เเนะนำทวยเทพทั่วโลก (God Around The World)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 24 ธันวาคม 2010.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    god of crist เทวดาในศาสนาคริสต์

    ข้อมูลจากวิกิพีเดีย.....


    ตาม ความเชื่อของผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก นั้นเชื่อว่า เทวดามีหน้าที่ต่างๆกัน โดยท่านเดนิสแห่งอาโรปาไกท์ (Dionysius the Areopagite d.ca. 500) ได้แบ่งลำดับชั้นของเหล่าเทวดาเหล่านี้ไว้ 3 ชั้น(เอก,โท,ตรี)แต่ละชั้นก็มีอีก 3 คณะที่ทำหน้าที่ต่างๆกัน ดังน้น จึงถือว่าเทวดามียศต่างๆกันถึง 9 ลำดับ ซึ่งจาก issara.com เรียกรวมๆว่าเทวัญ เพราะเทวดาก็ถือเป็นชื่อชั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ในบทความนี้จึงเรียกเทวดาว่าเทวัญด้วย

    [​IMG][​IMG]


    คณะเครูบหรือ เชรูบ (Cherubim)

    เทวัญ นี้มีหน้าที่ดูแลและสนับสนุนบัลลังก์แห่งพระเจ้า หรือทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มครองดูแล ปรากฏใน พระคัมภีร์ไบเบิ้ล เอเสเคียล(the book of Ezekiel)ผู้ค้ำจุนบัลลังก์แห่งพระเจ้า และ กองทหารรถศึกของพระเจ้า ปรากฏในพระคัมภีร์ปฐมกาล ในฐานะผู้ดูแลสวนเอเดน และป้องกันไม่ให้มนุษย์กลับมายังสวนอีเดนอีกครั้ง บางครั้งเทวทูตในระดับนี้ก็ปรากฏตัวในรูปแบบของความเมตตากรุณาด้วย ในคติความเชื่อของยิวและคริสต์ เครูบ เป็นเทพระดับถัดมาจากเซราฟิมมี 4 ปีก 4 ใบหน้า ได้แก่ มนุษย์ วัว สิงโต อินทรี โดยปกติจะสวมชุดยาวสีน้ำเงิน ในขณะที่เซราฟิม สวมสีแดง


    [​IMG]

    คณะบัลลังก์ หรือ อาสนเทพ/โอฟานิม(Thrones)

    ตาม นิทานของชาวยิวเทวัญคณะนี้มี 70 ตำแหน่ง คอยปกป้องพระบัลลังก์ของพระเจ้าเทวัญเหล่านี้บางองค์ได้มีส่วนสมคบกันก่อกบฏ ต่อพระเจ้าและได้กลายเป็นปีศาจหรือเทวัญตกสวรรค์ไปก็มี จะเห็นได้ว่าแม้สมาชิกสวรรค์เองก็เห็นผิดเป็นชอบได้เหมือนกัน




    ชั้นโท วงศ์ที่ 2 ประกอบไปด้วย


    [​IMG]

    คณะหัวหน้า (ขัตติยเทพ:Dominations)

    เทวัญ คณะนี้มีหน้าที่คอยจัดสรรและมอบหมายหน้าที่การทำงานให้แก่บรรดาเทวดาต่าง ๆ ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า สัญลักษณ์แห่งอำนาจของพวกเขาคือ คฑาและลูกโลก


    [​IMG]

    คณะคุณธรรม (ธรรมเทพ/ความดี:Virtues)

    ตามนิทานของชาวยิว หน้าที่หลักของเทวัญคณะนี้คือการทำอัศจรรย์ต่าง ๆ ในโลก บทบาทนี้พบได้ในหนังสือกิจการอัครธรรมทูต 1.10


    [​IMG]

    คณะอำนาจ (อิทธิเทพ:powers)

    เทวัญ หมวดนี้มีหน้าที่ดังทหารกล้าคอยต่อสู้กับปีศาจ และคอยปกป้องโลกไม่ให้ตกอยู่ใต้อำนาจของปีศาจ แต่บางครั้งก็พลาดท่าตกเป็นตัวร้ายเสียเองก็มี เช่นที่บันทึกไว้ในจดหมายถึงชาวโรม 8.38-39




    ชั้นเอก วงศ์ที่ 1


    [​IMG]

    คณะปกครอง (ศักดิเทพ:principalities)

    ชื่อ ของเทวัญหมวดนี้มาจากภาษากรีกเก่าซึ่งแปลได้ว่า ผู้ปกครอง (Rulers) หน้าที่ของพวกเขาคือคอยปกป้องศาสนา คอยดลใจบรรดาผู้นำประชาชนให้ตัดสินใจนำผู้อื่นไปในทางที่ถูกต้องในพระ คัมภีร์กล่าวถึงเทวัญ กลุ่มนี้ว่าเกี่ยวข้องกับอำนาจทั้งทางดีและร้าย (อฟ 6.12: 2.22) มีประมุขได้แก่ อนาเอล ฮามิเอล และ Nisroch (ต่อมาได้กลายเป็นเทพตกสวรรค์) ว่ากันว่า ฮามิเอลเป็นผู้มารับประกาศก/ผู้เผยพระวจนะเอโนค (Enoch) พามาสู่สรวงสวรรค์หลังจากที่เอโนคถึงแก่กรรม ทูตสวรรค์องค์อื่น ๆ ในวงศ์นี้ ได้แก่ Cervill (เซอร์วิลล์) มีชื่อว่าเป็นเจ้าชายแห่งความแข็งแรง ผู้ช่วยเหลือกษัตริย์ดาวิดในสงครามที่ปะทะกับ โกลิอัท


    [​IMG]

    คณะอัครเทวดา (หัวหน้าเทพ:Archangels)


    เทวัญ เหล่านี้ถ้าแปลตามตำแหน่งแปลได้ว่าหัวหน้าเทวดา แต่หน้าที่จริง ๆ นั้นไม่มีใครทราบ มีบันทึกถึงบทบาทและ ชื่อ ของอัครเทวดาเหล่านี้ว่ามี เทวดามีคาเอล (ปราบเทวดากบฏอื่น ๆ) เทวดาราฟาเอล (ในหนังสือโทบิต) เทวดากาเบรียล (ช่วยดาเนียลเข้าใจนิมิตที่เห็น และเป็นผู้นำสาส์นมาแจ้งแก่พระนางมารีย์ถึงการรับเอากายของพระบุตร) หนังสือเอโนคบทที่ 1 กล่าวว่าเทวัญคณะนี้มี 7 องค์คือ มิคาเอล กาเบรียล ราฟาเอล อูรีเอล ซารีเอล เรมีเอล ราเกล



    [​IMG]


    คณะเทวดา (เทวทูต:Angels)



    คำ ว่าเทวดาที่เราหมายถึงและพบทั่วไปในพระคัมภีร์ก็อยู่หมู่เทวัญคณะนี้ เทวัญคณะนี้มีมากมายและมีหน้าที่หลายอย่างเช่น คอยปกป้องดูแลมนุษย์




    อัครเทวทูตที่มีบทบาทและมีอำนาจมาก ได้แก่

    1) มิคาเอล (Michael) - เทวทูตระดับ อาร์กแองเจิล (Archangel) ขั้นสูงสุด, เป็นผู้นำสูงสุดแห่งกองทัพสวรรค์ รบตามพระประสงค์ของพระเจ้า

    2) กาบริเอล (Gabriel) หรือ เกเบรียล - เทวทูตระดับอาร์กแองเจิล ขั้นสูงสุด, มีหน้าที่นำพระดำรัสหรือสาส์นของพระเจ้าไปยังที่ต่างๆ และเป็นผู้มาแจ้งให้พระแม่มาเรียทราบว่าจะได้เป็นมารดาแห่งพระเยซูคริสต์

    3) ลูซิเฟอร์ (Lucifer) - เทวทูตระดับเซราฟิม (Seraphim), เป็นผู้มีหน้าที่ขับลำนำ นมัสการ สรรเสริญพระเจ้า, กล่าวกันว่าเป็นผู้มีอำนาจเหนือบรรดาทูตสวรรค์ทั้งหมด (เทวทูตระดับเซราฟิม จะมีปีก 3 คู่, แต่ลูซิเฟอร์ มีปีกถึง 6 คู่)

    ++++++++++++++++++++++++++++++

    ประเภทของเทวดา

    เทวดาแห่งApocalypse

    เป็นชื่อบทสุดท้ายในพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งกล่าวถึงนิมตและรูปนามของอัครเทวดาต่างๆ เหล่านี้คือ

    ราฟาแอล(Raphael)อัครเทวดาผู้พิทักษ์ต้นไม้แห่งชีวิตในสวนอีเดน ผูบรรเทารักษา
    มีคาแอล(Michael)อัครเทวดาแห่งความเมตตาและความสำนึกบาป
    ออริฟิแอล(Orifiel)เทวดาแห่งความโกลาหล
    อานาแอล(Anael)อัครเทวดาผู้ซึ่งถูกขับออกจากสวรรค์
    ซามาแอล(Samael)เมวตาแห่งความตายเหล่าภูตทั้งฝ่ายดีและชั่ว
    ซาคาแอล(Zachael)อัครเทวดาผู้มีหน้าที่คอยพิทักษ์คำสั่ง

    เทวดาแห่งความตาย

    คือ เทวดาที่มีหน้าที่นำดวงวิญญาณมนุษย์ไปถึงชีวิตหลังความตาย และบางทีก็คุ้มครองมนุษย์ให้รอดจากความตาย
    เรียกต่างๆกันไปตามภาษาเช่น
    อาราบิก เรียก อัซราแอล(Azrael)
    ยิวแรบไบ เรียก อาเดรียแอล(Adriel) หรือ เฮมัธ (Hemath)
    คริสต์ เรียก มีคาแอล
    โซโรอัสเตรียน เรียก ไมรีอา เลวิเอธัน อพอลลิออน เคเซฟ เมซฮับเบอร์ มาลาซ

    เทวดาแห่งการพิพากษา(ดาบแห่งพระเป็นเจ้า)

    คาดว่ามีราว 100000 องค์ สามารถปรากฏกายในรูปผูใช้เวทมนตร์ และมักปรากฏตัวในที่ที่เกิดเหตุเลวร้าย เทวดาที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้เช่น
    เคมูแอล(Kemuel) อัฟ(Af) ยูรีแอล(Uriel) ซิมคิแอล(Simkiel)

    เทวดาแห่งสันติ ความหวัง ความเชื่อใจ

    ใน ตำนานว่าไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระเป็นเจ้าได้สร้างโลกขึ้น ทรงปรารถถึงความคิดที่จะสร้างมนุษย์ มีเทวดาทรงองค์ที่ไม่เห็นด้วย คือ เทวดาและสันติและความจริง เห็ฯว่าการกำเนิดมนุษย์จะว่อผลร้าย จึงถูกพระเป็นเจ้าเผาเป็นจุณไป แต่ ที่นับว่าจัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย(แต่ไม่ถูกเผา)คือ อามิเทียล(Amitiel) กาเบรียล

    เทวดาแห่งความเมตตา

    งาน ของเทวดาเหล่านี้คือแจกจ่ายความเมตตา ปัญญา ให้แก่ผู้หลงผิด บางองค์นั้นเข้าใจมนุษย์มากเป็นพิเศาเช่น เทวดาของนักบุญฟรานซิล เดอ อัสซีซี ที่ชื่อ ไรเมล(Rhaimel)
    มีคาแอล คอยช่วยเหลือวิญญาณของมนุษย์จากความชั่วร้าย
    กาเบรียล เป็ฯสัญลักษณ์ของสันติภาพระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้า
    เซฮันพูยู(Zehanpuyu)ผู้ส่งสารแห่งความรักและความเมตตา
    ซาคคิแอล(Zadkiel)เทวดาแห่งความเมตตาและความทรงจำ ผู้ที่ปกป้องอับราฉัมให้พ้นจากการที่ต้องฆ่าลูกชายตนเอง

    เทวดาแห่งไฟ

    นาธานาแอล(Nathanael)เจ้าแห่งไฟ ทั้งการทำลายและการคุ้มครอง
    อารีแอล(Areal)ตัวแทนของอำนาจเวทมนตร์ของไฟ
    อาทูเนียล(Atuniel)ตัวแทนอำนาจการบำบัดรักษาด้วยไฟ
    อาร์ดาเมล(Ardamel)ภูตไฟ
    ยูริเอล เปลวเพลิงแห่งพระเจ้าจะคอยพิทักษ์ประตสวรรค์โดยถือดาบที่มีเปลวไฟลุกโชนอยู่
    เซราฟ(Seraph)เทวดาแห่งธาตุไฟ

    เทวดาแห่งนรก

    ดูมาห์(Dumah)ผู้เงียบงัน ควบคุมภูตกว่า 800000 ตน
    ลาฮาเทียล(Lahatiel)ผู้ลุกเป็นไฟ คอยคุมประตูนรก
    ชาฟเทียล(Shaftiel)ผู้ควบคุมเงา
    ชูเทรียล(Chutriel)ควบคุมความเจ็บปวด
    แมคคาเธียล(Maccathiel)ผู้ไม่มีการอภัย
    พาซิเอล(Pasiel)ควบคุมเวทมนตร์และการแปลงร่าง
    คูชิแอล(Kushiel)ผู้คอยควบคุมเข้มงวดผู้ถือแส้แห่งไฟ

    อารักขเทวดา

    มีราฟาแอล ผู้บำบัด รักษา บรรเทา ปกป้อง


    และอีกองค์นึง ที่เป็นปริศนา

    มีบทภาวนาถึงท่านว่า " Angel of god My guardian dear To whom god love ...........อาเมน "


    เทวดาประจำราศี

    มังกร ฮานาแอล(hanael)

    กุมภ์ กาเบรียล(Gabirel)

    มีน บาร์คิแอล(Barchiel)


    เมษ มาคิดิแอล(Machidiel)

    พฤษภ อัสโมเดล(Asmodel)

    เมถุน แอมบริเอล(Ambriel)

    กรกฏ มิวริแอล(Muriel)

    สิงห์ เวอร์ซิแอล(Verchiel)

    กันย์ ฮามาริแอล(hamaliel)

    ตุลย์ ยูริแอล(Uriel)

    พิจิก บาร์บิแอล(Barbiel)

    ธนู อัดนาคิแอล(Adnachiel)
    เชคินา

    วิญญาณ ชั้นสูงในรูปของสตรี ป็นผู้มีอำนาจรักษาสิ่งเลวร้าย บางทีขนานนามพวดเธอว่าเทพีแห่งความหยั่งรู้ กล่าวว่าพวกเธอนั้นนั่งอยู่บนบังลังก์เหนือเหล่าเทวดาใต้ต้นไม้แห่งชีวิต รัศมีของเฮสว่างไสวกว่าดวงอาทิตย์หลายหมื่อนเท่า ใครก็ตามที่โชคดีเห็นเธอจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ แม้กระทั่งปีศาจที่ชั่วรายที่สุดก็จะกลับใจเมื่อได้เห็นเธอ ฉะนั้น ซาตานและเหล่ามารมักจะหลบพวกเธอพราะเธอมีอำนาจทำให้เขากลับใจได้(น่าจะมาให้ ผมเห็นบ้าง แต่ยากครับ เพราะว่าแม้แต่เหล่าเทวดายังไม่มีสิทะจะเห็นพวกเธอ สูงจิงๆครับ บางนิกายเรียกเธฮขนาดว่า พระจิตอันศักดิ์สิทะ เชียวนะครับ)

    จีนี(Genii)ไม่ใช่แก๊งจีนี่นะครับ

    เป็น วิญญาณอารักษ์ตามบ้านเรือนคล้ายๆพระภูมิครับ แต่มีอำนาจมากกว่านั้นคือ เป็ฯตัวช่วย เสมือนคอยเกื้อกูลมนุษย์ อาจจะเรียกได้ว่า จีนีนั้นเป็นเสียงแห่งมโนธรรมทในใจที่คอยไม่ให้ทำชั่ว
    กริกอรี(Grigory)

    เรียก อีกอย่างว่า ผู้สังเกตุการณ์หรือผู้เฝ้ามอง และถ้ามีความสัมพันธ์กับมนุษย์เมื่อใดจะถูกขับออกจากความเป็นชาวสวรรค์ทันที (ไม่เหมือนผู้วิเศษที่ช่วยเหลือ สัมพันธ์กับมนุษย์ได้)
    เช่น

    อรามารอส คือ สามัญสำนึก
    อราเอล ผู้ดูแลธรรมชาติ
    อซาเอล ผู้พิทักษืงานช่าง ศิลปะ และความงาม
    บาราจิคัล ดาราศาสตร์
    เอเซคีเอล ควบคุมดินฟ้าอากาศ
    กัดรีเอล วิทยาศาสตร์
    เพเนมิว วรรณกรรม
    ซาริเอล สัญลักาณ์ดวงจันทร์
    เซ็มจาซา สัญลักษณ์ดวงอาทิตย์


    ว่าด้วยเทวดาตกสวรรค์

    ก็ คือ คณะของลูซิเฟอร์สมัยก่อกบฏ โดยมีจำนวน 1ใน3 ของเทวดาทั้งหมด มีอิทธิพลต่อความหยิ่งยโส บาปต่างๆของมนุษย์ มีระดับหัวหน้าคือ เซ็มยาซ ซาริเอล อซาเซล ทูเรล
    ชื่อต่างๆของลูซิเฟอร์
    บีลเซลบับ เบลิอา ดูมา มาสเตมา กาดรีล ซามมาเอล
    ชื่อต่างๆของลิลิธ
    อาบิโต เออิโล อืทา คาลิ อิซอร์โป โอดัม พาโรตา ซาทรินา ทัลโต




    +++++++++++++++++++++++++++++++++ คณะอัครเทวดาทั้ง 7

    คณะอัครเทวดา (หัวหน้าเทพ: Archangels)


    เทวัญ(สิ่ง มีชีวิตของพระเจ้าจากคัมภีร์เก่า)เหล่านี้ถ้าแปลตามตำแหน่งแปลได้ว่าหัวหน้า เทวดา แต่หน้าที่จริง ๆ นั้นไม่มีใครทราบได้ มีบันทึกถึงบทบาทและ ชื่อ ของอัครเทวดาเหล่านี้ว่ามี เทพคาเอล (ปราบเทพกบฏอื่น ๆ ) เทพราฟาเอล (ในหนังสือโทบิต) เทพกาเบรียล (ช่วยดาเนียลเข้าใจนิมิตที่เห็น และเป็นผู้นำสาส์นมาแจ้งแก่พระนางมารีย์ถึงการรับเอา กายของพระบุตร) หนังสือเอโน๊คบทที่ 1 กล่าวว่าเทวัญคณะนี้มี เจ็ดอัครเทวดาคือ มิคาเอล กาเบรียล ราฟาเอล รูริเอล ชามูเอล โยฟิเอล และ แซดคิเอล

    [​IMG]


    1.มิ คาเอล (Michael) เทพองค์นี้มีน้อยคนนักที่รู้ตัวตนที่แท้จริงในจิตใจข องท่านประวัติความจริงทั้งหมดที่ ได้บอกความจริงให้รู้ว่าท่านเป็นผู้ที่อิจฉาและริษยา ในตัวของ Lucifer ได้ถูกลบออกไปจากประวัติศาสตร์ โดยกลุ่มผู้พิทักษ์ความเชื่อในศาสนาคริสต์และผู้เขีย นพระคัมภีร์หมดแล้ว ซึ่ง Lucifer นั้นถือได้ว่าเป็นอัครเทวดาองค์หนึ่งและเป็นอัครเทวด าองค์แรกที่พระเจ้าได้สร้างขึ้น มาให้มีรูปงามมากที่สุดเหนือเทวดาทั้งหมด เพื่อต้องการให้เป็นผู้ฃ่วยงานส่วนใหญ่ของพระองค์อย่ างใกล้ชิด และได้รับความรักจากพระองค์มากที่สุด (ถึงแม้ถือว่าเป็นอัครเทวดาองค์หนึ่งแต่ก็ไม่ได้จัดใ ห้อยู่ใน 1 ใน 7 อัครเทวดาเพราะบทบาทส่วนใหญ่จะทำงานใกล้ชิดพระเจ้ามา กกว่า) และเพราะสาเหตุนี้เองที่ทำให้มิคาเอลเกิดความริษยาแล ะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดของการใส่ร้าย Lucifer และทำให้เกิดเหตุการณ์ the fallen Angel ครั้งแรกในสงครามสวรรค์ ที่ Lucifer กับเทวดาทั้งหลายที่เชื่อในความดีของ lucifer ได้ร่วมกันต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความจริงในสิ่ง ที่ไม่ได้ทำผิดอย่างที่ถูกกล่าวหาและใส่ร้ายโดยมิคาเอล จนในที่สุดก็ได้เกิดความผิดพลายครั้งแรกขึ้นบนสวรรค์ และการตัดสินใจผิดด้วยอารมณ์โทสะของพระผู้เป็นเจ้าจึ งทำให้เกิด SATAN LUCIFER และเทวดาต้องคำสาปทั้งหลายที่อยู่ข้าง Lucifer ให้มีสภาพเป็น Demons และต้องตกสวรรค์ในที่สุด



    [​IMG]


    2.รา ฟาเอล (Raphael) หนึ่งใน 7 อัครเทวดาผู้ยิ่งใหญ่บนสวรรค์ ผู้เฝ้าประตูสวรรค์ และดูแลดวงวิญญาณผู้ตายบนสวงสวรรค์ ผู้นำของกองทัพสวรรค์และเป็น 1 ใน 7 อัครเทพที่ยิ่งใหญ่บนสวรรค์ ท่านและ กาบรีเอลเป็นอัครเทวดา ที่มีบทบาทเป็นอย่างมากในพระคัมภีร์ ส่วนในคัมภีร์ Aggadaah ได้กล่าวเอาไว้ว่าท่านเป็นผู้ปกป้องชาวอิสราเอล บางคนนับถือท่านในฐานะเทพแห่งการ "ปกป้อง" ปรากฏในพระคัมภีร์ไม่กี่เล่ม ท่านเป็น เทพแห่งการ "รักษา" เพราะมีปรากฏในพระคัมภีร์ว่าท่านได้รักษาตาที่บ อดของ ชายชื่อ โทบิด มาแล้ว และยังเป็น 1 ใน3 เทวฑูต ที่มาส่งข่าวให้อับราฮัม อีกด้วย



    [​IMG]


    3.กาบ รีเอล (Fabriel) หนึ่งใน 7 เทวดาผู้ยิ่งใหญ่บนสวรรค์เป็นเทพแห่ง "ข่าวสารจากพระเป็นเจ้า" รวมทั้งยังเป็นเทพแห่งความเมตตา การเกิดใหม่ และเป็นเทพผู้ปกป้องผู้ตายร่วมกับมิคาเอลอีกด้ว ย ในภาษาฮิบรูจะอ่านชื่อของท่านว่า กาบรี-เอล ท่านเป็นอัครเทวฑูตที่ส่งข่าวการมาเกิดของพระเยซูคริ สตกับพระนางมาเรีย และยังเป็นคนเป่าแตรแห่งการชำระบาปในวัน Judgment Day ด้วย


    [​IMG]

    4.อู รีเอล (Uriel) อัครเทวดาที่ผู้คนส่วนมากไม่ให้ความสนใจ แท้ที่จริงแล้วท่านเป็นเทพแห่งการปกป้องพระคัมภีร์และคำสอน และยังเป็นเทพแห่ง "แสงสว่าง" ส่วนมากท่านจะปรากฏตัวในฐานะผู้ชี้แจง และผู้ที่สั่งสอนสาวกพระเป็นเจ้า ท่านเป็นหนึ่งใน 'watchers'ซึ่งคือ "ผู้เฝ้ามอง" ท่านยังเป็นเทวฑูตที่อธิบายชะตากรรมของ "เทวฑูตปีกหัก หรือ 'the fallen angel' ทั้งหลายในพระคัมภีร์ ท่านมักจะเป็นผู้นำทางสาวกที่หลดผิด ในพระคัมภีร์สู่ทางสว่าง และยังเป็น 1 ใน 4 เทพผู้ปกป้องบัลลังค์ของพระเป็นเจ้า คนส่วนมากนับถือท่านเป็น "เทพแห่งความรู้"


    5.ซา รีเอล (Sariel) มีไม่มากที่รู้จักท่าน ซึ่งท่านก็เป็น 1 ใน 7 เทวฑูตที่ยิ่งใหญ่บนสวรรค์เหมือนกัน ส่วนมากจะปรากฏในคัมภีร์ของ อิสลาม และ ยิวมากกว่าเป็นเทพแห่งการปกป้อง และความสันติสุข ในพระคัมภีร์บอกไว้ว่า ในมหาสงครามบนสวรรค์ เทวฑูตถึงกับเขียนชื่อของท่านไว้บนโล่ของตัวเอง ในพระคัมภีร์บอกไว้ว่าเป็นเทพผู้ปกป้องสรวงสวรร ค์ และ โลกมนุษย์ เป็นเทพแห่ง "ความกล้า" และ "การควบคุม" ขณะที่ในพระคัมภีร์เก่าแก่ของชาวยิว และ สุเมเรียน บ่งบอกว่าท่านเป็น "กาเดี้ยน" หรือผู้ปกป้อง ในพระคัมภีร์ Talmud นั้นบอกไว้ว่าท่านเป็นเทพแห่ง "ความตาย" บ้างก็ว่าท่านเป็น ราศี Aries หนึ่งในจักรราศี นั่นเอง


    6.เร มีเอล (Remiel) มีความใกล้เคียงกับ ซารีเอล เป็นเทวฑูตที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักและส่วนมา ปรากฏในคัมภีร์ของ อิสลาม และ ยิว มากกว่าในพระคัมภีร์ บอกไว้ว่าท่านเป็นผู้เผย "ความจริง" สู่มวลมนุษย์ และเป็นผู้ควบคุมการมาของวันสิ้นโลก ปรากฏในพระคัมภีร์ "The Apocalypse" (ระหว่างช่าง 200 ปีก่อนคริสตศักราชถึงปี คริสตศักราชที่ 300 ) ถ้าจะเรียกว่า เป็นเทพแห่งความ "แท้จริง" ก็คงไม่แปลกเพราะ งานของท่านที่ปรากฏในพระคัมภีร์ส่วนมากจะเป็นกา รบอก "ความจริง" แก่ผู้คน และยังเป็นผู้ที่คอยจำกัดปีศาจอีกด้วย


    7.รา เกล (Raguel) บ้างก็เรียก ลูฟาเอล ท่านนี้จะปรากฏในคัมภีร์ อิสลามและยิวมากกว่า เป็น 1 ใน 7 อัครฑูต บนสวรรค์ ชื่อของท่านต่างไป (Raguil, Rasuil,Rufael, Suryan, Akrasiel) ซึ่งความหมายที่แท้จริงของท่านคือ "เพื่อนแห่งพระเจ้า" เป็นเทพแห่ง "ความยุติธรรม" "ความถูกต้อง" และ"ความเท่าเทียม" พลังของวท่านคือพลังแห่งความสมดุล ท่านเป็นเทพผู้ปกป้องโลก หรือเทพแห่งโลก ผู้พิทักษ์องค์ที่ 2 และ/หรือ องค์ที่ 4 บนสวรรค์ ท่านเป็นคนดู และควบคุมความประพฤติของเหล่าเทวฑูตองค์อื่นๆ และเป็นคนสังการ ท่านยังปรากฏในความเชื่อของชาว บาบิโลเนียน ในชื่อของ "Rag" (บ้างก็ว่า Ragumu) และในความเชื่อของชาวสุเมเรียในนามของ "Rig" ซึ่งแปลว่า "คำพูด" ซึ่งในความเชื่อเหล่านั้นต่างก็ยกให้ท่านเป็นเทพเจ้า ความสมดุล เช่นกัน



    ++++ ว่าด้วยเรื่องขุมนรก+++


    [​IMG]

    นรก, มีอยู่ 7 ขุม ซึ่งสอดคล้องกับสวรรค์ที่มี 7 ชั้นเช่นกัน. นักปราชญ์เมธีในยุคกลาง ได้แจกแจงให้เห็นว่าแต่ละขุมนั้น มีไว้เพื่อลงโทษผู้ที่ทำบาป ทำกรรมอย่างเฉพาะเจาะจง
    เทวทูต (Holy angel) ก็สามารถพบได้ในขุมนรก โดยมีหน้าที่ควบคุมการลงทัณฑ์ และมิให้ปีศาจหลุดหนีออกมา, ที่ขอกล่าวถึงในที่นี้ก่อนคือ อะแบ็ดด้อน (Abaddon)รู้จักกันในฐานะเทวทูตแห่งขุมนรก ซึ่งครอบครองกุญแจสู่แดนอเวจีนี้.
    นรก ตามความเชื่อของแต่ละศาสนาย่อมแตกต่างกัน (ของศาสนาพุทธมีจำนวนขุมนรก ทั้งมหานรก นรกบริวาร เยอะกว่ามาก), สวรรค์ก็ถูกบรรยายไว้ต่างกัน ที่คล้ายกัน คือ สภาพของนรกทั่วๆ ไปที่ประกอบไปด้วยไฟ หรือ เปลวเพลิง ยกเว้น ขุมนรกที่ใช้ลงโทษผู้ที่มีบาปหนาที่สุด จะเป็นขุมนรกเยือกแข็ง .... ตามศาสนาพุทธ ขุมนรกเย็นนี้ เป็นนรกที่ใช้ลงโทษสัตว์นรกที่มีบาปมหันต์ที่สุด ชื่อว่า " โลกันตร์นรก" ตั้งอยู่ที่สุดขอบจักรวาล ....เป็นทะเลสาบน้ำแข็ง อันหนาวเหน็บ



    [​IMG]



    ++++++++++++++++++++++++++++ picpicpicpicpic



    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    ที่มา:http://writer.dek-d.com/haru_tatsu/story/viewlongc.php?id=351820&chapter=11#ixzz190enJsqY
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2010
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]

    The Watchers

    ใน อีกเรื่องราวหนึ่งกล่าวถึงเทวทูตกลุ่มที่เรียกว่า Watcher พวกนี้ จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์เลย ไม่ช่วย และ ไม่ทำอะไรเลย ดูอย่างเดียว
    "And it came to pass, when men began to multiply on the face of the earth, and daughters were born unto them, that the Sons of God saw the daughters of men that they were fair; and they took them wives of all which they chose. . ." (-- Genesis 6:1-2)

    ในที่สุดพวก Watcher ก็ลงมาสอนมนุษย์ให้รู้จักศาสตร์ต่างๆ ทั้งพฤกษศาสตร์ สัตวศาสตร์ คณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้าม Watcherสอนให้มนุษย์รู้จักใช้อาวุธ และ รู้จักการใช้เครื่องสำอางค์ พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยนักกับเรื่องนี้ ความไม่พอใจของพระเจ้าเพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่ทราบว่า Watcherได้มีทายาทร่วมกับมนุษย์ แต่ ทายาทที่เกิดมานั้นหาใช่เทวทูตไม่ มันเป็นสัตว์ประหลาด และ สัตว์ประหลาดที่ว่านั่นก็เติบโต ตัวใหญ่ดุจยักษ์ มันจับ ฆ่าและ กิน มนุษย์ทุกคนที่มันจับได้ และเมื่อไม่มีมนุษย์ให้กินพวกมันก็กินกันเอง

    ในที่สุดพระผู้เป็นเจ้าก็ได้มีบัญชาให้ อัครเทวทูต MichaelไปตามจับพวกWatcherมา ขณะที่พระองค์กำลังกำจัดพวกยักษ์เหล่านี้ Michael ได้นำทั้งหมดนี้ไปคุมขังไว้ในหุบเขา ที่ซึ่งพวกWatcherจะต้องอยู่ในนั้นไปจนกว่าจะถูกนำโยนเข้าใน เปลวไฟที่ไม่มีวันดับ ซึ่งหากนำมาโยงแล้วเราจะพบว่าพวกเทวทูตที่ถูกขังไว้ใต้โลกเหล่านี้ มี การปรากฏของกองทัพ กบฏของลูซิเฟอร์ปนอยู่ด้วย จึงทำให้หลายๆคนเชื่อว่านี่เป็นสาเหตุในการก่อกบฏของ ลูซิเฟอร์
    (ทั้งหมดยังไม่มีข้อพิสูจน์)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2010
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    LUCIFER / ลูซิเฟอร์

    [​IMG]


    ลู ซิเฟอร์ (Lucifer) จอมมารแห่งนรก พวกเราคุ้นเคยกับชื่อนี้มาก อาจจะเพราะว่าเค้ามีบทบาทเยอะในพระคัมภีร์ (ทั้งวงนักร้อง และเกมส์การ์ตูนต่างๆอาจจะมีผลด้วย)
    คำ ว่าลูซิเฟอร์นั้น เป็นคำละติน มาจากสองคำ คำว่า Lux ซึ่งแปลว่าแสงสว่าง และ Ferrer แปลว่า ผู้นำมา หรือ ผู้ถือ ซึ้งถ้าเอามารวมกันก็จะแปลว่า "ผู้นำมาซึ้งแสงส่วง" หรือถ้าจะแปลตามภาษาชาวบ้าน อีกทีก็คงจะแปลว่า รุ่งอรุน หรือ ดาวแห่งความแสงสว่าง อะไรทำนองนั้น
    อดีด อัคระเทวฑูตองค์นี้ พระเป็นเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้นมาจากแสงสว่างและให้ความเอ็นดูเป็นอย่างมาก ถือได้ว่า เป็นใหญ่รองมาจากพระเป็นเจ้า ถือได้ว่าเป็นอัคระเทวฑูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนั้นเลยก็ว่าได้ ทว่าด้วยความที่นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่เหนือใคร ทำให้ก่อกบฏหักหลังพระเป็นเจ้า และในที่สุดก็ตกจากสวรรค์ กลายมาเป็น"ปีศาจ"

    ตามตำนานของชาวฮิบรู ลูซิเฟอร์ ได้ถูกยุยงโดยซาตานอีกทีนึง
    (เห็นได้ว่าตำนานฮิบรู ลูซิเฟอร์ และ ซาตานเป็นคนละคนกัน)
    ซึ้ง ในพระคัมภีร์ของฮิบรูนั้น ซาตานก็เป็นหนึ่งในอัคระเทวฑูตด้วย ชื้อว่า Satan-Sataniel (หรือSamael?) ว่ากันว่าซาตานต้องการที่จะเป็นที่สุดในจักรวาล เลยได้ยุยง (บางก็บอกสิงสู่) เทพบางองค์ ทำให้เป็นมารร้าย
    ตาม ตำนานของชาวคริสต์ ในคัมภีร์The Old Testamentได้แปลคำว่า Helel เป็น ลูซิเฟอร์ และได้โยงกับ ปีศาจร้ายที่มีร่างเป็น!เลื้อยคลาน ที่ลอบเข้ามาในสวนอีเดนและหลอกลวงอดัมและอีฟ

    ใน ยุคกลาง นักบุญเจโรม (St.Jerome)หลวงพ่อในศาสณะจักร์ คิดว่า ลูซิเฟอร์ ไม่ใช่ชื่อที่ดีสำหรับ "ปีศาจ" และได้เปลี่ยนมาเป็น "ซาตาน" จนในที่สุด ทั้งสองก็ได้รวมมาเป็นคนเดียวกัน ซึ้งจะเห็นได้ว่าในพระคมภีร์บางทีก็ชื่อลูซิเฟอร์ บางทีก็ชื่อ ซาตาน

    ในตำนานกรีกบางที คำว่า ลูซิเฟอร์ เปลียบได้กับดาววีนัส (ซึ้งลูซิเฟอร์เป็นชื้อเดิมของดาววีนัส)
    ใน บางตำนานของชาวเพแก้น หรือ วิคคา บอกไว้ว่า เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ก็ได้ให้ความดูแลสนใจในตัว มนุษย์มากกว่าผู้อื่นได ซึ้งมากกว่าตัวลูซิเฟอร์เองด้วย ทำให้เกิดความรู้สึกน้อยใจ และประชดพระเป็นเจ้าโดยการนำพรรคพวกมาก่อกบฏ
    ในบางความเชื่อของชาวเพเก้น เชื่อกันว่า ลูซิเฟอร์นั้นอยู่ที่ยุโรปและเอเชีย

    ทุก วันนี้ มีลัทธิเกิดขึ้นมาใหม่ ที่มีลูซิเฟอร์เป็นเทพของพวกเค้า และเรียกตัวเองว่า ลูซิเฟอเรี่ยน (Luciferains) ตามชื้อศาสดาของพวกเค้า Lucifer Calaritanus บิช๊อปของลูซิเฟอเรี่ยน ซึ้งเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลือกและเป็นเทพ
    แต่คือลูซิเฟอร์นั้นเอง (เข้าข่ายพวกลัทธิบูชาซาตาน หรือ บูชาปีศาจ)
    ใน คัมภัร์ของพวกเค้า ได้บอกเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุหการ "ก่อนจะร่วงหล่น" หรือ Before the fall ซึ่งเล่าเรื่องราวไว้ว่า เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ลูซิเฟอร์นั้นเอนดูมนุษย์เป็นอย่างมากและหลงไหลกับความใสซื่อบริสุทธิ์ของ มนุษย์
    แต่เป็นเพราะว่าการที่มนุษย์นั้น ใสซื่อของมนุษย์นั้นเอง ทำให้มนุษย์ไม่รู้สึกถึงตัวตนของพระเป็นเจ้า ในคัมภีร์เลยบอกไว้ว่า

    พระเจ้าได้เสกให้งูมาล้อลวงมนุษย์ ให้กินผลไม้แห่งปัญญา พอมนุษย์ได้กินเข้าไป ก็ได้รู้สึกถึงพระเป็นเจ้า และ ได้ขับออกจากสวนอีเดนไป
    พอ ลูซิเฟอร์รู้เรื่องเข้าก็ได้โกรธและก่อกบฏขึ้น นี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำมาเพื่อโน้มน้าวจิตใจของสาวกลัทธิลูซิเฟอเรี่ยน ซึ่งต่อมาได้เป็นลัทธินอกรีด และ มีกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ บางกลุ่มก็ได้ใช้ยาเสพติด หรือ เสียงเพลงเพื่อนกล่อมประสาท

    ทำไมลูซิเฟอร์ถึงได้เป็นตัวแทนของบาปแห่งความหยิ่งพยองทุกๆท่านก็คงรู้แล้วสินะคับ
    เป็นเพราะลูซิเฟอร์นึกว่าตนเองเก่งควาใครและมีพลังมากกว่าคนอื่น ทำให้หลงผิดและก่อกบฏขึ้น ทำให้ก่อสงครามสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
    โดย ลูซิเฟอร์ได้ชักจูงเทพ 2 ใน 3 (บางก็ว่า 3/5) ของเทพบนสวรรค์ มาต่อสู้กับกองทัพสวรรค์ นับทัพโดย อัคระเทวฑูต มิคาเอล และได้พ่ายแพ้ไปในที่สุด




    ในตำนานบอกไว้ว่าลูซิเฟอร์นั้น มักจะปรากฏกายในรูปของมังกร หรือ สิงโต และมีลูกน้องที่พักดีเสมือนแขนทั้งสองข้าง
    ชื้อว่า Satanackia และ Agalierap

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]




    ++++ ว่าด้วยเรื่องอื่นๆ ++++


    Luciferism สภาวะจิตด้านมืดของมนุษย์


    โรคทางจิตที่มีในมนุษย์ทุกคน Luciferism
    มนุษย์ ทุกคนย่อมมีบางเวลาที่จะมีความสุขเมื่อได้เห็นคนอื่นเป็นทุกข์โดยไม่มีแยก ว่าผู้ถูกกระทำเป็นคนหรือสัตว์ ทั้งนี้โรคทางจิตชนิดนี้เกิดจากสภาพจิตที่เป็นลบซึ่งทุกคนก็มีอยู่แล้ว คงไม่มีใครในโลกที่เกิดมาสมหวังตลอดชีวิต ดังนั้นโรคจิตชนิดนี้จึงมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนซึ่งหากจะมองอีกด้านมันก็คือ พฤติกรรมก้าวร้าวที่ถูกควบคุมโดยสมองเก่าหรือสมองส่วนหลังครับ


    มา ทำความรู้จักกับ Luciferism Lucifer ลูซิเฟอร์เป็นชื่อของเทพเจ้าผู้ทรยศสวรรค์ ตามตำนานกล่าวว่าลูซิเฟอร์มีความหยิ่งยโสและถูกพระเจ้าลงโทษจนตกจากสวรรค์ กลายมาเป็นซาตานซึ่งก็ได้ทำสงครามกับพระเจ้ามานานมากแต่ก็ไม่สามารถชนะได้จน ในที่สุดลูซิเฟอร์ก็ได้ยื่นข้อเสนอเล่นเกมส์กับพระเจ้าว่าตนจะทำให้มนุษย์ ชั่วแล้วให้พระเจ้าทำให้มนุษย์ดี ผลปรากฎว่าลูซิเฟอร์สามารถครอบงำจิตใจมนุษย์และทำให้มนุษย์ชั่วร้ายมากกว่า พระเจ้า พระเจ้าทรงเสียพระทัยเลยตัดขาดจากโลกมนุษย์นับแต่นั้นมาซึ่งลูซิเฟอร์ก็ยัง คงทำการครอบงำมนุษย์ต่อไปเรื่อยๆโดยการโปรยเมล็ดแห่งความชั่วร้าย(สมองเก่า )ไปที่มนุษย์และควบคุมพฤติกรรมก้าวร้าวในบรรดามนุษย์ให้ทะเลาะเบาะแว้งแล้ว เข่นฆ่ากันเอง


    ชื่อ ของโรคทางจิตชนิดนี้จึงได้มาจากชื่อของลูซิเฟอร์ผู้ควบคุมมนุษย์กลายเป็น Luciferism เพราะในตำนานลูซเฟอร์เป็นต้นเหตุของความชั่วร้าย และโรคนี้ก็เป็นอาการที่แสดงออกถึงความสุขของมนุษย์ที่จะได้รับเมื่อได้ทำ ให้ผู้อื่นเป็นทุกข์


    สำหรับ อาการณ์ก็จะมีหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปนะครับ การกระทำ คนทุกคนย่อมมีการกระทำที่ส่งผลให้คนอื่นเดือดร้อนแต่ตนเองเป็นสุขได้เช่นกัน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งตั่งใจและไม่ตั่งใจ อย่างเช่นคนบางคนชอบแกล้งสัตว์ บางคนชอบก่อกวนคนอื่น ฯลฯ บางคนสามารถระงับการกระทำเหล่านี้ได้ การพูด คนบางคนมีความสุขเมื่อได้พูดจากระแทกกระทันให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น รวมไปถึงการใช้คำหยาบคายและโกหกซึ่งสามารถเกิดได้โดยเจตนาและไม่เจตนาแต่ส่ง ผลให้เกิดความสุขเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น นายจ้างใช้คำพูดที่รุนแรงเกินความจริงด่าลูกจ้างซึ่งอาจจะเป้นความตั่งใจของ นายจ้างเองหรือเป็นเพราะเผลอ แต่มันก็ส่งผลให้นายจ้างมีความสุขเหมือนกัน การคิด อันนี้มีไม่น้อยครับ ซึ่งรวมไปถึงผู้ที่มีมรรยาทมีคุณธรรมแต่ยังไม่อาจระงับความโกรธของตัวเองได้ เลยต้องเก็บเอาไปคิดให้ร้ายผู้อื่น มองผู้อื่นในแง่ลบ การคิดนี้ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นของการพูดและการกระทำดังที่กล่าวมาแล้ว อนึ่งความคิดบางอย่างของมนุษย์ที่แสดงออกมาในด้านลบนั้นเกิดจากสภาวะจิตไร้ สำนึกตามทฤษฎีของฟรอยด์ เมื่อจิตใจได้รับการกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าในรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นทั้งความ สนุกสนาน ความโกรธหรือเศร้า จิตใจของมนุษย์ก็จะตอบสนองต่ออารมณ์นั้นโดยไม่รู้ตัวหรือก็คือสภาวะจิตไร้ สำนึกตามทฤษฎีของฟรอยด์ซึ่งพฤติกรรมที่ตอบสนองจะออกมาในด้านลบเสียส่วนมาก อย่างไรก็ดี ถ้าเรารู้จักการควบคุมจิตใจของตัวเองได้ มีสติอยู่เสมอทุกเวลาไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดๆเราก็ย่อมสามารถที่จะหยุดยั้ง พฤติกรรมอันเกิดจากสภาวะจิตไร้สำนึกได้


    จะ ว่าไปแล้วผู้เป็น Luciferism ก็คือบุคคลที่มีพลัง ID (ตัณหา)สูงนั่นแหละครับ ว่ากันว่าลูซิเฟอร์คือเจ้าแห่งตัณหาผู้มอมเมามนุษย์ให้หลงผิด ดังนั้นการกระทำต่างๆด้วยความคิดที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่สนใจสิ่งต่างๆนอกเสียจากตนเอง หรือก็คือคนที่มี ID อยู่เหนือ Ego และ SuperEgo ก็คือ Luciferism แบบเต็มคราบ เพราะพวกนี้ชอบก่อความเดือดร้อนให้สังคมถึงแม้ว่าตัวเองจะยังคงมีสติอยู่ก็ ตาม ส่วนคนอื่นๆที่ปกติเพียงแต่สามารถกระทำผิดได้เมื่อตนเองขาดสติถือว่าเป็น Luciferism แบบแอบแฝงครับ


    Luciferism อาจจะเป็นโรคทางจิตที่ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นโรคทางจิต ทั้งนี้เพราะมีผู้ที่มีอาการดังกล่าวอยู่ทั่วโลกซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่า Luciferism สามารถสร้างความขัดแยกในมนุษย์และสัตว์ต่างๆได้ตั่งแต่ความขัดแย้งเล็กๆไปจน กระทั่งสงคราม


    Luciferism ยังสามารถใช้ในอีกความหมายได้คือกลไกที่รักษาความสมดุลทางจิตด้วยการระบาย สามารถเกิดขึ้นได้จากการได้รับความกดดัน การมีอคติหรือคิดในแง่ลบ การส่งต่อของจิตวิทยาลูกโซ่ และสาเหตุอื่นๆ ซึ่งคนที่ยิ่งได้รับความกดดันต่างๆมากก็ย่อมต้องการระบายมากเช่นกัน


    นับ เป็นเวลาที่แสนจะยาวนานที่ยุคมืดมาถึง ผู้คนในโลกต่างก็ทวีคูณเพิ่มกิเลสตัณหาและความชั่วร้ายมากขึ้นอันดูได้จาก ประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มักไม่สวยหรูนัก เพราะสิ่งที่ขึ้นชื่อว่าความเจริญรุ่งเรือง ความยิ่งใหญ่ ชื่อเสียงและอำนาจนั้น ล้วนได้มาจากการนองเลือดทั้งสิ้น การแข่งขันเผชิญหน้ากันอย่างไม่มีความเกรงใจและละอาย สงคราม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้คือสัญญาณของโลกมืดได้คลืบคลานเข้ามาแล้ว


    ณ ก้นบึงของขุมนรกที่ซึ่งอยู่นอกเหนือไปจากอำนาจของยมราช มารร้ายที่น่าจะถูกขนานนามว่า "เทพมิคสัญญี" มีความปรารถนาที่จะนำความมิคสัญญีและความชั่วร้ายนานาประการมาสู่พื้นโลก เพื่อที่จะขับเคลื่อนให้จิตมนุษย์ตกตำลงและเมื่อพวกเขาตาย มารร้ายก็จะสามารถเอาพวกเขาไปเป็นพลังอำนาจได้ ในทางศาสนาพุทธอาจกล่าวได้ว่ามาร คือผู้ขัดขวางไม่ให้จิตเจริญจนถึงขั้นธรรมะ และมารก็ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นมารจริงๆเสมอไป แต่ว่ามารที่เป็นผู้บงการทุกอย่างก็มีเพียงมารเท่านั้นแหละ


    เมื่อ สิ่งหนึ่งได้ถูกหยิบยื่นมาให้มนุษย์ในรอบไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา นั่นคือความเจริญก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดที่ซึ่งกว่าสองพันปีก่อนหน้านั้นทำ ไม่ได้ มนุษย์ก็เริ่มจะมีกิเลสตัณหาที่หนักยิ่งขึ้น อาจจะสรุปได้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงนกต่อเท่านั้น เป็นของขวัญที่มารจงใจมอบให้เพื่ออาศัยผลประโยชน์บางอย่าง เพื่อที่จะครอบงำเราได้ง่าย เช่นเดียวกับคำกล่าวที่ว่าผู้คนที่ซื่อมักมาจากประเทศที่ล้าหลัง แต่พวกเขานั้นโง่จริงหรือ พวกเขาฉลาดกว่าคนที่มาจากประเทศที่พัฒนาเสียด้วยซ้ำตรงที่สามารถเอาชนะการ ครอบงำจิตใจของมารได้


    ความ ก้าวกระโดดของความเจริญที่น่าจะเป็นของขวัญจากมารนั้นแหละที่กำลังทำลาย มนุษย์ เมื่อมนุษย์ใช้สิ่งเหล่านี้สร้างของที่ใช้ทำลายกันเป็นอันดับต้นๆ แน่นอนที่สุด กิเลส ความปรารถนาที่จะเป็นจ้าว เป็นสิ่งผลักดันให้มนุษย์ได้มีการคิดค้นอาวุธที่ใช้สยบผู้อื่นลง


    ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยแผนการอันชาญฉลาดของมาร มันยังสามารถทำลายกลไกของมนุษย์ทางจิตวิทยาได้ทุกรูปแบบ


    มาร แท้จริงแล้วอาจจะถูกขนานนามอีกชื่อว่าเจ้าแห่งศาสตร์และศิลป์ แต่เป็นศาสตร์และศิลป์ที่มุ่งหวังจะครอบงำกิเลสของมนุษย์ ให้ผู้คนหมกมุ่นจนลืมสัจธรรมที่แท้จริงในการดำลงชีวิต ศักดิ์ศรี และทุกอย่าง มันใช้มนุษย์ครอบงำมนุษย์ด้วยกันเองและมนุษย์ที่จะถูกเลือกก็มักจะเป็น ศิลปินหรือ "คนดัง" ที่มีอิทธิพลต่อจิตใจมนุษย์ที่ถูกครอบงำไปแล้ว


    ณ ปัจจุบัน มารได้กดดันให้มนุษย์มาถึงทางตัน เมื่อเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง ความเห็นแก่ตัวและการเอาเปรียบยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ นั่นคือสิ่งที่มารทำสำเร็จ ครอบงำคนให้ชั่วได้มากขึ้น ใช้มนุษย์ทำลายกันเองได้ทุกรูปแบบโดยอาศัยหลักจิตวิทยาและแน่นอน ไม่มีใครที่จะมองทะลุแผนการของมันหมดได้ เพราะมารมันฉลาดกว่าคนทั้งโลกแน่ดังจะเห็นได้ว่ามันสามารถครอบงำคนทั้งโลก ได้ด้วยการหยิบยื่น "ศาสตร์" เพียงเล็กน้อยมาให้เท่านั้น


    หมาก มนุษย์กระดานนี่มารได้เปรียบเทพแล้ว ถ้าเรายังไม่คำนึงถึงจุดนี้ ยังมัวเตลิดไปนู่นนี่ไม่สนใจอะไร อีกไม่นานโลกคงเสื่อมสลายเพราะมนุษย์


    Luciferism สภาวะจิตด้านมืดของมนุษย์ | Kingdom of Vlahado

     
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ราชินีเเห่งปีศาจ....ลิลิธ

    ลิลิธ / Lilith


    [FONT=&quot][FONT=&quot][​IMG][/FONT][/FONT]


    ปกติแล้วถ้าพูดถึงลิลิธมักจะคุ้นเคยกันดีในนามของราชินีแห่งรัตติกาลแต่บาง ทีก็เรียกกันด้วยนามอื่นเช่น ลิลี - Lili หรือ Lilu - ลิลู อันหมายถึงอสุรกายแห่งยามราตรี ตามไบเบิลกล่าวไว้ว่า พระยะโฮวาห์เจ้าสร้างลิลิธขึ้นมาเพื่อให้เป็นเมียคนแรกของอดัม แต่วิญญาณของนางมีมลทิลมากตั้งแต่ตอนสร้าง ดังนั้นทายาทของลิลิธที่ให้กำเนิดแก่อดัม จึงมีแต่พวกอสุรกายมารร้ายที่น่าเกลียดน่ากลัว ท้ายที่สุดหลังจากปฐมบาปของมนุษย์เกอดขึ้น (การกินผลไม้ต้องห้าม) ลิลิธจึงกลายไปเป็นคนสนิทและชายาของซาตานพระยะโฮวาห์จึงสร้างมนุษย์คนใหม่ ขึ้นมาแทน นั่นก็คือ Eveซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากซี่โครงของอดัมนั่นเอง

    ลิลิธเป็นหญิงที่มีความงามที่ค่อนข้างจะออกไปทางน่ากลัวอย่างไม่สร่างซาไม่ มีใครรู้แน่ชัดว่าเธออายุเท่าไหร่ เนื่องจากกาลเวลาไม่สามารถสร้างรอยตำหนิให้แก่เธอได้...มาถึงตอนนี้สาวๆหลาย คนคงอิจฉาลิลิธแล้วสินะ ข้อด้อยเพียงอย่างเดียวของเธอก็คือ ในบางเวลาท่อนขาอันเรียวงามของลิลิธจะเต็มไปด้วยขนอันยุ่บยั่ยเยอะจนมองไม่ เห็นผิวเนื้อ ซึ่งเธอถือเป็นเรื่องน่าอับอายที่สุดในชีวิต ถ้าหากชายใดพบความลับของเธอเข้าล่ะก็คงสายเสียแล้ว หากเขาคิดจะนำไปบอกใคร

    เชื่อกันว่า ลิลิธนี่แหละ คือ Mother of the Vampire ต้นตระกูลแห่งแวมไพร์ขนานแท้ที่สืบเนื่องกันมานานหลายศตวรรษโดยติดต่อกัน ผ่านทางสายเลือด หล่อนสามารถหายตัวผ่านสิ่งกีดขวางทุกชนิด และไปปรากฏตัวยังอีกด้านหนึ่งได้เพื่อที่จะไปดูดเลือดเหยื่อ หรือไม่ก็สมสู่ล่อลวงผู้ชาย

    ผู้ชายที่สมสู่กับเธอในความฝัน เมื่อตื่นมาจะรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ราวกับว่าถูกผีดูดเลือดสูบเลือดออกไปจากตัวจนเหือดแห้งนอกจากพฤติกรรมชอบลัก หลับผู้ชายแล้ว นิสัยของลิลิธที่คล้ายกับคนในยุคปัจจุบันคือ ถ้ำมอง หล่อนชอบหายตัวเข้าไปลอบดูสามีภรรยากุ๊กกิ๊กกัน และคอยขโมยน้ำเชื้อผู้ชายเพื่อนำไปสร้างเป็นอสุรกายตัวใหม่ ให้เป็นข้ารับใช้ของเธอ


    [​IMG]

    ตามคัมภีร์เก่าแก่กล่าวไว้ว่าพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ผู้ชายคนแรกขึ้นจากดิน ซึ่งนั้นก็คือ "อดัม" และต่อมาก็ได้ใช้กระดูกซี่โครงของอดัมสร้าง "อีฟ" ขึ้นมา อดัมกับอีฟได้อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุขที่สวนเอเดน จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งพวกเขาก็ได้ถูกงูล่อล่วงให้กินผลไม้แห่งความรู้ที่ เป็นของต้องห้าม ทั้งสองจึงต้องถูกขับไล่ไปอยู่ทางตะวันออกของเอเดนอดัมกับอีฟจึงได้ชื่อว่า เป็นมนุษย์คู่แรกบนโลกนี้


    ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่าขานกันมาของศาสนาคริสต์ ทว่ายังมีเอกสารจารึกแห่งคาบาล่าที่มีการตีความไปอีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือ ความเชื่อที่ว่า "ตอนที่พระเจ้าสร้างอดัมขึ้นจากดินนั้นในเวลาเดียวกัน ลิลิธ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา" จากความเชื่อนี้จึงถือได้ว่า ภรรยาคนแรกของ อดัมก็คือ ลิลิธ ส่วน อีฟ นั้นเป็นภรรยาคนที่ 2


    [​IMG]



    ลิลิธเป็นคนไม่ยอมใครจึงปราถนาที่จะเป็นคู่ชายหญิงที่ทัดเทียมกับอดัมทว่า เมื่ออดัมกับลิลิธคิดจะมีสัมพันธ์กันความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ได้เกิดรอย ร้าวขึ้น
    อดัม ยืนกรานไม่ยอมรับที่จะทำตามความปราถนาที่อยากครองคู่กันเพียงสองคนกับลิลิธ ซึ่งอภัยให้ไม่ได้กับการที่ถูกผู้ชายกดขี่ จึงได้พยายามต่อต้านและหนีออกมาในที่สุด และคนที่มาอยู่กับอดัมคนต่อมาก็คืออีฟ เธอเป็นผู้หญิงที่ว่าง่ายเชื่อฟังอดัมผิดกับลิลิธ แล้วหลังจากนั้นก็มีทัศนะต่างๆ มากมายเกี่ยวกับพวกเขาทั้งสองว่าลงเอยกันอย่างไร


    ส่วนลิลิธนั้นบ้างก็มีความเชื่อว่าเธอได้ไปเป็นภรรยาของเจ้าแห่งฝันร้าย ลูซิเฟอร์และได้ดื่มด่ำกับชีวิตรักที่มีอิสระโดยไม่ยอมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใดๆ บ้างก็ว่า
    ลิ ลิธเธอได้ถูกพระเจ้าลงทัณฑ์ด้วยการโดนท่านขู่ว่าจะฆ่าลูกของเธอทุกวัน 100 คน แล้วบ้างก็ว่าลิลิธเธอได้สิ้นหวังในชีวิตจึงได้ทอดกายตนเองลงบนทะเลแดงเดือด เช่นกัน… ทว่าเหล่าเทวดาผู้สงสารในชะตากรรมของลิลิธจึงได้มอบ "พลังที่สามารถควบคุมโชคชะตาของเหล่าเด็กๆ" ให้กับเธอ พวกเหล่ามารดาทั้งหลายจึงพากันหวาดกลัวว่าพลังนั้นจะมีผลกระทบต่อลูกของตน ตอนที่ให้ลูกนอนจึงได้บ่นพึมพำเบาๆ ว่า "ลิลิธเอย เจ้าจงหายไปซะ" และถ้อยคำเหล่านี้ก็คือ " LULLABY (เพลงกล่อมเด็ก)" ที่โลกเรารู้จักจนถึงทุกวันนี้ถึงจะมีความเชื่อยังไงก็แล้วแต่ ลิลิธเธอเป็นผู้หญิงที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ส่วนเหล่าลูกสาว "ลิลิมุ" ก็มีคนจำนวนมากมองว่าเป็นพวก "ซาคิวบัส" (ปีศาจฝันร้ายที่ดูดกลืนวิญญาณ)

    ส่วนอดัม...

    ที่ตามตำนานกล่าวไว้ว่าเขาได้ทิ้งลิลิธไปเพราะเธอไม่ยอมเชื่อฟังตนแต่ที่ จริงแล้วนั้นการที่ลิลิธได้หนีไปกลับเป็นความปรารถนาของเขาเอง เมื่ออดัมรู้ถึงชะตากรรมของตนเองที่จะถูกดูดกลืนไปกับความลุ่มหลง (กินผลไม้แห่งความรู้) ซึ่งถ้าหากทั้งสองอยู่ด้วยกันนั้นลิลิธจะต้องถูกชะตากรรมเดียวกันกับเขาเอง

    ซึ่ง อดัมไม่อยากที่จะให้เป็นเช่นนั้นเขาจึงทำทุกอย่างเพื่อให้ลิลิธหลีกเลี่ยง สิ่งนี้เพราะอดัมอยากที่จะให้ลิลิธหญิงสาวที่ตนรักได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็น อิสระและมีความสุขตลอดไป แต่น่าเสียดายที่อดัมไม่มีโอกาสที่จะให้ลิลิธได้รับรู้ถึงความปรารถนานี้ไป ตลอดกาล..

    [​IMG]


    ย้อนกลับมาที่มุมมองของโซห์อาร์ ...ซึ่งได้กล่าวถึงความอ่อนแอของผู้ชายอย่างอดัม...


    เขาคุกเข่าอ้อนวอนให้คนรักกลับคืน พระเจ้าส่งทูตสวรรค์สามองค์ไปพาลิลิธกลับมาแต่เธอไม่ยอมทำตามคำขอร้องนั้น ในที่สุดทูตสวรรค์จึงปล่อยให้ลิลิธใช้ชีวิตอย่างที่เธอต้องการ ในข้อแม้ว่าจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเกิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกทั้ง นามของเธอก็จะไม่หลงเหลือให้กล่าวขวัญอีกต่อไปแล้วพระยะโฮวาห์ก็ได้มอบลิลิ ธให้เป็นของขวัญแก่ แซมมาเอล (ซาตาน) เธอคือภรรยาคนแรกในจำนวนทั้งหมดสี่คนของของจอมปิศาจ

    กระนั้น ในตำนานอื่นๆอีกหลายฉบับ เล่าถึงการแต่งงานระหว่างลิลิธกับจอมปิศาจแตกต่างกันออกไปโดยตำนานเหล่านั้น ไม่ได้เล่าว่า เธอคือของขวัญจากพระเจ้าหากบอกว่า...ซาตานพบและตกหลุมรักลิลิธระหว่างที่เธอ กำลังร่อนเร่ไปอย่างไม่รู้ทิศทาง ..
    แต่เรื่องหนึ่งที่ทุกตำนานเล่าเหมือนกันก็คือในการสมรสครั้งใหม่ เธอได้รับบทพิศวาสอย่างที่ใจปรารถนา..
    ไม่ว่าเธอหรือเขาล้วนมีสิทธิเท่าเทียมในการอยู่เบื้องบนหรือเบื้องล่างของ อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งวัฒนธรรมการสับเปลี่ยนบทบาททางเพศนี้ สามารถอธิบายพาดพิงถึงความเชื่อในอีกตำนานหนึ่งที่ว่า ลิลิธมีฮอร์โมนของเพศชายอยู่ในตัวเธอด้วย


    ลิลิธคงจะเป็นตำนานอันเก่าแก่เกินไปของบรรดาชาวยิวและคริสเตียน ในขณะที่เรื่องราวของเธอปรากฎมากมายและโดดเด่นตลอดระยะเวลาในตำนานโบราณหลาก หลายฉบับ เช่น ในความเชื่อของอารยธรรมซูมาเรียน และบาบิโลเนียน ราว 3,500 ปีก่อนคริสต์กาล เธอปรากฎในตำนานฐานะจอมปิศาจลามาซตู (Lamashtu) ผู้ถูกเนรเทศออกจากสรวงสวรรค์ เนื่องจากเพราะความร้ายกาจของตนเอง

    [​IMG]
    ส่วนในตำนานอื่นๆของซูมาเรียน เธอมีชื่อหลายอย่าง อาร์ดัท ลิลี่ (Ardat Lili) หรือ ลีลีตู (Lilitu) เทพยดาผู้เป็นคู่ครองของจอมปิศาจ ลีลู (Lilu) สำหรับตำนานบทนี้ .. เธอถูกวาดภาพเป็นหญิงปราศจากศีลธรรม เต็มไปด้วยตัณหาราคะ คือหญิงสวยยั่วยวนใจในเรื่องเพศ เธอจะใช้มารยาล่อลวงชายขณะหลับใหล ทั้งยังชอบสังหารเด็กๆ ลิลิธมักถูกสร้างภาพให้เป็นปิศาจ บางครั้งได้รับการบรรยายเป็นสิ่งในชีวิชนิดหนึ่ง รูปร่างเหมือนงูใหญ่มีปีกแต่มีศีรษะเป็นผู้หญิง
    "ลูก สาวของซาตาน -- หญิงสาวในเงามืด.. นั่นคือลิลิธผู้ได้รับฉายาไอซิส แห่งลุ่มน้ำไนล์" วิคเตอร์ ฮิวโก ผสมผสานเธอเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเทพธิดาผู้ให้กำเนิดอารยธรรมอียิปต์โบราณ

    ลิลิธถูกพิพากษาให้อยู่ที่ก้นบึ้งของขุมนรก และด้านมืดของจิตใจตลอดไปเธอต้องทุกข์ทรมานเพียงไรกับชะตากรรมนี้ บางทีเธออาจไม่ได้น่ากลัวหรือโหดร้ายอย่างที่ใครๆว่าไว้เลย… หน้าที่ของลิลิธที่ทำเป็นประจำก็คือ การให้กำเนิดอสูรกายและวิญญาณชั่วร้ายใหม่ๆเพื่อให้มาเป็นลูกน้องของลูซิ เฟอร์ โดยการเข้าไปยั่วยวนพวกหนุ่มๆในความฝันเพื่อให้ชายหนุ่มเหล่านั้นยอมตกเป็น ของเธอ(คงรู้กันนะว่าทำอะไร) แล้วจากนั้นเธอก็จะสามารถให้กำเนิดอสูรกายใหม่ๆขึ้นมาได้ และ ในหมู่อสูรกายหลายร้อยชนิดที่เกิดมาจากลิลิธ มีอยู่สองชนิดที่มีความเหมือนลิลิธมากเรียกได้ว่าเป็นลูกเป็นแม่กันได้เต็ม ปากเลยทีเดียว

    [​IMG]


    ชนิดแรก ซาคิวบัส หรือ สคิวบัส และสอง อินซาคิวบัส หรือ อินสคิวบัส ซึ่งปีศาจสองชนิดนี้เป็นปีศาจที่มีพฤติกรรมคล้ายลิลิธเป็นอย่างมากคือ ซาคิวบัสนั้นจะชอบเข้าไปยั่วยวนผู้ชายทั้งหลายในความฝันและได้กับผู้ชาย นั้นๆ เพื่อนำเชื้อกลับไปให้ลิลิธเพื่อสร้างอสูรกายตัวอื่นๆต่อไป และ อินซาคิวบัสที่จะมีพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับซาคิวบัสคือ มันจะเข้าไป "ลักหลับ" ผู้หญิง บางครั้งก็เข้าไปลักในฝันแต่บางครั้งก็ลักหลับกันตรงๆเลยนี่แหละ จากนั้น ผู้หญิงที่ถูกอินซาคิวบัสลักหลับก็อาจตั้งท้อง และให้กำเนิดลูกออกมาได้โดยที่ลูกที่ออกมานั้น จะมีพลังอำนาจวิเศษติดตัวออกมาด้วย เช่น พ่อมดเมอร์ลิน เป็นต้น

    หน้าที่รองๆต่อมาของลิลิธก็คือ การดูแล ให้พลัง ลงโทษ และควบคุมเหล่าแม่มดทั้งหลาย โดยลิลิธจะคอยบันดาลความสวย สาวให้กับแม่มดที่บูชาซาตานทั้งหลาย ช่วยเป็นกำลัง และช่วยสอนศาสตร์มืดให้กับเหล่าแม่มด และ อีกอย่างที่ลิลิธมักจะทำก็คือ การสาปเด็กทารกในครรภ์แม่ ให้แท้ง หรือออกมาปัญญาอ่อน พิกลพิการ หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะออกมาแล้วก็กลายเป็นเด็กดื้อที่ขาดการเชื่อฟังพ่อ แม่เป็นอย่างมาก

    [​IMG]

    ลิลิธเรียกได้ว่าเป็นปิศาจที่จะคอยทำลายความรักที่ชายหญิงมีให้กันจริงๆ เมื่อนางรับรู้ว่ามีความรักเกิดขึ้นนางจะรีบเผ่นไปที่นั่นทันที นางจะทำทุกอย่างให้ชายหญิงมีอันต้องเลิกรากันไปจนได้ ทั้งการส่งเสียงกระซิบให้ฝ่ายหญิงระแวงฝ่ายชาย สร้างภาพเลวร้ายต่างๆนาๆในใจของฝ่ายหญิง หรือ การเข้าสิงใจของหญิงคนอื่นเพื่อให้มาแย่งฝ่ายชายไป รวมถึงการทำให้ผู้ชายมีความคิดที่จะนอกใจ และทำให้ผู้ชายเห็นผู้หญิงคนอื่นสวยกว่าคนรักของตน และอีกร้อยแปดพันเก้าวิธี ซึ่งลิลิธจะพ่ายแพ้ต่ออำนาจของสิ่งเดียวครับคือ อำนาจของรักแท้ ความเชื่อใจกันอย่างบริสุทธิและไม่มี

    ข้อแม้ ซึ่งถ้ามีสิ่งนี้อยู่ที่ไหน ลิลิธก็ไม่มีทางผ่านเข้าไปในที่นั้นๆได้

    ที่มา : http://writer.dek-d.com/haru_tatsu/story/viewlongc.php?id=351820&chapter=2#ixzz190jr8I3M
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2010
  5. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    เหล่า....เทพเเห่ง...ความตาย

    1. ทานาทอส - Thanatos oF Greek Roman ทานาทอส thanotos
    ทา นาทอส (Thanatos ภาษากรีกโบราณ: แปลว่า ความตาย) หรือ ออร์คัส (Orcus) ในภาษาลาตินที่ชาวโรมันเรียก เป็นเทพองค์หนึ่งในตำนานเทพของกรีก เป็นเทพแห่งความความตาย สามารถควบคุมความตายของสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตบนโลกเป็นบุตรชายของ นิกซ์ (Nyx) เทพีแห่งราตรี และ อีราบอส (Erabos)(หรือ เอเรบัส Erebus )เทพแห่งความมืด เป็นน้องชายฝาแฝดของฮิปนอส (Hypnos)เทพแห่งนิทรา โดยทั้งคู่อาศัยอยู่ยังขุมนรก เป็นเทพผู้ช่วยของฮาเดส (Hades) จ้าวแห่งนรก

    รูป ลักษณ์ของทั้งฮิปนอสและทานาทอส มักเป็นรูปชายหนุ่มเปลือยกาย หน้าตาเหมือนกันทั้งคู่จะมีปีกอยู่ที่ศีรษะคนละข้างสลับกัน มือหนึ่งของทานาทอสมักถือผีเสื้อหรือมาลัยดอกไม้โดยบทบาทของทานาทอสใน เทพนิยาย ทานาทอสจะเป็นผู้รับวิญญาณมนุษย์ไปยังยมโลก แต่ในบางตำนานจะยกบทบาทนี้ให้เฮอร์เมส (Hermes) เทพแห่งการสื่อสาร

    ปรากฏ ตอนนึงความว่า ได้ถูกกษัตริย์ซีซิสฟัส (Sisyphus) หลอกล่อจนหลงกลแล้วถูกจับขัง ทำให้ไม่มีคนตายจนกระทั่งเอรีส (Ares) เทพแห่งสงครามหงุดหงิดที่ไม่มีคนตายในการสู้รบจึงได้ใช้กำลังปลดปล่อยทานาทอ สและพาซีซิสฟัสไปยังยมโลก

    เนื่องจากเป็นเทพ แห่งความตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนหวาดกลัวและแม้แต่เหล่าเทพก็ยังรังเกียจทานาทอส จึงนับว่า ทานาทอสเป็นปีศาจตนหนึ่งก็ว่าได้ โดยทานาทอสเองก็เกลียดชังมนุษย์และเทพเจ้าอื่น ๆ เช่นเดียวกัน

    [​IMG]



    [​IMG]


    2. ยมทูตหัวกระโหลก God of The Death หรือ มัจจุราช Ankou ( อังกู )
    อย่าง ที่คนมักจะพบเห็นในลักษณะของร่างในผ้าคลุมสีดำสนิท ถือเคียวที่ใช้คร่าวิญญาณของผู้ที่สิ้นอายุไข เป็นสัญลักษณ์ของความตาย ความโชคร้าย เเต่อันที่จริงเเล้ว เคียวเป็นอาวุธของ โครนอส ราชายักษ์ไททันตามตำนานกรีกโรมัน ซึ่งลางเเห่งก็ถือว่าเป็นเทพเเห่งกาลเวลา...

    [​IMG]




    ที่มา : http://writer.dek-d.com/haru_tatsu/story/viewlongc.php?id=351820&chapter=27#ixzz190nEEbfu
     
  6. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [FONT=&quot]บาปทั้ง [/FONT][FONT=&quot]7 สิ่งยั่วยวนใจของมนุษย์[/FONT]
    [FONT=&quot]บาปทั้ง [/FONT][FONT=&quot]7 เรียงจากน้อยไปหามาก[/FONT][FONT=&quot]<o>
    [​IMG][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]</o>[/FONT]

    [FONT=&quot]1. ราคะ (ภาษาลาติน: luxuria ลุกซุเรีย ; ภาษาอังกฤษ: lust) <o></o>[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]การ คิดในทางเสื่อม ความต้องการเป็นที่สนใจจากผู้อื่น ความต้องการความเร้าใจ หมกมุ่นทางเพศที่มากจนเกินไป หรือที่ผิดมนุษย์ปกติ ความใคร่ที่เกิดขึ้นในทางทุจริต เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับ! กับพ่อแม่หรือลูกหลานตัวเอง การข่มขืน การมีชู้ แอสโมดิวส์ ปีศาจที่หลงรักมนุษย์หญิงสาวคนอื่นและฆ่าชายที่จะแต่งงานกับนางทุกคน เป็นปีศาจประจำบาปข้อนี้ สัญลักษณ์แห่งราคะคืองูหรือวัว สีประจำบาปนี้คือสีน้ำเงิน บทลงโทษผู้กระทำบาปข้อนี้คือ ถูกรมด้วยสารกำมะถันและไฟ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ศีลธรรมที่ช่วยกำจัดราคะคือ ความบริสุทธิ์ ความหวงแหนในพรหมจรรย์[/FONT][FONT=&quot]<o>

    </o>[/FONT]
    [FONT=&quot][/FONT] [FONT=&quot]<o>[​IMG][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]</o>[/FONT]
    [FONT=&quot]2. ตะกละ (ภาษาลาติน: gula ผมลา ; ภาษาอังกฤษ: gluttony) <o></o>[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]การ สนองความต้องการโดยไม่ยั้งคิด มุ่งร้ายเอาของคนอื่น บริโภคสิ่งต่างๆจนขาดการการไตร่ตรอง บริโภคจนมากเกินไป มากจนเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหาร รวมถึงการบริโภคสิ่งๆต่างๆโดยไม่คำนึงสนใจ หรือเห็นใจคนอื่น เบลเซบับ เจ้าชายแห่งนรกหรือเจ้าแห่งหมู่แมลงวัน เป็นปีศาจประจำบาปข้อนี้ สัญลักษณ์ของตะกละคือหมูหรือกา สีประจำบาปคือสีส้ม บทลงโทษของผู้ที่ตะกละในนรกคือการที่ถูกกินทั้งเป็นโดยหนู คางคก และงู ตะกละสามารถแบ่งออกเป็น [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]* Praepropere - กินเร็วเกินไป <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]* Laute - กินแพงเกินไป <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]* Nimis - กินมากเกินไป <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]* Ardenter - กินอย่างกระตือรือร้นเกินไป <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]* Studiose - กินอย่างประณีตเกินไป <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]* Forente - กินอย่างแรงกล้าเกินไป <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ศีลธรรมที่ช่วยกำจัดตะกละคือ ความพอดี การยับยั้งชั่งใจ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT][FONT=&quot]<o>
    [​IMG][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]</o>[/FONT]

    [FONT=&quot]3.โลภะ (ภาษาลาติน: avaritia อวาริเทีย ; ภาษาอังกฤษ: greed/avarice) <o></o>[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ความ ทะเยอทะยานอันแรงกล้าในการให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินและอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงแนวทางหรือคุณธรรมในการได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการขโมย การขู่กรรโชกทรัพย์ ยักยอก การกักเก็บทรัพย์สินต่างๆ โดยไม่แบ่งปันหรือช่วยเหลือผู้อื่น ต่อมาโลภะรวมถึง การหาทรัพย์อย่างทุจริตมาใช้เพื่อประโยชน์ทางศาสนาด้วย ถือเป็นการมุ่งร้ายต่อศาสนา และเป็นการหักหลังต่อผู้นับถือคริสต์ศาสนาอีกด้วย แมมมอน ปีศาจแห่งความมั่งคังที่ไม่เป็นธรรม เป็นปีศาจประจำบาปข้อนี้ สัญลักษณ์ของโลภะคือ กบ สีประจำบาปคือสีเหลือง บทลงโทษของผู้ที่โลภมากคือการถูกแช่ในน้ำมันเดือด [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ศีลธรรมที่ช่วยกำจัดโลภะคือ ความเมตตา การแบ่งปัน[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o>
    [​IMG][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]</o>[/FONT]

    [FONT=&quot]4.โทสะ (ภาษาลาติน: ira ไอรา ; ภาษาอังกฤษ: wrath) <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ความ โกรธเคืองและพยาบาทที่ขาดความเหมาะสม การทนรับสภาพในบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ การแสวงหาหนทางผิดกฎหมายบ้านเมือง ในศีลธรรมในการล้างแค้น การมุ่งร้ายที่จะทำสิ่งต่างๆแก่บุคคลที่ตนไม่ชอบ รวมถึงการไม่ชอบบุคคลอื่นโดยไร้เหตุผล เช่น สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา นำไปสู่การฆ่าและฆาตกรรมผู้อื่น โมหะคือความโกรธที่ไม่ต้องการที่จะยกโทษ ซาตาน ปีศาจแห่งความมืดเป็นตัวแทนประจำบาปข้อนี้ สัญลักษณ์ของโมหะคือหมี สีประจำบาปคือสีแดง บทลงโทษของผู้ที่มีบาปโมหะคือ การถูกฉีกร่างทั้งเป็น (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ศีลธรรมที่ช่วยกำจัดโมหะคือ ความนอบน้อม การให้อภัย[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT][FONT=&quot]<o>
    [​IMG][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]</o>[/FONT]

    [FONT=&quot]5.เกียจคร้าน (ภาษาลาติน: acedia อาซีเดีย ; ภาษาอังกฤษ: sloth/laziness) <o></o>[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ความ ไม่สนใจใยดีต่อการเปลี่ยนแปลง ต่อสิ่งรอบข้าง ใช้เวลาอย่างไร้ค่า ความไม่ต้องการที่จะทำอะไร โดยปล่อยให้ผู้อื่นเป็นผู้ทำงานหนักเพื่อตนเองเท่านั้น การปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการละเลยที่จะทำดีรวมถึงการละเลยที่จะเคารพต่อพระเจ้าด้วย ผู้ที่เกียจคร้านจะอยู่เฉยๆ รักษาสภาพความเป็นอยู่ของตนเองในภาวะเดิมตลอดเวลา ไม่ทำอะไรมาก แต่ก็ไม่ใช้อะไรมากเช่นกัน เบลฟีเกอร์ ปีศาจผู้ไม่ยอมทำอะไรเพียงแต่บอกให้มนุษย์คอยทำสิ่งเหล่านั้นให้เป็นปีศาจ ประจำบาปข้อนี้ สัญลักษณ์ของเกียจคร้ายคือแพะ สีประจำบาปคือสีคราม บทลงโทษของผู้เกียจคร้านคือการถูกโยนลงไปในบ่องูพิษ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ศีลธรรมที่ช่วยกำจัดเกียจคร้านคือ ความกระตือรือร้น ความทะเยอทะยาน[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o>
    [​IMG][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]</o>[/FONT]

    [FONT=&quot]6.ริษยา (ภาษาลาติน: invidia อินวิเดีย ; ภาษาอังกฤษ: envy) <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ความ ปรารถนาให้ผู้อื่นรับเคราะห์ การไม่ยอมรับผู้อื่นที่มีสิ่งต่างๆ ดีกว่าตนเอง ทั้งด้านทรัพย์สมบัติ ลักษณะรูปร่างนิสัย และ การประสบความสำเร็จ ความอิจฉานำไปสู่การรังเกียจตัวเอง ต้องการอยากเป็นผู้อื่น นำไปสู่การขโมยและทำลายผู้อื่น ความอิจฉาริษยาเป็นการพัฒนาต่อจากตะกละและโลภะที่สุดขั้ว ลิวาธาน ปีศาจอสรพิษทะเลแห่งนรก ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านพระเจ้าถือเป็นปีศาจประจำบาปนี้ สัญลักษณ์ของริษยาคือสุนัข สีประจำบาปคือสีเขียว บทลงโทษผู้ที่มีความอิจฉาคือถูกแช่แข็งในน้ำเย็นจัด[/FONT]
    [FONT=&quot]ศีลธรรมที่ช่วยกำจัดอิจฉาคือ ความกรุณา ความเผื่อแผ่[/FONT][FONT=&quot]<o>
    [​IMG][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]</o>[/FONT]

    [FONT=&quot]7.อัตตา (ภาษาลาติน: superbia ซูเปอร์เบีย ; ภาษาอังกฤษ: Vanity/pride[/FONT][FONT=&quot])[/FONT]
    [FONT=&quot]อัตตา เป็นยอดแห่งบาปทั้งปวง หมายถึงความต้องการเป็นผู้ที่มีความสำคัญและอำนาจเหนือผู้อื่น (เช่นต้องการเป็นพระราชา) การที่รักตนเองมากจนเกินไป หลงในอำนาจและรูปลักษณ์ของตัวเอง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปรียบตนเองเทียบเท่ากับพระเจ้า) ซึ่งบาปประการนี้ทำให้ ลูซิเฟอร์ (ปีศาจประจำบาปนี้) ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ เนื่องจากลูซิเฟอร์เห็นว่าตนมีอำนาจเท่ากับพระเจ้าและสามารถสร้างพรรคพวกของ ตัวเองเพื่อต่อต้านและไม่เคารพพระเจ้า คนที่มีความโอหังจะสนใจเฉพาะตนเองเท่านั้น ไม่สนใจว่าผู้อื่นจะเป็นเช่นไร สัญลักษณ์ของอัตตาคือ ม้า สิงโต หรือ นกยูง สีประจำบาปคือสีม่วง บทลงโทษของผู้ที่โอหังคือการถูกทรมานบนวงล้อ (มัดกับวงล้อแล้วให้วงล้อหมุนเรื่อยๆ ผู้ถูกทรมานจะถูกบดขยี้กับพื้น) [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ศีลธรรมที่ช่วยกำจัดโอหังคือ ความถ่อมตน การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น[/FONT]


    ที่มา : http://writer.dek-d.com/haru_tatsu/story/viewlongc.php?id=351820&chapter=39#ixzz190sBZSt2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2010
  7. sakara

    sakara Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +80
    ขอบคุณมากครับ ชอบอ่านจริงๆ :D
     
  8. หล่อสะท้านภพ

    หล่อสะท้านภพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +66
    สงสัยแต่ว่าทำไมเทวดาฝรั่งต้องมีปีก หรือเป็นเพียงจิตนาการที่ฝรั่งคิดว่า การจะบินได้ลอยได้เหาะได้ในอากาสนั้นต้องมีปีก แต่ถ้าได้มาศึกษาเรื่องจิตและปฏิบัติบำเพ็ญเพียรทางจิตแล้ว ก็จะรู้ได้ว่าความจริงแล้วมันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเลย
    "ผู้มีจิตตั่งมั่น ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง"
     
  9. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    God of China เหล่าเทพเจ้าของชาวจีน

    เทพเจ้าของชาวจีน
    [​IMG]
    ประมุขเทพอวี้หวงต้าตี้
    เทพบดีผู้ปกครองสวรรค์ และเหล่าเทพยดาทั้งหมด รวมทั้งทรงเป็นผู้กำหนดชะตาสรรพ
    ชีวิตในโลก ทรงไว้ซึ่งบรมเทวานุภาพสูงสุด เมื่อมีเหตุการณ์ใดๆ จะทรงมีเทวโองการ
    ใหเทพองค์ใดองค์หนึ่งหรือเป็นคณะไปดำเนินการต่างพระเนตรพระกรรณ และทรงเป็น
    ใหญ่เหนือยัญญพิธีต่างๆ ในลัทธิเต๋า ปกติเทพบดีองค์นี้ประทับอยู่ในพระราชวังหยกหรือ
    อี้จิง ตั้งอยู่บนเขาชีเป่าซาน พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ เง็กเซียงฮ่องเต้

    [​IMG]
    พระเทวีซีเทียนหวังหมู่
    หรือพระแม่ซีหวังหมู่ ราชินีสวรรค์ซึ่งประทับอยู่ ณ วังตะวันตก เทือกเขาคุนหลุน ทำ
    หน้าที่ปกครองคณะเทพฝ่ายหญิงทั้งหมด และทรงมีบทบาทสำคัญในการส่งเซียนองค์
    ใดองค์หนึ่งไปยังโลกมนุษย์ เพื่อชี้แนะคนที่สั่งสมบุญบารมีมามากเพียงพอที่จะได้เป็น
    เซียนต่อไป
    ในวันที่ ๑ เดือน ๓ ของทุกปีถือเป็นวันคล้ายวันประสูติ พระแม่เจ้าองค์นี้ทรงจัดงานเลี้ยง
    ฉลองอย่างใหญ่โต เหล่าทวยเทพในสวรรค์พากันไปร่วมงาน และเป็นเหตุให้มีเรื่องราว
    ต่างๆ ตามมาอีกมาก พระนางยังทรงมีความเกี่ยวข้องกับลูกท้อวิเศษ และยาทิพย์ที่ทำ
    ให้เป็นอมตะ ซึ่งทรงครอบครองไว้มากที่สุด พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ ไซอ้วงบ๊อ
    หรือ อ่วงบ้อเหนี่ยเนี้ย ในไซอิ๋วเรียก อ๋องโปเนี่ยเนี้ย

    [​IMG]
    เทพปรมาจารย์ไท่ซ่างเหล่าจวิน
    เดิมคือปรมาจารย์เหล่าจื่อ หรือเล่าจื๊อ ผู้ค้นพบอภิปรัชญาแห่งลัทธิเต๋า ได้รับสถาปนา
    ขึ้นเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ในรัชสมัยจักรพรรดิถังไท่จง (พ.ศ.๑๑๗๐-๑๑๙๒) มีหน้าที่เป็นเทพ
    ที่ปรึกษาของประมุขเทพอวี้หวงต้าตี้ พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ ไท่เสียงเหล่ากุง

    [​IMG]

    เทพบดีเสวียนเทียนซ่างตี้
    เทพชั้นผู้ใหญ่อีกองค์หนึ่ง ไม่ค่อยมีบทบาทในเทวปกรณ์ แต่ได้รับการนับถือมากในหมู่
    ชาวจีนกวางตุ้งและจีนโพ้นทะเลว่าเป็นผู้ประทานอำนาจวาสนา บารมี และความเป็นที่
    เคารพยำเกรง พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ เฮียงเทียงเซี่ยงตี่ โดยมากเรียกกันว่า
    ตั่วเหล่าเอี๊ย คนไทยเรารู้จักในนาม เจ้าพ่อเสือ

    [​IMG]
    เทพบดีไฉ่เสินเอี๋ย
    เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ผู้อำนวยโชคดี ความมั่งคั่ง และร่ำรวยแก่ผู้บูชา เป็นเทพเจ้าองค์
    แรกที่ชาวจีนจะต้องกราบไหว้ในเทศกาลตรุษจีน โดยแต่ละปีจะเสด็จมายังโลกมนุษย์ใน
    ทิศทางและเวลาที่ต่างกัน ประพฤติเหตุในการเสด็จมานี้สามารถคำนวณได้ล่วงหน้า และ
    ผู้บูชาก็จะตั้งโต๊ะรับกันทั่วไปได้ถูกต้อง พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ ไฉ่ซิ่งเอี๊ย

    [​IMG]
    คณะเทพคุ้มครองดวงชะตา
    มีจำนวนทั้งสิ้น ๖๐ องค์ แต่โดยทั่วไปได้รับการบูชาในลักษณะเทพองค์เดียว ซึ่งเป็น
    องค์สมมุติโดยภาพรวมของเทพทั้ง ๖๐ องค์นั้น ทรงมีเทวานุภาพส่งเสริมสิ่งที่ดี และ
    ขจัดสิ่งร้ายในดวงชะตาบุคคลซึ่งเป็นอริกับปีนักษัตรที่เข้ามาถึง พระนามในสำเนียงแต้จิ๋ว
    คือ ไท่ส่วยเอี๊ย

    [​IMG]
    พระแม่เทียนโหว
    มหาเทพนารีผู้คุ้มครองชาวเรือ เป็นที่นับถือมากในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเล ทรงมีพระนาม
    เดิมว่า ม๋าจู่ เดิมเป็นหญิงสาวชาวประมงที่ออกทะเลไปช่วยชีวิตบิดาจนตัวตาย มักฉลอง
    พระองค์สีแดงเป็นเอกลักษณ์ พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ เทียงเจียเสี่ยบ้อ คนไทยเรา
    รู้จักกันในนาม เจ้าแม่ทับทิม

    [​IMG]
    พระแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่
    มหาเทพนารีแห่งสวรรค์ทั้งเก้า ผู้พิทักษ์รหัสนัยแห่งสวรรค์ ผู้รักษาสรรพตำราของ
    เทวโลก ถือกันว่าทรงเป็นผู้ให้กำเนิดราชวงศ์ซาง (๑,๗๕๑-๑,๑๑๒ ปีก่อนคริสตกาล)
    โดยปรากฏพระองค์เป็นนกนางแอ่นสวรรค์ พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ กิวเทียงเหี่ยงนึ่ง


    [​IMG]
    เทพกสิกรรมเสินหนง
    เทพแห่งการเกษตร การรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร เดิมคืออดีตกษัตริย์ในยุคบรรพกาล
    ของจีนที่ทรงทดลองการใช้ยาสมุนไพรต่างๆ เพื่อนำมารักษาผู้คนจนสิ้นพระชนม์ ถือเป็น
    เทพปรมาจารย์ของแพทย์สมุนไพรจีน พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ สิ่งล้ง

    [​IMG]

    พระแม่เส้าซือหมิง
    เทพ มารดร หรือเทพนารีจีนสมัยแรกๆ พระแม่เส้าซือหมิงนั้นได้รับการนับถือกันว่าทรงเป็นผู้กำหนดดวงชะตาของเด็ก แรกเกิดทุกคน และทรงมีเทวานุภาพดลบันดาลให้ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือไม่อีกด้วย


    [​IMG]
    พระแม่หนี่วา
    มหาเทพนารีผู้ประทานกำเนิดมนุษย์จากดินริมฝั่งแม่น้ำฮวงเหอ ผู้ทรงปกป้องมนุษย์จาก
    ยุคโลกาวินาศ ทรงเป็นผู้บูรณะสรรพสิ่งและทรงนำอารยธรรมมาสู่มวลมนุษย์ อีกทั้งยัง
    ทรงเป็นเทพนารีแห่งการสมรสและครอบครัว
    พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ หนึ่งออเหนี่ยเนี้ย

    [​IMG]
    คณะเทพ ๘ เซียน
    ผู้ดลบันดาลความรุ่งเรืองและความเป็นอมตะ มีประวัติความเป็นมาต่างๆ กัน ได้แก่
    หลี่เถี่ยกว่าย จงหลีเฉวียน จางกว่อเหล่า หลานไฉ่เหอ เหอเซียนกู หานเซียงจื่อ
    เฉากว๋อจิ้ว และ ลวี่ต้งปิน พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ หลี่ทิก้วย ฮั่นเจ็งหลี เจียงกั๋วเล้า
    หน่าไชหัว ฮ่อเซียงโกว ฮั่นเซียงจื๊อ เช่าก๊กกู๋ และ ลื่อท่งปิง ตามลำดับ เรียกรวมๆ ใน
    สำเนียงจีนกลางว่า ปาเซียน สำเนียงแต้จิ๋วว่า โปยเซียง คนไทยนิยมเรียกกันว่า
    โป๊ยเซียน


    [​IMG]

    เทพกวงตี้
    เทพเจ้าแห่งสงคราม ความซื่อสัตย์ และคุณธรรม เดิมเป็นขุนศึกที่มีชื่อเสียงที่สุดในกอง
    ทัพของ หลิวเป้ย (เล่าปี่) สมัยสามก๊ก (พ.ศ.๗๖๓-๘๐๘) พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ
    กวนอู


    [​IMG]
    พระแม่ฉางเอ๋อ
    เทวีแห่งดวงจันทร์ ผู้ประทานความสวยงามและความอุดมสมบูรณ์ เดิมเป็นหญิงสาวชาว
    โลกที่ได้รับพลังแห่งยาวิเศษทำให้กลายเป็นเทพ และลอยขึ้นไปประทับบนดวงจันทร์
    บางตำราว่าเคยเป็นเทพธิดาที่ถูกขับไล่จากสวรรค์พร้อมกับพระสวามีคือ เทพขมังธนู
    โฮ่วอี้ พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ เซี่ยงง้อ


    เทพหวงต้าเซียน
    เดิมเป็นคนสมัยราชวงศ์ฉิน (พ.ศ.๓๒๒-๓๓๗) ฆ่าแพะตายตอนอายุ ๘ ขวบ แต่เพราะได้
    สั่งสมบุญบารมีมาในชาติก่อน เมื่อได้ศึกษาคัมภีร์เต๋าจึงบรรลุธรรม สถิตอยู่ในถ้ำจินฮว๋า
    เพื่อคอยช่วยเหลือมนุษย์ เป็นที่นับถือกันมากในฮ่องกง

    [​IMG]
    ยุวเทพหน่าจา
    โอรสของเทพหลี่จิ้ง เป็นผู้ประหารโอรสของจักรพรรดิมังกร และตัดสินใจแล่เนื้อตนเอง
    เพื่อปกป้องพระบิดาจากจักรพรรดิมังกรจนตาย ต่อมาได้รับการชุบชีวิตใหม่ พระนามใน
    สำเนียงแต้จิ๋วคือ หล่าจา คนไทยเรานิยมเรียกกันว่า นาจา

    [​IMG]

    พระแม่ตี้หมู่เหนียงเหนียง
    พระแม่ธรณี เทวลักษณะเป็นเทพนารีประทับนั่งบนบัลลังก์สวมศิราภรณ์แบบสตรีชั้นสูง
    ของจีน พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ ตี่บ้อเหนี่ยเนี้ย หรือ ตี่บ้อเสียะเนี้ย

    [​IMG]
    เทพจงขุย
    เทพปราบปีศาจ เดิมเป็นบุรุษหน้าตาดุร้ายซึ่งถูกกลั่นแกล้งให้สอบจอหงวนไม่ผ่านจึง
    อธิษฐานเป็นเทพ แล้วเอาศีรษะชนกำแพงตาย ได้รับการสถาปนาเป็นเทพอารักษ์ในรัช
    สมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง (พ.ศ.๑๒๕๓-๑๒๙๙) พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ เจ็งคุ้ย


    [​IMG]

    เทพาจารย์จางเทียน
    เดิมคือเทพาจารย์จางเต้าหลิงผู้ปริวรรตลัทธิเต๋าขึ้นเป็นศาสนา เกิดในสมัยราชวงศ์ฮั่น
    (พ.ศ.๕๖๘-๗๖๓) ได้ศึกษาคัมภีร์เต๋าจนบรรลุธรรม มีอิทธิฤทธิ์ปราบปีศาจและช่วยเหลือ
    ผู้คนให้พ้นจากโรคร้าย และได้เหาะไปสู่สวรรค์พร้อมกับภรรยาเมื่ออายุได้ ๑๒๐ ปี


    [​IMG]

    เทวแพทย์ฮวาโถว
    เทพแห่งการแพทย์แผนจีน เดิมเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในด้านการผ่าตัด มีชีวิตอยู่ในสมัย
    สาม ก๊ก เมื่อครั้งที่ เฉาเชา (โจโฉ) ถูกอำนาจเทพารักษ์บันดาลให้ปวดศีรษะอย่างรุนแรง มีอาการประสาทหลอน หมอฮวาโถวแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัด เฉาเชาคิดว่าหมอ
    ฮวาโถวคิดฆ่าตนจึงให้จับไปขังคุกจนตาย พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ ฮั่วท้อ สำเนียง
    ฮกเกี้ยนว่า ฮัวโต๋


    [​IMG]

    เทพทวารบาลเหมินเสิน
    เทพารักษ์คุ้มครองประตูทางเข้าสถานที่ต่างๆ มี ๒ องค์ คือ เสินถู และ อวี้เหล่ย เดิม
    เป็นเทพรักษาด่านภูตผี คอยจับวิญญาณร้ายที่จะหนีมาโลกมนุษย์ จึงเกิดความนิยมเขียน
    พระนามเทพทั้งสองไว้ตามประตูบ้านเพื่อให้ผีกลัว พระนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ หมึ่งซิ้ง






    [​IMG]



    อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/haru_tatsu/story/viewlongc.php?id=351820&chapter=88#ixzz191auiLwW
     
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    God of India เทวดาในศาสนาอินเดีย

    [​IMG]


    พระคเณศ (Ganesh)
    เทพ แห่งอุปสรรค ความสำเร็จ สติปัญญา ไหวพริบ ผู้เป็นใหญ่เหนือบรรดาภูตผีปีศาจ ผู้ประพันธ์คัมภีร์ มหาภารตะ (Maha Bharata) และเป็นเทพองค์แรกสำหรับการบูชาในพิธีกรรมทั้งปวง ทรงมีพระเศียรเป็นช้าง งาหักข้างหนึ่ง พระกายอ้วนกลม ฉลองพระองค์สีเหลือง ทรงมีเทพอาวุธคือ อังกุศะ (Ankusha) หรือขอสับช้าง, ปาศะ (Pasha) หรือบ่วงบาศ, ทันตะ (Danta) หรืองาที่หัก และถ้วยขนม โมทกะ (Modaka) พาหนะคือ หนู

    [​IMG]


    พระพรหม (Brahma)
    พระ เป็นเจ้าผู้สร้าง ลิขิต และควบคุมสรรพสิ่ง ผู้ประทานกฎสวรรค์ ผู้ให้กำเนิดคัมภีร์พระเวท ผู้เป็นใหญ่เหนือฤาษี พราหมณ์ และยัญญพิธีทั้งหมด เทพแห่งการสร้างสรรค์ (Creation) ความรู้ ความสำเร็จในศาสนา เทพผู้ประทานพร ทรงมี ๔ พระพักตร์ ฉลองพระองค์ขาว ทรงมีเทพอาวุธคือ ปัทมะ (Padma) หรือดอกบัว, คัมภีร์, อักษมาลา (Aksha Mala) หรือสร้อยประคำ และ กลศ (Kalasha) หรือหม้อน้ำแบบที่ผู้ถือพรตฮินดูใช้ตักน้ำจากแม่น้ำคงคาไปประกอบพิธี พาหนะคือ หงส์


    [​IMG]


    พระสรัสวดี (Saraswati)
    เทวี แห่งภูมิธรรม ปรีชาญาณ ความรู้แจ้ง พิธีกรรม การบำเพ็ญภาวนา การสวดมนต์ การใช้เวทมนต์ คำพูด การศึกษา การวิจัย ศิลปวิทยาการทุกสาขา มารดาแห่งพระเวท ผู้รักษากฎสวรรค์ เทวีซึ่งเป็นหลักในการประกอบพิธีกรรมทั้งปวง ทรงมีทิพยรูปเป็นสาวงาม ฉลองพระองค์ขาว ทรงมีเทพอาวุธคือ วีณา (Vina) หรือจะเข้อินเดีย, สร้อยประคำ หรือ อักษมาลา (Aksha Mala) และ คัมภีร์ พาหนะคือ หงส์และนกยูง

    [​IMG]


    พระวิษณุ (Vishnu)
    พระ เป็นเจ้าผู้ธำรงไว้ซึ่งความดีงามทั้งหมด ผู้ขจัดเหล่าอสูรและมารร้าย เทพแห่งความเป็นใหญ่ ความมีอำนาจ การปกครอง จักรพรรดิราช ความมียศถาบรรดาศักดิ์ ความยุติธรรม ผู้ประทานความสูงส่งและความเจริญรุ่งเรือง เทพสูงสุดแห่งไวษณพนิกาย (Vishnavism)ทรงมีทิพยรูปเป็นราชบุรุษที่งดงาม ฉลองพระองค์สีเหลือง มีเครื่องพัสตราภรณ์สำคัญ ๒ ชนิด คือ เกาสตุภ (Kaustubha) เป็นชุดของกรองศอ และ สยมันตกะ (Sayamantaka) หรือกำไลแก้ว
    ทรง มีเทพอาวุธคือ ปัทมะ (Padma) หรือดอกบัว, เกาโมทกี (Kaumodaki) หรือคฑา, สุทรรศน์ (Sudarsna) หรือจักร และ ปัญจชัณยะ (Panchajanya) หรือสังข์ พาหนะคือ ครุฑ

    [​IMG]



    พระลักษมี (Lakshmi)
    เทวี แห่งความงาม ความรัก ความอุดมสมบูรณ์ โภคทรัพย์ โชคลาภ ความผาสุก ความสมหวัง สุขภาพที่ดี สิริมงคล ความบริสุทธิ์ ความเจริญ เทวีผู้ประทานความงามแก่โลก และทรงเป็นหลักในการประกอบพิธีกรรมทั้งปวง ทรงมีทิพยรูปเป็นสาวงามเฉิดฉาย ฉลองพระองค์แดงและชมพู มักประดับตกแต่งอย่างวิจิตร ทรงมีเทพอาวุธคือ ปัทมะ (Padma) หรือดอกบัว ๒ ดอก, กมัณฑลุ (Kamandalu) หรือหม้อน้ำ ซึ่งบางครั้งมีเหรียญทองโปรยออกมา, จักร และรวงข้าว ในภาคที่เรียกว่า ธัญญลักษมี (Dhanya Lakshmi) พาหนะคือ ช้าง

    [​IMG]



    พระศิวะ (Shiva)
    พระ เป็นเจ้าผู้ธำรงไว้ซึ่งความลับแห่งโลกและจักรวาล ผู้ทรงหยั่งรู้ถึงปัจจัยแห่งการก่อเกิดและสิ้นสุดแห่งสรรพสิ่ง ผู้ประสานพลังแห่งเอกภพด้วยการร่ายรำ เทพแห่งการถือพรตและการบำเพ็ญเพียร ผู้อยู่เหนือเหล่าโยคีและภูต และเทพสูงสุดแห่งไศวนิกาย (Shaivism) ทรงมีทิพยรูปเป็นโยคี ฉลองพระองค์ด้วยหนังเสือ ประดับพระวรกายด้วยสร้อยประคำและจันทร์เสี้ยว มีงูเป็นสังวาลย์ ทรงมีเทพอาวุธคือตรีศูลซึ่งแขวนบัณเฑาะว์ไว้ด้วยกัน, กลศ (Kalasa) หรือหม้อน้ำ และสังข์ พาหนะคือ พระโคนนทิ (Nandi)

    [​IMG]


    พระอุมา (Uma)
    เทวี แห่งวาสนาบารมี ความเป็นใหญ่ ยศถาบรรดาศักดิ์ ชัยชนะ ความสำเร็จ ความสูงส่ง พลังอำนาจอันไร้ขอบเขต ความสมบูรณ์แห่งสตรีเพศ การให้กำเนิด ความเป็นมารดา เทวีแห่งความมั่นคง และเทพสูงสุดแห่งนิกายศักติ (Shakti) ทรงมีทิพยรูปเป็นสาวงาม ฉลองพระองค์เขียว น้ำเงิน หรือทอง ทรงมีเทพอาวุธคือตรีศูลและดาบ พาหนะคือ เสือหรือสิงโต

    [​IMG]


    พระสกันท์ (Skanda)
    เทพ แห่งสงคราม การต่อสู้ ชัยชนะ ความกล้าหาญ ความเป็นผู้นำ เกียรติยศ และชื่อเสียง เทพผู้อยู่เหนือผู้มีฤทธิ์ทั้งหมด ผู้ปราบปรามเหล่าอสูร ผู้ทำลายเขาเกราญจะให้พินาศ ผู้ประทานความสามารถในการต่อสู้และความกล้าหาญ ทรงมีทิพยรูปเป็นเด็กหนุ่ม ฉลองพระองค์ในชุดขุนศึกสมัยโบราณ ประกอบด้วยเสื้อเกราะ ผ้าสีเหลืองและเขียว ทรงมีเทพอาวุธคือ ศักติ (Shakti) หรือหอกซึ่งมีใบเป็นรูปดอกบัวตูม พาหนะคือ นกยูง


    [​IMG]


    พระกฤษณะ (Krishna)
    เทพ แห่งความสุข ความผาสุก ความสบาย ความรื่นรมย์ สติปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ การผจญภัย การเสี่ยง ความรัก กามารมณ์ ความปรองดอง การหยั่งรู้ถึงกฎเกณฑ์แห่งชีวิต การเข้าถึงความจริงอันสูงสุด เทพผู้ประทานหลักแห่ง ภควัทคีตา (Bhagavad Gita) ทรงมีทิพยรูปเป็นบุรุษรูปงาม ฉลองพระองค์ด้วยผ้าสีเหลือง ทรงมีเทพอาวุธคือ เวณุ (Vemu) หรือขลุ่ยผิว


    [​IMG]


    พระราม (Rama)
    เทพ แห่งความดีงาม ความถูกต้อง คุณธรรม ความยุติธรรม ความเป็นจักรพรรดิราช บุญญาธิการ พลังอำนาจ ชัยชนะ การทำลายปรปักษ์ ความมั่นคง ความรักในครอบครัวและในหมู่มิตรสหาย ความเสียสละ สัจจะ การทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ ทรงมีทิพยรูปเป็นราชบุรุษที่งดงาม ฉลองพระองค์ด้วยผ้าสีเหลือง ประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ตามแบบอย่างของจักรพรรดิ หรือไม่ก็ชุดนักบวช ทรงมีเทพอาวุธคือ ธนู



    [​IMG]
    พระอินทร์ (Indra)
    เท วราชแห่งสวรรค์ เทพแห่งพลังอำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ ความเป็นใหญ่ จักรพรรดิราช ความเจริญรุ่งเรือง การปกป้องคุ้มครอง การพิทักษ์รักษา ผู้ปกครองคณะเทพทั้งปวงในเทวโลก ทรงมีทิพยรูปเป็นบุรุษรูปงาม ฉลองพระองค์ด้วยผ้าสีเขียว ทรงมีเทพอาวุธคือ วัชระ (Vajra) พาหนะคือ ช้างเอราวัณ


    [​IMG]


    พระแม่กาลี (Kali)
    เทพ ปีศาจ เทวีผู้ปราบอสูร สิ่งชั่วร้าย อาถรรพณ์ อำนาจคุณไสย ความประสงค์ร้ายและบุคคลที่ชั่วร้าย เทวีแห่งชัยชนะและความน่าสะพรึงกลัว ผู้สำแดงพลังอันรุนแรง ผู้ขจัดและทำลายล้างอย่างสมบูรณ์ เทวีแห่งกามารมณ์ และพลังแฝงเร้นของเพศหญิง ผู้อยู่เหนือบรรดาปีศาจและอสูรทั้งหมด ทรงมีทิพยรูปเป็นหญิงสาวซึ่งมีลักษณะน่ากลัว ผิวกายดำ ไม่ฉลองพระองค์ ประดับพระกายด้วยหัวกะโหลก ศีรษะหรือแขนขาอสูร ทรงมีเทพอาวุธคือ ดาบ และมักถือศีรษะอสูร

    [​IMG]


    พระแม่คงคา (Ganga)
    เทวี แห่งสายน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ความอุดมสมบูรณ์ พลังอำนาจในการชำระบาปและมลทินต่างๆ พิธีกรรม ความเอื้ออาทรและความจงรักภักดี ชายาแห่งพระศิวะ ทรงมีทิพยรูปเป็นสาวงาม ฉลองพระองค์สีชมพูหรือขาว ทรงมีเทพอาวุธคือ กมัณฑลุ (Kamandalu) หรือหม้อน้ำ, ปัทมะ (Padma) หรือดอกบัว และสังข์ พาหนะคือ จระเข้

    [​IMG]


    พระมนัสเทวี (Manasa)
    เทวี แห่งงูและอสรพิษ ธิดาแห่งพระศิวะ แต่ทรงเอาชนะพระศิวะด้วยการบังคับผู้นับถือพระศิวะให้เปลี่ยนไปนับถือพระนาง ได้สำเร็จ ทรงมีทิพยรูปเป็นสาวงาม ฉลองพระองค์น้ำเงินหรือเขียว มักสวมศิราภรณ์รูปงู ทรงมีเทพอาวุธคือ ปัทมะ (Padma) หรือดอกบัว ๒ ดอก และงูเห่าตัวหนึ่ง พาหนะคือ เป็ด


    [​IMG]


    พระหนุมาน (Hanuman)
    เทพ วานร ขุนพลเอกแห่งพระราม เทพผู้ปราบเหล่ายักษ์ และผู้เป็นใหญ่เหนือวานรทั้งหมด เทพแห่งความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี ความกล้าหาญ ความมั่นคง พลังอำนาจ บารมีและชัยชนะ เทพผู้ขจัดภยันตราย ผู้ธำรงไว้ซึ่งกฎแห่งความถูกต้องดีงาม และการประพฤติธรรม ทรงมีเทวลักษณะเป็นเทพวานร พระกายสีขาว ฉลองพระองค์อย่างนักรบ ทรงมีเทพอาวุธคือ ตะลุมพุก


    อ่านต่อ :http://writer.dek-d.com/haru_tatsu/s...#ixzz191YIbzNF
     
  11. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    God of Egypt - คณะเทพประจำดินแดนลุ่มแม่นําไนล์

    คณะเทพที่สำคัญในสมัยอาณาจักรเก่า

    ( The Old Kingdom : ๒,๖๘๖-๒,๑๘๑ ปีก่อนคริสตกาล)




    [​IMG]


    เทพบิดรนุม (Num)



    เทพ บรรพชนผู้สร้างโลก และเทพเจ้าทั้งหมด เป็นเทพที่ไร้ตัวตนและไม่มีรูปเคารพ ชาวอียิปต์สมัยโบราณกระทำการบูชาเทพองค์นี้ด้วยการลงไปแช่น้ำเพียงเอวแล้วยก มือขึ้นทำความเคารพ


    เทพอาตุม (Atum)
    เดิมเป็นเทพผู้คุ้มครองปศุสัตว์ เป็นผู้ช่วยเทพบิดรนุมสร้างสิ่งมีชีวิตและภูตผีทั้งหลาย ต่อมาได้ถูกรวมเข้ากับสุริยเทพรา



    สุริยเทพรา (Ra)
    พระ เป็นเจ้าสูงสุดแห่งสวรรค์ เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์และท้องฟ้า ทรงถือกำเนิดจากดอกบัว และทรงสร้างเทพเจ้าทั้งหมด รวมทั้งมนุษย์ ทรงเป็นผู้ปกครองสวรรค์และโลกมาตั้งแต่ยุคปฐมกาล ต่อมาได้ทรงปกครองเฉพาะทวยเทพในสวรรค์ ภารกิจของพระองค์คือประทับเรือสุริยะโคจรข้ามขอบฟ้าจากเบื้องทิศตะวันออก
    ผ่านนครต่างๆ ๑๒ แห่งแห่งละ ๑ ชั่วโมง แล้วจึงหายลับไปในรัตติกาลทางทิศตะวันตก
    เทวลักษณะเป็นเทพบุรุษ พระเศียรเป็นเหยี่ยวสวมศิราภรณ์รูปดวงสุริยะและ ยูรีอุส (Uraeus)



    มหาเทพเคพรี (Khepri)
    หรือ เคเปรา (Khepera) เป็นเทพเจ้าแห่งนครฮีลิโอโปลิส (Heliopolis) สัญลักษณ์ของพระองค์คือดวงอาทิตย์และ แมลงสคาแร็บ (Scarab) ทรงเป็นสัญลักษณ์ของการสร้างโลก และเป็นสุริยเทพอีกองค์หนึ่ง เทวลักษณะเป็นเทพบุรุษที่มีพระเศียรเป็นรูปแมลงสคาแร็บ ถือ เซ็พเทอร์ (Sceptre) และ อังค์ (Ankh)





    [​IMG]


    เทพเก๊บ (Geb)
    เทพ แห่งผืนดิน กำเนิดในปฐมกาลพร้อมกับสุริยเทพรา เดิมเป็นเทพที่คอยค้ำท้องฟ้าเอาไว้จนกระทั่ง พญางูอโปฟิส (Apophis) ส่งลูกสองตนมาบั่นพระวรกายของพระองค์ออก จนเป็นผลให้ท้องฟ้าถล่มลงมา ในศิลปะอียิปต์ แสดงด้วยรูปของเทพบุรุษที่อยู่ในท่านอนใต้วงโค้งของท้องฟ้า



    เทวีนุท (Nut)
    เทวีแห่งนภากาศ กำเนิดในปฐมกาลพร้อมกับสุริยเทพราและเทพเก๊บ
    ทรงมีทิพยรูปเป็นเทพนารีเปลือยคร่อมโลก โดยมีเทพเก็บอยู่เบื้องล่าง และมักมีเทพชูอยู่ในท่าประทับยืนค้ำพระองค์ไว้



    เทพชู (Shu)
    เทพ แห่งอากาศธาตุ โอรสของเทพเก๊บและเทวีนุท เป็นผู้สังหารลูกทั้งสองของพญางูอโปฟิส และยกองค์เทวีนุทขึ้นเบื้องบนดังเดิม จนกระทั่งเทพเก๊บต่อร่างสำเร็จ ท้องฟ้าและแผ่นดินจึงคงอยู่มาได้จนถึงเวลานี้ ในทางศิลปะมักเป็นรูปเทพบุรุษยืนอยู่เหนือเทพเก๊บ ยกพระกรทั้งสองขึ้นค้ำเทวีนุทซึ่งคร่อมโลกเอาไว้ พระนามภาษากรีกว่า ซอส (Sos)



    เทวีเทฟนุท (Tefnut)
    เทวี แห่งละอองฝนและน้ำค้าง เป็นผู้รองรับการมาเยือนโลกของเรือสุริยะ ธิดาของเทพเก๊บและเทวีนุท ขนิษฐาของเทพชู และโดยมากว่าเป็นชายาด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ทรงเป็นหนึ่งในเทวีสิงโตแห่งปฐมกาล ซึ่งบางตำราถือว่าเป็นธิดาของสุริยเทพรา หรือเป็นกำลังของพระองค์ด้วย พระนามภาษากรีกว่า ธเฟนิส (Thphenis)




    เทวราชอามุน (Amun)
    ผู้ ปกครองเทพเจ้าทั้งปวง ได้รับการนับถือในธีบีส (Thebes) ต่อมารวมเข้ากับสุริยเทพรา เทวลักษณะดั้งเดิมเป็นเทพบุรุษที่ทรงมีพระเศียรเป็นแกะที่มีเขาโค้งลง หรือพระเศียรแบบมนุษย์สวมศิราภรณ์ที่มีขนนก ๒ เส้น พระนามภาษากรีกว่า อัมมอน (Ammon)



    มหาเทพพทาห์ (Ptah)
    เทพ แห่งการสร้างสรรค์ และเป็นเทพผู้สร้างโลกอีกองค์หนึ่ง ซึ่งทรงได้รับการนับถือมากในเมมฟิส (Memphis) เมื่อฟาโรห์เมนีสทรงรวมรวมอาณาจักรอียิปต์บนและล่างแล้ว ทรงยกย่องพระองค์เป็นเทพสูงสุด เทวลักษณะเป็นเทพบุรุษที่มีพระเศียรโล้น มักถือเซ็พเทอร์ (Sceptre) และดเจ๊ด (Djed)



    พระเทวีฮาเธอร์ (Hathor)
    เทวี แห่งนภากาศอีกองค์หนึ่ง และเป็นมหาเทวีที่สำคัญที่สุดของนิกายที่นับถือสุริยเทพรา โดยเทวปกรณ์กล่าวว่าทรงเป็นธิดาและชายาขององค์สุริยเทพ ทรงเป็นเทวีแห่งความงาม ความรัก ความสุข พิธีกรรม ศิลปวิทยาการ และคุณสมบัติที่ดีของเพศหญิง เทวลักษณะเป็นเทพนารีสวมศิราภรณ์รูปเขาวัวคู่โอบดวงสุริยะ หรือปรากฏเป็นรูปวัวทั้งตัว ทรงถือ ซิสทรัม (Sistrum) พระนามภาษาอียิปต์ว่า เฮ็ท-เฮร์ท (Het-Hert)



    เทวีเซ็คเมท (Sekhmet)
    เทวี สิงโตแห่งเมมฟิส ธิดาของสุริยเทพราซึ่งได้รับเทวโองการให้เที่ยวขจัดคนชั่วผู้คิดกบฏต่อองค์ สุริยเทพ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้ายน่าสะพรึงกลัวจนสุริยเทพต้องทรงใช้อุบายทำ ให้กลับเป็นเทวีผู้พิทักษ์ดังเดิม เทวลักษณะเป็นเทพนารีที่มีพระเศียรเป็นสิงโตตัวเมีย สวมศิราภรณ์รูปดวงสุริยะและยูรีอุส
    พระนามภาษากรีกว่า ซัคมิส (Sakhmis)






    [​IMG]




    เทวีบาสท์ (Bast)
    เดิม เป็นเทวีสิงโตแห่งบูบาสติสในอียิปต์ล่าง ต่อมาได้เปลี่ยนพระเศียรเป็นแมว ทรงเป็นเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความรัก ความสนุกสนานรื่นเริง และเทวีผู้พิทักษ์ เทวลักษณะเป็นเทพนารีที่มีพระเศียรเป็นแมว หรือปรากฏในรูปแมวทั้งตัวทรงถือ ซิสทรัม (Sistrum) และตะกร้า



    เทวีไนธ์ (Neith)
    เทวี แห่งความร่ำรวยและการสงคราม เทวลักษณะเป็นเทพนารีที่สวมศิราภรณ์ของฟาโรห์แห่งอียิปต์บนและล่างรวมกัน เป็นที่นับถือมากในสมัย ฟาโรห์ซัมเมติคุสที่๑ (Psammeticus I) เมื่อ ๖๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ทรงมีสัญลักษณ์เป็นลูกธนูไขว้กัน



    เทวีวัดเจ็ท (Wadjet)
    นาง พญางูศักดิ์สิทธิ์แห่งอียิปต์ล่าง และต่อมามีบทบาทในศาสนาโอสิเรียนเป็นอันมาก ทรงมีพระนามภาษากรีกว่า บูโต (Buto) และ เอ็ดโจ (Edjo)






    [​IMG]











    คณะเทพที่สำคัญในสมัยอาณาจักรกลาง
    ( The Middle Kingdom : ๒,๐๔๐-๑,๗๘๒ ปีก่อนคริสตกาล)

    และสมัยอาณาจักรใหม่

    (The New Kingdom : ๑,๕๗๐- ๑,๐๗๐ ปีก่อนคริสตกาล)




    [​IMG]



    จอมเทพโอสิริส (Osiris)
    พระ เป็นเจ้าสูงสุดแห่งโลก เป็นเทพในวงศ์โอสิเรียนองค์แรกที่ถือกำเนิดขึ้นโดยเทวีนุท ทรงเป็นเทพแห่งอารยธรรม ความดีงาม ความสงบสุข สติปัญญา ต่อมาได้ถูกเทพเซธ (Seth) สังหารและกลายเป็นเทพผู้พิพากษาสูงสุดในสัมปรายภพ เทวลักษณะเป็นเทพบุรุษสวมอาภรณ์ขาวแบบมัมมี่ สวมศิราภรณ์ทรงสูงแบบอาเตฟ (Atef) และถือเครื่องหมายแสดงความเป็นกษัตริย์ คือตะขอและแส้ พระนามภาษาอียิปต์ว่า อะซาร์ (Asar)




    [​IMG]

    พระเทวีไอซิส (Isis)
    เป็น เทพลำดับที่ ๔ ในวงศ์โอสิเรียน และเป็นมหาเทวีที่ได้รับการนับถือยาวนานที่สุดในศาสนาอียิปต์ ทรงเป็นทั้งพระขนิษฐาและพระชายาของจอมเทพโอสิริส และเป็นผู้ช่วยให้จอมเทพโอสิริสได้ครองอียิปต์แทนสุริยเทพรา อีกทั้งทรงสั่งสอนชาวอียิปต์ให้เป็นผู้มีอารยธรรม รวมทั้งเป็นผู้ทรงอาคมและปรีชาญาณสูงสุด เทวลักษณะเป็นเทพนารีสวมศิราภรณ์รูปบัลลังก์ หรือรูปเขาวัวคู่โอบดวงสุริยะ พระนามภาษาอียิปต์ว่า เอเซ็ท (Eset)


    เทพฮาร์มาคิส (Harmachis)
    เป็น เทพลำดับที่ ๒ในวงศ์โอสิเรียน และเป็นผู้สนับสนุนเทพโฮรุสให้ขึ้นครองราชย์ได้สำเร็จ ไม่มีบทบาทสำคัญมากนักในทางเทวปกรณ์ แต่เป็นที่รู้จักกันดีเพราะเทวลักษณะที่เป็นสิงโตมีหัวเป็นมนุษย์ อย่างที่เรียกในภาษากรีกว่า สฟิงซ์ (Sphinx) พระนามภาษาอียิปต์ว่า เฮรู เอ็ม อาคูติ (Heru em Aakhuti)


    มหาเทพโฮรุส (Horus)
    เป็น เทพในวงศ์โอสิเรียนอีกองค์หนึ่งที่ได้รับการนับถือสูงสุดจนกระทั่งสิ้นยุค แห่งอารยธรรมอียิปต์ ทรงเป็นโอรสของจอมเทพโอสิริสและพระเทวีไอซิส ทรงถูกเทพเซธสังหารครั้งหนึ่งเมื่อยังเยาว์พระชันษา แต่ก็กลับมาเกิดใหม่และแก้แค้นแทนพระบิดาได้สำเร็จ สถาบันกษัตริย์อียิปต์ถือกันว่าสืบทอดมาจากมหาเทพองค์นี้ เทวลักษณะเป็นเทพบุรุษพระเศียรเป็นเหยี่ยวสวมศิราภรณ์ของกษัติริย์อียิปต์บน และล่าง พระนามภาษาอียิปต์ว่า เฮรู (Heru)

    เทพเซธ (Seth)
    เป็น เทพลำดับที่ ๓ ในวงศ์โอสิเรียน และเป็นเทพแห่งความชั่วร้าย ความฉ้อฉล และพลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวของทะเลทราย เป็นผู้สังหารจอมเทพโอสิริสและยึดอำนาจการปกครองอียิปต์ไว้ได้ระยะหนึ่ง ก่อนจะถูกเทพโฮรุสแก้แค้น เทวลักษณะเป็นเทพบุรุษพระเศียรเป็นลา พระนามภาษากรีกว่า ซูเทค (Sutekh)


    [​IMG]




    เทวีเนฟธิส (Nephthys)
    เป็น เทพลำดับที่ ๕ในวงศ์โอสิเรียน และเป็นพระชายาของเทพเซธ ทรงเป็นเทวีแห่งทะเลทรายและความลึกลับ เมื่อจอมเทพโอสิริสสิ้นพระชนม์ ทรงให้การช่วยเหลือพระเทวีไอซิสในการรักษาพระวิญญาณของจอมเทพโอสิริส จึงได้รับการยกย่องให้เป็นชายาที่ถูกต้องของจอมเทพโอสิริสอีกองค์หนึ่ง เทวลักษณะเป็นเทพนารีสวมศิราภรณ์รูปอักษรไฮโรกลิฟฟิคที่เป็นพระนามในภาษา อียิปต์ว่า เน็บท์-เฮ็ท (Nebt-Het)


    เทพอนูบิส (Anubis)
    เป็น เทพในวงศ์โอสิเรียนอีกองค์หนึ่ง ทรงเป็นโอรสของเทวีเนฟธิสจากความสัมพันธ์ลับกับจอมเทพโอสิริส และเป็นเทพแห่งมรณศาสตร์ ทำหน้าที่ควบคุมพิธีกรรมที่เกี่ยวกับศพ รวมทั้งเป็นผู้พิทักษ์สุสาน เทวลักษณะเป็นเทพบุรุษที่มีพระเศียรเป็นสุนัขไน พระนามภาษาอียิปต์ว่า อันปู (Anpu)



    เทพธอธ (Thoth)
    ใน ชั้นเดิมทรงมีความเกี่ยวข้องกับสุริยเทพรา แต่มามีบทบาทสำคัญยิ่งกว่าในนิกายโอสิเรียน โดยทรงเป็นเทพแห่งเวทมนต์และปรีชาญาณ รวมทั้งวิชาความรู้ทุกสาขา เทวลักษณะเป็นเทพบุรุษที่มีพระเศียรเป็นนกช้อนหอย (Ibis) พระนามภาษาอียิปต์ว่า ดเจฮูติ (Djehuti)


    เทพโซคาร์ (Socar)
    เป็น เทพแห่งนครสุสานของเมมฟิส ทรงเป็นเทพแห่งความตายและการเกิดใหม่ เทวลักษณะเป็นเทพบุรุษที่ทรงมีพระเศียรเป็นเหยี่ยว สวมศิราภรณ์แบบ อาเตฟ (Atef) พัสตราภรณ์เป็นสีขาวอย่างจอมเทพโอสิริส ทรงถือเซ็พเทอร์และเครื่องหมายของฟาโรห์รวมกัน พระนามภาษากรีกว่า โซคาริส (Sokaris)





    [​IMG]

    เทวีมุท (Mut)
    เป็น เทวีสิงโตอีกองค์หนึ่ง หรือบางครั้งอาจปรากฏในรูปแม่วัวศักดิ์สิทธิ์หรือนกแร้ง ในเวลาต่อมาได้รับการนับถือว่าเป็นมเหสีของเทวราชอามุน ทรงสวมศิราภรณ์นกแร้งและมงกฏมหาเทวีซ้อนกันสองชั้น มักปรากฏพระองค์เคียงคู่เทวราชอามุน



    จันทรเทพคอนซู (Khonsu)
    เทพ แห่งรัตติกาล ผู้โคจรข้ามขอบฟ้ายามกลางคืนด้วยจันทรนาวา ผู้ปราบปีศาจและสิ่งชั่วร้าย เทพแห่งการพนัน เทวลักษณะเป็นยุวเทพซึ่งโกนพระเศียรเกือบหมด เว้นไว้แต่หางเปียด้านหลัง และสวมศิราภรณ์รูปจันทร์เสี้ยวกับพระจันทร์เต็มดวง



    เทวีมาอัท (Ma’at)
    เทวี แห่งความยุติธรรม ความจริง ระเบียบ กฎเกณฑ์ และดุลยภาพ ทรงเป็นชายาของเทพธอธ พระนางประทับในหอพิพากษาของจอมเทพโอสิริส เพื่อวัดน้ำหนักของหัวใจผู้วายชนม์เปรียบเทียบกับขนนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ พระนาง เทวลักษณะเป็นเทพนารีสวมศิราภรณ์รูปขนนก ๑ เส้น พระนามภาษากรีกว่า มายเอ็ท (Mayet)



    เทพคนุม (Knum)
    เทพ ผู้ควบคุมแม่น้ำ บันดาลความอุดมสมบูรณ์ และให้กำเนิดมนุษย์ด้วยการปั้นขึ้นจากดินเหนียว เทวลักษณะเป็นเทพบุรุษมีพระเศียรเป็นแกะตัวผู้ที่มีเขาขนาดใหญ่ สวมศิราภรณ์ขนาดใหญ่ ถือเซ็พเทอร์ พระนามภาษากรีกว่า คะนูมิส (Khnoumis)


    เทพมิน (Min)
    เทพ แห่งความอุดมสมบูรณ์ กามารมณ์ และพลังแห่งเพศชาย รวมทั้งเป็นผู้พิทักษ์ถนนหนทางต่างๆ เทวลักษณะเป็นเทพบุรุษเปลือยสวมศิราภรณ์รูปขนนกคู่ พระนามภาษากรีกว่า เคมมิส (Chemmis)




    [​IMG]


    เทวีเซลเคท (Selket)
    เป็น เทวีแห่งเวทมนต์ และในเทวปกรณ์ว่าเป็นธิดาองค์หนึ่งของสุริยเทพรา เป็นผู้คุ้มครองการสมรส และการจารึกอักษรไฮโรกลิฟฟิค เทวลักษณะเป็นเทพนารีซึ่งมีรูปแมงป่องอยู่บนพระเศียร หรือบางครั้งปรากฏเป็นรูปแมงป่องทั้งตัว แต่มีหัวเป็นผู้หญิง พระนามภาษากรีกว่า เซลคิส (Selkis)



    เทวีเทาเอเร็ท (Taueret)
    เป็น เทวีซึ่งปรากฏในรูปฮิปโปโปเตมัสในลักษณะที่ยืนด้วยขาหลังทั้งสอง เป็นที่นับถือกันมากในด้านการคุ้มครองเด็กเกิดใหม่และเด็กอ่อน รวมทั้งเป็นผู้พิทักษ์จารึกไฮโรกลิฟฟิคทั้งปวง พระนามภาษากรีกว่า ธีริส (Thoeris)


    เทวีเฮเคท (Heket)
    เทวี แห่งสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประเภทกบ (Amphibian) อาจปรากฏพระองค์ในรูปกบทั้งตัว หรือกบที่มีส่วนหัวเป็นผู้หญิง เป็นเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ การพูด และการคุ้มครองเด็ก

    เทพเบส (Bes)
    เป็น เทพพื้นเมืองซึ่งมีเทวลักษณะเด่นที่สุดในศิลปะอียิปต์ คือแม้แต่ในภาพจิตรกรรมก็แสดงออกด้วยเทวรูปด้านหน้าเสมอ เทพองค์นี้ทรงมีพระเศียรโต พระกายเตี้ยเล็ก สวมศิราภรณ์รูปขนนกกระจอกเทศ ฉลองพระองค์ด้วยหนังเสือดาว เป็นเทพแห่งการกำเนิด และคุ้มครองคนในบ้านจากภูตผีปีศาจ



    เทพโซเบค (Sebekh)
    เทพ แห่งจระเข้ ผู้รักษากฎแห่งแม่น้ำไนล์ ปรากฏพระองค์เป็นรูปจระเข้ทั้งตัวสวมศิราภรณ์ขนนกคู่ประกอบด้วยเขาแกะ เขาวัวคู่โอบดวงสุริยะและยูรีอุสสองข้าง หรือรูปเทพเจ้าที่มีพระเศียรเป็นจระเข้สวมศิราภรณ์ชนิดเดียวกัน เป็นที่นับถือมากในราชวงศ์ที่ ๑๒-๑๓ พระนามภาษากรีกว่า ซูคอส (Suchos)





    [​IMG]






    และอีกตำนานที่เล่าขาน





    Ra ประมุขของทวยเทพผู้ยิ่งใหญ่
    posted on 04 Jan 2009 04:58 by iyakoop
    เทพเจ้า รา (Ra), เร (Re), อาเมน-รา (Amun-Ra), อามอน-รา (Ammon-Ra) คือสุริยเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งเฮลิโอโปลิส นครสุริยะ เทพราจะเสด็จออกจากเมืองเฮลีโอโปลิสพร้อมกับเหล่าเทพเจ้า โดยใช้เรือสุริยันเป็นยานพาหนะ เพื่อตรวจเยี่ยมราษฎรในแคว้นทั้ง 12 แคว้น ทำให้เกิดแสงอาทิตย์ตลอด 12 ชั่วโมงใน 1 วัน


    Ra , Re
    คำ ว่า "รา" อาจหมายถึง ผู้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และเป็นคำแรกที่นำมาใช้กับคำว่า "Sun" ซึ่งหมายถึง ดวงอาทิตย์ ต่อมาก็ได้กลายเป็นพระนามของเทพเจ้า

    Re-Harechte
    เทพเจ้า ราทรงมีสัญลักษณ์และพระนามจำนวนมาก นักปราชญ์ชาวไอยคุปต์ได้กล่าวว่าที่สำคัญที่สุด คือ รา-ฮารัคเต ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่มีพระเศียรเป็นหัวเหยี่ยว ทรงสวมมงกุฎที่เป็นแผ่นวงกลมรูปดวงอาทิตย์และงูเห่ากำลังแผ่แม่เบี้ย
    ฮา รัคเต หมายถึงเทพฮอรัสแห่งขอบฟ้ากว้างไกล ซึ่งก็คือแหล่งกำเนิดของดวงอาทิตย์นั่นเอง หากพิจารณาถึงบทบาทสำคัญของเทพเจ้า รา-ฮารัคเต ถือว่าเป็นสุริยเทพแห่งเฮลิโอโปลิสที่ชาวไอยคุปต์เคารพบูชาตลอดมา










    กำเนิดเทพเจ้ารา


    [​IMG]



    บาง แหล่งเล่าว่าเทพอตุม (Atum) คือผู้สร้างเทพเจ้ารา บางก็ว่าเทพเจ้าราเกิดจากเทพเจ้านันหรือนุน (Nun) หรือเกิดจากแม่น้ำของเทพนัน บางก็ว่าเทพเจ้าราขึ้นมาตามแรงปรารถนาของเทพเจ้าราเอง บางว่าเทพเจ้าราทรงคิดว่าทรงเกิดจากแผ่นน้ำในยุคแรกแล้วห้อหุ้มด้วยกลีบดอก บัวบานและยามราตรีกาลจะกลับมาบรรทมที่ดอกบัวดอกนี้


    บาง ตำนานก็กล่าวว่าพระองค์เกิดในรูปพญาหงส์หรือนกเบนนูแห่งสวรรค์ (Bennu Bird) แล้วไปเกาะอยู่บนยอดเสาหินเหลี่ยมปิรามิดที่เรียกว่า "แท่งหินเบนเบน" ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นรังสีดวงอาทิตย์, แสงอาทิตย์ เราจะเห็นได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดภายในวิหารของเทพเจ้าราที่เฮลิโอโปลิ สก็คือแท่งหินเบนเบน ซึ่งตรงยอดจะมีแสงระยิบระยับเป็นประกายในช่วงเช้าที่พระอาทิตย์ทอแสง


    นอก จากนั้นยังมีเรื่องเล่าอีกว่าเทพเจ้าราเป็นพระโอรสของเทพเจ้าเก็ปและเทวีนัท โดยมีรูปร่างเป็นรูปวัวตัวเมีย ทุกๆ เช้า เทพเจ้าจะเกิดเป็นลูกวัว ส่วนในตอนเที่ยงวันจะเติบใหญ่เป็นวัวตัวผู้ และตายในเวลาเย็น จากนั้นก็เกิดใหม่ในเช้าวันต่อไปอีก


    บางตำนานเล่าว่าเทพเจ้าราเกิดจากไข่ที่เทพเจ้าพทาห์ปั้นด้วยดินเหนียวและเทพเจ้าเก็ปเป็นผู้ฟักไข่จนเกิดเป็นห่านตัวหนึ่ง


    ตำนานของเทพเจ้าราที่รู้จักกันมากที่สุด คือ ตำนานการให้กำเนิดชาวไอยคุปต์และเทวีเช็คเม็ต ( Sekhmet )


    ก่อน ที่ดินแดนไอยคุปต์จะผุดขึ้นจากผืนน้ำอันเป็นการเริ่มต้นของกำเนิดโลก รา เทพเจ้าผู้มีรัศมีรุ่งเรือง ทรงถือกำเนิดขึ้นและทรงไว้ด้วยฤทธานุภาพสูงสุด






    ใน ทันใดที่เทพรา ตรัสว่า "ข้าคือ เคปรี (หรือเคเปรา (Khepri, Khepera)) ในยามรุ่งอรุณ คือ รา ( Ra ) ในยามเที่ยง และ ตุม (หรือ อตุม Tum, Atum ) ในยามสายัณห์ " พระองค์ทรงปรากฏร่างเป็นดวงสุริยาที่ขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทิศตะวันออก บทจรข้ามท้องฟ้าและลับหายไปทางทิศตะวันตก ในวันแรกของการให้กำเนิดโลก


    เมื่อ พระองค์ขนานนาม ชู ( Shu ) สายลมก็พัด สายฝนโปรายปรายเมื่อพระองค์เอ่ยนาม เตฟนุต ( Tefnut ) แล้วพระองค์ก็ทรงเอ่ยนาม เก็ป ( Geb ) ทำให้เกิดแผ่นดินโผล่ขึ้นจากทะเล และทรงเอ่ยออกมาว่า นุต ( Nut ) ก็บังเกิดร่างของเทวีแห่งท้องฟ้าที่หยัดพระบาทไว้ที่ขอบฟ้าด้านหนึ่ง พร้อมวางพระหัตถ์ยังขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง และเมื่อทรงเอ่ยนาม ฮาปิ ( Hapi ) ก็เกิดแม่น้ำไนล์ไหลผ่านดินแดนไอยคุปต์เพื่อให้ความอุดมสมบูรณ์


    แม้ ว่าเทพเจ้าราจะเป็นผู้ให้กำเนิดเทพยดาดังกล่าว แต่จริงๆ แล้วพระองค์ยังไม่มีชายาแต่อย่างใด จนกระทั่งต่อมาภายหลังก็ทรงได้พระชายาทรงพระนามว่า "แร็ต" (ซึ่งคงประยุกต์มาจาก "รา" นั่นเอง) นอกจากนี้พระชายายังทรงมีพระนามอีกมากมายเช่น อูแซ็ส และเอิร์ท เฮคู ซึ่งหมายถึงความยิ่งใหญ่ของมนต์วิเศษ



    Amun-Ra


    ต่อ จากนั้นเทพราจึงทรงสร้างสรรพสิ่งจากพระสาโท ( เหงื่อ ) และน้ำพระเนตร ( น้ำตา ) ที่ไหลมาจากดวงตาแห่งรา สิ่งสุดท้ายที่พระองค์สร้างคือ มนุษย์ชายและหญิงนั้นก็ได้ให้กำเนิดประชาชนที่พำนักอาศัยทั่วไปบนแผ่นดินไอ ยคุปต์ แล้วเทพราก็ทรงกลายร่างเป็นมนุษย์ และทรงขึ้นครองบัลลังก์เป็นฟาโรห์องค์แรกของไอยคุปต์ ทรงปกครองโลกที่พระองค์สร้างขึ้นมาอย่างรุ่งโรจน์สถาพร ทั้งสงบสุขและมั่งคั่ง


    ใน ยุคสมัยของเทพเจ้ารา แม่น้ำไนล์หลากท่วมท้องนาและลดลงสู่ระดับเดิมทุกปี โดยทิ้งโคลนตะกอนหนาเคลือบผิวดินที่ทำให้ผลผลิตงอกงาม ไม่มีปีใดที่แห้งแล้งเพราะแม่น้ำไนล์หลากน้อยเกินไป หรือท่วมมากหรือล้นเกินไป นั่นถือเป็นยุคทองของไอยคุปต์


    แต่ เนื่องจากข้อบัญญัติที่กำหนดไว้ว่า ไม่มีมนุษย์คนใดจะมีชีวิตอยู่ได้ชั่วนิรันดร และเทพราก็ทรงเนรมิตให้พระองค์เองกลายเป็นมนุษย์เพื่อปกครองไอยคุปต์ พระองค์จึงต้องดำเนินตามวิถีวัตสังขารเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป เมื่อทรงชรา พระอัฐิ ( กระดูก ) ดูเป็นแท่งเงิน พระวรกาย ( ร่างกาย ) เหมือนทองคำ และพระเกศา ( ผม ) เป็นสีดอกเลา พระองค์ไม่สามารถปกครองผู้คนในไอยคุปต์ได้ดีเช่นเดิม ไม่อาจรบกับอาโปฟิสงูแห่งความชั่วร้ายที่เติบโตขึ้นมาจากละอองปีศาจในความ มืดยามราตรี ซึ่งทุกสิ่งที่ดีงามที่สดใสและได้รับจุมพิตจากดวงอาทิตย์จะถูกอาโปฟิสคอยค้น หาและกลืนกิน


    ใน ขณะนั้นปีศาจอาโปฟิสก็เข้าครอบงำขวัญวิญญาณของคนในไอยคุปต์และทำให้คนเหล่า นั้นเป็นกบฏต่อเทพรา ทำในสิ่งที่ชั่วร้ายและเคารพบูชางูแห่งความมืดแทนการเคารพบูชาดวงเนตรแห่ง ทิวาและราตรีกาล





    Nun


    เทพ ราทรงหยั่งรู้สิ่งต่างๆ และแผนการที่ปีศาจในหมู่มนุษย์กำลังเตรียมเพื่อจะโค่นบัลลังก์ของพระองค์ ดังนั้น พระองค์จึงทรงตรัสแก่ข้าราชบริพารทั้งหลายว่า "จงรวบรวมเทพสูงสุดในอาณัติของข้า เร่งให้เทพชู เตฟนุต เก็ป และนุต มายังหอสภา จงตามหา นุน ( Nun ) วิญญาณแห่งท้องน้ำที่ข้าให้กำเนิดในตอนสร้างโลก จงเก็บมันไว้เป็นความลับ และอย่าให้เหล่าปีศาจในมนุษย์รู้ว่าข้ารู้ถึงสิ่งที่พวกมันกระทำ"


    ดังนั้น เทพทั้งหลายจึงมาปรากฏต่อเบื้องพระพักตร์เทพรา น้อมคำนับและจุมพิตที่พระบาทเพื่อแสดงความภักดี


    เมื่อ เทพทั้งหมดเสด็จมาครบองค์ นุน จึงกล่าวสรรเสริญเทพรา ในนามของเทพทุกองค์ "ขอพระองค์ทรงเจริญด้วยพระชนม์มายุและพลานามัย รา ผู้เป็นเทพและฟาโรห์แห่งไอยคุปต์ ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งมวล โปรดบัญชาพวกตามเทวประสงค์"


    เทพ รา จึงตรัสว่า "นุน ผู้มีอาวุโสสูงสุดของทุกสิ่งและผองเทพที่ข้าเรียกให้มีชีวิต จงดูเถิด มนุษยชาติที่ข้าสร้างในชั่วเวลาวูบเดียว ข้าให้พวกเขาเกิดมาบนโลก และเป็นบริวารของข้า ทั้งยามเป็นและยามตาย ต่อมาบัดนี้ พวกเขากับวางแผนจะล้มล้างข้า ทำแต่สิ่งที่ชั่วร้าย ทำสิ่งที่เลวทรามในสายตาข้าไปจนถึงไอยคุปต์ตอนบน จงบอกข้าสิว่า ข้าควรเผาพวกมันด้วยเปลวเพลิงจากดวงตาของข้าได้แล้วใช่ไหม"


    นุ น กล่าวทูลแทนคณะเทพว่า "รา ผู้ยิ่งใหญ่เหนือข้า พระองค์นั้นทรงฤทธานุภาพยิ่งกว่าเทพทุกองค์ที่พระองค์สร้างขึ้น หากพระองค์ใช้กำลังเพลิงจากดวงพระเนตรสุริยา ประหารชีวิตมนุษย์ ดินแดนไอยคุปต์ทั้งหมดจะกลายเป็นทะเลทราย ดังนั้น โปรดเนรมิตสิ่งที่จู่โจมทำลายแต่เพียงมนุษย์ชาย-หญิงที่ชั่วร้าย โดยไม่ทำลายต่อสิ่งที่ดีงามเถิด พระเจ้าข้า"


    เทพรา จึงตัดสินพระทัยว่า "แทนการใช้เพลิงจากดวงตาเผาผลาญ ข้าจะส่ง เสคเมต ( Sekhmet ) ไปกำจัดมนุษย์"


    ขณะ ที่เทพรา ตรัสถึงชื่อ ' เสคเมต ' สิ่งนั้นก็บังเกิดขึ้นทันทีในรูปของนางสิงห์ร่างขนาดยักษ์ นางพุ่งตรงไปยังไอยคุปต์ตอนบน ขย้ำและกัดกินมนุษย์เป็นอาหารจนแม่น้ำไนล์แดงฉานไปด้วยโลหิตและพื้นดินริม ฝั่งแม่น้ำกลายเป็นโคลนเหนียวสีแดง







    Sekmet


    ใน เวลาไม่นาน มนุษย์ชั่วช้าส่วนใหญ่ก็ถูกเทวีเสคเมตสังหารจนหมด บรรดาคนที่เหลือก็ขอร้องให้เทพราทรงอภัยโทษและเทพราก็ทรงโปรดให้ไว้ชีวิตพวก เขาด้วยพระองค์ไม่ปรารถนาจะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด เพราะพระองค์จะต้องกลายเป็นผู้ครอบครองโลกที่อ้างว้างและไม่มีมนุษย์คอยรับ ใช้


    แต่ เทวีเสคเมตเกิดติดใจในรสเลือดของมนุษย์ นางจึงไม่ยอมที่จะหยุดล่าสังหาร ทุกๆ วันนางสิงห์จะท่องไปทั่วดินแดนไอยคุปต์และฆ่าทุกคนที่พบเห็น ยามกลางคืนนางจะซ่อนตัวอยู่ในแนวก้อนหินริมทะเลทราย รอคอยให้ดวงอาทิตย์ขึ้นและเริ่มออกล่าอีกครั้ง


    เทพ ราจึงตรัสว่า "กลอุบายเท่านั้นที่จะสามารถหน่วงเหนี่ยวเทวีเสคเมตได้ หากข้าทำได้และช่วยให้มนุษย์พ้นจากเขี้ยวอันคมกริบและอุ้งมือของนางสำเร็จ ข้าจะมอบอำนาจอันยิ่งใหญ่กว่าเดิมและเหนือมนุษย์ให้นาง เพื่อให้นางมีใจยินดีและไม่รู้สึกด้อยเกียรติว่าถูกทอนอำนาจ"


    ดัง นั้นเทพราจึงทรงเรียกผู้เดินสารที่รวดเร็วว่องไวและทรงบัญชา "จงวิ่งให้เร็วยิ่งกว่าและเงียบยิ่งกว่าเงาของตัวเองไปยังเกาะแห่ง เอเลเฟนไทน์ ( Elephantine ) ในแม่น้ำไนล์ซึ่งอยู่ทางใต้ของ คาตารัคต์ ( Cataract – น้ำตก ) จงนำดินสีแดงซึ่งมีอยู่ที่นั่นเพียงแห่งเดียวมาให้ข้าโดยด่วน"


    เหล่า นักเดินสารมุ่งฝ่าความมืดและกลับมายังเฮลิออโปลิสนครแห่งเทพรา พร้อมกับดินสีแดงจาก เอเลฟันไตน์ จำนวนมาก ในขณะเดียวกันโดยราชโองการของเทพรา นักบวชหญิงแห่งวิหารดวงอาทิตย์ทุกองค์และผู้รับใช้ในพระราชวังทุกคนก็ร่วม กันบดข้าวบาร์เลย์ และเริ่มทำเบียร์ซึ่งทำได้ถึง 7,000 เหยือก แล้วผสมดินนั้นเข้ากับดินของ เอเลฟันไตน์ จนมีสีแดงข้นราวกับเลือดเมื่อต้องแสงจันทร์


    "เอา ล่ะ" เทพราทรงเอ่ยขึ้น "ขนสิ่งนี้ทวนกระแสน้ำเพื่อคุ้มครองมนุษยชาติ นำไปยังที่ที่เทวีเสคเมตมุ่งจะไปทำการล่าเหยื่อในวันรุ่งขึ้นและเทมันลงบน พื้นเพราะนี่จะเป็นกับดักเพื่อจับนาง"





    Sekmet



    เมื่อ ฟ้าสางเทวีเสคเมตออกจากถ้ำของนางหลังกองหิน นางอยู่ท่ามกลางแสงแดดและมองไปรอบๆ เพื่อหาอาหาร นางไม่เห็นมีสิ่งมีชีวิตใดๆ แต่สถานที่ที่นางได้ฆ่าคนไปมากมายเมื่อวานนี้ กลับกลายเป็นท้องนาที่ถูกปกคลุมด้วยบางสิ่งที่หนาเท่ากับความกว้าง 3 ฝ่ามือและดูเหมือนเลือด


    เท วีเสคเมตจึงหัวเราะด้วยเสียงราวกับเสียงคำรามของนางสิงห์ที่กำลังหิวโหย นางคิดว่าสิ่งนั้นคือเลือดที่นางทำให้มันหลั่งในวันก่อน นางจึงก้มลงและดื่มมันอย่างตะกละตะกราม ดื่มแล้วดื่มเล่า ฤทธิ์ของเบียร์ที่แล่นเข้าสู่สมองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนนางสิงห์ไม่อาจออกล่าหรือสังหารได้


    จวบ จนกลางวันใกล้จะสิ้นสุด นางคลานมาจนถึงเฮลิออโปลิสที่เทพราทรงรอคอยอยู่และเมื่อกลางวันแตะขอบฟ้า นางสิงห์ก็มิได้สังหารมนุษย์ผู้ชายหรือผู้หญิงแม้สักคนเดียวตั้งแต่เย็น เมื่อวาน


    "เจ้า มาโดยสันติ ดีมาก" เทพราตรัส "สันติจงมีแด่เจ้าเช่นเดียวกับนามใหม่ เจ้ามิใช่ เสคเมต นักฆ่าอีกต่อไป แต่เป็น ฮาเธอร์ ( Hathor ) เทพีแห่งความรัก อำนาจที่เจ้ามีต่อมนุษย์จะยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะความรู้สึกแห่งรักนั้นแข็งแกร่งกว่าความเกลียดชัง ทุกคนที่ได้รู้จักความรักจะเป็นเหยื่อของเจ้า ยิ่งกว่านั้น เพื่อเป็นการระลึกถึงวันนี้ นักบวชหญิงแห่งความรักจะดื่มเบียร์แห่ง เฮลิออโปลิส กับดินสีแดงแห่ง เอเลฟันไตน์ ในวันแรกของทุกปี เป็นเทศกาลอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นเกียรติต่อ ฮาเธอร์" Hathor ด้วยเหตุนี้มนุษยชาติจึงปลอดภัยเพราะเทพราผู้ซึ่งให้ทั้งความปิติและความ เจ็บปวดใหม่แก่มนุษย์




    Uraeus
    เทพ ราได้สร้างสิ่งมีชีวิตทุกอย่างไม่มีสรรพสัตว์ใดๆ เกิดขึ้นได้ถ้าปราศจากพระองค์ แต่เทวีไอซิสก็ได้สร้างงูเห่าตัวแรกได้ นั่นคือ “อูรายอุส” ( Uraeus ) ซึ่งกลายเป็นงูพิษใหญ่ที่น่าเกรงขามของไอยคุปต์ นางสร้างมันขึ้นจากการเก็บดินที่ชื้นด้วยพระเขฬะของเทพราที่กระเด็นและไหล ออกจากพระโอษฐ์ลงบนฝุ่นถนนเมื่อตอนที่พระองค์เสด็จเยือนไอยคุปต์ตอนบนและไอ ยคุปต์ตอนล่างทุกเช้า เทวีไอซิสปั้นดินนั้นเป็นรูปงูเห่า เติมพิษอันร้ายแรงแห่งรัตติกาล และซ่อนมันไว้ในพงหญ้าข้างทางที่เทพรามักจะเสด็จผ่าน


    วัน ต่อมาขณะที่เทพราทรงดำเนินออกมาทอดพระเนตรอาณาจักรของพระองค์ งูเห่าที่เทวีไอซิสได้ปล่อยไว้ก็ชูคอแผ่แม่เบี้ยเหนือแนวหญ้าฉกกัดพระบาทของ พระองค์แล้วเลื้อยหายไป


    เทพ ราประหลาดพระทัยจนตรัสอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่งและเมื่อความเจ็บปวดซึมแล่น ผ่านร่างราวถูกไฟเผา พระองค์ก็เปล่งเสียงร้องครางกึกก้องไปทั่วทั้งไอยคุปต์ เทพและเทวีทุกองค์ก็ทรงรุดเข้าเฝ้ารวมทั้งเทวีไอซิส ทวยเทพโค้งคำนับและทูลถาม “เกิดสิ่งใดขึ้นหรือพระเจ้าข้า องค์ผู้สร้างเทพและมนุษย์ทั้งมวล”


    "มี อะไรสักอย่างทำร้ายข้า!!" เทพราทรงตอบ “สิ่งที่หัวใจของข้าไม่รู้จักมัน สิ่งที่นัยน์ตาของข้าไม่เคยเห็น และสิ่งที่มือของข้าไม่ได้สร้างขึ้นมา ข้าจำไม่ได้ว่า มันเป็นสิ่งที่ข้าทำขึ้น ข้า-ผู้สร้างทุกๆ สิ่ง เอาล่ะ! จงให้ลูกหลานของเหล่าเทพที่รู้เวทมนตร์และคาถาอาคมเข้ามาหาข้า พวกที่มีความรู้เทียมทันสรวงสวรรค์ อาจมีใครสักคนช่วยข้าได้"
    ทวยเทพจึงให้พวกลูกหลานเข้าไปหาเทพราทีละคนแต่ไม่มีใครช่วยได้ จนกระทั่งความเจ็บปวดจากรอยงูเห่ากัดทวีขึ้นเรื่อยๆ


    ใน ที่สุดก็เป็นคราวของเทวีไอซิส นางคุกเข่าลงอย่างนอบน้อมเบื้องพระพักตร์เทพรา "เทวบิดา มิใช่สิ่งใดที่ขบกัดท่าน หากแต่มันเป็นงูซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาสิ่งที่พระองค์สร้างมาที่ได้เนรคุณ ข้าจะตรึงมันด้วยอำนาจเวทอันทรงอำนาจ ข้าจะทำให้มันต้องซ่อนตัวจากสายเทวเนตร"


    เทพ ราทรงตอบ "ตอนที่ข้าเดินอยู่บนทางระหว่างดินแดนไอยคุปต์ตอนบนและล่างเพื่อดูแลสิ่งที่ ข้าสร้างไว้ ข้าถูกงูที่มองไม่เห็นตัวหนึ่งกัดเอา งูใหญ่ที่ข้าไม่ได้สร้างและมีพิษที่ข้าไม่รู้จัก พิษนั้นไม่ใช่ทั้งน้ำและไฟ หากแต่บางครั้งมันก็ทำให้ข้ารู้สกหนาวเหน็บยิ่งกว่าน้ำและบางครั้งร้อนรุ่ม ยิ่งกว่าไฟ ตอนนี้ตัวข้ากำลังมีเหงื่อผุดขึ้นมามากและหนาวสั่นผิดปกติ ดวงตาของข้าพร่ามัวจนมองไม่เห็น ภายในศีรษะข้าปวดยิ่งนักและร้อนผ่าวราวกับถูกแสงแดดแห่งฤดูร้อนแผดเผาเลยที เดียว"


    เทวี ไอซิสโน้มศีรษะเข้าไปใกล้เทพราและกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า "ข้าแต่เทวบิดา ข้าสามารถแก้พิษอันร้ายกาจนี้ได้ บอกพระนามลับแก่ข้า เพราะการผสมผสานพระนามลับของพระองค์กับมนตราของข้าเป็นวิธีเดียวที่จะช่วย รักษาพระองค์ได้"


    เทพ ราจึงทรงกล่าวชื่อมากมายที่ผู้ตนขนานนามพระองค์ นามที่บอกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ทรงสร้างขึ้น สรวงสวรรค์กับพื้นพิภพ ทะเลกับความลี้ลับของปลายเส้นขอบฟ้าอันลึกลับทั้งสอง ความมืดกับแสงสว่าง แม่น้ำไนล์ที่ยิ่งใหญ่ และนอกจากสรรพสัตว์ที่ดำเนินชีวิตอยู่ทั้งมวลแล้ว ยังรวมถึงสรรพสิ่งทั้งปวงอีกด้วย


    เทพราทรงจบลงว่า "ข้า เคเปรา ( Khepera ) ในยามรุ่งอรุณ คือ รา ( Ra ) ยามเที่ยงวัน และคือ ทุม ( Tum ) ในยามที่เงาบ่ายต้องผืนโลก"


    แต่ พิษนั้นมิได้มีปฏิกิริยาใดๆ กับชื่อแล้วชื่อเล่าที่เทวีไอซิสกล่าวตาม เทวีไอซิสจึงทูลว่า "เทวบิดาเจ้าข้า พระนามลับของพระองค์มิได้มีอยู่ในชื่อที่เอ่ยถึงเลย บอกพระนามลับนั้นแก่ข้า พิษจึงจะออกมา พระองค์จะรอดหากข้าได้กล่าวพระนามนั้นในมนตราจะทำให้คาถาอาคมของข้านั้นออก ฤทธิ์สำแดงเดช"


    พิษ นั้นกำเริบจนร้อนยิ่งกว่าเปลวเพลิงที่ร้อนแรงที่สุด เทพราจึงครางออกมาว่า "จงสาบานมาก่อนว่าจะไม่มีใครรอดไปได้เมื่อรู้ชื่อข้า นอกจาก ฮอรัส ( Horus ) บุตรของเจ้าที่จะเกิดกับโอซิริส ฮอรัส จะปกครองดินแดนไอยคุปต์เมื่อโอซิริสจากไปยังดินแดนของผู้ตายทางทิศตะวันตก"


    เทวี ไอซิสเอ่ยสาบาน พระนามลับของเทพราจึงผ่านออกจากดวงหทัยเข้าสู่หัวใจของ “คา” (Ka) อันเป็นร่างวิญญาณหรือกายทิพย์หรือร่างที่ 2 ของเทพรา กระซิบนามนั้นสู่ “คา” ของ เทวีไอซิส


    ทันที ที่รู้พระนามลับนั้นเทวีไอซิสก็ร่ายมนตราที่ได้เรียนมา "พิษแห่งงูเห่าจงไหลออกมา! ด้วยมนตราของข้า พิษจงออกจากองค์เทพผู้ทรงทรมาน เพราะเทพราได้ทรงบอกพระนามลับแก่ข้าแล้ว พระองค์จะทรงดำรงอยู่ หากพิษต้องสลายไปด้วยมนตราของข้า ไอซิสเทวีแห่งมวลเทพ หนึ่งเดียวในหมู่ทวยเทพที่รู้จัก อาเมน-รา ในพระนามของพระองค์เอง" และแล้วความเจ็บปวดจากพิษงูเห่าก็หมดไปจนเทพราไม่รู้สึกถึงมันอีก


    ใน ที่สุดเทพเจ้าราก็ทรงตระหนักถึงปัญหาต่างๆ ในการปกครองโลกมนุษย์ จึงทรงคิดที่จะละจากการปกครองโลก ดังนั้นจึงทรงวัวตัวเมีย (หรือเทวีนัท) เหาะขึ้นสู่สวรรค์ ส่วนเทพเจ้าและเทวีได้ตามเสด็จโดยเกาะไปกับท้องวัวด้วย และได้กลายเป็นดวงดาวต่างๆ ในเวลาต่อมา ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้สวรรค์กับโลก และเทพเจ้ากับมนุษย์ถูกแยกจากกันโดยปริยาย กลายเป็นโลกใหม่นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


    ทุกๆ วันเทพราจะข้ามขอบฟ้าจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตกเฉกเช่นดวงอาทิตย์ และทุกๆ คืนพระองค์ก็ผ่านเข้าสู่ใต้พื้นโลก ผ่าน 12 แคว้นที่เรียกว่า “มตภพดูอัต” ซึ่งเหล่าวิญญาณคนตายจะต้องผ่านเพื่อไปให้ถึงอาณาจักรอมตะ


    ส่วน เทพเจ้าราก็ทรงสละตำแหน่งผู้ปกครองโลกให้แก่เทพเจ้าธอธ (เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์และความรู้) ซึ่งทรงได้นำแสงสว่างกลับมาสู่มวลมนุษย์อีกครั้ง นี่คือเรื่องราวที่ชาวไอยคุปต์เล่าถึงในชีวิตประจำวันช่วงที่อาทิตย์มืดมิด หรือหายไปในเวลากลางคืน และจะมีดวงจันทร์กลับมาให้ความสว่างแทน


    และ ภายหลังเทพธอธ เทพโอซิริสก็ดำรงฐานะเป็นฟาโรห์แห่งไอยคุปต์แทนโดยมีเทวีไอซิสเป็นราชินี ทั้งสองสถาปนาเมือง “ทีบส์” เป็นเมืองหลวง และปกครองบ้านเมืองด้วยพระสติปัญญาอันชาญฉลาด




    [​IMG]



    การเดินทาง 12 ชั่วโมงของเทพรา


    มี ตำนานประหลาดอีกเรื่องเล่าอีกว่าเทพเจ้ารา ทรงเกิดขึ้นตอนเช้าเป็นเด็ก ตอนเที่ยงก็จะเป็นผู้ใหญ่ ตอนเย็นก็จะเป็นคนชราและต้องตายในคืนนั้น ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับตำนานเทพเจ้าราขณะที่ทรงปกครองโลก โดยได้เล่าไว้ว่า เมื่อเทพเจ้าราเสด็จลงประทับเรือเดินทางในยามรัตติกาลก็จะจำแลงเปลี่ยนพระ เศียรเป็นรูปหัวแกะ พระองค์ทรงเดินทางตลอด 12 ชั่วโมงแห่งความมืด ซึ่งรายละเอียดจะมีดังนี้


    ใน ช่วงที่เทพรากลับไปสวรรค์โลกมนุษย์ถูกกั้นอาณาเขตโดยภูเขาซึ่งช่วยพยุงท้อง ฟ้าไว้ ทุกวันดวงอาทิตย์หรือเทพราจะขึ้นภูเขามานู ( Manu ) ทางทิศตะวันออก จากนั้นก็จะเริ่มเดินทางข้ามผ่านท้องฟ้าเรียกว่า การเดินทางของเรือมันเจต,เมเซ็คเค็ต ( Manjet ) ซึ่งแปลได้ว่าเรือยามราตรีหรือเรือนับล้านๆ ปี (?) โดยมีเหล่าเทพเจ้าเป็นเสมือนลูกเรือติดตามมาด้วย รวมถึงเทพเก็บ (Geb) เทพธอธ ( Thoth ) และบุคลาธิฐานจากพลังสุริยะมากมายเช่น ฮู ( Hu ) เสียงทรงอำนาจซึ่งได้แก่คำบัญชาจากสวรรค์, สิอา ( Sia ) ความฉลาด, ฮิเค ( Hike ) ซึ่งหมายถึงมายิก (Magic) บางครั้งเทพ ฮอรัส ( Horus ) จะร่วมในการเดินทางด้วยโดยจะยืนอยู่หัวเรือเพื่อทำลายศัตรูของเทพรา


    ขณะ ที่แล่นเรือผ่านฟากฟ้าเทพราจะสวมมงกุฎ 2 ชั้น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การรวมไอยคุปต์ตอนบนและล่างเข้าด้วยกัน มงกุฎสีแดงคือไอยคุปต์ตอนล่าง สีขาวคือไอยคุปต์ตอนบน ส่วนฟาโรห์จะมีมงกุฎที่มีรูปงู อูรายอุส ( Uraeus ) อยู่ข้างหน้าและพ่นไฟออกมาเพื่อไล่ศัตรู




    [​IMG]




    solar barque


    หัว หน้างูใหญ่ศัตรูของเทพรา คือ อาโปฟิส ( Apophis ) ซึ่งอาศัยอยู่ในวังน้ำลึกของแม่น้ำแห่งเทพนุน ทุกวันมันจะคอยขัดขวางเรือสุริยะไม่ให้แล่นไป มีเรื่องเล่าว่าอาโปฟิสเป็นสุริยะเทพแรกเริ่ม แต่ถูกละทิ้งก่อนที่เทพราจะสร้างโลก ซึ่งทำให้มันไม่พอใจในการเดินทางของเทพรา มันมักจะพ่ายแพ้ต่อเทพราเสมอเวลาที่รบพุ่งกัน ในครั้งที่รบกันรุนแรงเทพเสต ( Set ) จะมายืนอยู่หัวเรือเพื่อสู้กับอาโปฟิสถ้าครั้งใดที่อาโปฟิสมีชัยชนะจะเกิด พายุ หรือเชื่อว่าการเกิดคราสต่างๆ นั้นหมายถึงว่าอาโปฟิสได้กลืนเรือสุริยะเข้าไป


    ผู้ คอยปกป้องเทพราและเทพโอซิริส ( Osiris ) ในโลกแห่งความตายก็คือ อิมเซติ ( Imseti ) ผู้พิทักษ์ตับของผู้วายชนม์, ฮาปิ ( Hapi ) ผู้พิทักษ์ปอดของผู้วายชนม์, ดูอามูเตฟ ( Duamutef ) ผู้พิทักษ์กระเพราะอาหารของผู้วายชนม์ และ กีเบห์เซนูฟ ( Qebehsenuf ) ผู้พิทักษ์ลำไส้ของผู้วายชนม์





    เทพราจะแล่นเรือไปมตภพดูอัต (Duat)

    12 ชั่วโมง หรือ 12 ฉาก เริ่มการเดินทางที่ทิศตะวันตก

    [​IMG]



    เมื่อเข้าถึงฉากแรกหรือชั่วโมงที่ 1




    เทพ รา จะมีพระเศียรเป็นแกะ พระองค์ทรงมีพระนามอีกว่า อัฟ-รา หรือ อัฟ ซึ่งหมายถึงซากศพคนตาย บนเรือสุริยะมีเทพ 2 องค์ประทับอยู่บนหัวเรือชื่อว่า ผู้เปิดทางจิต มีเทวีแห่งเรือสุริยะเทพ สวมเขาวัวและวงสุริยะ พระเศียรเป็นเหยี่ยวยืนประทับอยู่ด้วย ที่หางเสือมีเทพ 4 องค์ พระนาม วัวแห่งความจริง ผู้รอบรู้ ผู้มุ่งหมาย และ ผู้นำทางเรือ มีลิงบาบูน 18 ตัว เปิดประตูให้พระองค์และร้องเพลงขณะที่เรือแล่นเข้ามาใน มตภพ และเทวีงูใหญ่ 12 องค์ เป็นผู้จุดไฟให้แสงสว่าง

    (เสริม จาก Book of Amduat) ชม.ที่ 1 ไม่ได้จำเป็นต้องมีลิงบาบูน 18 ตัว ถ้าไปวิเคราะห์จาก KV62 ของ Tutankhamun แล้วจะมีลิงบาบูนเพียง 12 ตัวเท่านั้น แต่ถ้าวิเคราะห์จากผนังสุสานใน KV34 และ KV35 จะพบว่ามีลิงบาบูน 18 ตัวจริงๆ อยู่คนละฟากฝั่งของแม่น้ำที่เรือสุริยะเดินทางไป จริงๆ แล้วเรือใน ชม.ที่ 1 นี้บางครั้งก็มี 2 ลำเรียกว่า Day Bark กับ Night Bark จุดประสงค์ของ ชม.ที่ 1 คือการต้อนรับเรือสุริยะเข้าสู่ดินแดน Duat




    ชั่วโมง 2

    จะ มีงูพ่นไฟคอยเฝ้าอยู่ประตูอยู่ แต่เทพที่อยู่บนเรือสุริยะสามารถสั่งให้ประตูเปิดออกได้ เป็นดินแดนของเทพเจ้าและกษัตริย์อยู่รวมกันอย่างสงบสุข
    (เสริม จาก Book of Amduat) ไม่ปรากฏว่ามีงูพ่นไฟ ชั่วโมงที่ 2 นี้เรียกว่า Fields of the Blessed ซึ่งเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำ ครอบครองโดยชาวนานามว่า Wernes แม้จะไม่มีกษัตริย์อยู่ในภาพของ ชั่วโมงที่ 2 แต่ว่าก็ดูเป็นชั่วโมงแห่งความสงบสุขชั่วโมงหนึ่ง



    [​IMG]




    ชั่วโมงที่ 3



    เทพราจะชุบชีวิตเทพโอซิริสโดยการดลบันดาลจิต ซึ่งพลังในการตัดสินใจและการกระทำแด่เทพโอซิริส
    (เสริม จาก Book of Amduat) ชั่วโมงที่ 3 เต็มไปด้วยน้ำเช่นเดิม เป็นชั่วโมงที่ Ra และ Osiris เผชิญหน้ากัน แต่ไม่ทราบว่ามีการชุบชีวิตให้กันหรือไม่






    ชั่วโมงที่ 4



    จะ เป็นทางลาดเอียง มีประตูเปิดอยู่ 2 ประตู มีงูเฝ้าประตูอยู่ บางตัวก็มีหัวเป็นมนุษย์และมีขาสั้น 4 ขา หรือมีหัวเป็นงูและปีก 2 ปีก งูเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายเทพรา ได้ ทางลาดเอียงนี้คือ ทางสู่มตภพ เรียกว่า ประตูเข้า-ออก ถ้าผ่านเส้นทางนี้ไปได้จะเข้าถึงร่างของ เสเคร์ ( Seker ) เทพสุสานแห่งเมืองเมมฟิสและหลุมฝังศพของเทพโอซิริส
    (เสริม จาก Book of Amduat) จริงๆ แล้วทางลาดเอียงนั้นคือ Path of Fire ซึ่งกั้นไว้ไม่ให้เรือสุริยะผ่านไป เมื่อผ่านทางนี้ไปจะได้เข้าไปสู่ Cave of Sokar





    ชั่วโมงที่ 5


    เป็น ชั่วโมงที่สำคัญของการเดินทาง เรือสุริยะได้เดินทางมายังดินแดนแห่งเสเคร์ เทพเสเคร์ มีเศียรเป็นเหยี่ยวยืนอยู่บนหลังงูใหญ่ที่มีหัวเป็นมนุษย์ และยังทรงพบเทวีไอซิส ( Isis ) และ เทวีเนฟทิส ( Nephthys ) ในรูปนกเหยี่ยวขนาดเล็กอยู่ใกล้กับเนินดินที่เป็นสัญลักษณ์ของสุสานในทะเล ทรายแห่งโอซิริส โดยมีหัว 4 หัวคอยพ่นไฟเฝ้าประตูทางเข้าอยู่ จากนั้นเรือสุริยะจะมาหยุดต่อหน้าเทพธอธ (Thoth)


    (เสริมจาก Book of Amduat) ชั่วโมงที่ 5 คือ Cave of Sokar ไม่ยืนยันว่าเรือไปหยุดหน้าเทพ Thoth







    ชั่วโมงที่ 6


    เทพ ธอธ จะอยู่ในรูปของลิงบาบูนกำลังอุ้มนกช้อนศักดิ์สิทธิ์อยู่


    (เสริม จาก Book of Amduat) ไม่มีทั้งเทพ Thoth และไม่มีนกช้อน ชั่วโมงที่ 6 คือชั่วโมงที่เรือสุริยะเดินทางถึงจุดต่ำสุด (เพราะเป็นชั่วโมงตรงกลางพอดี) และเป็นจุดที่ Re กับ Osiris รวมกัน เพื่อเตรียมเกิดใหม่ในวันต่อไปครับ





    ชั่วโมงที่ 7


    จะ พบกับวิญญาณชั่วที่คอยดึงเชือกลากเรือไม่ให้แล่นต่อไป กระนั้นศัตรูก็จะถูกจับและถูกสังหาร งูอาโปฟิส พยายามที่จะกลืนกินเรือสุริยะ แต่เทวีแมงป่อง เสร์เคต ( Serket ) และเทพที่มีพระนามว่า “เจ้าแห่งความมืด” จะจับหัวและหางอาโปฟิสเอาไว้จากนั้นจะใช้ใบมีดแทงที่หัวและตัวของมัน


    (เสริมจาก Book of Amduat) ชั่วโมงที่ 7 เป็นชั่วโมงที่ Apophis ถูกฆ่า แต่เรื่องเจ้าแห่งความมืดจริงๆ ต้องเป็น "เจ้าแห่งมีด"





    ชั่วโมงที่ 8


    เทพ ราจะพบกับเหล่าเทพต่างๆ บ้างก็อยู่ในรูปของมัมมี่ บ้างก็เป็นมนุษย์นั่งอยู่ บ้างก็มีศีรษะเป็นวัว แพะ หนู พังพอน จระเข้ หรือ ฮิปโปโปเตมัส และอยู่ในรูปของงูเห่า เทพเหล่านี้จะตอบสนองเสียงเรียกของเทพรา ขณะที่เรือสุริยะแล่นผ่าน


    (เสริมจาก Book of Amduat) เป็นชั่วโมงที่เกี่ยวกับการเดินทางไปถึงสุสานแห่งหนึ่ง ซึ่งมีมัมมี่ยืนอยู่เรียงราย






    ชั่วโมงที่ 9


    เทพ ราจะพบกับงูเห่าพ่นไฟ 12 ตัว ซึ่งเป็นผู้คุ้มกันเทพโอซิริสและจะดื่มเลือดผู้ที่มันฆ่าเป็นอาหาร และยังแล่นเรือผ่านเหล่าเทพที่ถือคทากิ่งปาล์มซึ่งเป็นเทพที่รับผิดชอบในการ แกะสลักต้นไม้หรือพืช


    (เสริม จาก Book of Amduat) ชั่วโมงที่ 9 เป็นการ "พักผ่อน" ของเหล่าลูกเรือของสุริยะเทพ จุดนี้ไม่มีศัตรูของเทพ Ra ออกมาอีกแล้ว รวมทั้งมีงูเห่า 12 ตัวคอยพ่นไฟให้แสงสว่างแก่เรือสุริยะเทพครับ






    ชั่วโมงที่ 10



    เป็น สัญลักษณ์การกลับมาเกิดของเทพเจ้าในรุ่งอรุณ แมลงสคารับ ( Scarab ) กำลังยึดไข่ ซึ่งจะปรากฏในฟากฟ้าฝั่งตะวันออกต่อไปและวงสุริยะ 2 วง พร้อมที่จะถูกดุนขึ้นไปบนท้องฟ้า ด้านหน้าเรือสุริยะมีกองทัพเทพเจ้า 12 องค์ คอยเป็นผู้คุ้มกันให้เรือสุริยะถึงฟากฟ้าฝั่งตะวันออกอย่างปลอดภัย


    (เสริม จาก Book of Amduat) ชั่วโมงที่ 10 เป็นชั่วโมงที่คล้ายๆ Book of Gates ในชั่วโมงที่ 9 ซึ่งจะมีภาพของ "คนจมน้ำ" ซึ่งสื่อถึงการชำระล้างบาป แล้วก็ได้เกิดใหม่นั่นเองครับ ซึ่งเป็นจุดสำคัญของชั่วโมงที่ 10






    ชั่วโมงที่ 11



    ศัตรูของเทพรา จะถูกโยนลงไปในบ่อไฟ ซึ่งแต่ละบ่อจะมีเทวีคอยพ่นไฟใส่อยู่


    (เสริม จาก Book of Amduat) ชั่วโมงที่ 11 มีเทวีพ่นไฟ ยังมีภาพคน 12 คนถืองูไว้บนหัว เดินนำหน้าเรือสุริยะเทพด้วย ซึ่งก็เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อให้สุริยเทพขึ้นสู่ท้องฟ้า






    ชั่วโมงที่ 12


    เรือ สุริยะจะถูกลากเข้าไปในหางงูใหญ่ ซึ่งเทพรา จะละร่างตอนที่อยู่ใต้โลกและออกมาทางปากงู เทพราจะเป็นแมลงสคารับ โดยพระเศียรจะอิงอยู่บนพระเศียรของเทพชู (Shu) จากนั้นพระองค์จะแล่นเรือขึ้นไปยังทิศตะวันออกเช่นเดิม


    (เสริมจาก Book of Amduat) เรือสุริยะเดินทางเข้าไปทางหางและออกมาจากปากของงูใหญ่ตัวหนึ่งแล้วก็ได้ออกมาสู่ท้องฟ้าวันใหม่


    (Book of Amduat มีรายละเอียดเยอะมากและเกี่ยวข้องกับ Book of Gates, Book of Caverns, Book of Earth ด้วย ซึ่งต้องใช้เวลาศึกษามากทีเดียวกว่าจะเข้าใจคัมภีร์พวกนี้ทั้งหมด)





    ความ เชื่อของชาวไอยคุปต์ เชื่อว่าวิญญาณของฟาโรห์ซึ่งเสด็จสวรรคตไปแล้ว (รวมทั้งมนุษย์ในช่วงต่อมา) จะอยู่ในรูปดวงดาว ซึ่งคอยรับใช้เป็นลูกเรือของเรือสุริยะ ดวงดาวเหล่านั้นก็จะไม่ตกในระหว่างช่วงกลางวัน ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ เนื่องจากแสงอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์นั่นเอง


    เทพเจ้า ราเป็นเทพเจ้าที่ได้รับการสรรเสริญ และการเคารพบูชาทั่วทั้งอาณาจักไอยคุปต์ ซึ่งต่างก็ถือว่าพระองค์คือผู้สร้างโลก และจักรวาล รวมทั้งเทพยดาทั้งมวล


    ใน สมัยยุคอาณาจักรเก่าบรรดาฟาโรห์ที่ปกครองอาณาจักรไอยคุปต์ต่อมามักจะตรัส อ้างว่า ทรงเป็นโอรสของเทพเจ้าราและสวมเครื่องรางรูปพระเนตร อันเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้ารา อันหมายถึงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์และสูงสุด แต่ก่อนเทพเจ้าราจะมีเฉพาะฟาโรห์เท่านั้นที่สักการะได้ บางครั้งสัญลักษณ์ของเทพราคือวงกลมหนุนอยู่บนเรือ แต่ส่วนมากมักเป็นมนุษย์ พระเศียรเป็นนกเหยี่ยว


    [​IMG]


    อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/haru_tatsu/s...#ixzz191ZEMpRW
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2010
  12. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    God of Japan เหล่าเทพเเห่งประเทศญี่ปุ่น

    [​IMG]

    เทพเจ้าของญี่ปุ่น ถือกำเนิดโดยมีต้นสายวงศ์คณาเทพ โดย อิซานากิ เทพบิดา และ อิซานามิ เทพมารดา



    รายชื่อเทพและเทพี


    อะจิสุคิทะกะฮิโกะเนะ : เทพแห่งสายฟ้า
    อะมะเทะระสุ : เทพีแห่งดวงอาทิตย์
    อะมะสึมิกะโบะชิ : เทพแห่งความชั่วร้าย
    Chup Kamui : เทพีแห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์
    ฟูจิน, คามิคาเซะ : เทพแห่งวายุ
    ฟุสึโนะจิ : เทพแห่งไฟและฟ้าแลบ
    ฮิจิมัง : เทพแห่งสงคราม, เกษตรกรรม, เทพผู้ปกป้องบ้านเมือง
    อินะริ: เทพแห่งข้าวและเกษตรกรรม
    อิซะนะงิ : เทพแห่งการสร้างและชีวิต
    อิซะนะมิ : เทพีแห่งการสร้างและความตาย
    คะโนะฮะนะซะคุยะ : เทพีแห่งภูเขาไฟฟูจิ
    คุคุโนะจิ : เทพแห่งต้นไม้
    โอยะมะสึมิ : เทพผู้ครองภูเขา, ทะเล และสงคราม
    ไรจิน, ไรเด็น : เทพแห่งสายฟ้า และฟ้าแล่บ
    ริวจิน, ริวโอะ : เทพแห่งทะเล
    เซ็นเง็น, โคะโนะฮะนะ : เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ, เจ้าหญิงแห่งดอกไม้
    ซะรุตะฮิโกะ : เทพแห่งแผ่นดินโลก
    ซุซะโนะโอะ: เทพแห่งพายุ
    ทะสึตะฮิเมะ : เทพีแห่งฤดูใบไม้ร่วง
    เทนจิน : เทพแห่งการศึกษา
    สึคุโยะมิ, สึคิโยะมิ : เทพแห่งพระจันทร์
    อุเคะโมะจิ : เทพีแห่งอาหาร
    อุซุเมะ : เทพีแห่งอุษาและความสุข
    ยะบุเนะ : เทพแห่งบ้านเรือน
    ยุคิ อนนะ : เทพีแห่งฤดูหนาว, นางหิมะ



    [​IMG]


    เทพและเทพีแห่งโชคลาภทั้ง 7


    เอ บิซุ,เอบิสึ : เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์แห่งท้องทะเลและการประมง: เทพแห่งชาวประมงและการค้าขาย มักพบเห็นท่านถือปลาและเบ็ดตกปลาเสมอ เอบิซุเป็นเทพเจ้าองค์เดียวในหมู่เทพทั้ง 7 ที่มีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น เดิมเทพองค์นี้มีชื่อว่า ฮิรุโกะ ซึ่งแปลว่า บุตรแห่งสายน้ำ ตามร้านอาหารทะเลก็มักนำรูปปั้นเอบิซุมาประดับด้วย


    ไดโกกุ
    ได โกกุ,ไดโคะคุเทน : เทพแห่งความมั่งคั่งและดิน การเพาะปลูก และเทพคุ้มครองข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน โดยเฉพาะในห้องครัว เป็นเทพที่มีต้นกำเนิดตามความเชื่อของลัทธิเต๋า (หรือตามตำนานอินเดียคือ พระศิวะ) มักเห็นท่านถือค้อนเงินและถือถุงข้าวสาร พร้อมใบหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใส ในบางครั้งจะพบหนูตัวเล็กๆอยู่ข้างๆท่านด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ ตามร้านขายของมักนำท่านมาประดับเพื่อเป็นสิริมงคล


    บิชามอน
    บิ ชามอน,บิชะมง, ทะมงเทน : เทพแห่งสงคราม, ความยุติธรรม และผู้พิทักษ์กฎหมาย เทพแห่งอัศวินและเหล่านักรบ ตามตำนานของญี่ปุ่นท่านเป็น 1 ใน อสูรปกครองศักดิ์สิทธิทั้ง 4 หรือ เต่าดำแห่งทิศเหนือ นั่นเอง หรือตามตำนานอินเดียในนามของ ท้าวกุเวรเทพดาประจำทิศเหนือ และตามตำนานอื่นๆในเอเชียด้วยชื่อต่างๆ ซึ่งล้วนแต่แปลว่า ผู้ฟังมาก (เชื่อกันว่าท่านเป็นเทพที่คอยปกป้องพระพุทธเจ้าขณะที่พระองค์แสดงพระธรรม ที่เขาพระสุเมรุ)ตามตำนานญี่ปุ่นบิชามอนเท็น เป็นเทพแห่งสงครามผู้ขับไล่ปีศาจต่างๆที่เป็นอัปมงคล และรวมถึงปกป้องทรัพย์สินในบ้านจากภัยอันตรายต่างๆ โดยมือข้างหนึ่งจะถือหอกเป็นอาวุธ ส่วนอีกข้างหนึ่งถือเจดีย์อันเล็กๆ


    เบ็นเท็น
    เบ็น เท็น,เบนไซเทน, เบนเทน : เทพีแห่งความรัก, ศิลปะ, กวี, ปัญญา และวารี เทพเจ้าองค์เดียวที่เป็นผู้หญิง เป็นเทพแห่งศิลปะและความงาม มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย คือ ท้าวลักษมี มักพบท่านในลักษณะของนางฟ้าที่กำลังเล่นเครื่องดนตรีเครื่องสายของญี่ปุ่น


    ฟุกุโรกุยู
    ฟุ กุโรกุยู,ฟุคุโระคุจุ : เทพแห่งปัญญาและความเจริญรุ่งเรือง เทพแห่งความสุข ความมั่งคัง และอายุยืน เป็นเทพอาวุโสมีเครายาว หน้าผากสูง มีสมุดที่บันทึกอายุขัยของมนุษย์บนโลก มักพบท่านพร้อมกับ นกกระเรียน เต่า รวมถึงกวางดำซึ่งมีความเชื่อว่ากวางที่อายุ 2000 ปี จะเปลี่ยนสีเป็นสีดำ ซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์แห่งอายุที่ยืนนานทั้งสิ้น


    โฮเท
    โฮ เท : เทพแห่งความสุข, เสียงหัวเราะ และปัญญาแห่งความรู้แจ้ง เทพเจ้าที่ร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และสุขภาพ รูปลักษณ์ของท่านเหมือนพระสังกัจจายน์ด้วย หรือที่รู้จักกันตามตำนานอื่นๆ บางครั้งกล่าวว่าท่านเป็น พระศรีอรายะ หรือ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปด้วย นอกจากนั้นท่านยังมีรูปลักษณ์ที่เป็นมิตรและร่าเริง จึงเป็นที่รู้จักกันอีกนามหนึ่งคือ พระหัวเราะ รูปปั้นของท่านถูกตั้งตามร้านอาหาร โรงแรม และเป็นเครื่องรางแพร่หลายไปทั่วเอเชีย


    จูโรยิน
    จู โรยิน,จุโรจิน, กะมะ : เทพแห่งความอายุยืน มักถูกจำสับสนกับ ฟุกุโรกุยู ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก โดยเป็นเทพอาวุโสถือไม้เท้าและพัด พร้อมด้วนกวางดำเดินตามข้างหลัง


    นอก จากนี้ ยังมี เทพคิจิโจเทน, คุจิคุเทน : เทพีแห่งความงาม (เป็นองค์ที่ 8 ซึ่งเพิ่มมาภายหลัง แต่โดยรวมยังเรียกว่า เทพแห่งโชคลาภทั้ง 7)


    vvเทพเบ็นเท็น vv


    [​IMG]

    เทพคิจิโจเทน




    [​IMG]



    ++++++++++++++++++++++


    ตำนานเทพชินโต


    นานแสนนานมาแล้วเมื่อท้องฟ้าและพื้นดินเพิ่งแยกออกจากกันเทพอิซานางิ และ เทพอิซานามิผู้ เป็นทั้งภรรยาและน้องสาวกำเนิดมาจากทะเลโคลน
    ทั้ง คู่ได้ยืนอยู่บนสะพานสายรุ้งและเอาง้าวจุ่มลงในทะเลโคลนกวนให้น้ำแยกจาก ดิน และดินโคลนทั้งหลายก็รวมตัวอยู่ตรงกลาง เมื่อดึงง้าวขึ้นมา
    โคลนที่ติดอยู่กับง้าวก็หยดลงมากลายเป็นเกาะโอโนโกโร เป็นเกาะแรกของหมู่เกาะญี่ปุ่น ที่ซึ่งเทพเจ้าและมนุษย์ได้อาศัยกำเนิดขึ้นมา


    ทั้ง คู่ได้สร้างเกาะญี่ปุ่น 40 เกาะและให้กำเนิดเทพ 36 องค์ องค์สุดท้ายคือ คากูทซึชิ เทพแห่งไฟ ที่เมื่อคลอดออกมาก็เผาผลาญ อิซานามิจนตาย ไปอยู่นรก และกลายเป็นเทพีผู้ปกครองนรกบาดาลหลังจาก อิซานามิ ตาย อิซานางิ ก็เอาแต่โศกเศร้า และเฝ้าคิดถึงภรรยา จึงลงไปหาภรรยาในนรก
    แต่ เมื่อได้พบ อิซานางิ ก็ตกใจกับรูปลักษณ์ของภรรยา ที่เน่าเปื่อย กลายเป็นผีที่น่าเกลียด และแสดงอาการรังเกียจออกมาแต่ก็ได้ร้องขอให้เธอกลับไปครองรักกันเหมือนเดิม แต่ อิซานามิ เห็นอาการของสามีที่รังเกียจตน จึงปฏิเสธไม่ยอมกลับไปด้วย


    ทั้ง สองจึงแยกจากกันชั่วนิรันดร์ หลังจาก อิซานางิ กลับมาจากนรก อิซานางิ รังเกียจภรรยาที่กลายเป็นผี จึงปิดผนึกปากถ้ำที่เป็นทางลงไปสู่นรก
    แต่ อิซานามิ ได้หลบหนีออกมาจนได้ ด้วยความโกรธ ที่สามีของตนรังเกียจตนจึงอธิษฐานให้มนุษย์ ตายวันละ 1,000 คน แต่อิซานางิ ก็อธิษฐานให้ มนุษย์เกิดขึ้นมาวันละ 1,500 คน
    หลังจากนั้น อิซานางิ ได้ทำพิธีชำระล้างมลทินเป็นครั้งแรก


    - เขาล้างตาซ้ายของเขา มีน้ำตาหยดออกมาหลอมตัวก่อกำเนิดเป็น สุริยะเทวีอามาเตราสึ
    - เมื่อเขาล้างตาขวาของเขาน้ำตาร่วงหล่นหลอมตัวก่อกำเนิดเป็น จันทราเทพบุตร ทซึกิ-ยูมิ
    - และน้ำมูกจากจมูกของเขา ได้ให้กำเนิดเจ้าสมุทร ซูซาโนโอะ

    [​IMG]


    อะมาเตระสุ


    เป็น เทพีแห่งดวงอาทิตย์ตามความเชื่อของศาสนาชินโต มีตำนานที่เกี่ยวข้องกับเทพีองค์นี้มากมายซึ่งเป็นรากฐานของพิธีกรรมสำคัญ ต่างๆ เรื่องที่สำคัญคือการที่สุริยเทวีหลบหนีซุซะโนะโอะ เทพแห่งพายุเข้าไปอยู่ในถ้ำทำให้โลกต้องพบกับความมืดมิดเกิดจลาจล เทวดาทั้งหลายจึงคิดอุบายล่อหลอกให้สุริยเทวีปรากฏตั วออกมาเมื่อสุริยเทวีปรากฏตัวอีกครั้ง แสงสว่างได้ขับไล่ความมืดและความชั่วร้ายและสามารถปร าบซูซะโนะโวะลงได้ นางจึงกลายเป็นเทพที่สำคัญที่สุดของศาสนาชินโต


    สุซาโนโอะ


    (Susanowo- เจ้าสมุทร) เป็นน้องชายของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ อามาเทราซุ และเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ สึกิโยะมิ โดยเทพเจ้าสามองค์ถือกำเนิดจากเทพ อิซานางิ เทพแห่งลมพายุ และเจ้าแห่งงู ผู้ปกครองปีศาจ เขากำเนิดจากจมูกของอิซานางิ และได้รับการมอบหมายให้ปกครองทะเล
    แต่ ด้วยความที่เขาเป็นเทพเจ้าที่กล้าหาญ หัวแข็ง ไม่ยอมอยู่ภายใต้กฏใดๆ และใจร้อนหุนหันพลันแล่น เขาทำลายทุกสิ่งไปทั่วไม่จำกัดอยู่แต่ในทะเล
    เขา ได้ส่งพายุไปทำลายทุกสิ่งบนแผ่นดิน และปกคลุมจนท้องฟ้าดำมืด นั่นทำให้เทพเจ้าทั้ง 8 ล้านองค์พิโรธ และประชุมตัดสินลงโทษการก่อกวนเล็กน้อยๆของเขา โดยเฉพาะการต่อต้าน อามาเทราซุพี่สาวของเขา
    เขา ถูกตัดหนวดเครา, เล็บมือ, ยึดดินแดนที่เขาครอบครองทั้งหมดและขับไล่ไปโลกมนุษย์ เขาได้ผจญภัยไปทั่ว และได้ปราบ ยามาตาโนะ โอโรจิ เป็นงูใหญ่ 8 หัว 8 หาง มีดวงตาแดงก่ำ ลำตัวมีตะไคร่น้ำ และต้นฉำฉางอกอยู่ และที่หางมีดาบคุซานางิ โน ทสึรุงิ ("ดาบปราบหญ้า"-ดาบวิเศษมีปลาย 7 แฉกเป็นตัวแทนของสายฟ้า)ปักอยู่ ซึ่งได้ลักพาตัวสาวในหมู่บ้านเจ็ดคน และขณะที่มาลักพาตัวสาวคนที่แปด เทพซุซะโนะโอะได้หลอก ยามาตาโนะ โอโรจิ ให้ดื่มสาเก 8 ไหสำหรับแต่ละหัวและกำจัดลงได้หลังจากที่ ยามาตาโนะ โอโรชิเมาหลับไป
    ต่อ มาเขาแต่งงานกับ คุชินาดะ สร้างวังที่ซึงะ ในเมืองอิซึโมะ ต่อมาได้ย้ายไปที่เมืองเนโนคุนิ ต่อมาเขาได้พิชิตเกาหลี และปราบโรคระบาด

    [​IMG]



    อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/haru_tatsu/s...#ixzz191TtjBn0
     
  13. Amantrai

    Amantrai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +162
    ขอถามหน่อยสิท่าน

    มีเทพจีนในยุค ก่อนพุทธกาล นานมากจนเป็นเหมือนนิทานปรัมปราในการรับรู้ของคนส่วนใหญ่ รู้ไหม? ท่านเป็นใคร? นามของท่านว่ากระไร?

    :eek::eek::eek:
     
  14. Hikikomori

    Hikikomori เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +326
    ศาสนาพุทธไม่มีเทพแบบเขากันมั่งเร้อ
     
  15. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    "หลักปฏิบัติของชาวพุทธ" "เทพสร้างประโยชน์ให้มนุษย์จริงหรือ"


    ธรรมะวันอาทิตย์ช่อง ๗ สี

    วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๖.๐๐ น.

    มีคติธรรมที่สำคัญ ใน เรื่อง

    “หลักปฏิบัติของชาวพุทธ”

    โดย

    [​IMG]

    พระพรหมคุณาภรณ์ เจ้าอาวาส วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม

    ……………………………………………………

    หลักปฏิบัติของชาวพุทธ เดิมมี แต่พวกเราลืมไปเอง

    หลักข้อแรก คือ เราเป็นมนุษย์ มีคุณสมบัติพิเศษ

    สามารถฝึกได้ เป็นชีวิตแห่งการเรียนรู้

    เป้าหมายของการฝึก ทางพุทธศาสนา คือ

    การเป็นอริยบุคคล จนถึงขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์

    มีพระพุทธเจ้า เป็นต้นแบบ เป็นแบบอย่าง เป็นผู้ชี้ทาง

    มีพระธรรม เป็นคำสอน มีแก่นว่า สร้างเหตุให้ถึงพร้อม จะได้รับผล

    มีพระสงฆ์ เป็นผู้ปฏิบัติ เป็นผู้สืบทอด เป็นผู้สอนธรรม

    เมื่อมีหลักปฏิบัติ คือ ฝึกตนเอง พัฒนาตนเอง ฝึกให้เป็นอริยบุคคล

    เมื่อทุกคนในครอบครัว ฝึกโดยมี

    พระรัตนตรัย เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ หลายๆ ครอบครัว

    ก็มีผลเป็นหมู่บ้าน และ ระดับ ต่อๆ ไป จนเป็นระดับโลกในที่สุด

    ขออนุโมทนา



    ......................................................………………

    [​IMG]

    พระมหาวุฒิชัย วชิระเมธี (ว.วชิระเมธี)

    วัดเบญจมบพิตรดุลิตวนาราม มหาวรวิหาร กรุงเทพ

    ……………………………………………………

    มีคำถามจากทางบ้าน ว่า

    “ เทพสร้างประโยชน์ให้มนุษย์จริงหรือ ”

    เทพมาอยู่ในเมืองไทยกันมาก แต่ทำไมเมืองไทยกับมีวิกฤต มาก

    คนที่เชื่อถือ นับถือ ศรัทธา เทพ ทำให้ไม่ศรัทธา ในตนเอง

    พระพุทธองค์ประสูติในชมพูทวีป ประชาชนนับถือเทพ

    พระองค์ทรงประกาศพุทธศาสนา ทำให้เป็น ผู้รู้ ให้นับถือตนเอง

    ในสมัยชมพูทวีป มีชนเผ่าเจ้าของพื้นที่อาศัยอยู่เป็นชนผิวดำ

    เมื่อมีชนผิวขาวเข้ามา ก็ได้สร้างเทพ พระพรหม คือ ผู้สร้างโลก

    มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ ขึ้น ๔ ชนชั้น

    วรรณะ กษัตริย์ วรรณะ พราหมณ์ วรรณะ แพศย์ และ วรรณศูทร์

    มีกษัตริย์ เป็นเศียร แต่ละวรรณะ เป็นส่วนต่างๆ ของพระพรหม

    โดยกำหนดให้ คนผิวดำ ชนชาวพื้นเมือง เดิม เป็นวรรณะศูทร์ เป็นเท้า

    พระพุทธองค์ ทรงสอนให้เชื่อมั่นในตนเอง แทนนับถือเทพเจ้า

    พระพรหมไม่ได้ลิขิต แต่อยู่ที่ตนเอง เป็นผู้ลิขิต

    พระพรหมอยู่ในบ้าน คือ พ่อ และ แม่ ของเรา

    ตัวเราก็เป็นพระพรหมได้ถ้ามีพรหมวิหาร ๔

    คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา

    จึงขอให้พึ่งตนเอง แทน พึ่งเทพ

    ขออนุโมทนา

     
  16. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    กำเนิดตำนาน เทพนิยายกรีก

    กำเนิดตำนาน เทพนิยายกรีก

    ตามตำนานเทพของกรีก ดาวนพเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลมีทั้งหมด 9 ดวง มีชื่อตามทางกรีกเเละโรมันเเตกต่างกันไปตามชื่อเทพ มีดังนี้
    1.เทพดาวพุธ มีชื่อกรีกว่า เฮอร์มีส มีชื่อโรมันว่า เมอร์คิวรี่
    2.เทพีดาวศุกร์ มีชื่อว่ากรีกว่า อะโฟรไดท์ มีชื่อโรมันว่า วีนัส
    3.ดาวโลก ไม่ได้มีชื่อมาจากภาษาโรมันหรือกรีก เเต่มาจากภาษาอังกฤษเรียกว่า เอิร์ธ
    4.เทพดาวอังคาร มีชื่อกรีกว่า เอรีส มีชื่อโรมันว่า มาร์ส
    5.เทพดาวพฤหัส มีชื่อกรีกว่า ซีอุส มีชื่อโรมันว่า จูปิเตอร์
    6.เทพดาวเสาร์ มีชื่อกรีกว่า โครนัส มีชื่อโรมันว่า แซตเทิร์น
    7.เทพดาวมฤตยู มีชื่อกรีกว่า เทลลัส มีชื่อโรมันว่า ยูเรนัส
    8.เทพดาวเกตุ มีชื่อกรีกว่า โพไซดอน มีชื่อโรมันว่า เนปจูน
    9.เทพดาวยม มีชื่อชื่อกรีก ฮาเดส มีชื่อโรมันว่า พลูโต
    -----------------------------------------------------------

    กำเนิดตำนาน เทพนิยายกรีก

    ปฐม เหตุแห่งอุบัติของโลกนั้นปรากฏตามบทกวีของฮีสิออดกล่าวว่า ในกาลครั้งอดีตก่อนทวยเทพอุบัตินับยุคไม่ถ้วนมาแล้ว สรรพสิ่งทั้งหลายยังรวมอยู่ในกำพืดอันเดียว ซึ่งเป็นความว่างเปล่าอันปราศจากรูปเท่านั้น เรียกว่า เคออส (Chaos) เป็นความเวิ้งว้างมหึมาหาขอบเขตมิได้ ต่อมาอีกนับกัปป์ไม่ถ้วน โลกพิภพจึงผุดขึ้นเป็นประดุจฐานอันกว้างใหญ่ไพศาลเพื่อเป็นจอมมารดาของสิ่ง ทั้งมวล เรียกว่า จีอา (Gaea) หรือ จี (GE) ในภาษากรีก เทลลัส (Tellus) ในภาษาโรมัน มีสวรรค์ดาษดาด้วยดาวพราวแพรวล้อมรอบ ซึ่งจะเป็นที่สถิตจีรังกาลของทวยเทพสืบไป สวรรค์นึ้ตามภาษากรีกเรียกว่า อูรานอส (Ouranos) ส่วนโรมันเรียกว่า ยูเรนัส (Uranus) ถือกันวาเป็นจอมบิดาคู่กันกับจีจอมมารดร จอมบิดาและมารดานี้ประกอบด้วยทิพยภาพก็จริง แต่ก็หาสมมติขึ้นเป็นองค์เทพไม่ คงปรากฏแต่ว่ามีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว ลมพายุและภูเขาไฟระเบิดได้
    -----------------------------------------------------------

    สถานที่สำคัญและเขาโอลิมปัส

    ชา วกรีกโบราณเชื่อว่า โลกที่สร้างขึ้นตามทำนองดังกล่าวนี้มีสัณฐานแบนกลม มีประเทศของตนอยู่กลาง โดยมีห้วงสมุทรเมดิเตอร์เรเนียนแบ่งแผ่นดินออกเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน และทะเลนี้ต่อไปออก ทะเลดำ ซึ่งสมัยโน้น เรียกว่าทะเล ยูซินี (Euxine) 2 ทะเลนี้เท่านั้นที่เป็นทะเลที่ชาวกรีกสมัยโบราณรู้จัก ภาคเหนือสุดของพื้นพิภพนั้นเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นภูมิลำเนาของชนชาติที่ผา สุขชาติหนึ่ง เรียกว่า ชาติไฮเพอร์โบเรียน (Hyperborean) อาศัยอยู่ในถิ่น ลับแล ซึ่งจะไปทางบกหรือทางทะเลก็ไม่ถึงทั้งสิ้นอยู่พ้น เทือกเขาสูงขึ้นไปทางทิศเหนือของดินแดน เฮลลัส (Hellas) ซึ่งเป็นชื่อของประเทศกรีซสมัยโน้น ว่ากันว่าดินแดน ของชนชาติไฮเพอร์โบเรียนเป็นดินแดนที่สงบสันติสุข มีแต่ความสบายด้วยประการทั้งปวง ส่วนทางใต้ของพิภพใกล้ กับทางไหลของมหาสมุทร ก็มีชนชาติที่ผาสุขและมี คุณธรรมเช่นเดียวกับไฮเพอร์โบเรียนอาศัยอยู่อีกชาติหนึ่ง เรียกว่า อีธิโอเพียน (Ethiopion) เป็นที่โปรดปรานของเหล่าเทพยิ่งนัก ถึงแก่เหล่าเทพเคยไปร่วมพิธี พลีกรรมและงาน มหกรรมสมโภชของชนชาตินั้นเนือง ๆ

    ยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่ง อยู่ทางฟากตะวันตกของโลกริมมหาสมุทรเรียกว่า ทุ่งอีลิเชียน (The Elysian Fields) เป็นที่ซึ่งพวกมนุษย์ที่เหล่าเทพโปรดจะได้ไปอยู่ เขาถือว่า ผู้ใดดำเนินวิถีชีวิต ด้วยคุณความดีจะได้รับกรุณาโดยเหล่าเทพพาไปให้ได้เสพอมฤตภาพ คืออยู่ค้ำฟ้าเป็นสุขตลอดกาลในที่ นั้นส่วนดินแดนใกล้เคียงแถบตะวันออก และตามริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้น เป็นที่อยู่ของชนชาติ ต่าง ๆ ที่ชาวกรีกรู้จัก พ้นจากดินแดนเหล่านี้ไปในทะเลตะวันตกล้วนเป็นที่อยู่ของพวกยักษ์อมนุษย์ และแม่มด ทั้งสิ้นในประเทศกรีซมีภูเขาสูงอยู่หลายลูก ที่มียอดสูงสุดได้แก่ ขุนเขาโอลิมปัส อยู่ในแถบเทสซาลี ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศกรีซ มียอดสูงสุดเกือบ 2 ไมล์ หรือประมาณ 9,800 ฟุต ดูตระหง่านเยี่ยมเทียมฟ้า ชาวกรีกโบราณถือว่ายอดเขาโอลิมปัสนี้พุ่งขึ้นไปจรดสวรรค์ทีเดียว
    -----------------------------------------------------------

    กำเนิดเทพกับการแย่งอำนาจ

    จี กับอูรานอสเถลิงอำนาจอยู่ ณ เทือกเขาโอลิมปัส ต่อมาไม่นานก็ให้กำเนิดเทพบุตรและเทพธิดา 12 องค์ 6 องค์เป็นเทพบุตร ทรงนามตามลำดับว่า โอเซึยนัส , ซีอัส ,ครีอัส ,ไอเพอร์เรียน ,ไอแอพิทัส และโครนัส อีก 6 องค์เป็นเทพธิดา ทรงนามว่า อิเลีย ,รีอา ,ธีมิส ,ธีทิส ,เนโมซินี และฟีบี เทพและเทวีทั้ง 12 องค์นี้รวมกัน เป็นคณะ เรียกว่า ไทแทน (Titan) หรือเรียกอีกอย่างว่า ไจแกนทีส (Gigantes) ซึ่งเป็นต้นศัพท์คำว่า ไจแอนท์ แต่ละองค์ มีกายใหญ่มหึมา อูรานอสแสนจะเกรง กลัวในความมีกายใหญ่ยิ่ง และทรงพลังของเทพบุตรและเทพธิดาคณะนี้ จึงจับ ทั้งหมดโยนลงในเหวลึกใต้บาดาลมืดสนิท เรียกว่า ตรุทาร์ทะรัส (Tartarus) และจองจำ ไว้มั่นคง เพื่อป้องกันมิให้ เทพกุมารองค์ใดใช้พลังเป็นปฏิปักษ์กับไท้เธอได้
    - เมื่ออูรานอสจองจำเทพทั้ง 12 องค์ไว้ ก็ตายใจว่าคงไม่มีองค์ใดหลุดหนีขึ้นมาได้ แต่เหตุจะให้คณะไทแทน ไม่ต้องถูก จองจำอยู่นานอุบัติขึ้น เนื่องจากอูรานอสกับจีให้กำเนิดเทพบุตรอีก 3 องค์เป็นเทพบุตรยักษ์ตาเดียว เรียกว่า ไซคลอปส์ (Cyclops) มีนามตามลำดับว่า บรอนทีส ,สเทอโรพีส และ อาจีส อูรานอสจับเทพบุตรทั้ง 3 โยนลงขัง ไว้ในตรุทาร์ทะรัส อีก บรอนทีสนั้นคือฟ้าลั่น สเทอโรพีสคือ ฟ้าแลบ ส่วนอาจีสคือแสงสว่างวาบ เมื่อลงไปถึงที่คุมขังจึง ทำให้เกิดแสงสว่างไปทั่วทั้ง บาดาล ช่วยให้คณะเทพไทแทนเกิดความกล้าที่จะแสวงความเป็นไท และต่อมาก็มี เทพบุตรของอูรานอสถูกโยนลงไปสมทบอีก 3 นามว่า คอตทัส ,เบรียรูส และไกจีส แต่ละองค์มีมือตั้งร้อย

    เจ้าแม่จีไม่พอใจที่อูรานอสปฏิบัติกับลูก ๆ ดังนั้น แต่ห้ามเท่าใดอูรานอสก็ไม่ฟัง เจ้าแม่โกรธนักจึงลงไปใต้บาดาล ยุยงลูก ๆ ในคณะไทแทนให้ร่วมคิดกันแย่งอำนาจ บิดาให้จงได้ ในบรรดาเทพไทแทนนี้มีโครนัสน้องสุดท้องคนเดียวที่กล้าจะ ทำตาม เจ้าแม่จึงปล่อยให้หลุดจากพันธนาการ มอบเคียวเป็นอาวุธ พร้อมทั้งอวยพรให้เธอมีชัย โครนัสถืออาวุธคู่มือเข้าโจมจับบิดาโดยไม่ให้รู้ตัว แล้วขึ้นครองบัลลังก์หมายจะเป็นใหญ่ในจักรวาลชั่วนิรันดร ฝ่ายอูรานอสบันดาลโทสะกล้า จึงสาปแช่งโครนัสให้ถูก ลูก ๆ ของตัวเอง แย่งอำนาจในกาลภายหน้าเช่นกัน โครนัสไม่แยแสใน คำสาปของบิดา จัดแจงปล่อยเทพภราดรและภคินีให้เป็นไททั้งหมด ทุกองค์แสนจะปิติและรู้คุณ โครนัสในการที่หลุดพ้นจากการ จองจำได้เป็นไท จึงพร้อมใจกันยอมยกให้โครนัสเป็นใหญ่ปกครองตน โครนัสเลือกเทพภคินีองค์หนึ่งคือ รีอา เป็นคู่ครอง และปันส่วนอื่น ๆ ให้เทพภราดรภคินีปกครองโดยทั่วถึงกัน

    อ่านเพิ่มเติมทั้งหมด:Chapter I กำเนิดตำนาน เทพนิยายกรีก
     
  17. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    บทความดีมากเลยค่ะ คุณสันโดษ ขอบคุณมาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...