แก่นพระพุทธศาสนา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมกรรมดี, 26 ตุลาคม 2015.

  1. ธรรมกรรมดี

    ธรรมกรรมดี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +56
    แก่นของพระพุทธศาสนาที่ทรงหมายถึงในที่นี้ คือ วิมุตติ (ความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง)
    ส่วนศีล สมาธิ และปัญญานั้นเป็นเพียงสะเก็ด เปลือก และกระพี้ของพระพุทธศาสนา
    มีรายละเอียดโดยย่อดังนี้

    สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เมืองราชคฤห์ ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า บางคนมีศรัทธาออกบวช เมื่อบวชแล้วก็ได้ลาภสักการะเป็นอันมาก พอใจหลงใหลในลาภสักการะนั้น ยกตนข่มผู้อื่นเพราะลาภสักการะนั้นเต็มความปรารถนา (เห็นไปว่าการได้ลาภสักการะและความนับถือนั้นเป็นผลสูงสุดของการบวช จึงไม่ขวนขวายเพื่อให้มีคุณธรรมยิ่งขึ้นไป) เขาอยู่อย่างประมาท เมื่อประมาทก็อยู่เป็นทุกข์ เปรียบเหมือนคนต้องการแก่นไม้ เที่ยวแสวงหาแก่นไม้ในป่า แต่เนื่องจากไม่รู้จักแก่นไม้ ได้กิ่งและใบสำคัญหมายว่าเป็นแกน เขาย่อมไม่สำเร็จประโยชน์ในกิจที่จะต้องทำด้วยแก่นไม้

    บางคนไม่เต็มความปรารถนาอยู่เพียงลาภสักการะและชื่อเสียง จึงทำศีลให้สมบูรณ์แล้วพอใจ เต็มความปรารถนาอยู่เพียงแค่ศีลนั้น (ศีลเปรียบเหมือนสะเก็ดไม้)

    บางคนไม่เต็มความปรารถนาเพียงแค่ศีล จึงไม่ประมาท ทำสมาธิให้บริบูรณ์แล้วพอใจอยู่เพียงสมาธินั้น
    เปรียบเหมือนแสวงหาแก่นไม้ ได้เปลือกไม้แล้วพอใจ เข้าใจว่าเป็นแก่น

    บางคนไม่เต็มความปรารถนาเพียงสมาธิ ไม่ประมาท ทำปัญญาให้เกิดขึ้น แล้วพอใจในปัญญานั้นเต็มความปรารถนา
    เหมือนคนแสวงหาแก่นไม้ ได้กระพี้แล้วพอใจ เข้าใจว่าเป็นแก่น

    บางคนไม่เต็มความปราถนาเพียงแค่ลาภสักการะและชื่อเสียง ศีล สมาธิ และปัญญา เขาทำจิตให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง
    เรียกว่าได้ถึงแก่นของพระพุทธศาสนา รวมความว่า ถ้าเปรียบพรหมจรรย์หรือพระพุทธศาสนาเหมือนต้นไม้ทั้งต้น


    1. ลาภสักการะและชื่อเสียง เปรียบเหมือนใบและกิ่ง
    2. ศีล เปรียบเหมือนสะเก็ด
    3. สมาธิ เปรียบเหมือนเปลือก
    4. ปัญญา เปรียบเหมือนกระพี้
    5. วิมุตติ เปรียบเหมือนแก่น



    พระพุทธองค์ทรงสรุปว่า ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังกล่าวมานี้ จึงประมวลลงได้ว่า เราประพฤติพรหมจรรย์นี้มิใช่
    เพื่อลาภสักการะและชื่อเสียง มิใช่เพื่อศีล สมาธิ ปัญญา (ญาณทัสนะ) แต่เราประพฤติพรหมจรรย์นี้เพื่อความหลุดพ้นแห่งจิตอันไม่กำเริบ
    (อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ) ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์เป็นแก่นสารที่แท้จริง


    ภิกษุทั้งหลายฟังแล้วชื่นชมยินดีต่อพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า

    ปัญญา ในพระสูตรนี้ทรงใช้คำว่า ญาณทัสนะ แทน ซึ่งหมายถึง ความรู้เห็นตามเป็นจริง ไม่ใช่รู้ตามที่ปรากฏ
    เพราะสิ่งที่ปรากฏอาจหลอกเราได้ เช่น สีเขียว เมื่ออยู่ภายใต้ไฟสีเหลืองจะเห็นเป็นสีน้ำตาล อุณหภูมิซึ่งไม่ร้อนไม่เย็น
    แต่ถ้าเราออกมาจากห้องเย็นจะรู้สึกว่าร้อนหรือปรากฏแก่เราว่าร้อน นี่เกี่ยวกับเรื่องทางกาย ในเรื่องทางจิตก็เหมือนกัน
    ถ้าจิตเราถูกกิเลสครอบงำก็จะเห็นไปอย่างหนึ่ง พอจิตเป็นอิสระไม่ถูกกิเลสครอบงำ มีปัญญาเต็มที่ก็เห็นไปอีกอย่างหนึ่ง
    พระพุทธศาสนาต้องการให้เห็นอะไรต่างๆด้วยปัญญาอันชอบ (สัมมาปัญญา) ไม่ใช่เห็นตามอำนาจของกิเลส

    เกี่ยวกับความหลุดพ้น (วิมมุติ) มีอยู่ 2 แบบ คือ หลุดพ้นที่ยังกำเริบ หมายถึง หลุดพ้นชั่วคราว (ตทังควิมุตติ)
    หลุดพ้นเพราะข่มกิเลสไว้ด้วยกำลังฌาณ (วิขัมภนวิมุตติ) อีกอย่างหนึงหลุดพ้นที่ไม่กำเริบอีกคือหลุดพ้นอย่างเด็ดขาด (สมุจเฉทวิมุตติ)
    กิเลสที่ละได้แล้วก็เป็นอันละได้ขาดไม่กลับเกิดขึ้นอีก เช่น ความหลุดพ้นของพระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป


    (มหาสาโรปมสูตร เล่ม 12 ข้อ 347-352 อ้างอิงใน วศิน อินทสระ, พระไตรปิฏก ฉบับที่ทำให้ง่ายแล้ว, 2553: 385-388)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • cp000248.jpg
      cp000248.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52 KB
      เปิดดู:
      428
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 ตุลาคม 2015
  2. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    แล้วรากของต้นไม้ เปรียเทียบได้กับอะไร
     
  3. alkuwaiti

    alkuwaiti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,257
    หากอยากหลุดพ้นจากทุกข์เราก็ต้องเริ่มต้นจากความดี จากบุญบารมีเป็นพื้นฐาน หากวันๆเอานั่งเพ้อฝันงมหาแก่น กอดแก่นของศาสนาพุทธเอาไว้โดยไร้ซึ่งการกระทำใดๆที่จะเป็นเหตุให้เกิดผล ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีก 10,000 ชาติ ก็ยังคงพ้นทุกข์ไม่ได้

    ผมมองว่าเรื่องนิพพาน เรื่องการพ้นทุกข์นั้นหลายๆคนก็น่าจะพอเข้าใจกันดีอยู่แล้ว แต่ปัญหาก็คือทำอย่างไรนี่สิ การจะเสนอธรรมต่างๆนั้นก็ควรจะชี้ให้เห็นความสำคัญในเหตุที่ก่อให้เกิดผล มิใช่การนำเอาแต่เรื่องนิพพานพ้นทุกข์มาพูดแล้วเกทับว่าเรื่องอื่นไม่สำคัญทั้งๆที่มันสำคัญโดยแท้ ศีล สมาธิ ปัญญา ยังไงทุกคนก็ต้องทำ และคนที่เขาต้องการจะหลุดพ้นจากทุกข์จริงๆ ผมว่าคงไม่มีใครมามัวหลงอยู่กับมันหรอกนะครับ ข้อความในกระทู้พูดเหมือนสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำยังไงยังงั้น

    ถ้าจะพูดถึงแก่นของศาสนาพุทธ จริงๆแล้วทุกเรื่องก็คือแก่นหมดทั้งทาน ศีล ภาวนา หากคุณไม่กระทำ 3 สิ่งนี้ที่เป็นเหตุให้เกิดผล คุณก็ไม่มีวันที่คุณจะพ้นทุกข์หมดกิเลสได้ คนๆนึงต้องใช้เวลานานนับอสงไขยกว่าที่บุญบารมีจะมากพอถึงขั้นได้พบพระพุทธศาสนา แล้วเป็นพระอรหันต์

    1.กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากขนาดไหน
    2.การจะได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนานั้นยากยิ่งกว่า
    3.การจะได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนาและได้สำเร็จธรรมเป็นพระอรหันต์นั้นยากยิ่งกว่ากี่เท่า

    - คุณจะใช้เครื่องมืออะไรที่จะพาตัวเองมาถึงข้อ 3 นี้ได้หากไม่ใช่ ทาน ศีล ภาวนา หากยังเอาศาสนาพุทธมาแยกแก่น แยกเปลือกอยู่ละก็ จงรู้เอาไว้เลยว่าตนเองกำลังโดนอวิชชาครอบงำอยู่ เหมือนคนที่กำลังหลงทางหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ อยากไปหานิพพานแต่ไม่รู้วิธีที่จะไป
     
  4. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    สาธุ ลูกเจียบก่อนออกจากฟองไข่ได้ มันต้องโตให้เต็มที่ในฟองมันก่อนโดยอาศัยแม่ไก่ ทำหน้าที่ฝักไข่

    ทาน ศลี ภาวนา ทำหน้าที่เหมือมแม่ไก่ ทำให้บารมีเต็มก่อน
    พอบารมีเต็มแล้ว พระพุทธเจ้าจึงสอนวิธีทำลายลิเลส แต่ละท่านใช้อุบายไม่เหมือนกันในการทำลายกิเลส...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...