เอาบุญมาฝาก...ถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน

ในห้อง 'อนุโมนาบุญ - อุทิศบุญส่วนกุศล' ตั้งกระทู้โดย dhammavoice, 16 มิถุนายน 2011.

  1. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    ปลาช่อนทอด ตัวละ 150 บาท
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    กุ้งกิโลละ 280 บาท ซื้อมา 3 โล
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    วันนี้พลาดตรงไหนรู้มั้ย??..
    พลาดตรงที่ไม่ได้หั่นเนื้อปลาเป็นชิ้นๆ และปอกเปลือกกุ้งหรือไม่ก็ต้องผ่าครึ่งตัวไว้ด้วยส่วนหนึ่ง
    ไว้สำหรับพระ ท่านจะได้ฉันง่ายๆ ไม่ต้องยุ่งยาก และอีกอย่างบางคนก็อาจจะปอกเปลือกกุ้งไม่เป็น
    ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่ได้ตักไปเลย จะสังเกตว่าพระท่านจะตักไปเฉพาะปลาเท่านั้น
    ส่วนกุ้งและอย่างอื่นนั้นแทบไม่ได้แตะเลย

    จริงอยู่ถึงแม้ว่าหั่นแล้วเวลาจัด มันจะไม่สวยเท่าตอนที่ยังไม่ได้หั่นก็ตาม
    แต่ถึงอย่างไรก็ต้องคำนึงถึงว่า พระท่านจะฉันอย่างไรเป็นสำคัญ
    แต่วันนี้วันพระงานจะเริ่มเร็ว และไม่มีเวลาได้หั่นด้วย ไม่เป็นไรไว้แก้ตัวใหม่คราวหน้า ^_^

    และทั้งนี้ก็รวมไปถึงผลไม้บางชนิดเช่น องุ่น อย่างนี้ก็ต้องตัดแบ่งเป็นพวงเล็กๆ ด้วย
    ถึงแม้ว่าเวลาจัดแล้วจะไม่สวยเท่าองุ่นที่เป็นพวงใหญ่ๆ

    หากพระท่านจะหยิบองุ่น แล้วเราไม่ได้ตัดแบ่งเป็นพวงเล็กๆ ไว้
    เวลาท่านหยิบก็จะได้ไปทั้งพวงใหญ่ๆ ไปเลย อย่างนี้ก็ดูจะไม่งาม
    ซึ่งอาจจะทำให้คนอื่นสำคัญผิดคิดว่าพระเห็นแก่กินก็ได้

    [​IMG]
     
  2. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    สังฆทานวันนี้เป็นน้ำพริกอ่อง เงาะ มังคุดค่า..
    บุญกุศลที่ทำไว้ไดีแล้วในวันนี้ขอแบ่งบุญให้ทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นะค่ะ

    ...แอ่นแอนแอ้น...

    [​IMG]

    เงาะ 3 กิโล 100 บาท
    [​IMG]


    มังคุด (ดอกมังคุด ผลจะเล็ก ทำให้ไม่มีเมล็ด) 3 กิโล 100 บาท ดอกบานไม่รู้โรย พวงละ 50 บาทป่ะ(จำไม่ได้)
    [​IMG]

    น้ำพริกอ่อง วันนี้ใช้เวลาแกะ 4.5 ชั่วโมง ปวดหลังด้วยอ่ะ..อ๊างงง..
    [​IMG]
     
  3. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    เรื่องอื่นที่เห็นว่าแปลก (แต่สำหรับเราแล้วไม่น่าแปลกเลย) ก็คือเรื่องฝนตก
    เห็นมาหลายครั้งแล้ว ช่วงไหนที่ฝนตกแทบทุกวันคือตั้งแต่เช้าไปจนถึงบ่ายๆ
    หรือช่วงไหนที่ฝนตกทั้งวัน แต่วันที่มีงาน ในตอนเช้าและระหว่างที่กำลังทำพิธีอยู่นั้นฝนจะไม่ตกเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ฝนจะไปตกเอาตอนที่งานเลิกแล้วทุกครั้งไป

    ก็เพราะว่ามีเทวดาที่ดูแลสภาพดินฟ้าอากาศอยู่ด้วย ซึ่งสภาพดินฟ้าอากาศของแต่ละพื้นที่ก็จะขึ้นอยู่กับคุณธรรม (ศีล)ของคนที่อยู่ในพื้นที่นั้นๆ ไง

    และวันนี้ตอนเช้า กำลังนั่งจัดอยู่ท้องฟ้ามืดๆ เหมือนฝนจะตก ก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าฝนจะตกอ่ะป่าว (อย่าตกนะเค้ายังจัดไม่เสร็จ ไม่งั้นลำบากแน่)
    แล้วก็เป็นไปตามคาดอีกสักพักแดดก็ออก บอกแล้วไงว่าฝนไม่ตกเลย
    ในวัีนที่มีงานฝนจะไปตกตอนเสร็จพิธีแล้วเสมอ
    เทวดาที่ดูแลดินฟ้าอากาศรู้หน้าที่ดี เพราะเราจะอุทิศบุญให้เป็นการตอบแทน

    เรื่องเทวดาที่ดูแลดินฟ้าอากาศ มีปรากฏในพระไตรปิฎก
    ตอนที่เสวยพระชาติเป็นปลา สระน้ำที่อาศัยอยู่น้ำแห้ง และได้ทำสัจจกิริยาขอให้ฝนตก
    (จำไม่ได้แล้วว่าอยู่เล่มที่เท่าไหร่ หน้าไหน)

    [​IMG]
    แตงร้านลูกนึงจะแกะเป็นใบไม้ได้ประมาณ 6 ใบ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  4. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
  5. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
  6. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    สังฆทานวันนี้เป็น
    ปลาดุกอุยนาย่าง...สะเดา...น้ำปลาหวาน
    บุญกุศลที่ทำไว้ดีแล้วในวันนี้ขอแบ่งให้ทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นะค่ะ

    [​IMG]

    ส่วนตัวแล้วกินสะเดาไม่เป็นค่ะ ก็เพราะว่ามันขม แต่อยากให้
    ปลาดุกอุยนาย่างตัวละ 70 บาท สะเดากับน้ำปลาหวานอีก 50 บาท น้ำปลาหวานหอมกลิ่นมะขามด้วยล่ะ

    [​IMG]

    ถามคุณยายแม่ค้าดูว่าทำไมต้องเป็นปลาดุกอุยนาด้วย
    คุณยายแกบอกว่าเนื้อมันอร่อยกว่าปลาดุกเลี้ยง
    แต่ดูสีหน้าแกแล้ว คงจะไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน
    เพราะว่าถามเซ้าซี้อยู่ได้ ก็ถามดูจะได้รู้ว่ามันอร่อยยังไง

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    อนุโมทนากับทุกท่านด้วยนะค่ะ หากดิฉันได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ ท่าน ณ ที่นี้
    ยังไงก็เอาผลงานมาให้ชื่นชมและร่วมอนุโมทนาบ้างก็ดีนะค่ะ
     
  7. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    ถ้าเป็นเรื่องงานดอกไม้แล้วเนี่ย นอกจากจะต้องให้ออกมาสวยแล้ว ยังจะต้องรีบทำให้เสร็จเร็วๆ ด้วยค่ะ
    ไม่งั้นดอกไม้จะเหี่ยว เพราะว่าไม่อยากทำบุญด้วยดอกไม้เหี่ยวๆ อ่ะค่ะ (กลัวได้สามีแก่ ขำขำนะค่ะ)

    ตอนแรกไม่เชื่อนะค่ะว่า ดอกไม้เหี่ยวๆ จะเกี่ยวอะไรกับเรื่องสามีแก่
    เพิ่งจะเข้าใจก็ตอนที่ได้อ่านเรื่องพระเวสสันดร
    ด้วยวิบากกรรมเก่าของนางอมิตตาที่ชอบนำดอกไม้เก่าๆ ดอกไม้เหี่ยวแห้งไปบูชาพระ
    ถึงคราวกรรมส่งผลก็ดลบันดาลให้ได้ของเก่าเช่นเดียวกัน
    วิบากกรรมนั้นได้ไปบีบคั้นจิตใจของนางให้ยินยอมตามบิดามารดา
    ชาวบ้านก็กล่าวอิจฉาชูชกอย่างอื้ออึง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของชาวบ้านผู้ที่ยังไม่เข้าใจเรื่่องราว
    การให้ผลของกฎแห่งกรรม จึงเกิดความอิจฉาเฒ่าชูชกเช่นนี้ แต่หากเป็นผู้รู้ที่เข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม ก็จะไม่บังเกิดความรู้สึกอิจฉาริษยาแต่อย่างใด
    ทั้งนี้เพราะการที่ชูชกได้นางอมิตตามาเป็นคู่ครองในครั้งนี้ เกิดจากกรรมดีในอดีต
    ที่เวลาชูชกจะนำดอกไม้ไปบูชาพระ มักจะเลือกแต่ดอกบัวตูมที่สดใหม่สวยงามไปบูชาเท่านั้น
    เมื่อถึงคราวบุญส่งผล จึงทำให้ได้ของสวยของงามมาชื่นชม ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของบุญทำกรรมแต่งทั้งสิ้น ทั้งบุญกรรมในอดีตและบุญกรรมในปัจจุบันประกอบเข้าด้วยกัน
    ฉะนั้นถ้าคุณผู้ชายอยากได้แฟนเด็กๆ ล่ะก็ต้องทำบุญด้วยดอกบัวตูมๆ สดใหม่นะค่ะ

    ส่วนเรื่องอาหารเนี่ย ยอมรับค่ะว่ายาก ต้องเตรียมตัวกันพอสมควร คือแทบจะไม่ได้นอน
    เพราะว่าอยากทำอะไรที่สดใหม่ๆ นะค่ะ ไม่อยากทำไว้ก่อน
    อย่างผักผลไม้แกะเนี่ย ก็จะกะเวลาเอาว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ พอเสร็จแล้วก็จะได้ไปทำบุญเลยน่ะค่ะ ก็คือแกะเสร็จแล้วก็จะใส่ถุงซิปล็อคไว้ก่อนแล้วก็แช่น้ำแข็งไปค่ะ
    แล้วพอถึงหน้างานก็ค่อยเอาออกมาจัดน่ะค่ะ ผลไม้ที่ผ่านการตัดแต่งแล้ว อายุก็จะสั้นกว่าผลไม้ที่ยังไม่ได้ปอกค่ะ
     
  8. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    เธอทำกับข้าวอะไรเป็นบ้าง??
    นี่เป็นคำถามที่ทำให้ถึงกับจุกเลย เพราะว่าไม่มั่นใจเลยสักกะอย่าง อายชาวบ้านเค้าจังเลย
    ถ้าได้ไปเป็นภรรยาใคร สามีคงอดตายอะไรประมาณนั้น แล้วจะขายออกกับเค้ามั้ยนี่
    มีสาวๆ ท่านไหน เจอคำถามประมาณนี้บ้างค่ะ
    แต่ถ้า ณ วันนี้ ใครถามก็จะตอบว่า ทำเป็นแต่อร่อยหรือเปล่านั้นก็อีกเรื่องนึง
    ก็ไม่เห็นจะยากเลย เปิดหนังสือ เปิดเน็ตดูเอาก็ได้

    แต่เมื่อได้มีโอกาสทำบุญบ่อย ก็เลยต้องกลับไปปัดฝุ่นวิชาการบ้านการเรือนกันใหม่
    จะได้เป็นแม่บ้านแม่เรือนกันก็คราวนี้ คือถ้าไม่ได้ทำบุญ โอกาสที่จะได้ทำเองก็น้อยอ่ะค่ะ

    ขอบอกอานิสงส์การที่ได้ช่วยทำครัว ทำอาหารเวลามีงานบุญนิดนึงนะค่ะ จะได้เป็นกำลังใจกัน
    ผลก็คือจะทำให้เป็นคนทำอะไรก็อร่อยไปหมด ใส่อะไรนิดอะไรหน่อยก็อร่อยประมาณนั้นน่ะค่ะ ฟังมาจากท่านผู้รู้อีกที
    คิดว่าไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้าค่ะ เห็นผลในชาตินี้เลย

    เคยมีโอกาสไปทานกับข้าวที่แม่ครัวที่วัดทำ จำได้แม่นเลยค่ะว่า
    ได้กินปลาทอดที่อร่อยมากๆ อาหารพื้นๆ นี่ล่ะค่ะอร่อยกว่าในโรงแรมเสียอีก
    หลังจากนั้นก็มักจะเข้าไปแอบดูแม่ครัวที่เวลาเค้าทำว่าเค้าทำยังไง มีเคล็ดลับอะไรบ้าง
    ก็เริ่มจากไปช่วยเค้าล้างผัก ปอกเปลือกกุ้ง ช่วยทอด อะไรอย่างนี้นะค่ะ
    ซึ่งปกติถ้าอยู่บ้านจะไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำค่ะ
    ก็ได้เคล็ดลับมาหลายอย่างอ่ะค่ะ อย่างเวลาทำไข่พะโล้อย่างนี้
    เวลาที่ต้มไข่จะต้องคนด้วย เพื่อให้ส่วนของไข่แดงนั้นอยู่ตรงกลางฟอง
    ไม่อย่างนั้นส่วนของไข่แดงจะมาชิดที่ริมเปลือกไข่เวลาทำไข่พะโล้แล้ว ส่วนของไข่แดงก็จะหลุดออกมาค่ะ
     
  9. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    ขอกลับไปเล่าตอนที่ไปเรียนร้อยมาลัยดอกไม้ที่ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพ สวนลุมพินี
    (ตอนนี้ไม่มีแล้วนะค่ะ ย้ายไปอยู่ที่บิ๊กซีวงศ์สว่าง)
    เมื่อประมาณ 7 ปีก่อน ที่ได้ไปเรียนวิชานี้ เพราะว่าช่วงนั้นว่างๆ เลยคิดว่าจะหาอะไรเรียนดีค่ะ
    ก็เลยหาข้อมูลดู เจอที่นี่เรียนฟรีด้วย ก็เลยสนใจนะค่ะ แม้ว่าตอนแรกจะไม่ค่อยมั่นใจว่าจะดีหรือไม่ คิดไม่ถึงค่ะว่าเรียนฟรี แล้วดีๆ จะมีด้วย อาจารย์ที่สอนก็สอนดีนะค่ะ
    ตอนนั้นเรียนประมาณ 2 เดือนได้ เรียนสัปดาห์ละ 1 วันค่ะ
    ส่วนสาเหตุที่เลือกวิชานี้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ เพราะคิดว่าจะได้ทำแล้วเอาผลงานไปอวดแม่ แล้วแม่ก็จะเอาไปถวายหน้าพระพุทธรูปอีกทีนึง (ลูกสาวแม่ก็ทำได้กับเค้าเหมือนกันนะประมาณนั้นคิดแค่นี้ล่ะค่ะ) :04: :04: :04:
    อีกอย่างก็จะได้ให้แม่ภูมิใจด้วย จะได้หัดเป็นแม่บ้านแม่เรือนกับเค้าบ้าง
    ถึงแม้ว่าจะดูไม่ค่อยเป็นแม่บ้านแม่เรือนเหมือนคนอื่นเค้าสักเท่าไหร่
    จะได้ไม่อายชาวบ้านเค้าแล้ว เย้ เย้
    มีผลงานที่ได้ทำเป็นครั้งแรก ซึ่งอาจารย์จะให้เรียนสัปดาห์ละ หนึ่งแบบค่ะ เอามาให้ดูค่ะ เผื่อใครสนใจ

    อันนี้เป็นมาลัยชำร่วย
    [​IMG]

    มาลัยใบแก้ว
    [​IMG]

    กระแตเกาะกิ่งไม้ (อันนี้ใช้กลีบกุหลาบค่ะ)
    [​IMG]

    มาลัยสองชาย แบบที่คล้องคอบ่าว-สาวนะค่ะ
    แต่ว่าทำคนเดียวทั้งวันได้แค่ข้างเดียว
    [​IMG]

    มาลัยสองชาย แบบที่คล้องคอบ่าว-สาวเช่นกัน
    แต่ว่าทำคนเดียวทั้งวันได้แค่ข้างเดียว
    [​IMG]
     
  10. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    มาลัยชำร่วย
    [​IMG]

    อันนี้เรียกว่าการเย็บแบบค่ะ ใช้กลีบกล้วยไม้ ต้องมาคัดชนิดของกลีบก่อน แล้วจึงเย็บทีละกลีบบนใบตองแล้วก็นำมาประกอบกัน
    [​IMG]

    น่าจะเอาไปเวียนเทียนดีแท้ ดอกจะใหญ่เมื่อเทียบกับกระดาษทิชชู่
    [​IMG]

    พานขันหมากค่ะ
    อันนี้ช่วยกันทำกันทั้งห้องค่ะ ก็แบ่งหน้าที่กันใครทำอะไร ใครถนัดอะไรก็ทำอันนั้นค่ะ
    ดิฉันก็เย็บแบบดอกไม้ดอกใหญ่ที่อยู่ตรงกลางค่ะ
    [​IMG]

    อันนี้ผลงานของท่านอื่นเค้านะค่ะ
    [​IMG]

    จริงๆ ว่าจะเรียนแกะสลักต่อ แต่ว่าเริ่มจะไม่มีเวลาแล้ว เลยเรียนได้แค่นี้
    เรื่องสลักก็เลยต้องดูหนังสือเอาเอง

    ตอนแรกที่เอาไปทำบุญ ส่วนใหญ่เค้าก็จะทำหน้าแบบแปลกใจ ไม่น่าเชื่อว่าอย่างเธอเนี่ยนะจะทำได้
    (จริงๆ ก็สนุกดีนะค่ะ เวลาให้ใครทำสีหน้าอึ้ง หรือว่าเหนือความคาดหมายไรงี้ )
    มีคนแซว (ไม่เรียกว่าแซวดีกว่านะค่ะ) ตายไปแล้ววิมานจะอลังการสักเพียงไร
    ก็ไม่ได้คิดเลยค่ะว่าตายไป แล้ววิมานของตนนั้นจะยิ่งใหญ่เพียงไร เพียงแค่ถ้าได้ทำบุญแล้ว ก็อยากจะให้และให้ในสิ่งดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็แค่นั้น
     
  11. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    พอได้ทำบุญบ่อยๆ ก็มีโอกาสได้ปัดฝุ่นวิชาการบ้านการเรือน
    ไม่อย่างนั้นคงไม่ค่อยได้มีโอกาสทำค่ะ
    จะได้ไม่อายชาวบ้านเค้าแล้ว เย้ เย้ เจอใครว่าทีไรถึงกับจุกทุกที

    ส่วนตรงพู่ห้อยนั้น เค้าเรียกว่า"อุบะ" ค่ะ ซึ่งก็จะมีหลายแบบ ทำไม่ยากค่ะ
    บ้างก็ทำมาจากกลีบกุหลาบ กลีบดอกกล้วยไม้ กลีบใบแก้ว
    แต่ว่าตรงอุบะนี้มีขายนะค่ะ แถวๆ ปากคลองตลาด
    คือที่นี้เค้ามีขายหลายอย่างค่ะ แล้วแต่เราสะดวกค่ะ
    จะซื้อที่เสร็จเรียบร้อย หรือซื้อเป็นส่วนๆ แล้วก็นำมาประกอบกันก็ได้ หรือจะซื้อดอกไม้แล้วไปร้อยเองก็ได้ ว่างๆ ก็ลองไปเดินเล่นดูนะค่ะ

    อุบะนี่ ต้องเด็ดกลีบดอกไม้ออกมาก่อน แล้วก็คัดขนาดของกลีบก่อนค่ะ แล้วก็ร้อยกันทีละกลีบ ค่อนข้างจะเสียเวลาค่ะ แต่เคยเห็นแม่ค้าเค้าร้อยกันเร็วมาค่ะ
    ส่วนเราๆ นั้นทำเป็นงานอดิเรก เลยสู้มืออาชีพไม่ได้ เลยต้องใช้เวลานานหน่อยค่ะ

    สมัยก่อนพวกหญิงชาววังคงจะว่างกันมากถึงได้มีเวลาคิดประดิษฐ์ประดอยกัน
    และอีกอย่างหนึ่งนะค่ะ ในสมัยก่อนนั้นพวกนางในวังนางสนมอย่างนี้เค้าจะร้อยแข่งกันด้วยนะค่ะ ว่าของวังไหนสวยงามกว่ากัน
    แต่ถ้าอ่านแบบได้ ไปเปิดดูหนังสือที่มีลวดลายแปลกๆ ก็จะสามารถทำตามได้ไม่ยากนักค่ะ
    แต่ถ้าสนใจจะเรียน ก็ได้เคยแนะนำไปแล้ว แต่บอกอีกทีก็ได้ค่ะ
    ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพ เรียนฟรีค่ะ เสียเงินเฉพาะค่าอุปกรณ์ มีหลายสาขานะค่ะ และหลายวิชาด้วย
    เช่นที่บิ๊กซีวงศ์สว่าง,สวนรถไฟ,ม.รามคำแหง และอีกหลายสาขาลองหาข้อมูลดูนะค่ะ
    -----------------------------------
    สาขารามคำแหง อาคารสุโขทัย ชั้น 2 ห้อง 0214 ทุกวัน (เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
    โทร. 0-2809 8026 กด 8
    0-2992 7660 กด 1
    -------------------------------------
    ที่ยูเนี่ยนมอล์ ชั้น 8 (แถวเซ็นทรัลลาดพร้าว)
    เบอร์ 02-513-6654 กับ 02-272-4741
    ---------------------
    ที่บิ๊กซีวงศ์สว่าง อันนี้ไม่มีเบอร์ค่ะ และอีกหลายสาขาหลายวิชาลองสอบถามดูนะค่ะ
     
  12. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    สังฆทานวันนี้เป็นทะเลเผา
    ฝากพี่ที่เค้าอยู่แถวมหาชัยซื้อให้่ค่ะ หาซื้อยากคะ ร้านที่เปิดขายตั้งแต่เช้าเลย
    บุญกุศลที่ทำไว้ดีในวันนี้ ขอแบ่งให้ทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นะคะ

    [​IMG]

    ใครที่แพ้อาหารทะเล นั่นแสดงว่าท่านไม่ได้ทำบุญด้วยอาหารทะเลมาค่ะ
    ท่านจึงไม่มีบุญได้กินอาหารทะเล ท่านเลยไม่รู้ว่าอาหารทะเลนั้นอร่อยแค่ไหน
    ดิฉันไม่ได้พูดเล่นนะคะ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ทั้งหมดรวมราคาประมาณ 2,5XX บาท แก้ตัวที่คราวที่แล้วไม่มีปลาหมึก
    มีปลาหมึก 3 ตัว ตัวละ 160 บาท เป็น 480 บาท
    ปลาช่อนทอด 3 ตัว ตัวละ 150 บาท เป็น 450 บาท
    ปลาช่อนเผา (วันนี้หนังมันไม่ร่อนแฮะ) 3 ตัว ตัวละ 140 บาท เป็น 420 บาท
    มีกุ้ง 3 กิโล กิโลละ 280 บาท เป็น 840 บาท
    ที่เหลือเป็นหอยแครง 3 กิโลมั้ง จำไม่ได้

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  13. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
  14. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    สังฆทานวันนี้เป็นส้มโอกับลองกอง
    บุญกุศลอันใดที่ทำไว้ดีแล้วในวันนี้ขอแบ่งให้ทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นะค่ะ

    ส้มโอขาวทองดี 200 บาท
    (บอกราคาไว้ด้วย ไว้ใครจะทำบุญจะได้ประมาณการได้)

    [​IMG]

    อย่าลืมทำบุญด้วยดอกไม้สดๆ นะค่ะ ถ้าไม่อยากได้แฟนแก่
    ไม่กล้าทำบุญด้วยดอกไม้ปลอมเลยไม่รู้ผลจะเป็นไง ขำขำนะค่ะ

    [​IMG]

    ลองกอง 2 กิโล 200 บาท
    ถามพ่อค้าเค้าว่าผิวที่มันดำๆ คืออะไร เค้าบอกว่าเป็นรังมดอ่ะค่ะ
    ข้อสันนิษฐานถ้ามีมดมาทำรัง แสดงว่าหวานอ่ะป่าว
    บอกพ่อค้าเค้าว่าจะทำบุญเช้านี้เลย เค้าเลยเลือกที่มันนิ่มๆให้
    (บอกพ่อค้าเค้าด้วย เค้าจะได้อนุโมทนาและจะได้เลือกของดีๆ ให้)
    คือถ้าจะทำบุญวันพรุ่งนี้ไรงี้ เค้าจะเลือกที่แข็งขึ้นนิดนึง

    [​IMG]

    ไม่มีดอกไม้อย่างอื่น ปักไว้ตรงกลางงี้แหละ อ๊างง..
    [​IMG]

    เพราะว่าดิฉันปอกส้มโอไม่เป็นค่ะ วันนี้เลยซื้อที่ปอกเรียบร้อยแล้้วค่อยมาจัดเอาเอง
    จัดส้มโอยากมากเพราะว่ามันร่วนง่าย ไม่สามารถจัดเองได้
    วันนี้เลยไปขอความช่วยเหลือจากพี่ที่เค้าปอกส้มโอเก่งๆ ให้มาช่วยจัดให้
    ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  15. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    สังฆทานวันนี้เป็น ขนมไทย
    หน้าตาก่อนจัด
    [​IMG]

    วันนี้ซื้อที่ร้านเก้าพี่น้อง ตลาด อตก ก่อน ราคา รวมประมาณ 490 บาท
    แล้วก็อีกร้านหนึ่ง ขนมทองเอกทำเป็นตัวเต่าทองกับปลา อีก 1 กล่อง 50 บาท ตกชิ้นละ 5 บาท
    ฟังแม่ค้าเล่าเรื่องที่ทำขนมว่าทำยากยังไงอยู่พักนึง ก็ประมาณว่าทำได้ครั้งละไม่มาก ต้องคนอะไรให้พอดีไรงี้

    ข้าวตู ฝอยทองกรอบ วุ้นมะตูม อาลัวกะทิ วุ้นกุหลาบกรอบ ราคาถุงนึง 60-80 บาท
    จำราคาไม่ได้ว่าอะไรเท่าไหร่
    แต่ว่าอาลัวกุหลาบ 80 บาทต่อกล่อง ชิ้นละ 10 บาท กินแล้วไม่แข็งเกินเหมือนบางเจ้า

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  16. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
  17. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    [​IMG]

    [​IMG]
    เด็กๆ หลายคนดูจะชอบปลาทองกัน..ก็ชอบเหมือนกันนะน่ารักดี

    กระเช้าสีดาชิ้นละ 5 บาท ตรงกลางเป็นมะพร้าวค่ะ
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  18. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    หากเป็นการทำบุญอย่างอื่นที่ไม่ใช่ภัตตาหารนั้น เช่นอุโบสถ ห้องน้ำ เจดีย์ ฯลฯ ส่วนใหญ่ก็จะชอบใช้วิธีโอนเงิน หรือฝากใครไปทำบุญก็ง่ายดี
    แต่ถ้าหากเป็นบุญภัตตาหารแล้ว อยากไปทำด้วยตัวเองมากกว่า
    อยากเหนื่อย รู้สึกว่าถ้าได้ทำเอง ได้เหนื่อย ได้ไปเลือกเอง จะรู้สึกสะใจมากๆ ที่ได้ทำเอง
    ไม่ค่อยอยากจะฝากใครไปทำสักเท่าไหร่
    แต่การจะหาโอกาสถวายภัตตาหารแด่พระที่ศีลดีๆ นั้นก็ทำได้ไม่บ่อย
    ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ดิฉันคงได้ลงแดงเป็นแน่ เพราะว่าไม่ได้ให้
    ก็คนมันอยากให้นี่นา ถ้าไม่ได้ให้เป็นระยะเวลาที่นานเกินไป ก็จะเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
    ดังนั้นดิฉันจึุงไม่สนใจว่า จะเป็นพระวัดไหนสำนักอะไร ศีลของท่านจะเป็นอย่างไร
    เพราะดิฉันตั้งใจจะถวายแด่สงฆ์ ทานที่เราได้ให้นั้น ดีแล้วหนอ ดีแล้วหนอ ดีแล้วหนอ
    และไม่คิดเสียดายเลยแม้แต่น้อย


    ระลึกทุกครั้งว่าจะถวายแด่สงฆ์ จึงสามารถทำบุญกับพระวัดไหนก็ได้ สำนักไหนก็ได้
    แต่ถ้าหากว่ามีโอกาสและไม่ลำบากมากนัก ก็จะพยายามไปทำบุญกับพระที่มีศีลดีๆ ด้วยเช่นกัน
    ซึ่งแน่นอนล่ะ พระที่มีศีลดีย่อมดีกว่าพระที่ศีลไม่ดีอยู่แล้ว
    ดูไงว่าพระมีศีลดี ดูว่าท่านต้องไม่รับเงินรับทอง ไม่ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา ไม่ทำเครื่องรางของขลัง

    ทักษิณาวิภังคสูตร
    คัดลอกจากพระไตรปิฏกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 23 หน้าที่ 391-410


    ---พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 391-----

    ๑๒. ทักษิณาวิภังคสูตร
    [๗๐๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารนิโครธาราม เขต
    พระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท. สมัยนั้นแล พระนางมหาปชาบดีโคตมี
    ทรงถือผ้าคู่หนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาท
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอประทับนั่งเรียบร้อย
    แล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าใหม่
    คู่นี้ หม่อมฉันกรอด้าย ทอเอง ตั้งใจอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระผู้มี-
    พระภาคเจ้าทรงอาศัยความอนุเคราะห์ โปรดรับผ้าใหม่ทั้งคู่ของหม่อมฉันเถิด.
    [๗๐๗] เมื่อพระนางกราบทูลแล้วอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส
    ดังนี้ว่า ดูก่อนโคตมี พระนางจงถวายสงฆ์เถิด เมื่อถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นอัน
    พระนางได้บูชาทั้งอาตมภาพและสงฆ์ พระนางมหาปชาบดีโคตมีได้กราบทูล
    พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าใหม่คู่นี้ หม่อมฉันกรอด้าย
    ทอเอง ตั้งใจอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยความ
    อนุเคราะห์ โปรดรับผ้าใหม่ทั้งคู่นี้ของหม่อมฉันเถิด แม้ในครั้งที่ ๒ แม้ใน
    ครั้งที่ ๓ แล พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสกะพระนาง แม้ในครั้งที่ ๒ แม้ใน
    ครั้งที่ ๓ ดังนี้ว่า ดูก่อนโคตมี พระนางถวายสงฆ์เถิด เมื่อถวายสงฆ์แล้ว
    จักเป็นอันพระนางได้บูชาทั้งอาตมภาพและสงฆ์.
    [๗๐๘] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้
    กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค-
    เจ้า โปรดรับผ้าทั้งคู่ ของพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถิด พระนางมหาปชาบดี

    ----พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 392----

    โคตมี มีอุปการะมาก เป็นพระมาตุจฉาผู้ทรงบำรุงเลี้ยง ประทานพระขีรรส
    แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระชนนีสวรรคตแล้ว ได้โปรดให้พระผู้มีพระ-
    ภาคเจ้าทรงดื่มเต้าพระถัน แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงมีอุปการะมากแก่
    พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระนางทรงอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงถึง
    พระพุทธะ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะได้ทรงอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า
    จึงทรงงดเว้น จากปาณาติบาต จากอทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร จากมุสาวาท
    จากฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเพราะดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยได้ ทรง
    อาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหว
    ในพระพุทธะ พระธรรม พระสงฆ์ ทรงประกอบด้วยศีลที่พระอริยะมุ่งหมาย
    ได้ ทรงอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเป็นผู้หมดความสงสัยในทุกข์ ในทุกข-
    สมุทัย ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงมีพระอุปการะมากแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี.
    [๗๐๙] พ. ถูกแล้ว ๆ อานนท์ จริงอยู่ บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว
    เป็นผู้ถึงพระพุทธะ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะได้ เราไม่กล่าวการที่
    บุคคลนี้ตอบแทนต่อบุคคลนี้ด้วยดี เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี ทำ
    สามีจิกรรมด้วยเพิ่มให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชบริขาร
    บุคคลใดอาศัยบุคคลใดแล้ว งดเว้น จากปาณาติบาต จากอทินนาทาน จาก
    กาเมสุมิจฉาจาร จากมุสาวาท จากฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเพราะ
    ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยได้ เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้ตอบแทนต่อบุคคลนี้ด้วย
    ดี เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสามีจิกรรม ด้วยเพิ่มให้จีวร บิณฑ-
    บาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชบริขาร. บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว เป็น
    ผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในพระพุทธะ พระธรรม พระสงฆ์

    ------พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 393-----

    ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะมุ่งหมายได้ เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้ตอบแทน
    บุคคลนี้ด้วยดี เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสามีจิกรรม ด้วยเพิ่มให้
    จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชบริขาร. บุคคลอาศัยบุคคล
    ใดแล้ว เป็นผู้หมดความสงสัยในทุกข์ ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธคามินี
    ปฏิปทาได้ เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้ตอบแทนบุคคลนี้ด้วยดี เพียงกราบไหว้
    ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสามีจิกรรม ด้วยเพิ่มให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ
    คิลานปัจจยเภสัชบริขาร.
    [๗๑๐] ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาเป็นปาฏิปุคคลิกมี ๑๔ อย่าง คือ
    ให้ทานในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการ
    ที่ ๑. ให้ทานในพระปัจเจกสัมพุทธะ นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๒.
    ให้ทานในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการ
    ที่ ๓. ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุค-
    คลิกประการที่ ๔. ให้ทานแก่พระอนาคามี นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการ
    ที่ ๕. ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง นี้เป็นทักษิณาปาฏิ-
    ปุคคลิกประการที่ ๖. ให้ทานแก่พระสาทกคามี นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิก
    ประการที่ ๗. ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง นี้เป็น
    ทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๘. ให้ทานในพระโสดาบัน นี้เป็นทักษิณาปาฏิ-
    ปุคคลิกประการที่ ๙. ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง นี้
    เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๐. ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจาก
    ความกำหนัดในกาม นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๑. ให้ทานใน
    ปุถุชนผู้มีศีล นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๒. ให้ทานในปุถุชน
    ผู้ทุศีล นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๓ ให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน
    นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๔.

    -----พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 394---

    [๗๑๑] ดูก่อนอานนท์ ใน ๑๔ ประการนั้น บุคคลให้ทานในสัตว์
    เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผล
    ทักษิณาได้พันเท่า ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า.
    ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้
    แสนโกฏิเท่า. ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผล
    ทักษิณาจะนับไม่ได้ จะประมาณไม่ได้ จะป่วยกล่าวไปไยในพระโสดาบัน
    ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง ในพระสกทาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติ
    เพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง ในพระอนาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผล
    ให้แจ้ง ในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ในปัจเจกสัมพุทธะ และใน
    ตถาคตอรหันต์ สัมมาสัมพุทธเจ้า.
    [๗๑๒] ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์มี ๗ อย่าง คือ ให้
    ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์
    ประการที่ ๑. ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว เป็น
    ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว นี้เป็น
    ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๒. ให้ทานในภิกษุสงฆ์ นี้เป็นทักษิณาที่
    ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๓. ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้ว
    ในสงฆ์ประการที่ ๔. เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวน
    เท่านี้ ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้าแล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์
    ประการที่ ๕. เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่
    ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๖. เผดียงสงฆ์
    ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน
    เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๗.

    ---พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 395---

    [๗๑๓] ดูก่อนอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู
    มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล มีธรรมลามก คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะ
    สงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น ดูก่อนอานนท์ ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ใน
    เวลานั้นเราก็กล่าวว่า มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แต่ว่าเราไม่กล่าวปาฏิปุค-
    คลิกทานว่ามีผลมากกว่าทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไร ๆ เลย
    [๗๑๔] ดูก่อนอานนท์ ก็ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณานี้มี ๔ อย่าง. ๔
    อย่าง เป็นไฉน. ดูก่อนอานนท์ ทักษิณาบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์
    ฝ่ายปฏิคาหก บางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก บางอย่างฝ่าย
    ทายกก็ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหกก็ไม่บริสุทธิ์ บางอย่างบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกและ
    ฝ่ายปฏิคาหก.
    [๗๑๕] ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทาหก ไม่บริสุทธิ์
    ฝ่ายปฏิคาหกอย่างไร ดูก่อนอานนท์ ในข้อนี้ ทายกมีศีล มีธรรมงาม ปฏิ-
    คาหกเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก อย่างนี้แล ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก
    ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก.
    [๗๑๖] ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่
    บริสุทธิ์ฝ่ายทายกอย่างไร. ดูก่อนอานนท์ ในข้อนี้ ทายกเป็นผู้ทุศีล มีธรรม
    ลามก ปฏิคาหกเป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม อย่างนี้แล ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่าย
    ปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก.
    [๗๑๗] ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาชื่อว่าฝ่ายทายกก็ไม่บริสุทธิ์ ฝ่าย
    ปฏิคาหกก็ไม่บริสุทธิ์อย่างไร. ดูก่อนอานนท์ ในข้อนี้ ทายกก็เป็นผู้ทุศีล มี
    ธรรมลามก ปฏิคาหกก็เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก อย่างนี้แล ทักษิณาชื่อว่า
    ฝ่ายทายกก็ไม่บริสุทธิ์ ฝ่ายปฏิคาหกก็ไม่บริสุทธิ์.

    ---พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 396----

    [๗๑๘] ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก และฝ่าย
    ปฏิคาหกอย่างไร. ดูก่อนอานนท์ในข้อนี้ ทายกก็เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม
    ปฏิคาหกก็เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม อย่างนี้แล ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งฝ่าย
    ทายกและฝ่ายปฏิคาหก.
    ดูก่อนอานนท์ นี้แล ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา ๔ อย่าง.
    [๗๑๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้
    แล้วได้ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ ต่อไปอีกว่า
    (๑) ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม
    มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลแห่งธรรม
    อย่างยิ่ง ให้ทานในคนทุศีล ทักษิณาของ
    ผู้นั้น ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก.
    (๒) ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่
    เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมไสไม่เชื่อธรรม
    และผลของธรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคน
    มีศีล ทักษิณาของผู้นั้นชื่อว่า บริสุทธิ์ฝ่าย
    ปฏิคาหก.
    (๓) ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่
    เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใสไม่เชื่อกรรม
    และผลของธรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคน
    ทุศีล เราไม่กล่าวทานของผู้นั้นว่า มีผล
    ไพบูลย์.

    ---พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 397---

    (๔) ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม
    มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรม
    อย่างยิ่ง ให้ทานในคนมีศีล เรากล่าว
    ทานของผู้นั้นแลว่า มีผลไพบูลย์.
    (๕) ผู้ใดปราศจากราคะแล้ว ได้
    ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อ
    กรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทาน
    ในผู้ปราศจากราคะ ทานของผู้นั้นนั่นแล
    เลิศกว่าอามิสทานทั้งหลาย.
    จบ ทักขิณาวิภังคสูตร ที่ ๑๒
    จบ วิภังควรรค ที่ ๔

    ---พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 398----

    อรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตร
    ทักขิณาวิภังคสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
    ในทักขิณาวิภังคสูตรนั้น บทว่า มหาปชาปตี โคตมี ได้แก่
    พระโคตรว่า โคตมี. ก็ในวันขนานพระนาม พราหมณ์ทั้งหลายได้รับสักการะ
    แล้ว เห็นพระลักษณสมบัติของพระนางแล้ว ได้พยากรณ์ว่า ถ้าพระนางนี้
    จักได้พระธิดา พระธิดาจักเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าจักได้พระ
    โอรส พระโอรสจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระปชาของพระนาง จักเป็น
    ผู้ยิ่งใหญ่ โดยประการแม้ทั้งสองนั้นเทียว ดังนี้. พระญาติทั้งหลายจึงได้
    ขนานพระนามของพระนางว่า ปชาบดี ด้วยประการฉะนี้. แต่ในสูตรนี้
    ท่านรวมเอาพระโคตรด้วย จึงกล่าวว่า มหาปชาบดีโคตมี. บทว่า
    นวํ ได้แก่ ใหม่. บทว่า สามํ วายิตํ คือทรงทอเองด้วยพระหัตถ์. ก็ใน
    วันนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมี อันหมู่พระพี่เลี้ยงนางนม แวดล้อมแล้ว
    เสด็จมาสู่โรงงานทอผ้าของศิลปินทั้งหลาย ทรงจับปลายกระสวย ได้ทรงทำ
    อาการแห่งการทอผ้า. คำนั้น ท่านกล่าวหมายถึงการทอผ้านั้น. ถามว่า พระ
    นางโคตมีทรงเกิดพระทัย เพื่อถวายผ้าคู่หนึ่ง แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในกาล
    ไหน. ตอบว่า ในกาลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้ว
    เสด็จมาสู่กรุงกบิลพัสดุ์ โดยการเสด็จครั้งแรก. จริงอย่างนั้น พระเจ้าสุทโธทน-
    มหาราชทรงพาพระศาสดาซึ่งเสด็จบิณฑบาต ให้เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ของ
    พระองค์. ครั้งนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงเห็นพระรูปโสภาของพระ
    ผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทรงพระดำริว่า พระอัตภาพของบุตรเรางดงามหนอ
    ดังนี้ . ลำดับนั้น พระนางก็เกิดพระโสมนัสเป็นกำลัง. แต่นั้น ทรงพระดำริว่า

    ------พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 399----

    เมื่อบุตรของเราอยู่ในท่ามกลางวัง ตลอด ๒๙ ปี วัตถุที่เราให้แล้วโดยที่สุด
    แม้สักว่าผลกล้วยนั้นเทียว ไม่มีเลย แม้บัดนี้เราจักถวายผ้าจีวรแก่บุตรนั้น.
    ทรงยังพระหฤทัยให้เกิดขึ้นว่า ก็ในกรุงราชคฤห์นี้มีผ้าราคาแพงมาก ผ้าเหล่า-
    นั้น ย่อมไม่ยังเราให้ดีใจ ผ้าที่เราทำเองนั้นแล ย่อมยังเราให้ดีใจได้ เราจำจะ
    ต้องทำผ้าเองถวาย ดังนี้.
    ครั้งนั้น พระนางทรงให้นำฝ้ายมาจากตลาด ทรงขยำทรงยีด้วย
    พระหัตถ์ กรอด้ายอย่างละเอียด ทรงให้สร้างโรงงานทอผ้าในภายในพระราช-
    วังนั้นเทียว ทรงให้เรียกช่างศิลป์ทั้งหลาย พระราชทานเครื่องบริโภค ขาทนียะ
    และโภชนียะ ของพระองค์นั้นแลให้แก่ช่างศิลป์ทั้งหลายแล้วทรงให้ทอผ้า.
    ก็พระนางอันคณะพระพี่เลี้ยงนางนม แวดล้อมแล้ว เสด็จไปจับปลายกระสวย
    ตามสมควรแก่กาลเวลา. ในกาลที่ผ้านั้นทอเสร็จแล้ว ทรงทำการสักการะใหญ่
    แก่ช่างศิลป์ทั้งหลายแล้ว ทรงใส่ผ้าคู่หนึ่งในหีบอันมีกลิ่นหอม ทรงให้ถือผ้า
    ทูลแด่พระราชาว่า หม่อมฉันจักถือผ้าจีวรไปถวายแก่บุตรเรา. พระราชาตรัส
    สั่งให้เตรียมทางเสด็จ. ราชบริวารทั้งหลายปัดกวาดถนน ตั้งหม้อน้ำเต็ม
    ยกธงผ้าทั้งหลาย ตกแต่งทางตั้งแต่พระทวารพระราชวัง จนถึงพระวิหาร
    นิโครธาราม ทำทางให้เกลื่อนกล่นด้วยดอกไม้. ฝ่ายพระนางมหาปชาบดีทรง
    ประดับเครื่องอลังการทุกอย่าง ผู้อันคณะพระพี่เลี้ยงนางนมแวดล้อมแล้ว
    ทรงทูลหีบผ้า เสด็จไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว กราบทูลว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าใหม่คู่นี้เป็นของหม่อมฉัน ดังนี้เป็นต้น บทว่า
    ทุติยมฺปิ ความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโคตมี พระนาง
    จงถวายสงฆ์เถิด พระนางมหาปชาบดีโคตมีได้กราบทูลอ้อนวอนว่า ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันอาจเพื่อถวายผ้าจีวรทั้งหลายจากคลังผ้าแก่ภิกษุ
    ร้อยรูปบ้าง พันรูปบ้าง ก็ผ้าใหม่คู่นี้หม่อมฉันกรอด้ายเอง ทอเอง ตั้งใจอุทิศ

    ----พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 400---

    พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดรับผ้า
    ใหม่คู่นั้นของหม่อมฉันเถิด. พระนางกราบทูลอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง. แม้พระผู้มี
    พระภาคเจ้าก็ตรัสห้ามอย่างนั้นเทียว. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระ-
    ภาคเจ้าจึงทรงให้ถวายผ้าใหม่คู่ที่พระนางจะถวายแด่พระองค์ แก่พระภิกษุสงฆ์
    เล่า. ตอบว่า เพราะเพื่อทรงอนุเคราะห์พระมารดา. ก็ได้ยินว่า พระผู้มี
    พระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระดำริว่า เจตนา ๓ อย่างคือ บุพเจตนา
    มุญจนเจตนา อปราปรเจตนา ของพระนางมหาปชาบดีนี้ เกิดขึ้นปรารภเรา
    แล้ว จงเกิดขึ้นปรารภพระภิกษุสงฆ์บ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจตนาทั้ง ๖ อย่าง
    ก็จะรวมเป็นอันเดียวกัน จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ตลอด
    กาลนานแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมีนั้น ดังนี้. ฝ่ายวิตัณฑวาที (ผู้พูดให้
    หลงเชื่อ) กล่าวว่า ทานที่ถวายสงฆ์มีผลมาก. พึงท้วงติงวิตัณฑวาทีนั้น ว่า
    เพราะเหตุไรจึงกล่าวอย่างนั้น ท่านย่อมกล่าวถึงทานที่ถวายสงฆ์ มีผลมากกว่า
    ทานที่ถวายแก่พระศาสดาหรือ. เออขอรับ เรากล่าว. ท่านจงอ้างพระสูตรมา.
    ท่านวิตัณฑวาทีอ้างพระสูตรว่า ดูก่อนโคตมี พระนางถวายสงฆ์เถิด เมื่อ
    ถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นอันพระนางได้บูชาทั้งอาตมภาพและสงฆ์. ก็พระสูตรนี้
    มีเนื้อความเพียงเท่านี้หรือ. เออ เพียงเท่านี้. ผิว่าเป็นเช่นนั้น ทานที่ให้แก่
    คนกินเดนทั้งหลายก็พึงมีผลมาก ตามพระดำรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้น
    เธอจงให้ขนมแก่คนกินเดนทั้งหลาย และว่า ดูก่อนกัจจานะ ถ้าอย่างนั้น เธอ
    จงให้งบน้ำอ้อยแก่คนกินเดนทั้งหลาย ดังนี้. ก็เมื่อเป็นอย่างนั้น พระศาสดา
    จึงทรงยังผ้าที่จะถวายพระองค์ให้ถึงสงฆ์แล้ว ดังนี้. ก็ชนทั้งหลายแม้มีพระราชา
    และมหาอำมาตย์ของพระราชาเป็นต้น ย่อมสั่งให้บรรณาการที่นำมาเพื่อ
    ให้แก่ชนทั้งหลายมีตนเลี้ยงช้างเป็นต้น ชนเหล่านั้นก็พึงใหญ่กว่าพระราชา
    เป็นต้น. จริงอยู่ ทักขิไณยบุคคลที่ยอดเยี่ยมกว่าพระศาสดาไม่มี ตามพระ-

    ---พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 401----

    บาลีว่า เพราะฉะนั้น ท่านอย่าถืออย่างนั้น ทักขิไณยบุคคลที่ถึงความเป็น
    ผู้เลิศแห่งอาหุไนยบุคคลทั้งหลาย ผู้ต้องการบุญ แสวงผลไพบูลย์ที่ประเสริฐ
    ที่สุด เช่นกับ พระพุทธเจ้าไม่มีในโลกนี้ หรือในโลกอื่น. พระเจตนา ๖ ประการ
    ของพระนางมหาปชาบดีโคตมี นั้นรวมเข้ากันแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกุล
    เพื่อความสุข ตลอดกาลนานอย่างนี้.
    ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายแก่สงฆ์
    ทรงมุ่งหมายอะไร. ตรัสอย่างนั้น เพื่อชนรุ่นหลัง และเพื่อทรงให้เกิดความ
    ยำเกรงในสงฆ์ด้วย. นัยว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า เราไม่
    ดำรงอยู่นาน แต่ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ในพระภิกษุสงฆ์ ชนรุ่นหลังจงยังความ
    ยำเกรงในสงฆ์ให้เกิดขึ้น ดังนี้ จึงทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายสงฆ์
    ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดาจึงทรงให้ถวายผ้าใหม่คู่หนึ่ง แม้ที่พระนางจะ
    ถวายแด่พระองค์ให้แก่สงฆ์ ทักขิไณยบุคคลชื่อว่า สงฆ์ เพราะฉะนั้น ชน
    รุ่นหลังยังความยำเกรงให้เกิดขึ้นในสงฆ์ จักสำคัญปัจจัยสี่เป็นสิ่งพึงถวายสงฆ์
    เมื่อไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ จักเรียนพระพุทธวจนะทำสมณธรรม เมื่อเป็นอย่าง
    นั้น ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ดังนี้. ก็คำว่า ธรรมดา ทักขิไณย
    บุคคลที่ยอดเยี่ยมกว่าพระศาสดาไม่มีนั้น ควรกล่าวแม้โดยคำว่า ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดรับเถิด ดังนี้ ก็พระอานนทเถระไม่มี
    ความอาฆาต หรือเวรในพระนางมหาปชาบดี ทั้งพระเถระไม่ต้องการว่า
    ทักขิณาของพระนางอย่าได้มีผลมาก. จริงอยู่ พระเถระเป็นบัณฑิต พหูสูต
    บรรลุเสกขปฏิปทา พระเถระนั้น เมื่อเห็นความที่ผ้าใหม่คู่หนึ่งที่พระนางถวาย
    พระศาสดานั้นมีผลมาก จึงกราบทูลขอเพื่อทรงรับว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดรับเถิด ดังนี้. วิตัณฑวาทีกล่าวอีกว่า พระศาสดา

    ---พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 402----

    ทรงนับเนื่องกับสงฆ์ เพราะพระดำรัสว่า เมื่อถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นอัน
    พระนางได้บูชาทั้งอาตมภาพและสงฆ์ดังนี้. วิตัณฑวาทีนั้น ควรถูกท้วงติงว่า
    ก็ท่านรู้หรือว่า สรณะมีเท่าไร ความเลื่อมใสแน่นแฟ้นมีเท่าไร. วิตัณฑวาที
    เมื่อรู้ ก็จะกล่าวว่า สรณะมี ๓ ความเลื่อมใสแน่นแฟ้นมี ๓. แต่นั้น ก็ควรถูก
    กล่าวว่า ตามลัทธิของท่านสรณะก็คงมี ๒ อย่างเท่านั้น เพราะความที่พระ
    ศาสดานับเนื่องกับสงฆ์. เมื่อเป็นอย่างนั้น บรรพชาที่ทรงอนุญาตอย่างนี้ว่า
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบรรพชาอุปสมบท ด้วยไตรสรณคมน์ ดังนี้
    แม้อุปสมบทก็ไม่เจริญขึ้น. แต่นั้น ท่านก็จะไม่เป็นบรรพชิต คงเป็นคฤหัสถ์.
    ครั้นแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่ง ณ พระคันธกุฎี ภิกษุทั้งหลายกระทำ
    อุโบสถบ้าง ปวารณาบ้าง สังฆกรรมทั้งหลายบ้าง กรรมเหล่านั้นก็พึงกำเริบ
    เพราะความที่พระศาสดาทรงนับเนื่องกับสงฆ์ และจะไม่มี. เพราะฉะนั้นจึง
    ไม่ควรกล่าวคำนี้ว่า พระศาสดาทรงนับเนื่องกับสงฆ์. บทว่า อาปาทิตา
    ได้แก่ ทรงให้เจริญพร้อมแล้ว อธิบายว่า ครั้น พระหัตถ์และพระบาทของ
    พระองค์ไม่ยังกิจด้วยพระหัตถ์และพระบาทให้สำเร็จ พระนางก็ทรงให้พระหัตถ์
    และพระบาทให้เจริญปรนปฏิบัติ. บทว่า โปสิกา ความว่า พระนางทรงเลี้ยง
    พระองค์ โดยให้อาบน้ำ ทรงให้เสวย ทรงให้ดื่ม วันละ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง.
    บทว่า ถญฺญํ ปาเยสิ ความว่า ได้ยินว่า นันทกุมารโพธิสัตว์ ทรงเป็นหนุ่ม
    เพียงสอง - สามวันเท่านั้น ครั้น เมื่อนันทกุมารประสูติแล้ว พระนางมหาปชาบดี
    ทรงไห้พระโอรสของพระองค์ ให้แก่พระพี่เลี้ยงนางนม พระองค์เองให้หน้าที่
    นางนมให้สำเร็จ ประทานพระขีรรสแด่พระโพธิสัตว์ พระเถระหมายถึงการ
    ประทานพระขีรรสนั้น จึงกราบทูลอย่างนี้.
    พระเถระครั้นแสดงความที่พระนางมหาปชาบดีทรงมีพระอุปการะมาก
    ด้วยประการฉะนั้นแล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงความที่พระตถาคตทรงมีพระอุปการ

    ---พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 403---

    มาก จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้
    เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภควนฺตํ อาคมฺม คือ ทรงอาศัย คือ
    ทรงพึ่งพา ทรงมุ่งหมายพระผู้มีพระภาคเจ้า. ลำดับ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
    เมื่อจะทรงอนุโมทนาถึงพระอุปการะยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในพระอุปการะทั้งสอง จึง
    ตรัสว่า ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ หานนฺท
    ปุคฺคโล ปุคฺคลํ อาคมฺม ความว่า บุคคลผู้อันเตวาสิกอาศัยบุคคลผู้อาจารย์
    ใด. บทว่า อิมสฺสานนฺท ปุคฺคลสฺส อิมินา ปุคฺคเลน ความว่า บุคคล
    ผู้อันเตวาสิกนี้ตอบแทนต่อบุคคลผู้อาจารย์นี้. บทว่า น สุปฏิการํ วทามิ
    ความว่า เราไม่กล่าวการตอบแทนอุปการะเป็นการทำด้วยดี. ในกรรมทั้งหลาย
    มีการอภิวาทนะเป็นต้น การเห็นอาจารย์แล้วทำการกราบไหว้ ชื่อว่า
    อภิวาทนะ ได้แก่ เมื่อจะสำเร็จอิริยาบถทั้งหลาย ผินหน้าไปทางทิศาภาคที่
    อาจารย์อยู่ ไหว้แล้วเดิน ไหว้แล้วยืน ไหว้แล้วนั่ง ไหว้แล้วนอน ส่วน
    การเห็นอาจารย์แต่ที่ไกลแล้ว ลุกขึ้นทำการต้อนรับ ชื่อว่า ปัจจุฏฐานะ. ก็
    กรรมนี้คือ เห็นอาจารย์แล้ว ประคองอัญชลีไว้เหนือศีรษะ นมัสการอาจารย์
    หรือแม้ผินหน้าไปทางทิศาภาคที่อาจารย์นั้นอยู่ นมัสการอย่างนั้นแล เดินไป
    ก็ดี ยืนก็ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี ประคองอัญชลีแล้วนมัสการนั้นเทียว ชื่อว่า
    อัญชลีกรรม. การทำกรรมอันสมควร ชื่อว่า สามีจิกรรม. ในวัตถุทั้งหลาย
    มีจีวรเป็นต้น เมื่อจะถวายจีวร ไม่ถวายตามมีตามเกิด. ถวายจีวรอันมีค่ามาก
    มีมูลค่า ๑๐๐ บ้าง ๒๐๐ บ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง. ในวัตถุทั้งหลายแม้มีบิณฑบาต
    เป็นต้น มีนัยนี้เหมือนกัน . ด้วยปัจจัยมากอย่างไร. แม้เมื่อยังระหว่างจักรวาล
    ให้เต็มด้วยปัจจัยอันประณีต ๔ ถือเอายอดเท่าสิเนรุบรรพตถวาย ย่อมไม่อาจ
    เพื่อทำกิริยาที่สมควรแก่อาจารย์เลย.

    ---พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 404---

    เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภว่า ก็ทักขิณา ๑๔
    นี้แล. สูตรนี้เกิดขึ้นปรารภทักขิณาเป็นปาฏิบุคคลิก. ฝ่ายพระอานนทเถระถือ
    ทักขิณาเป็นปาฏิบุคคลิกอย่างเดียวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระ-
    ภาคเจ้าโปรดรับ ดังนี้. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภเทศนี้ เพื่อทรง
    แสดงว่า ทานที่บุคคลให้แล้ว ในฐานะสิบสี่ชื่อว่า เป็นปาฏิบุคคลิก. บทว่า
    อยํ ปฐมา ความว่า ทักขิณานี้ประการที่ ๑ ด้วยอำนาจคุณบ้าง ด้วยอำนาจ
    เป็นทักขิณาเจริญที่สุดบ้าง จริงอยู่ ทักขิณานี้ ที่หนึ่งคือ ประเสริฐ ได้แก่
    เจริญที่สุด ชื่อว่า ประมาณแห่งทักขิณานี้ ไม่มี. ทักขิณาแม้ประการที่ ๒๓
    เป็นทักขิณาอย่างยิ่งเหมือนกัน. ทักขิณาทั้งหลายที่เหลือ ย่อมไม่ถึงความเป็น
    ทักขิณาอย่างยิ่งได้. บทว่า พาหิรเก กาเมสุ วีตราเค ได้แก่ ผู้กัมมวาที
    ผู้กิริยวาที ผู้มีอภิญญา ๕ อันเป็นโลกิยะ. บทว่า ปุถุชฺชนสีลวา ความว่า
    ปุถุชนผู้มีศีล โดยชื่อเป็นผู้มีศีลเป็นพื้นไม่โอ้อวด ไม่มีมายา ไม่เบียดเบียน
    คนอื่น สำเร็จชีวิตด้วยกสิกรรมหรือพาณิชกรรม โดยธรรม โดยชอบ. บทว่า
    ปุถุชฺชนทุสฺสีเล ความว่าบุคคลทั้งหลายมีนายเกวัฏฏะ และผู้จับปลาเป็นต้น
    ชื่อว่า ปุถุชนผู้ทุศีล. เลี้ยงชีวิต ด้วยการเบียดเบียนสัตว์อื่น.
    บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงกำหนดวิบากของทักขิณา เป็น
    ปาฏิบุคคลิก จึงตรัสว่า ตตฺรานนฺท เป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า
    ติรจฺฉานคเต ความว่า ทานใดที่บุคคลให้แล้ว เพื่อเลี้ยงด้วยอำนาจแห่งคุณ
    ด้วยอำนาจแห่งอุปการะ ทานนี้ไม่ถือเอา. ทานแม้ใดสักว่าข้าวคำหนึ่งหรือ
    ครึ่งคำอันบุคคลให้แล้ว ทานแม้นั้น ไม่ถือเอาแล้ว. ส่วนทานใดอันบุคคล
    หวังผลแล้วให้ตามความต้องการแก่สัตว์ทั้งหลายมีสุนัข สุกร ไก่ และกาเป็นนี้
    ตัวใดตัวหนึ่งที่มาถึง ทรงหมายถึงทานนี้ จึงตรัสว่า ให้ทานในสัตว์ดิรัจฉาน

    ---พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 405---

    ดังนี้. บทว่า สตคุณา ได้แก่มีอานิสงส์ร้อยเท่า. บทว่า ปาฏิกงฺขิตพฺพา
    คือ พึงปรารถนา. มีอธิบายว่า ทักขิณานี้ย่อมให้อานิสงส์ห้าร้อยเท่า คือ
    อายุร้อยเท่า วรรณะร้อยเท่า สุขร้อยเท่า พละร้อยเท่า ปฏิภาณร้อยเท่า.
    ทักขิณาให้อายุในร้อยอัตภาพ ชื่อว่า อายุร้อยเท่า ให้วรรณะในร้อยอัตภาพ
    ชื่อว่า วรรณะร้อยเท่า ให้สุขในร้อยอัตภาพ ชื่อว่า สุขร้อยเท่า ให้พละใน
    ร้อยอัตภาพ ชื่อว่า พละร้อยเท่า ให้ปฏิภาณ ทำความไม่สะดุ้งในร้อย-
    อัตภาพ ชื่อว่า ปฏิภาณร้อยเท่า. แม้ในภพร้อยเท่าที่กล่าวแล้ว ก็มีเนื้อความ
    อย่างนี้แล. พึงทราบนัยทุกบท ด้วยทำนองนี้. ในบทนี้ว่า ผู้ปฏิบัติ เพื่อทำ
    ให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล แม้อุบาสกผู้ถึงไตรสรณะโดยที่สุดเบื้องต่ำ ชื่อว่า
    ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล. แม้ทานที่ให้ในอุบาสก ผู้ปฏิบัติเพื่อทำ
    ให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลนั้น นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้. ส่วนทานที่ให้แก่บุคคล
    ผู้ตั้งอยู่ในศีลห้า มีผลมากกว่านั้น ทานที่ให้แก่บุคคลผู้ตั้งอยู่ในศิลสิบ มีผล
    มากกว่านั้นอีก. ทานที่ถวายแก่สามเณรที่บวชในวันนั้น มีผลมากกว่านั้น ทาน
    ที่ถวายแก่ภิกษุผู้อุปสมบท มีผลมากกว่านั้น ทานที่ถวายแก่ภิกษุผู้อุปสมบท
    นั้นแล ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรมีผลมากกว่านั้น ทานให้แก่ผู้ปรารภวิปัสสนา มี
    ผลมากกว่านั้น. ก็สำหรับผู้มรรคสมังคีโดยที่สุดชั้นสูง ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง
    ซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่า ปฏิบัติแล้ว. ทานที่ให้แก่บุคคลนั้น มีผลมากกว่า
    นั้นอีก ถามว่า ก็อาจเพื่อให้ทานแก่ภิกษุผู้มรรคสมังคี หรือ. ตอบว่า เออ
    อาจเพื่อให้. ก็ภิกษุผู้ปรารภวิปัสสนา ถือบาตรและจีวร เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต
    เมื่อภิกษุผู้มรรคสมังคีนั้น ยืนที่ประตูบ้าน ชนทั้งหลายรับบาตรจากมือก็ใส่
    ขาทนียะและโภชนียะ. การออกจากมรรคของภิกษุย่อมมีในขณะนั้น.
    ทานนี้ชื่อว่า เป็นอันให้แล้วแก่ภิกษุผู้มรรคสมังคี. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุ
    นั้นนั่ง ณ โรงฉัน. มนุษย์ทั้งหลายไปแล้ววางขาทนียะ โภชนียะในบาตร.

    ----พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 406---

    การออกจากมรรคของภิกษุนั้น ย่อมมีในขณะนั้น. ทานแม้นี้ ชื่อว่าให้แล้ว
    แก่ภิกษุผู้มรรคสมังคี. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุนั้นนั่ง ณ วิหาร หรือ โรงฉัน
    อุบาสกทั้งหลายถือบาตรไปสู่เรือนของตนแล้ว ใส่ขาทนียะและโภชนียะ. การ
    ออกจากมรรคของภิกษุนั้น ย่อมมีในขณะนั้น . ทานแม้นี้ ชื่อว่าให้แล้วแก่ภิกษุ
    ผู้มรรคสมังคี. พึงทราบความที่ทานอันบุคคลให้แล้วแก่ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง
    ซึ่งโสดาปัตติผลนั้น เหมือนน้ำในลำรางไม่อาจนับได้ฉะนั้น. พึงทราบความที่
    ทานอันบุคคลให้แล้วในบุคคลทั้งหลาย มีพระโสดาบันเป็นต้น ดุจน้ำในมหา-
    สมุทรแล ในบรรดามหานทีนั้น ๆ เป็นอันนับไม่ได้. พึงแสดงเนื้อความนี้
    แม้โดยความที่ทำฝุ่นในสถานสักว่าลานข้าวแห่งแผ่นดินเป็นต้น จนถึงฝุ่นทั้ง
    แผ่นดิน อันประมาณไม่ได้.
    เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภว่า ก็ทักขิณา ๗ อย่างนี้.
    ทรงปรารภเทศนานี้ ที่ตรัสว่า ดูก่อนโคตมี พระนางจงถวายสงฆ์เถิด เมื่อ
    ถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นอันพระนางได้บูชาทั้งอาตมาภาพและสงฆ์ เพื่อทรง
    แสดงว่า ทานที่ให้ในฐานะ ๗ นั้น เป็นอันชื่อว่าถวายสงฆ์แล้ว. บรรดาบท
    เหล่านั้น บทว่า พุทฺธปฺปมุเข อุภโตสงฺเฆ ความว่า สงฆ์นี้คือ ภิกษุสงฆ์
    ฝ่ายหนึ่ง ภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายหนึ่ง พระศาสดาประทับนั่ง ณ ท่ามกลาง ชื่อว่า
    สงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. บทว่า อยํ ปฐมา ความว่า ชื่อว่า
    ทักขิณา มีประมาณเสมอด้วยทักขิณานี้ไม่มี. ก็ทักขิณาทั้งหลายมีทักขิณาที่สอง
    เป็นต้น ย่อมไม่ถึงทักขิณาแม้นั้น. ถามว่า ก็เมือพระตถาคตปรินิพพานแล้ว
    อาจเพื่อถวายทานแด่พระสงฆ์ ๒ ฝ่ายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขหรือ. ตอบว่า
    อาจ. อย่างไร. ก็พึงตั้งพระพุทธรูปที่มีพระธาตุในฐานะประมุขของสงฆ์ ๒ ฝ่าย
    ในอาสนะ วางตั้ง ถวายวัตถุทั้งหมดมีทักขิโณทกเป็นต้นแด่พระศาสดาก่อนแล้ว
    ถวายแด่พระสงฆ์ ๒ ฝ่าย. ทานเป็นอันชื่อว่าถวายสงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้า

    -----พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 407---

    เป็นประมุข ด้วยประการฉะนี้. ถามว่า ในพระสงฆ์ ๒ ฝ่ายนั้น ทานใด
    ถวายพระศาสดา ทานนั้นพึงทำอย่างไร. ตอบว่า พึงถวายภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วย
    วัตร ผู้ปฏิบัติพระศาสดา ด้วยว่า ทรัพย์อันเป็นของบิดาย่อมถึงแก่บุตร
    แม้การถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ ก็ควร. ก็ถือเนยใสและน้ำมัน พึงตามประทีป
    ถือผ้าสาฏกพึงยกธงปฏาก. บทว่า ภิกฺขุสงฺเฆ ได้แก่ ภิกษุสงฆ์ส่วนมากยัง
    ไม่ขาดสาย. แม้ในภิกษุณีสงฆ์ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า โคตฺรภุโน ได้แก่
    เสวยสักว่า โคตรเท่านั้น อธิบายว่า เป็นสมณะแต่ชื่อ. บทว่า กาสาวกณฺฐา
    คือผู้มีชื่อว่ามีผ้ากาสาวะพันคอ. ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นพันผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง
    ที่มือ หรือที่คอเที่ยวไป. ก็ประตูบ้าน แม้กรรมมีบุตรภริยากสิกรรมและ
    วณิชกรรม เป็นต้นทั้งหลาย ของภิกษุผู้ทุศีลเหล่านั้น ก็จักเป็นปกติเทียว.
    ไม่ได้ตรัสว่า สงฆ์ทุศีล ในบทนี้ว่า คนทั้งหลายจักถวายทาน เฉพาะสงฆ์ได้
    ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น จริงอยู่ สงฆ์ชื่อว่าทุศีลไม่มี แต่อุบาสกทั้งหลายชื่อว่า
    ทุศีล จักถวายทานด้วยคิดว่า เราจักถวายเฉพาะสงฆ์ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น
    แม้ทักขิณาที่ถวายสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข อันพระผู้มีพระภาค-
    เจ้าตรัสว่า มีผลนับไม่ได้ ด้วยการนับคุณ ด้วยประการฉะนี้. แม้ทักขิณาที่
    ให้ในสงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอ ตรัสว่ามีผลนับไม่ได้ ด้วยการนับคุณ
    เหมือนกัน. ก็ทักขิณาที่ถึงสงฆ์ย่อมมีแก่บุคคลผู้อาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์
    แต่ความยำเกรงในสงฆ์ ทำได้ยาก. ก็บุคคลได้เตรียมไทยธรรมด้วยคิดว่า
    เราจักให้ทักขิณาถึงสงฆ์ ไปวิหารแล้วเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจง
    ให้พระเถระรูปหนึ่งเจาะจงสงฆ์เถิด. ลำดับนั้น ได้สามเณรจากสงฆ์ย่อมถึง
    ความเป็นประการอื่นว่า เราได้สามเณรแล้ว ดังนี้. ทักขิณาของบุคคลนั้น
    ย่อมไม่ถึงสงฆ์. เมื่อได้พระมหาเถระแม้เกิดความโสมนัสว่า เราได้มหาเถระ
    แล้ว ดังนี้ ทักขิณาก็ไม่ถึงสงฆ์เหมือนกัน. ส่วนบุคคลใดได้สามเณร ผู้อุป-


    สมบทแล้ว ภิกษุหนุ่ม หรือเถระ ผู้พาลหรือ บัณฑิต รูปใดรูปหนึ่งจาก
    สงฆ์แล้ว ไม่สงสัย ย่อมอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ว่า เราจะถวายสงฆ์.
    ทักขิณาของบุคคลนั้นเป็นอัน ชื่อว่าถึงสงฆ์แล้ว. ได้ยินว่า พวกอุบาสกชาว
    สมุทรฝังโน้น กระทำอย่างนี้. ก็ในอุบาสกเหล่านั้น คนหนึ่งเป็นเจ้าของวัด
    เป็นกุฏุมพี เจาะจงจากสงฆ์ว่า เราจักถวายทักขิณาที่ถึงสงฆ์ จึงเรียนว่า
    ขอท่านจงให้ภิกษุรูปหนึ่ง. อุบาสกนั้น ได้ภิกษุทุศีลรูปหนึ่ง พาไปสู่สถานที่นั่ง
    ปูอาสนะผูกเพดานเบื้องบน บูชาด้วยของหอม ธูป และดอกไม้ ล้างเท้า
    ทาด้วยน้ำมัน ได้ถวายไทยธรรมด้วยความยำเกรงในสงฆ์ ดุจทำความนอบน้อม
    แด่พระพุทธเจ้า. ภิกษุรูปนั้น มาสู่ประตูเรือนว่าท่านจงให้จอบเพื่อประโยชน์
    แก่การปฏิบัติวัดในภายหลังภัต. อุบาสกนั่งเขี่ยจอบด้วยเท้าแล้วให้ว่า จงรับไป.
    มนุษย์ทั้งหลายได้กล่าวกะเขานั้นว่า ท่านได้ทำสักการะแก่ภิกษุนี้แต่เช้าตรู่เทียว
    ไม่อาจเพื่อจะกล่าว บัดนี้ แม้สักว่า อุปจาระ (มรรยาท) ก็ไม่มีนี้ชื่อว่าอะไร
    ดังนี้. อุบาสก กล่าวว่า แนะนาย ความยำเกรงนั้นมีต่อสงฆ์ ไม่มี
    แก่ภิกษุนั้น. ถามว่า ก็ใครย่อมยังทักขิณาที่ถวายสงฆ์ ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะ
    พันคอให้หมดจด. ตอบว่า พระมหาเถระ ๘๐ รูปมีพระสารีบุตรและพระ-
    โมคคัลลานะเป็นต้น ย่อมให้หมดจดได้. อนึ่ง พระเถระทั้งหลายปรินิพพาน
    นานแล้ว พระขีณาสพทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่ตั้งแต่พระเถระเป็นต้น จนถึงทุก
    วันนี้ ย่อมให้หมดจดเหมือนกัน.
    ในบทนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ แต่ว่า เราไม่กล่าวปาฏิบุคคลิก
    ทานว่ามีผลมากกว่าทักขิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไร ๆ เลย

    สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขมีอยู่ สงฆ์ปัจจุบันนี้มีอยู่ สงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้า
    กาสาวะพันคอในอนาคตก็มีอยู่ สงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขไม่พึงนำเข้า
    ไปกับสงฆ์ในปัจจุบันนี้ สงฆ์ในปัจจุบันนี้ก็ไม่พึงนำเข้าไปกับสงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้า

    -----พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 409---

    กาสาวะพันคอในอนาคต พึงกล่าวตามสมัยนั้นเท่านั้น. ก็สมณปุถุชนซึ่งนำไป
    เฉพาะจากสงฆ์ เป็นปาฏิบุคคลิกโสดาบัน เมื่อบุคคลอาจเพื่อทำความยำเกรง
    ในสงฆ์ ทานที่ให้ในสมณะผู้ปุถุชน มีผลมากกว่า. ในคำแม้มีอาทิว่า โสดาบัน
    อันทายกถือเอาเจาะจง เป็นปาฏิบุคคลิกสทาคามี ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. จริงอยู่
    เมื่อบุคคลอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ ให้ทานแม้ในภิกษุทุศีล
    ซึ่งเจาะจงถือเอา มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายในพระขีณาสพนั้น
    แล.
    ก็คำใดที่กล่าวว่า ดูก่อนมหาบพิตร ทานที่ให้แก่ผู้มีศีลแล มีผลมาก
    ทานที่ให้ในผู้ทุศีลหามีผลมากอย่างนั้นไม่ คำนั้นพึงละนัยนี้แล้ว พึงเห็นใน
    จตุกะนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ก็ความบริสุทธิ์แห่งทักขิณานี้มี ๔ อย่าง.
    บทว่า ทายกโต วิสุชฺฌติ ความว่า ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ โดยความมี
    ผลมาก อธิบายว่า เป็นทาน มีผลมาก. บทว่า กลฺยาณธมฺโม ได้แก่ มีสุจิธรรม
    บทว่า ปาปธมฺโม คือมีธรรมอันชั่ว. ก็พึงแสดงพระเวสสันดรมหาราชใน
    บทนี้ว่า ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายทายก. ก็พระเวสสันดรมหาราชนั้น ทรง
    ให้พระโอรสพระธิดาแก่พราหมณ์ชูชกแล้ว ยังแผ่นดินให้หวั่นไหว พึงแสดง
    นายเกวัฏฏะ ผู้อาศัยอยู่ที่ประตูปากน้ำกัลยาณนทีในคำนี้ว่า ทักขิณาบางอย่าง
    บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก. ได้ยินว่า เกวัฏฏะนั้น ได้ถวายบิณฑบาตแก่พระทีฆ-
    โสมเถระถึง ๓ ครั้ง นอนบนเตียงเป็นที่ตายได้กล่าวว่า บิณฑบาตที่ถวายแก่
    พระผู้เป็นเจ้าทีฆโสมเถระ ย่อมยกข้าพเจ้าขึ้น. พึงแสดงถึงพรานผู้อยู่ใน
    วัฑฒมานะในบทว่า เนว ทายกโต นี้. ได้ยินว่า นายพรานนั้นเมื่อให้ทุกขิณา
    อุทิศถึงผู้ตายได้ให้แก่ภิกษุผู้ทุศีลรูปหนึ่งนั้น แลถึง ๓ ครั้ง. ในครั้งที่ ๓ อมนุษย์
    ร้องขึ้นว่า ผู้ทุศีลปล้นฉัน ดังนี้. ในเวลาที่พรานนั้นถวายแก่ภิกษุผู้มีศีลรูป
    หนึ่งมาถึง ผลของทักขิณาก็ถึงแก่เขา. พึงแสดงอสทิสทานในคำนี้ว่า ทักขิณา
    บางอย่างบริสุทธิ์ ฝ่ายทายกเท่านั้น.

    ---พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 410---

    ในคำว่า ทักขิณานั้นบริสุทธิ์ฝ่ายทายกนี้ พึงทราบความบริสุทธิ์แห่ง
    ทานในบททั้งปวง โดยทำนองนี้ว่า ชาวนาผู้ฉลาดได้นาแม้ไม่ดี ไถในสมัย
    กำจัดฝุ่น ปลูกพืชที่มีสาระ ดูแลตลอดคืนวัน เมื่อไม่ถึงความประมาท ย่อมได้
    ข้าวดีกว่านาที่ไม่ดูแลของคนอื่น ชื่อฉันใด ผู้มีศีลแม้ให้ทานแก่ผู้ทุศีลย่อมได้ผล
    มากฉันนั้น. ในบทว่า วีตราโค วีตราเคสุ พระอนาคามี ชื่อว่า ปราศ
    จากราคะ ส่วนพระอรหันที่เป็นผู้ปราศจากราคะโดยสิ้นเชิงทีเดียว เพราะฉะนั้น
    ทานที่พระอรหันต์ให้แก่พระอรหันต์นั่นแหละ เป็นทานอันเลิศ. เพราะเหตุไร.
    เพราะไม่มีความปรารถนาภพของผู้อาลัยในภพ. ถามว่า พระขีณาสพย่อมไม่
    เชื่อผลทานมิใช่หรือ. ตอบว่า บุคคลทั้งหลายเธอผลทาน ที่เป็นเช่นกับพระ-
    ขีณาสพเทียว ไม่มี ก็กรรมที่พระขีณาสพทำแล้ว ไม่เป็นกุศล หรืออกุศล
    เพราะเป็นผู้ปราศจากฉันทราคะแล้ว ย่อมตั้งอยู่ในฐานกิริยา ด้วยเหตุนั้น
    บัณฑิตทั้งหลายจึงกล่าวว่า ทานของพระขีณาสพนั้นมีผลเลิศ ดังนี้. ถามว่า
    ก็ทานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้แก่พระสารีบุตรเถระมีผลมาก หรือว่าทาน
    ที่พระสารีบุตรเถระถวายแด่พระสัมมมาสัมพุทธเจ้ามีผลมาก. ตอบว่า บัณฑิต
    ทั้งหลายกล่าวว่าทานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้แก่พระสารีบุตรมีผลมาก.
    เพราะเหตุไร. เพราะบุคคลอื่นเว้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าสามารถให้ผล
    ทานให้เกิดขึ้นไม่มี. จริงอย่างนั้น ทานย่อมให้ผลแก่ผู้อาจเพื่อทำด้วยสัมปทา ๔
    ในอัตภาพนั้นแล. สัมปทาในสูตรนี้มีดังนี้ คือความที่ไทยธรรมไม่เบียดเบียน
    ผู้อื่นเกิดขึ้น โดยธรรม โดยชอบ, ความที่เจตนาด้วยอำนาจแห่งบุพเจตนา
    เป็นต้น เป็นธรรมใหญ่, ความเป็นผู้มีคุณอันเลิศยิ่ง โดยความเป็นพระขีณาสพ.
    ความถึงพร้อมด้วยวัตถุ โดยความเป็นผู้ออกแล้ว จากนิโรธในวันนั้น ดังนี้.
    จบอรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตรที่ ๑๒
    จบวรรคที่ ๔
     
  19. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878
    สังฆทานวันนี้เป็น น้ำพริกมะขาม กับ กุ้งหวาน
    ขอท่านทั้งหลายจงรับเอาส่วนบุญเถิด

    [​IMG]

    เอาของออกมาเตรียมก่อน วันนี้ใช้เวลาแกะไปประมาณเกือบ 6 ชั่วโมง ทำไปได้ไงไม่รู้
    มะเขือเมื่อแกะแล้วต้องเอาไปแช่น้ำที่ผสมน้ำมะนาว จะช่วยให้ไม่ดำ
    แต่ถ้าเป็นแอปเปิ้ล สาลี่ อันนี้เมื่อปอกเปลือกแล้วต้องแช่น้ำที่ผสมเกลือ เพื่อไม่ให้ดำ
    ไม่ต้องใส่เกลือมากนะเดี๋ยวเค็ม น้ำ 1 กะละมังเล็กๆ ใส่เกลือสัก 1 ช้อนโต๊ะก็พอ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  20. dhammavoice

    dhammavoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +878

แชร์หน้านี้

Loading...