาทำสมาธิทำฌาณกันไม่เป็น ที่ทำเป็นมีน้อย ศาสนาเลยเปลี่ยนแปลงง่ายมั้งครับ

คนมีฤทธิ์หลังมีศาสนาคริสต์ โดนหาว่าเป็นแม่มดและพวกนอกรีต โดนจับเผาทั้งเป็นไปก็เยอะ

 

แต่ถ้าวิกฤติเรื่องพลังงานของโลกน่าจะอีกไม่นานนะ
คลื่นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นลบจากจิตมนุษย์ ที่มนุษย์ปลดปล่อยออกมาล่องลอยไปสูชั้นบรรยากาศ และลื่นไหลไปตามโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก ที่ทำให้ฟ้าหม่นหมอง และทำให้มวลโลกแบกรับน้ำหนักถ่วงดุลไว้มาก ที่เป็นเหตุให้โลกเสียสมดุล นอกจากพอลลูชั่นสภาวะอากาศเป็นมลพิษแล้ว นี่แหละก็สำคัญนะที่อาจทำให้โลกอยู่ได้ไม่ถึงร้อยปีเหมือนกันนะ

 

มาไม่ทันท่านดาราแฟร์
แต่ถ้าออนไลน์พร้อมกันแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไร
นอกจากภัยพิบัติกับอินตก

 

ลบแล้วจ้าพึ่งได้อ่านจบ ไม่อยากให้มีการพาดพิงผู้อื่นในทางลบ^^5555

 

ปริศนานกยาง หรือ หนังสืออินทร์ตก และคำเตือนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ทั้งในและนอกเอกภพได้มีคำเตือนมาถึงหมู่มวลมนุษย์เป็นร้อย ๆ ปี ที่มองเห็นภัยอนาคตของมวลมนุษยชาติค่ะ

สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า พฤติกรรมขยะของมนุษย์โลก อันเกิดจากจิตสำนึกบกพร่อง (ใครเข้าใจปริศนานกยางได้จะทราบค่ะ) และการลดน้ำหนักมวลของสรรพสิ่งในมิติกายภาพ เช่น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การตัดโค่นไม้ทำลายป่า การดูดซับทรัพยากรโลกให้สิ้นสูญ คือ การทำลาย สรรพสิ่งที่ใช้เป็น "ตัวถ่วงโลก" เพื่อให้เกิดความสมดุลในขณะเหวี่ยงหมุน

จึงไม่ต่างไปจากการดึงเอาแท่งตะกั่วแม้จะเป็นชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งมีน้ำหนักไม่กี่กรัม ออกไปจากกระทะล้อรถยนต์ที่ช่างเทคนิคคำนวณน้ำหนักไว้ ผลที่เกิดจากการดึงตะกั่วถ่วงล้อทิ้งไปก็คือ ล้อรถยนต์จะเกิดอาการเสียสมดุล เมื่อนำไปติดตั้งกับรถยนต์เพื่อใช้งานมันก็จะเกิดอาการ

หมุนไปแกว่งไป หรือ หมุนไปส่ายไป

ขณะนี้โลกกำลังเป็นอยู่ การทำลายตัวถ่วงของโลก มันก็ไม่ต่าวไปจากการลดน้ำหนักมวลของสรรพสิ่งที่ใช้เป็นตัวถ่วงโลกให้สมดุล ดังเช่นการดึงเอาชิ้นตะกั่วถ่วงล้อรถยนต์ทิ้งไปนั่นเอง

อาการส่ายหรืออาการแกว่งของดาวเคราะห์โลก ขณะเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองจึงเกิดขึ้น เพราะสรรพสิ่งที่ใช้ถ่วงสมดุลโลกถูกมนุษย์ทำลายจนวอดวายลงไปเรื่อย ๆ กันตลอดมา

 

หากมนุษย์มีเมตตาที่แท้จริง มนุษย์ก็จะต้องไม่เลือกละเว้นว่าตนจะแสดงความรักความเมตตาผูกขาดไว้ให้เฉพาะใครบางคน และบางสรรพสิ่งในบางเวลาเท่านั้น

 

นางแก้วของท่านสงบ 5555

 

ในที่นี้มนุษย์ไม่ต้องไปสนใจดอกว่า พลังความรักความเมตตาที่เกิดขึ้นภายในจิตใจตนเองนั้น มันก่อให้เกิดกระบวนการทางไฟฟ้าในมิติทางพลังงาน เพื่อสร้างความสมดุลให้แก่ดาวเคราะห์โลกของตนได้อย่างไร แต่สิ่งที่ควรสนใจก็คือ ในชีวิตตนเองในแต่ละวันนั้น

รักผู้อื่นเป็นหรือไม่?

ถ้ารักเป็นแล้วรักพวกเขาได้หรือเปล่า?

และทำตนให้คนอื่นเขารักตนเองได้บ้างไหมเล่า?

หน้าที่สั่นสะเทือนจิตใจตนเองด้วยความรักและความเมตตา เป็นหน้าที่หลักของมนุษย์และเป็นหน้าที่ทางจิตวิญญาณ ที่ผู้ซึ่งเป็นแก่นแท้ของมนุษย์แต่ละคนจะต้องกระทำมันให้สำเร็จอีกด้วย

ส่วนกระบวนการทางพลังงานที่มันจะกระทำปฏิสัมพันธ์ต่อโลกอย่างไรนั้น มนุษย์อาจไม่รู้หรือไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ว่ากระบวนดังกล่าวนี้เป็นเช่นไร ขอเพียงมนุษย์มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ทางจิตวิญญาณของตนอย่างแท้จิรง คือ ต้องรักให้เป็น และต้องรักให้ได้ เท่านั้นก็พอ