ศูนย์เรียนรู้บ้านดินไทย
คุณโยบอกว่าช่วงเย็นหลังจากรับประทานอาหารแล้วจะพาพวกเราไปชมมอหินขาว
ซึ่งก็คือ Stonehenge ของเมืองไทยเรานี่เอง อายุกว่า 175 ล้านปีเชียวนะ
ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาบ่อยๆ
หลายคนก็เลยอยากไปค้างคืนที่นั้นด้วย
คุณโยก็ใจดีให้ยืมเต้นท์และอุปกรณ์ในการพักเต็มที่
ใครจะไปค้างก็ได้ มีเหรอที่เราจะพลาด
อากาศกลางวันถึงค่ำที่ระอุแบบน้ำในกระเพาะแทบเดือดปุดๆ
เปลี่ยนเป็นเย็นขึ้น ๆ ยิ่งเลยเที่ยงคืน ก็ยิ่งเย็น ลมก็โหมแรง
กับดวงดาวที่กระพริบพราวบนฟ้ากว้าง ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
ได้ชมดาวพราวฟ้า นอนรับลมกลางดึก
ระทึกใจกับเต้นท์ที่ทำท่าจะปลิวตามลมที่แรงขึ้นเรื่อยๆ สุดจะบรรยายจริงๆ
แคร่ริมคลอง...วันวิสาข์พาไป "พิพิธภัณฑ์สักทอง"
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ณ., 19 สิงหาคม 2008.
หน้า 35 ของ 83
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ศูนย์เรียนรู้บ้านดินไทย
เจ็ดโมงเช้าคุณโยมารับพวกเราเข้าไปที่ศูนย์
เพื่ออาบน้ำ กินข้าวเช้า แล้วเริ่มเรียนรู้กันต่อ
เมื่อวานผลงานของพวกเราคือก่อผนังรอบบ้านได้อีกราว1เมตร
วันนี้เราจะเรียนเรื่องการทาสีลองพื้นผนังบ้าน
โดยส่วนประกอบสำคัญคือทราย+ดินสีหรือสีฝุ่น+กาวแป้งเปียก
ดินและทรายในแต่ละพื้นที่จะมีสีแตกต่างกันไป ตามแต่องค์ประกอบของดินและทรายนั้นๆ
เราจะเอาดินละเอียด ทรายที่ร่อนแล้ว และกาวแป้งเปียก ผสมกันในอัตราส่วน 1:1:1
ก็เลือกผสมสีกันตามความชอบใจ
ซึ่งการทาสีรองพื้นนี้ อาจจะใช้เป็นสีของผนังบ้านเลยก็ได้
หรือจะทาสีอคิลิกทับอีกทีก็ได้ แล้วแต่ความชอบ แต่จะทาเพียงด้านเดียว
เนื่องจากดินมีการระเหยน้ำอยู่ตลอด
หากทาทั้งสองด้านจะทำให้การระเหยน้ำในดินเป็นไปได้ยาก
จะทำให้ผนังมีรอยแตกร้าวได้ง่าย สีที่ทาก็จะโป่งพอง หลุดออก
กรณีที่เรามีดินแต่เป็นดินโคลนก็สามารถนำมาใช้เป็นสีได้
โดยเอาไปผ่านการกรองด้วยตาข่ายสีฟ้า2-3ชั้น บีบคั้นดินออกมา
ก็จะได้เนื้อดินล้วนๆ ซึ่งนุ่มมาก เหมือนครีม เหมาะกับการสปาหน้าซะจริงเชียว
-
ศูนย์เรียนรู้บ้านดินไทย
เราไปดูวิธีการทำกาวแป้งเปียกกันก่อน โดยใช้แป้งมันผสมกับน้ำให้ละลาย
แล้วนำมากวนในน้ำเดือดอัตราส่วน น้ำ 3 ลิตร ต่อแป้งมัน 1 กิโลกรัม
เห็นอย่างนี้นึกถึงข้าวโพด ลูกเดือย ถั่วเขียวกะเทาะเปลือก เอาลงมาต้มด้วย
ใส่น้ำตาลให้หวาน ใส่เกลืออีกนิด ได้ของหวานแสนอร่อยเลยนะเนี่ย
-
ศูนย์เรียนรู้บ้านดินไทย
การผสมสีรองพื้นต้องให้ได้ความเข้มข้นที่เหมาะสม
โดยตักส่วนผสมที่คนผสมกันเป็นเนื้อเดียวกันแล้วขึ้น
จากนั้นลองเท ส่วนผสม จะมีลักษณะหนืด ไม่แข็งหรือเหลวจนเกินไป
หากแข็งไปก็ให้เติมน้ำหรือกาวแป้งเปียกได้อีก
หากเหลวไปก็เติมทรายหรือดินได้
หลังจากผสมสีรองพื้นได้ที่แล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาทดลองทาสีกันล่ะ
การทาสีกลายเป็นกิจกรรมฝาผนังของบรรดาอาสาฯ สนุกกันใหญ่
แต่ละคนก็ผสมสีแตกต่างกันตามที่ชอบ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ศูนย์เรียนรู้บ้านดินไทย
หลังจากเล่นกับสีรองพื้นกันอย่างสนุกสนานแล้ว
ทีมงานจึงสาธิตวิธีการฉาบสีรองพื้นให้ดู
การฉาบต้องฉาบให้บางที่สุดเท่าที่จะทำได้
และต้องติดให้ทั่วทั้งผนังด้วย
-
ศูนย์เรียนรู้บ้านดินไทย
ต่อจากนั้นก็ 'โดดเข้าไปในตัวบ้าน คุณโยอธิบายถึงการวางท่อน้ำและท่อร้อยสายไฟ
คือต้องเซาะผนังดินให้เป็นร่องลึกพอที่จะเอาท่อลงไปวางได้ แล้วเอาดินเหลวมาปิดทับให้สนิท
และในกรณีที่ต้องการเจาะช่องหน้าต่างเพิ่ม ก็ให้เริ่มจากการวาดรูปกรอบคร่าวๆ
แล้วเอาเสียมค่อยๆ เจาะเข้าเนื้อดินแบบเฉียง จนทะลุไปอีกด้าน
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ศูนย์เรียนรู้บ้านดินไทย
คราวนี้ก็มาถึงการทำเฟอร์นิเจอร์ เช่นเก้าอี้
เริ่มจากกำหนดขนาดของเก้าอี้และที่ตั้ง เอาดินก้อนมาวางซ้อนกันเป็นฐาน 2 ข้าง
โดยเชื่อมดินแต่ละก้อนด้วยดินเหลวเหมือนการทำผนังบ้าน
หลังจากพอใจในความสูงแล้ว ก็ให้เอาไม้ไผ่ผ่าครึ่งซีกมาหงายวางขวางไประหว่างก้อนดิน
เพื่อทำที่นั่ง จากนั้นเอาดินเหลวทาลงบนไม้ไผ่ผ่าฉีก แล้วเอาก้อนดินไปวางเรียงให้เต็ม
โดยการเชื่อมประสานด้วยดินเหลว แล้วเอาดินเหลวทาฉาบด้านใต้ของไม้ไผ่ด้วย
ค่อยๆ วางก้อนดิน ตามรูปแบบเก้าอี้ที่ต้องการ ใช้มีดในการตัดดินเพื่อตกแต่งให้พอเหมาะ
และใช้ดินเหลวในการตกแต่งให้สวยงาม รอจนดินแห้งจึงตกแต่งด้วยสีหรือกระเบื้องต่อให้งดงาม
-
ศูนย์เรียนรู้บ้านดินไทย
การทำชั้นวางหนังสือก็เช่นกัน
เริ่มจากการกำหนดขนาดและที่ตั้ง เอาดินก้อนมาวางซ้อนกันเป็นฐาน 2 ข้าง
เหมือนการทำเก้าอี้ ความสูงชั้นล่างสูงแค่ไหนก็ให้กำหนดเอา
แล้วเอาแผ่นไม้มาวางขวางระหว่างฐานทั้ง 2
จากนั้นก็ซ้อนก้อนดินขึ้นไปอีกสลับกับการวางขวางด้วยแผ่นไม้
ตามความสูงที่ต้องการ จากนั้นตกแต่งด้วยดินเหลวให้เรียบร้อย
-
ศูนย์เรียนรู้บ้านดินไทย
การเรียนรู้เรื่องการทำบ้านดินก็จบเพียงเท่านี้ ในส่วนหลังคาสามารถมุงสังกะสี
กระเบื้อง แฝก หรือดินก็ได้ แล้วแต่ความชอบ โดยการขึ้นโครงไม้ก่อน
แล้วค่อยเอาวัสดุที่จะใช้ทำหลังคาขึ้นไปมุง
เกร็ดความรู้เรื่องการตอกตะปูตามผนังดิน ควรใช้ตะปูตัวยาวยิ่งยาวยิ่งดี
เพื่อให้ตะปูยึดดินได้แน่นขึ้น
ช่วงเวลาพักเราก็แวบไปปลายเขื่อนลำปะทา เพื่ออธิษฐานหย่อนเหรียญทำน้ำมนต์
-
ขอเพิ่มเติมเนื้อหาในบางส่วนครับ
(เป็นวิชาการยาขมแทรก ในแคร่เล็กน้อย
อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ)
...
ช่วงเช้าวันเสาร์ หลังทานอาหารเสร็จ
คุณโย ที่เป็นวิทยากรได้เปิดวีดีโอบ้านดิน
พร้อมทั้งให้มีการแนะนำตน และจุดประสงค์ของ เหล่าอาสาทั้งสามสิบกว่าท่าน
ซึ่งจะมีหลากหลายอาชีพ และ อายุ
เด็กสุด น่าจะเรียนชั้นม.1 และสูงสุดน่าจะประมาณ60ปี
ส่วนใหญ่ต้องการมาเรียนรู้เพื่อทำบ้านดินของตน ทำธุรกิจบ้านดิน รีสอร์ท หรือเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างในอนาคต
...
ส่วนจุดประสงค์ของผมที่มาในทริปนี้ คือต้องการรู้ประสพการณ์ตรงในการทำบ้านดินของคุณโยที่ผ่านมา ในเชิงรายละเอียดเท่าที่จะพอนึกถามได้
ซึ่งคิดว่ามีประโยชน์ในการต่อองค์ความรู้ต่อในวันข้างหน้า
เพราะประสพการณ์ของคุณโย มีคุณค่าเป็นประสพการณ์ตรง เกิดจากการ ลองผิดลองถูก ถึงแม้คุณโยไม่ได้จบมาทางสายก่อสร้าง(จบ สัตวบาล มาจากเกษตร นะครับ)
จนค้นพบวิธีการแก้ปัญหา แล้วนำมาปฏิบัติ ได้ผล
ยกตัวอย่างเช่น
1.บ้านดินมีลักษณะการก่อสร้างที่เรียกว่าเป็นระบบกำแพงรับน้ำหนัก หรือในทางเทคนิคคือ ระบบwall bearing
ดังนั้นการนำระบบการก่อสร้าง เสา และ คาน (column and beam)มาช่วยนั้น
ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน
คุณโย เองได้ทำมาแล้ว พบว่า การรับน้ำหนักของบ้านดินไม่ดีเท่าที่ควร
มีการแก้ไข โดยเอาวัสดุประสานมาพันรอบเสา ก่อนที่ก่อ อิฐดิน ก็สามารถรับน้ำหนักได้ดี
ซึ่งสำหรับผม ยังเห็นว่ามีการแก้ไขปัญหาแบบนี้ได้อีกหลายวิธี และกรณีนี้ต้องขอความเห็นวิศวกรโครงสร้างด้วย
2.ปัญหาเชื้อรา จากการฉาบดิน เนื่องจากดินฉาบนั้นมีส่วนผสมของแป้งเปียก และเป็นอาหารอย่างดีของเชื้อรา จะเกิดในกรณีก้อนดินมีความชื้นสูง หรือโดนน้ำ
3.ปัญหาการเกิดปลวก ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งน่าจะมีการทดลองทำดู
4.เรื่องน้ำฝน กรณี ถ้าโดนฝนสาดและไม่มีการท่วมขัง จะไม่ค่อยมีปัญหา
5.เรื่องติดเครื่องปรับอากาศ คุณโยเองไม่เคยลองมาก่อน
แต่สำหรับความเห้นผมแล้ว การติดเครื่องปรับอากาศโดยไม่ได้ปรับสภาพภายในอย่างใดนั้น ถือว่าเป็นการสิ้นเปลืองอย่างยิ่ง เพราะ ภาระทำความเย็น cooling loads ที่จะต้องรีดความชื้นจากดินนั้นสูงมาก นอกเหนือจากรีดความชื้นในอากาศออกไปแล้ว
เพื่อที่จะได้อุณหภูมิที่เหมาะสม
6.ทรายที่ผสมนั้น ถ้าเป็นทรายทะเลจะก่อดีกว่าทรายแม่น้ำ
แต่ถ้าเอาทรายทะเลมาทำดินฉาบจะไม่ดี
7.การทาสีวิทยาศาสตร์พวกสีน้ำมัน สีอะคริลิก ทำได้ต่อเมื่อบ้านดินต้องมีการฉาบดินแล้วเท่านั้น ถ้าไม่ทำสีจะร่อนออกมา
แล้วการทาสีที่ผนังต้องทำเพียงด้านเดียว เพื่อปล่อยให้อีกด้าน มีการระเหยของน้ำออกมา เรียกว่า ให้ผนังหายใจได้
...
เหล่านี้
เป็นต้น เท่าที่พอจะนึกได้ตอนนี้นะครับ ผมเองก้ถามคุณโย และต้องขอบคุณที่คุณโย ที่กรุณาตอบโดยไม่มีการปิดบังเลย
...
ส่วนบ้านดินที่เราไปร่วมสร้างนี้ คนก่อที่เป็นมือสมัครเล่น ไม่ได้ก่อประสานให้แน่น เนื่องจากบ้านดินต้องใช้น้ำดินเหลวเป็นตัวประสานยึดติดก้อนดิน บางจุดมีรอยโหว่ หรือ น้ำดินน้อยไป น่าจะเกิดปัญหาในอนาคต การยึดเกาะในอนาคต
พื้นบ้านที่ควรเป็น คอนกรีต เทพร้อมกับคานคอดิน ไม่ได้ทำไว้ กรณีนี้บ้านจะเกิดการทรุดของพื้นในอนาคต (คุณโย แต่เนื่องจากทำไว้ไม่ทัน)
ส่วนในกรอบของประตูหน้าต่างไม่มีการใส่ทับหลัง เพื่อรองรับน้ำหนักของดินที่กดลงมา
อันนี้ได้มีการทุบและแก้ไขแล้ว
ซึ่งสรุปแล้ว ข้อควรระวังของการสร้างบ้านดิน สำหรับคนทั่วไปสามารถทำเองได้ แต่อย่างน้อยควรมีช่างก่อสร้างที่เคยมีประสพการณ์ทำงานก่อฉาบมาร่วมทำด้วย จึงจะทำให้บ้านดินมีคุณภาพมากขึ้นนะครับ
...
เพิ่มเติม เดีียวค่อยดูรูปเพิ่มจากน้อง ณ
มีการสอนการฉาบดิน ทุกคนก็ผสมสีดิน ตามที่ตัวเองชอบมาฉาบไว้
เพนท์เป็นชื่อตนเอง บ้าง วาดการ์ตูนบ้าง
พอสีแห้งแล้ว บางสีซีดจนมองไม่เห้น บางสีก็อ่อนลง
มีน้องผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นเทคนิคการแพทย์ ที่โรงพยาบาลในสระบุรี
เอาดอกอัญชัญมาคั้นผสมน้ำดิน แล้ว ฉาบ พอแห้งแล้ว
ทำให้สีดิฉาบบนผนังอมม่วง สวยกว่าดินปกติครับ
...
ดังนั้น ผมว่าบ้านดิน จึงมีเสน่ห์ในตรงนี้ ที่การก่อสร้างได้รับการเอาใจใส่จากผุู้สร้าง
และสามารถประยุกต์ตามความชอบโดยเหมาะสมและสอดคล้องกัน
...
เดี๊ยวคิดอะไรออก จำอะไรได้ จะมาเล่าเพิ่มนะครับ
อย่าเพิ่งเบื่อกัน 555 -
ศูนย์เรียนรู้บ้านดินไทย
หลังจากนั้นคุณโยก็พาเราเข้าไปดูหมู่บ้านที่มีบ้านดินหลังแรกที่สร้างไว้
และหลายหลังที่สร้างเสร็จแล้ว อีกหลายหลังกำลังก่อสร้าง
ซึ่งคุณโยได้รับสมัครสมาชิกในหมู่บ้านเพื่อเข้าร่วมกันทำบ้านดินในราคาถูก
อยู่ที่ 15,000 บาท ส่วนค่าแรงจะใช้เป็นการลงแขกในการสร้าง
ในปีแรกสมาชิกเข้ามาสมัครน้อยมาก พอปีต่อมาได้เห็นบ้านเป็นรูปเป็นร่าง
จึงมีสมาชิกสมัครเข้ามามากขึ้น ทำให้คุณโยต้องคัดคนที่ต้องการมีบ้านจริงๆ
ทุนในการสร้างบ้านให้ผู้ที่ไม่มีบ้านอยู่นี้มาจากการบริจาค
ระหว่างชมบ้านดินไปด้วย เราก็ได้ชิมมะไฟหวานกันถึงใต้ต้นเลย
บางคนก็ขึ้นไปเก็บกินบนต้นเป็นที่สนุกสนาน
แถมได้ซื้อผักกูดผักหนามกำละ 5 บาท
ซึ่งใหญ่มาก สดๆ จากคลอง เอาไปฝากคนที่บ้าน
ที่ชัยภูมิเป็นอีกจังหวัดที่สามารถปลูกผลไม้ได้มากมายหลายชนิด
เช่นมะไฟหวาน เงาะ ทุเรียน มะม่วง มังคุด ส้มโอ สับปะรด
แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ศูนย์เรียนรู้บ้านดินไทย
ต่อจากนั้นราวบ่ายโมงครึ่งเรามาถึงวัดป่าสุคะโต
แค่รถมาถึงปากทางเข้าวัดก็รู้สึกถึงความร่มเย็น
พอมาจอดรถในวัดกระแสเย็นสัมผัสได้แบบทะลุกระจกรถเข้ามาเลย
เราเดินเข้ามาในวัด พบบ่อน้ำใหญ่ จึงได้อธิษฐานจิตหย่อนเหรียญทำน้ำมนต์
เดินข้ามบ่อน้ำไปอีกฟากก็จะเป็นบริเวณอีกด้านของวัด
-
ศูนย์เรียนรู้บ้านดินไทย
ก็ไม่คิดว่าจะได้กราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่คำเขียนท่านกำลังรับแขกอยู่หน้ากุฎิพอดี
ก็เลยได้มีโอกาสเข้าไปกราบท่านใกล้ๆ ท่านก็เมตตาสอนธรรมมะให้พวกเรา
และเราก็ได้ทราบว่า กุฎิอีกหลังของหลวงปู่ก็เป็นกุฏิดินที่คุณโยสร้างถวายให้หลวงปู่ด้วย
ณ ขอเขียนตามความเข้าใจก็แล้วกันนะ เพราะจำรายละเอียดคำสอนหลวงปู่ได้ไม่หมด
ท่านเทียบการทำสิ่งที่ห่างไกลบาป ก็เหมือนการพลิกจากมือที่คว่ำอยู่ให้หงาย
พลิกจากโกรธเป็นไม่โกรธ พลิกจากหลงให้เป็นไม่หลง พลิกจากคว่ำให้เป็นหงาย
และท่านว่าลักษณะของกัลยาณมิตรคือแค่คิดถึง แค่เห็นหน้า ก็รู้สึกเย็นใจ ชื่นใจ ยินดี
ยิ่งสามีภรรยา ควรจะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ไม่มีทะเลาะ ไม่มีทำร้ายกัน
เมื่อคนหนึ่งร้อน อีกคนก็ต้องเย็น เมื่อคนหนึ่งหลง อีกคนก็ต้องช่วยดึงกลับ
มีแต่ความปรารถนาดีให้แก่กัน ช่วยนำพาซึ่งกันและกันให้เข้าสู่ความสมดุลแห่งจิตใจ
คนเป็นสามีภรรยาก็ยังเป็นได้หลายสถานะ เช่นสามีก็เป็นได้ทั้งสามี พ่อ พี่ น้อง ลูก เพื่อน
คนเป็นภรรยาก็เป็นได้ทั้งภรรยา แม่ พี่ น้อง ลูก เพื่อนเช่นกัน
ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน
ครอบครัวที่สร้างจากกัลยาณมิตรก็จะได้ลูกที่เป็นกัลยาณมิตร
และเมื่อลูกไปสร้างครอบครัวต่อก็จะเป็นกัลยาณมิตรต่อๆ ไป
ผลคือกัลยาณมิตรจะนำกันไปสู่ทางที่สูงขึ้น พากันไปนิพพาน
หลวงปู่บอกว่าหลายคนมุ่งทำสมาธิเพื่อความสงบ เมื่อมีความสงบย่อมมีความไม่สงบ
หากเรามีสติรู้ทัน รู้ตัวอยู่ตลอด เราก็จะไม่หลง มีสุขก็ย่อมมีทุกข์ เป็นเรื่องธรรมดา
ก่อนกลับหลวงปู่ยังชวนให้มาปฏิบัติธรรม ให้พากันมาทั้งครอบครัวก็ได้
ณ รีบกราบขอเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ หลวงปู่บอกว่าเป็นกัลยาณมิตรกันดีกว่านะ
เราซาบซึ้งในความเมตตาของหลวงปู่ กระแสความเมตตา การละวางจากมานะตัวตน
ยิ่งทำให้ลูกหลานปลื้มปิติในความกรุณาของหลวงปู่ยิ่งนัก
ลูกหลานกราบขอบพระคุณในความเมตตาของหลวงปู่ที่มีให้กับพวกเราอย่างมากมาย
และหวังไว้ว่าจะได้กลับไปปฏิบัติธรรมฟังธรรมกับหลวงปู่อีก -
เราจากลาบ้านดินไทยมาด้วยความประทับใจ
ในความมีน้ำใจของคุณโยและทุกคนในครอบครัว
รวมทั้งอาสาสมัครทุกคนที่มาทำกิจกรรมร่วมกัน
ก่อนถึง บขส.แก้งคร้อ 1 กิโลเมตร ก็มีปรากฎการณ์พิเศษ
สายรุ้งขนาดใหญ่พาดผ่านถนน เหมือนเป็นซุ้มประตู
จากนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างหนักราว 10 นาที แล้วก็หายไป
เหมือนกับเป็นการส่งท้ายให้พวกเราเดินทางโดยสวัสดิภาพ
เราดีใจที่ได้พบเจอคนดีๆ คนที่ทำงานเพื่อส่วนรวมเพื่อสังคมจริงๆ
ขอบคุณทุกๆคน ขอบคุณทุกความรู้สึก
หวังว่าหากมีโอกาสเราคงได้มาร่วมกิจกรรมเพื่อส่วนรวมกันอีก
-
ตะลอนบุญกะชาวแคร่
ขอเชิญร่วมสร้างบารมี
ในการหล่อพระชำระหนี้สงฆ์ 2 องค์
ณ วัดถ้ำผาแดง จังหวัดกาญจนบุรี
ในวันที่ 18-19 มิถุนายน 2553 (ศุกร์-เสาร์)
มีรถตู้รับ-ส่งฟรี
วันที่ 18 นัดรวมตัวกันที่ ปั๊มปตท.สนามเป้า
เวลา 18.30 น.
(***กรุณาเตรียมเครื่องนอน เต้นท์ และไฟฉายไปด้วย
และที่สำคัญเตรียมใจมาให้พร้อม เพราะงานนี้สร้างบารมีกันจริงๆ***)
รายชื่อผู้ร่วมทริป
1.คุณ R_numotana (เบอร์โทรมีแล้ว)
2.คุณปาฏิหาริย์ (เบอร์โทรมีแล้ว)
3.คุณชานนคนไทย (เบอร์โทรมีแล้ว)
4.คุณสังสารวัฏ (เบอร์โทรมีแล้ว)
5.ณ. (เบอร์โทรมีแล้ว)
6.
7.
9.
10......
รีบมาลงชื่อยืนยันกันได้เลยนะคะ
ขอทราบจำนวนผู้รวมทริปทั้งหมด
ภายในวันที่ 10 มิถุนายน 2553
เพื่อการจัดเตรียมรถที่ใช้ในการเดินทางค่ะ -
55555
-
อีกประเด็นหนึ่ง
เรื่องอุณหภูมิของบ้านดิน
คุณโยบอกว่าแตกต่างจากอากาศข้างนอกประมาณ 3 องศาเซลเซียส
และบ้านดินควรปิดหน้าต่างในเวลากลางวัน เพื่อกันอากาศร้อน
และเปิดหน้าต่างในเวลากลางคืน เพื่อรับอากาศภายนอกที่เย็นกว่า
และกักเอาไว้
...
ซึ่งในกรณีนี้สอดคล้องกับหลักวิชาการที่ถูกต้อง
แต่อาจจะลำบากในการใช้งานประจำวัน
ของผู้ที่อยู่อาศัยครับ
...
จากการสังเกต
ในกลุ่มบ้านดินที่สร้างหลายหลายหลัง
เวลาเที่ยงเศษ บ้านที่มีหน้าต่างและช่องเปิดน้อย จะเย็นกว่า บ้านที่มีช่องหน้าต่างมากกว่าครับ เทียบจากการสัมผัสผนังด้านนอกและด้านในครับ
หลังคา ประเภทสังกะสี ร้อนที่สุด รองลงมา คือ กระเบื้องลอนคู่ ตับแฝก
ดีที่สุดคงเป็นหลังคาดิน แต่ข้อเสียคือน้ำหนักหลังคาจะมากกว่าประเภทอื่น
....
ชาวบ้านมะไฟหวานที่นี่ ออกแบบบ้านตามความต้องการของตน
ชอบบ้านเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่ชอบบ้านทรงโค้งและทรงกลม
นอนกับพื้น ไม่นอนบนเตียง
และแยกส่วนเปียก ซักล้าง ครัว ห้องน้ำ ออกนอกบ้าน
คงเป็น จารีตที่ถือกันไว้ครับ
สอบถามดู ส่วนใหญ่ก็พึงพอใจกัน -
ทริปนี้ ก่อนกลับ ทางกลุ่มให้ไปแวะวัดป่าสุคะโต เป็นเวลา15 นาที
เหมือนที่น้อง ณ บอก กระแสความเย็นแทรกเข้ามาตั้งแต่ประตูวัดที่เข้ามาเลย
วันนี้ดุเหมือน จะมีการอบรมอะไรสักอย่าง
ผมเอง อยากมากราบ หลวงพ่อไพศาล วิสาโล
ทราบว่าท่านอาจอยู่ ที่กุฏิกลางน้ำ
เมื่อเดินไปก็ไม่พบ
และมองเห้นมีญาติโยมสองสามท่านอยู่บนกุฏิหลังหนึ่งด้านบน
เหลียวหา มองหาใครก้ไม่พบแล้ว
เลยตัดสินใจเดินไป พบว่า เป็นกุฏิของหลวงปู่คำเขียน เลยย้อนเดินมาตาม เจอ น้อง ณ คนเดียว เลยชวนไปกราบท่าน
ท่านเมตตา เรียกให้ไปนั่งใกล้ใกล้ครับ เพราะท่านบอกว่าหูท่านไม่ดี
ผมไปนั่งใกล้ที่ข้างเก้าอี้โยก
ท่านยังรู้เองว่าพวกเรามาจากกลุ่มบ้านดิน
...
สิ่งที่อยากเรียนถามท่าน ผมไม่ได้พูดออกมา
แต่ท่านมีเมตตาตอบให้เลย
หลายต่อหลายเรื่อง ขอเสริมจากของ ณ เท่าที่ผมพอจำได้
-ท่านพลิกฝ่ามือหงายขึ้น และ คว่ำลง อย่างเร็ว ไปมา
โกรธ ไม่โกรธ
หลง ไม่หลง
สิ่งเดียวกันแต่ต้องรู้เท่า เห็นทัน ว่า มือยังเป็นมือเหมือนกัน
แค่พลิกหงาย และ คว่ำ ก็แตกต่างตรงกันข้าม
จิตของคนเราก็เช่นกัน ต้องรู้เท่าทันสภาวะจิตกระทบ และมองเห็นสิ่งที่แท้ให้เท่าทัน
-การเพ่งโทษคนอื่นนั้น ไม่สมควรกระทำ ให้พิจารณาเพ่งโทษตนเองดีกว่า
ปฏิบัติให้รู้สึกตัวทุกลมหายใจเข้าออก ทำไปเรื่อยเรื่อย
-กามฉันทะ การพอใจในกาม ท่านยกตัวอย่างเหมือนคนเป็นขึ้กลาก
ที่แขนแล้วเอามือเกา มันมีความสุข ความพึงพอใจ ในการเกา
แต่ถ้าไม่มีกลากล่ะ จะรู้สึกอย่างไร
-นิพพาน คือ การเย็นใจ รู้สึกเย็นในใจ
-มาตุคาม ที่เกิดต่อผู้ปฏิบัติธรรม
เป็นต้นครับ
...
ท่านเทศน์ไป ก็เมตตาตบไหล่ซ้ายผมตลอด
ขออารธนาให้ท่านอยู่สงเคราะห์ลูกหลานไปเรื่อยเรื่อย
และขอปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์
ท่านบอกว่าเป็นกัลยาณมิตรกันดีกว่า
...
ผมเองก็เกรงใจ เพราะเกินเวลามา15 นาทีเท่าที่ทางกลุ่มตกลงกันไว้
ก็ขอลากลับ และขออนุญาตท่านเพื่อมาปฏิบัติธรรมที่นี่ตามโอกาศสมควร
หลวงปู่ท่านตอบว่า
บอกเลยนะ ว่าหลวงตาคำเขียนอนุญาต แล้ว
ปิติในเมตตาที่ท่านกรุณาต่อพวกเรามากครับ -
ส่วนเรื่อง รุ้งกินน้ำขนาดใหญ่ เป็นเรื่องน่าแปลกเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
(ผมเองเคยเห็นรุ้งกินน้ำเป็นวงกลม รุ้งกินน้ำซ้อนกันสองตัว หรือ
รุ้งกินน้ำที่สลับสีเสปคตรัมมาแล้ว)
ตัวผม นั่งอยู่ท้ายรถกระบะที่เปิดโล่ง เลยเห็นชัด
เส้นผ่าศูนย์กลางวงในของรุ้ง ประมาณความกว้างของถนน ราว10เมตร
สูงจากพื้นราว5เมตร ตัวรุ้งอ้วนนั้่นกว้างประมาณสองเมตร
เหมือนกับซุ้มประตูให้ลอดจริงจริง
เวลาที่เกิดประมาณ15.30 ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์
ตัวรุ้งอยู่ห่างจากรถน่าจะประมาณยี่สิบเมตรได้
...
กำลังคิดหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์อยู่ครับ แต่ยังไง
ภาพในความทรงจำภาพนี้
เป็นภาพประทับใจก่อนกลับกรุงเทพจริงจริงครับ -
................รุ้ง....................
.......................................
...สีส่องแสง แสดงกาย สาดสายรุ้ง
มาดหมายมุ่ง พุ่งฟากฟ้า สวยสดใส
แตะแต้มแต่ง ละเลงทา งามได้ใจ
เสริมสีสัน ฟ้าไฉไล ไล่ลายทาง
...ม่วงครามน้ำ เงินเขียวเหลือง แสดแดงสี
เจ็ดพอดี ตีคันโค้ง โก่งกางขวาง
พาดขอบฟ้า สู่ขอบฟ้า ทาบเป็นทาง
จังหวะวาง ธรรมชาติ ปราญช์ศิลปิน
...อัศจรรย์ ความงดงาม ตามวงแสง
เส้นรุ้งแวง แจงบรรจบ เจิดแจ่มสิน
ณ จุดหนึ่ง ที่หยุดอยู่ ณ ผืนดิน
ได้ยลศิลป์ รุ้งเพียงหนึ่ง ซึ่งจุดยืน
หน้า 35 ของ 83