แก้เหม่อด้วยการเห็นความเหม่อ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย TupLuang, 29 กรกฎาคม 2008.

  1. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    แก้เหม่อด้วยการเห็นความเหม่อ

    อาการเหม่อเป็นเรื่องธรรมดาของคนธรรมดา จุดเริ่มต้นของความเหม่อคือการขาดสติ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ปล่อยจิตปล่อยใจเลื่อนลอยไปกับอารมณ์ที่ไม่ชัดเจน

    เมื่อคุณเห็นใครสักคนตาลอย คุณอาจรู้สึกขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งว่าตัวตนของเขาหายไปจากโลกนี้ชั่วขณะ จนอยากทักว่าใจลอยไปอยู่ไหน หรืออยากให้เขากลับมารับรู้เรื่องตรงหน้า ที่มีคุณเข้ามาร่วมโลก ร่วมหายใจอากาศเดียวกันกับเขาแล้ว

    แต่เมื่อใดที่คุณเหม่อเสียเอง และไม่มีใครมาทักให้รู้เนื้อรู้ตัวล่ะจะทำอย่างไร? บางคนขาดความสนใจโลก เอาแต่หมกมุ่นหดหู่ก็เพราะเหม่อบ่อยนี่เอง

    อาการเหม่อนั้น ถ้าเหม่อมากจนผิดปกติ ก็เรียกว่าโรคทางใจชนิดหนึ่งได้ คือโรคเหม่อ โรคขาดการติดต่อกับภายนอก (ถ้าพูดให้ครบก็ต้องว่าขาดการติดต่อแม้กับภายในด้วย เช่นแม้คิดก็ไม่ทราบว่าตนเองกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่) แล้วก็เป็นไปได้สูงที่โรคเหม่อจะพัฒนาเป็นโรคสงสารตัวเอง โรคซึมเศร้า ตลอดจนโรคอยากจบชีวิต

    โรคเหม่อระยะเริ่มต้นอาจชวนคุณฝันกลางวัน วาดวิมานในอากาศ หากใครจินตนาการดี ฝันหวานเก่ง ก็มักติดใจ คือพอเกิดความคิดมาชักชวนใจให้ล่องลอยขึ้นสู่วิมานในอากาศ วาดเรื่องราวแสนดีที่ไม่มีทางเป็นจริง ใจก็กระโจนทะยานตามความคิดขึ้นสู่วิมานในอากาศไปเต็มๆ คงจำได้ว่าเมื่อติดอยู่กับวิมานในอากาศ คุณจะไม่อยากฝืนห้ามตัวเอง และไม่อยากกลับคืนสู่ภาพอันแห้งแล้งของโลกความเป็นจริงอีก

    นั่นเป็นเรื่องของโรคเหม่อขั้นเริ่มต้น แต่โรคเหม่อขั้นรุนแรงอาจชวนให้คุณปฏิเสธโลกความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง และอาจทึกทักอะไรไปต่างๆนานาได้สารพัด โดยมากเป็นในทางแย่ นั่นก็เพราะความเหม่อเป็นอกุศลจิต อกุศลจิตมีลักษณะเศร้าหมอง มืดหม่น อับจนหนทาง ยากจะสว่างขึ้นมาเอง เปรียบเหมือนถูกขังอยู่ในห้องทึบไร้หน้าต่าง เมื่อไม่เห็นแสง ไม่เห็นสีสัน ไม่เห็นความสวยงาม คุณก็ย่อมจมแช่อยู่กับความมืด เห็นแต่สีดำ เห็นแต่ความน่าเกลียดน่ากลัวอันซ่อนเร้นอยู่ในก้นบึ้งของจิตที่ชุ่มกิเลส

    เว้นไว้แต่คนมีความบกพร่องทางกาย โรคเหม่อไม่ใช่สิ่งติดตัวมาแต่เกิด มันเป็นอาการสั่งสม ซึ่งหมายความว่าอาการเหม่อเป็นสิ่งเพิ่มได้ลดได้ ใครชอบเหม่อจัดๆตอนนี้ แสดงให้เห็นว่าสั่งสมอาการเหม่อมานาน แต่ใช่จะต้องเหม่อเรื่อยไป เพราะถ้าเลือกว่าจากนี้คุณจะเหม่อน้อยลง ก็แค่ทำความเข้าใจกับต้นสายปลายเหตุของความเหม่อ เพื่อขจัดสาเหตุนั้นทิ้งเสีย

    สาเหตุหลักของความเหม่อได้แก่

    ๑) ความเหนื่อยอ่อนเปลี้ยเพลีย พูดง่ายๆคือความล้าทางกายบีบให้ห่อเหี่ยว หมดกำลังที่จะตั้งสติรู้เห็นอะไรรอบตัว แต่ก็อาจยังไม่ง่วงขนาดอยากหลับให้สิ้นเรื่องสิ้นราว จึงคาราคาซังอยู่กับอาการหลับก็ไม่ใช่ตื่นก็ไม่เชิง ครึ่งๆกลางๆอยู่

    คนที่จำเป็นต้องทำงานหนักและไม่เป็นเวลาบ่อยๆ ร่างกายอ่อนแอลง ก็คงยากจะรักษาสติไว้ให้เข้มแข็ง ยิ่งถ้าเลิกงานแล้วหันมาทำเรื่องไร้สติ เช่นเหวี่ยงแหดูรายการทีวีหรือคลิกเลือกเว็บไซต์ไปเรื่อยแบบไม่มีจุดหมายชัดเจน จิตใจก็จะยิ่งคลุกเคล้าเข้ากับคลื่นความคิดปั่นป่วน เป็นชนวนให้เกิดความเหม่อขั้นหนักได้

    การมีวินัยในการออกกำลังกายให้แข็งแรง ตลอดจนการกำหนดเวลาพักผ่อนให้ได้ความรู้สึกสดชื่นเต็มอิ่ม และหลีกเลี่ยงกิจกรรมชวนฟุ้งซ่านวกวน นับว่ามีส่วนช่วยแก้เหม่อได้อย่างตรงกับเหตุ ความขี้เกียจและความไม่เต็มใจจะทำอะไรให้ดีขึ้น ก็คือการเลือกสนับสนุนให้ตัวเองเหม่อหนักขึ้นเรื่อยๆ

    ๒) จิตไม่มีงานหรือไม่มีจุดหมาย คือไม่มีเรื่องน่าสนใจให้กระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็น พูดง่ายๆคือความไร้ที่ตั้งของจิตทำให้จิตล่องลอยคล้ายว่าวสายขาด เมื่อเคยชินที่จะปล่อยใจให้ลอยไปเรื่อยถึงจุดหนึ่ง ก็ยากแล้วที่จะดึงใจให้กลับมาตั้งอยู่กับปัจจุบันเฉพาะหน้า

    งานบางประเภทเช่นที่มีลักษณะนั่งเฝ้าหรือยืนเฝ้านานๆ โดยไม่มีเหตุการณ์กระตุ้นความสนใจ เข้าข่ายก่อให้เกิดภาวะจิตไม่มีงานโดยตรง นับว่าน่าเห็นใจ แต่ความจริงก็คือมนุษย์เราสามารถสร้างจุดสนใจขึ้นมาได้ง่ายๆเสมอ ไม่ว่าใครจะมีอาชีพการงานแบบไหน

    ทางพุทธเราถือว่าในเมื่อพลาดมีชีวิตขึ้นมาแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบด้วยการ ‘รู้’ และ ‘ดู’ ชีวิตตลอดไป การปล่อยให้ชีวิตคลาดสายตา หรือหลุดลอยไปสู่โลกของความเหม่อไร้สติ นับเป็นความไม่รับผิดชอบที่มีโทษหนัก อย่างน้อยชีวิตก็จะไม่เป็นอย่างที่มันควรเป็น และพลาดหลายโอกาสที่น่าเสียดาย อาจถึงขั้นกลายเป็นเหตุให้ตกต่ำอย่างคาดไม่ถึง

    ยกตัวอย่างง่ายๆ พอเหม่อบ่อยกำลังสติก็ถอย ระลึกถึงอะไรๆยากขึ้น สมรรถภาพทางความจำเสื่อมถอย กลายเป็นคนขี้หลงขี้ลืมตั้งแต่ยังไม่แก่

    หนักกว่านั้น พอเหม่อมากสมาธิก็สั้น ตั้งใจทำอะไรได้ไม่นานก็สะดุด ความรู้สึกอยากทำอะไรให้สำเร็จก็เหลือน้อย กลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นและไร้ความมุ่งมั่น กระทั่งรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถทำอะไรสำเร็จได้สักอย่าง แม้เกิดฮึดนึกอยากทำสิ่งใดให้สำเร็จจริงจังสักที ก็จะออกแนวต้นแรงปลายแผ่วเสมอ ไปไม่ถึงดวงดาวเสมอ

    พอเห็นโทษของความเหม่อ คุณก็พร้อมจะจัดการกับความเหม่อมากกว่าตอนไม่ตระหนักถึงโทษของมัน ฉะนั้นสรุปว่าการเห็นโทษของความเหม่อ จะนำมาซึ่งความใส่ใจเฉพาะหน้า ซึ่งความใส่ใจนั่นเอง ที่จะขจัดภาวะ ‘จิตไม่มีงาน’ ไปเสียได้

    คำถามที่เหลือคือเราจะ ‘ใส่ใจอะไร’ ในระยะยาว คำตอบที่ง่ายเหมือนกำปั้นทุบดินคือใส่ใจว่าคุณกำลังเหม่อหรือไม่เหม่ออยู่นั่นเอง เมื่อรู้ตัวว่ากำลังเหม่อ คุณได้ชื่อว่าเห็นความเหม่อ และทันทีที่เห็นความเหม่อ ความเหม่อจะหายไป แล้วถูกแทนด้วยสติชั่วขณะหนึ่ง

    ปัญหาคือขณะเหม่อเต็มที่แปลว่าสติขาดหายอย่างสิ้นเชิง คุณจึงไม่มีสิทธิ์เห็นอะไรในขณะที่กำลังเหม่ออยู่ ต่อเมื่อนึกขึ้นได้ว่ากำลังอยู่ในอิริยาบถใด หายใจเข้าหรือหายใจออก หรือกำลังอยู่ไหน เห็นหรือได้ยินอะไรตรงหน้า นั่นเองสติจึงกลับมา แม้ไม่เต็มบริบูรณ์ แต่ขอเพียงครึ่งๆกลางๆของสติ ก็เพียงพอแล้วที่จะทราบได้ว่าเมื่อครู่เหม่อไปแล้ว

    แม้คุณจะเห็นความเหม่อได้แวบเดียว แต่ชั่วขณะนั้นก็ได้ตระหนักว่าความเหม่อทำให้โลกหายไปทั้งใบ ไม่ว่ากาย ไม่ว่าความรู้สึก ไม่ว่าสีสันหรือส่ำเสียงรอบข้าง ต่อเมื่อมีอาการระลึกได้ว่ากายอยู่ตรงนี้ ใจอยู่ตรงนี้ สภาพแวดล้อมอยู่ตรงนี้ คุณจึงทราบว่าเพิ่งล่วงพ้นจากเขตแดนของความไม่รู้ไม่เห็นออกมาได้หยกๆ

    เห็นบ่อยเข้าคุณจะตระหนักว่าธรรมชาติของใจต้องลอยหายไปเป็นพักๆ และคุณจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นธรรมชาติอะไรอย่างหนึ่ง ที่ไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ควบคุมไม่ได้ว่าจะให้มาหรือไป ควบคุมไม่ได้ว่าจะให้ตั้งอยู่นานแค่ไหน ระหว่างวันจะต้องเข้าสู่ภาวะหยุดรู้ หยุดฉลาดถี่บ่อยเพียงใด คุณได้แต่ให้ปัจจัยของสติ คือพยายามระลึกบ่อยเท่าที่จะระลึกได้ว่าเหม่อหายไปแล้ว

    พอทำๆไป จะเกิดชั่วขณะที่คุณระลึกได้ว่าเอาอีกแล้ว เหม่ออีกแล้ว คุณอาจพบ ‘อะไร’ อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ให้ความรู้สึกว่าเป็นคุณ เพราะมีแต่ภาวะรู้หรือว่างจากรู้ นั่นแหละจิต นั่นแหละที่ถูกสำคัญว่าเป็น ‘ตัวคุณ’ มาตลอด แท้จริงมันไม่ใช่ตัวใครเลย มากที่สุดที่มันเป็นได้คือจิตที่รู้สติและจิตที่เหม่อลอยเท่านั้น
    ข้อสรุปว่าจิตเหม่อไม่ใช่คุณนั่นแหละ ประโยชน์สุดยอดของการเห็นความเหม่อ!

    ความเหม่อเป็นสิ่งน่ารังเกียจ
    แต่ก็น่าเห็นให้ได้
    เพราะเป็นทางเดียว
    ที่จะไม่ต้องอยู่กับมัน

    http://dungtrin.com/empty4/15.htm
     
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
  3. jokerpalm

    jokerpalm Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +46
    ผมเป็นอย่างว่าเป๊ะๆ อยากหาวิธีแก้จัง ผมจะสามารถแก้ได้ด้วยวิธีอะไรบ้างอะครับ สรุปหน่อย
     
  4. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
     

แชร์หน้านี้

Loading...