แก่นแท้แห่งกรรมฐาน’หลวงพ่อจรัญ’ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 7 กรกฎาคม 2019.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,273
    ค่าพลัง:
    +9,528
    e0b989e0b981e0b8abe0b988e0b887e0b881e0b8a3e0b8a3e0b8a1e0b890e0b8b2e0b899e0b8abe0b8a5e0b8a7e0b887.jpg
    ผู้เขียน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร

    วันเสาร์ที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสกราบไหว้ พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) ที่วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ซึ่งท่านได้มรณภาพไปตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2559 นับถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่า 3 ปีเศษ

    ขณะนี้มีการสร้างพระเจดีย์ ฯลฯ หน้าวัดอัมพวัน ซึ่งใกล้จะเสร็จแล้ว และวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2562 ทราบจากทางวัดว่าเจ้าภาพ คุณศิริพร ศาตวินท์ ประธานฆราวาส จะยกยอดมงกุฎครอบ “หยาดน้ำค้าง” องค์พระเจดีย์ธรรมสิงหบุราจริยาอนุสรณ์ (คล้ายยกช่อฟ้า) เริ่มเวลา 13.00 น. เป็นต้นไป คาดว่าจะมีญาติโยมร่วมทำบุญในครั้งนี้กว่า 3,000 คน

    ผู้เขียนในฐานะลูกศิษย์ได้ปฏิบัติกรรมฐานกับหลวงพ่ออย่างต่อเนื่อง และวันดังกล่าวได้รับหนังสือ เรื่อง “แก่นแท้ แห่งพระกรรมฐาน” ของหลวงพ่อมาและได้อ่านตลอดเล่ม มีเกร็ดความรู้ซึ่งหลวงพ่อท่านได้รวบรวมไว้ ก่อนท่านมรณภาพ ซึ่งมีคุณค่าแก่พวกเราคนไทยและแฟนมติชน ควรแก่การเผยแพร่

    หลวงพ่อท่านปรารภเสมอๆ ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ว่า…“การเจริญกรรมฐาน ต้องการจะสอนตัวเอง ไม่หมายความว่าให้คนอื่นมาสอนเรา เราดื้อด้าน จะให้คนอื่นมาสอนเราได้อย่างไร การมาเจริญกรรมฐานต้องการพิสูจน์ตัวเอง ตัวเองเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นหลักฐานในชีวิตจิตใจบ้าง ต้องการพิสูจน์ว่าในตัวเรามีความชั่วอะไร เท่าไร มีความดีเท่าไหร่ แก้ไขปัญหาได้หรือไม่ประการใด”

    หลวงพ่อท่านบอกว่า…คนที่เจริญกรรมฐานได้ชื่อว่าเป็นญาติในพระศาสนา ถ้าท่านไม่เจริญกรรมฐาน บวชกาย วาจา ใจ เป็นไตรสิกขาสามแล้ว ท่านจะไม่เป็นญาติกับพระศาสนาเลยจะสร้างศาลาสัก 100 หลังก็ไม่มีโอกาสเป็นญาตินะ ขอฝากนักกรรมฐานไปตีความคิดให้ใกล้ตัว

    หลวงพ่อมองว่า “อย่าหมิ่นประมาทต่อพระกรรมฐาน” ทำอะไรให้ทำจริงเถอะ ทำจริงจะได้ผลภายใน 7 วัน มีตัวอย่างวัดนี้ ถ้าทำไม่จริง จิ้มๆ จ้ำๆ ไม่ได้อะไร จะได้บาปนะ อย่าหมิ่นประมาทต่อกรรมฐาน อย่าไปว่าหนอๆ แหนๆ ไม่ได้เรื่องได้ราว ระวังนะ “หนอ” มีราคาหลายล้านนะ “หนอ” เป็นคำภาษาไทยแปลมาจาก “วาตะ” ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ เชิญมาได้ทุกเวลามีหลักอยู่ แต่จะไม่ขอกล่าวให้ยืดยาวออกไป “หนอ” เป็นตัวรั้ง “จิต” ให้มี “สติ” ดี

    หลวงพ่อฝากญาติโยมไว้ว่า ความสำเร็จมันอยู่ที่จิตใจ ก็จิตใจโยมไม่ดี ไม่มีพลัง ความสำเร็จจะไม่มี มีแต่ความล้มเหลว มีแต่ความหายนะตรงนี้ขอเน้นไม่ใช่มาแล้วถือเนื้อถือตัว ว่าข้าเป็นคุณหญิงคุณนาย ข้าเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าฯ นายพลเอก พลโท…ข้าเป็นอะไรก็ว่ากันไป มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก ก็เป็น “มนุษย์สมบัติ” เอาแค่นี้ก่อน ไม่ต้องเอาหน้าที่มาพูดกัน ไม่ต้องเอาตำแหน่งมาพูดกัน ตอนนั่งกรรมฐาน ต้องละหมดแล้ว ต้องปลดออกไปก่อน เรามาที่นี่ต้องละทิฐิมานะ ต้องตัดปลิโพธกังวลทางบ้านมาแล้วจะได้ผล

    ต้องถอดเครื่องยศ เครื่องทรงออก ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการ ซี 8 ซี 9 ถ้าจิตใจยังเป็นซี 8 ซี 9 ปฏิบัติกรรมฐานไม่ได้หรอก เราเป็นดอกเตอร์ ศาสตราจารย์รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แม้เป็นมหาเศรษฐี จะปฏิบัติกรรมฐานไม่ได้หรอก พอนั่งหลับตาก็จะคิดถึงวิชาการ คิดถึงเครื่องต้นเครื่องทรง ท่านจะไม่ได้อะไร ขอฝากท่านไว้ทำได้ขั้นๆ นี่ท่านจะได้ผล พยายามมาเดินจงกรมให้ได้ กำหนดสติปัฏฐาน 4 ให้ได้ เท่านี้เอง ไม่ต้องไปอธิบายกันเลอเลิศไป เท่านี่ยังทำไม่ได้ ก็สอบตกแล้ว จะเลื่อนญาณนั้น ญาณนี้ เดินระยะ 4 ระยะ 5 ระยะ 6 แต่ระยะ 1 ยังไม่ผ่านสอบตกแล้วจะขึ้นชั้นได้ไหม เหมือนชั้นประถมศึกษาไม่ได้ ไปขึ้นชั้นมัธยม ไปสร้างปัญหาให้ชั้นมัธยมเขาด้วย ชั้นมัธยมไม่เอาไหน เข้ามหาวิทยาลัยก็ไปสร้างปัญหาให้มหาวิทยาลัยอีก เลยไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้…

    ผู้ปฏิบัติจะต้องมีใจเป็นอิสระ ละวางจากพันธะทั้งปวง คือ “ไม่มีปลิโพธ” 10 ประการ 1.ไม่ห่วงบ้านหรือห่วงวัด 2.ไม่ห่วงสกุล 3.ไม่ห่วงลาภ 4.ไม่ห่วงคณะ 5.ไม่ห่วงทำธุรกิจ 6.ไม่ห่วงในการเดินทาง 7.ไม่ห่วงญาติ 8.ไม่ห่วงโลก 9.ไม่ห่วงการศึกษา 10.ไม่ห่วงการที่จะแสดงฤทธิ์

    ลวงพ่อท่านเน้นเสมอๆ ว่า…“วิปัสสนาไม่มีคำว่าสำเร็จ ต้องทำไปเรื่อยๆ” เราทำกรรมฐานนั้น เวทนามันสอนเรา มันแยกออกไป เวทนาแยกออกไปเป็นสัดเป็นส่วนนะ ขันธ์ 5 “รูปนาม” เป็นอารมณ์เวทนา แยกออกไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ปวดหนักเข้า หนักเข้าแตกเลย มันมีจุดแตกออก แล้วมันจะหายปวด…อย่างนี้ทีแรกมันไม่หายหรอก จะนั่งกี่ชั่วโมง ทำกี่ครั้งมันก็ต้องมีหลัก 4 ประการ ไม่ใช่ว่าเราสำเร็จแล้วได้โสฬสญาณคำว่าสำเร็จวิปัสสนาไม่มี ทำเรื่อย ไปเถอะ แต่เราจะไปพูดกับเขาทุกคนไม่ได้นะ

    โอ๊ยดิฉันสำเร็จวิปัสสนา สำเร็จกรรมฐาน เดี๋ยวเขาจะโต้เอานะ บอกฉันเป็นนักปฏิบัติธรรม ยังไม่สำเร็จเท่านี้ พูดเท่านี้ เราก็บอกฉันเป็นนักปฏิบัติธรรมะ แต่ก็เพิ่งเริ่มต้นเราก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนไปอย่างนี้ ที่นี้ใครจะทำถึงขั้นไหนก็ตาม ต้องผ่านหลัก 4 คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ทุกคน ต้องมี “เวทนา” ทุกคนแต่มีเวทนาแล้วเรากำหนดได้ ตั้งสติไว้ให้ได้ไม่เป็นอะไรเลย เวลาเราเจ็บระทวยป่วยใจจะไม่เสียสติ ไม่เสียสติเลยนะ แล้วเราทำวิปัสสนานี่มันมีเวทนาหนักยิ่งขึ้นกว่าก่อนจะตาย เวลาก่อนจะตายมันจะหนักเหลือเกิน เราปวดมากก็กำหนดเข้าไว้ว่า กำหนดหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ

    หลวงพ่อท่านฝากถึง ผู้สนใจปฏิบัติธรรมะเป็นการทดแทนน้ำนมแม่ได้ ข้าวป้อนที่แม่ป้อนมา ที่พ่อหาเลี้ยง มีทั้งน้ำเลือด น้ำเหลืองอยู่คนเดียวกัน คือ… “พ่อแม่ของเรา” อยู่ในตัวทุกคน ขอให้สร้างกุศลนี้เท่านั้นเอง… “ปฏิบัติกรรมฐานไว้จะได้รับผล ได้ส่งผลให้พ่อแม่”…พ่อแม่ล่วงลับไปแล้วรับรู้สัมปรายภพจะได้มารับส่วนบุญส่วนกุศล “นี่ได้สูงสุดตรงนี้” คือ การเจริญพระกรรมฐานดีที่สุดแล้ว ขอให้ตั้งใจทำ จะกลับไปบ้านขอให้สวัสดีมีชัย และติดตามผลเอาไปต่อเนื่อง โดยแก้ปัญหาในครอบครัว แก้ปัญหาสังคม แก้ปัญหาให้ลูกหลาน อย่าไปสร้างปัญหาอีกต่อไปเลย “กรรมฐาน แปลว่า สร้างกิจกรรม” อย่าไปสร้างปัญหา “กรรมฐาน แปลว่า แก้ไขปัญหา” จะไม่มีการสร้างปัญหาใครเดือดร้อนอีกต่อไป แล้วจะสร้างแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรือง วัฒนาสถาพรของทุกท่านโดยทั่วหน้ากัน

    หลวงพ่อท่านบอกว่า…“สร้างความดีต้องลงทุนความลำบากนะ”…ถ้าท่านลงทุนความสบาย ท่านเป็นคนชั่วโดยไม่รู้ตัวนะ สร้างความชั่วนะ ชอบกินสบาย ชอบนอนสบาย ไม่เอางานไม่เอาการ เอาปูนหมายหัวไว้ได้เลยนะว่า…เอาดีไม่ได้ เป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้แน่ๆ…สร้างความดีต้องมีอุปสรรค ท่านที่เข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ถ้าอาจจะรู้นะ ถ้าเกิดได้ดีขึ้นมาอาจมีคนอิจฉาริษยา โดนอย่างนั้นอย่างนี้ตลอด นี่แหละ ความดีต้องมีอุปสรรค ความชั่วไม่มีใครมาต้าน ไม่มีอุปสรรค ไหลไปสู่ความชั่วคือจิตเป็นธรรมชาติ ต้องคิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ไว้ได้เหมือนเทปบันทึกเสียงมันชอบไหลไปสู่ที่ต่ำฉันใดก็ฉันนั้น

    [​IMG] [​IMG]

    จิตนี้มันไหลขึ้นเหนือไม่ได้ หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า กระผมไปอยู่กรรมฐานเจริญธุดงค์ ที่บนยอดเขา 7 วัน 7 คืน อยู่กับหลวงพ่อในป่า ฝนตก 7 วัน 7 คืน ไม่ได้ฉันข้าวฉันปลา ขึ้นไปยอดเขาเป็นแรมวันแรมเดือน… สังเกตได้ว่า ไอ้ปลานี่มันวิ่งขึ้นเหนือน้ำ ขึ้นไปบนภูเขาสูงได้ เขาเรียกว่า “ปลาพล่านน้ำ” หลวงพ่อใหญ่ท่านบอกว่า ปลาเป็นมันต้องว่ายสวนขึ้นน้ำ ปลาตายว่ายตามน้ำ คนเราต้องฝืนใจฝืนใจขึ้นภูเขาสูงได้ ฝืนใจแล้วสูงกว่าคน ถ้าคนไหนฝืนใจไม่ได้ปล่อยตามอารมณ์ ตามใจคนเสียหมด กลายเป็นคนจิตใจต่ำ ไม่มีใจสูงแต่ประการใด ออกมาอย่างนี้ชัดเจน

    ขอเรียนถวาย เราก็ได้ธรรมะอีกเช่นกัน เราไปดูปลาที่น้ำไหลเรื่อยๆ มันก็จะวิ่งขึ้นเหนือน้ำ ดักลอบดักไซได้ต้องหันหน้าลงร่องน้ำ ปลามันวิ่งขึ้น น้ำยิ่งไหลแรงมันยิ่งวิ่งมามากฉันไดก็ฉันนั้น… “สร้างความดีต้องฝืนใจมากๆ” จึงจะได้ดี ถ้าปล่อยไปตามอารมณ์ตามใจตัวเองรับรองท่านจะดีไม่ได้ “ต้องอดทน ต้องฝืนใจ”…คนจะดีได้ต้องอดทนฝืนใจให้ได้

    หลวงพ่อของเราจะมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งที่ท่านเน้นเวลาสอนวิปัสสนากรรมฐาน ว่า…หนอ…นี่เป็นคำของพระพุทธเจ้าแท้…สติปัฏฐาน 4 นี่เราเจอพระท่านหนึ่งในป่า หนึ่งรำลึกชาติได้ สองรำลึกบุพการีได้ สามรำลึกชาติครั้งอดีตได้ สี่รู้กฎแห่งกรรมที่ทำกันได้ ห้าแก้ปัญหาใหญ่ได้ เท่านี้เหลือกินเหลือใช้ และไม่ใช่อย่างเดียว และไม่ใช่ขอขมาที่เราทำ “หนอ นี่ของพระพุทธเจ้าแท้”

    “หนอ” นี่แปลจากคำว่า “วะตะ” เป็นภาษาบาลี อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารนี้ไม่เที่ยงหนอ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะ เห็นดวงธรรมมาแล้ว

    “หนอ” เป็นตัวที่สั่ง “สติ” ที่ดีมาก ให้อยู่กับ… “จิต” สั่ง “จิต” ให้อยู่กับ “สติ” ให้ได้ ดังเช่น แสงนีออน บัลลาสต์ สตาร์ตเตอร์ และคำว่า “หนอ” ติดสตาร์ตเตอร์ทำให้ “ไฟติด” ถ้าไม่สตาร์ตเตอร์เอาออกเสียไฟก็ไม่ติดหลอด เป็นสื่อสำคัญมาก คือ “สตาร์ตเตอร์”… คำว่า “หนอ” นี่เป็นสื่อให้ “สติ” อยู่กับ “จิต” เรียกว่า หนอ…โอ้หนอ…โกรธหนอ…เสียใจหนอ…หนอนี้ทำหน้าที่เป็นกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะประสานงานให้จิตกับสติอยู่ด้วยกันให้เกิดปัญญา นั่นคือ การเข้าสู่ขั้น “อุเบกขา” คือ “จิตคิด” “สติมาปัญญาเกิด” นั่นเอง ดุจดั่งเป็นสวิตช์เปิดปั๊บ สตาร์ตรถ ปั๊บๆๆ ทำให้ “ไฟติด” (คือ แสงแห่งปัญญานั่นเอง)

    หลวงพ่อท่านเคยพูดเสมอๆ ว่า… “ทุกปัญหามีทางออกเสมอ” คนเรากำลังเสียใจ กำลังกลุ้มใจ ยังไม่แก้ตัวเอง แก้ตัวไม่ได้ ไปแก้คนอื่นไม่ได้ เข้าใจตรงนี้อีกอย่าง ถ้าเรายังกลุ้มใจ โกรธร้อนลุ่ม โมโหมากๆ เสียใจมากๆ อยู่นี่อย่างนี้…ถ้าเราจะแก้คนอื่นก็ผิดเลยนะ คอมพิวเตอร์ตีผิดแล้วนี่ นี่กระแสไฟไม่พอ ยังไงไฟก็ไม่ติด

    การแก้ปัญหาไม่ยากเลย แต่ต้องแก้ที่ตัวเองก่อน ถ้าแก้ตัวเองได้แล้ว ถึงจะไปแก้คนอื่นเขาได้ ส่วนคนอื่นเพียงแต่ให้คำแนะนำ แนะแนว แผ่เมตตาให้ ก็ท่าจะดีขึ้นโดยหันหน้าเข้าหากัน

    ท้ายสุดนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่า เราดีแต่ไปวัดอารมณ์คนอื่นให้มันเสียโอกาสและเวลาพวกเรา…ใครทำใครได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้ช่วยกันไม่ได้ ภรรยาปฏิบัติธรรม มีธรรมประจำจิต ใช้ชีวิตถูกต้องตามครรลองคลองธรรม สามีก็คงไม่ก็ ต่างคนต่างทำกัน สามีนั่งปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในวัด ภรรยาตามมา ภรรยาไม่ปฏิบัติไม่สนใจ ก็ห่างกันเหมือนฟ้ากับดิน แน่นอนที่สุดจะไม่พบกันในชาติหน้าต่อไป

    การเจริญกรรมฐานต้อง “การสอนตัวเอง” ให้รู้จักตัวเองให้ดีที่สุด ดีชั่วอย่างไร มีความดีเท่าใด แก้ปัญหาได้หรือไม่ประการใด สร้างเวรสร้างกรรมหรือเปล่า มีอะไรเป็นหลักฐานในชีวิตจิตใจบ้าง…ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย สร้างบาปก็ขาดทุน สร้างบุญท่านก็จะรู้ว่ากำไรของชีวิตคืออะไร ชีวิตมีค่าด้วยกำไรอันนี้ เวลาก็มีประโยชน์ทุกนาทีทองเกิดประโยชน์ต่อกิจกรรมของท่านมาก ท่านจะไปไหนมาไหนมีแต่คนนับหน้าถือตา มีทรัพย์มีชื่อเสียง มีแต่ความรักความเมตตา…กรรมฐานต้องทำทุกวันให้เสมอต้นเสมอปลาย…ก็จะมีพลังสูงสม่ำเสมอ จะทำให้เรามีความคิดแปลกๆ กว่าเดิมเป็นความถูกต้องมันจะทำให้เรารู้ของจริงได้

    อนึ่ง ท้ายสุดสุด หากคนบางคนใช้บุญวาสนาครั้งอดีตชาติ ไม่มีนิสัยมาแต่ชาติก่อน ชาตินี้ก็ทำยากมาก ไม่มีโอกาสที่จะเจริญกุศลภาวนาในพระพุทธศาสนาได้ดี พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นพบด้วยตนเอง โดยอริยสัจ 4 ของพระองค์นั้นโดยไม่มีครูบาอาจารย์แต่ประการใด พระองค์ไปหาเอง แสวงโมกขธรรมอยู่ 6 ปี (อายุ 29-อายุ 35 ปี) แล้วเสด็จเอาความดี 6 ปี มาเผยแผ่ที่พระพุทธศาสนา ถึง 45 ปี มีพระชนมายุ 80 พรรษา เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานในที่สุด แต่ทุกคนมีโอกาส สร้างโอกาสให้ตนเองโดยหันหน้าเข้าวัด เดินไปเข้าวัดอัมพวันได้ทุกวันทุกเวลา เปิดรับทุกๆ คน ทุกชนชาติ ทุกเพศ ทุกอายุขัย มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

    หลวงพ่อท่านถือว่าทุกท่านเป็นนักบวชนะ…บวชกายบวชวาจา บวชใจ บวชนอก บวชใน บวชจิตใจเป็นพระ ทำจิตใจให้ประเสริฐอย่างที่ผู้เขียนเคยได้ยินหลวงพ่อบอกว่าดีๆ ชั่วๆ อย่างไรเราก็ได้บุญอยู่แล้ว เพราะเป็นการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด ท้ายสุด เราจะรู้ว่า “ทุกปัญหาแก้ได้ด้วยปัญญา” ของเราไงเล่าครับ

    ขอขอบคุณที่มา
    https://www.matichon.co.th/article/news_1568688
     

แชร์หน้านี้

Loading...