บางคนอธิษฐานให้ตายก็ไม่มีอะไรช่วยได้
บางคนทำดีไม่ได้ดีอธิบายว่าผลกรรมไม่แน่นอน ตามกรรมเก่าใหม่จะส่งผล
แต่สรุปก็ต้องทำความดี อยู่ในฝั่งของความดี ทำเหตุของการได้รับผลดีเอาไว้ก่อน
1.สะสมกำลังไปจนพ้นสมมติ 2.หากไม่พ้นก็ยังอยู่ในฝั่งของความสุข มีปัจจัยให้ทำความดี พัฒนาจิตได้ต่อไป
ความดีชั่วล้วนสมมติ หากไม่พ้นสมมติก็ต้องรับผลกรรม ผลกรรมก็มาตามเหตุ
หลวงพ่อโตสอน บุญไม่สร้าง เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดจะช่วยได้
มีเรื่องนึงอยากให้ทดลองครับ มีเรื่องงาน เรื่องหนัก สติเห็นอยู่เกิดจากปัญหา ปัญหาก็มีสาเหตุ ควรจะแก้ปัญหาด้วยสาเหตุ แต่อารมณ์ความคิด เครียด มันมีอนู่ในจิต มันบีบคั้นอยู่
เอาก็มีสติเห็นอยู่ เราเอาน้ำมนต์หลวงพ่อโต วัดอินทร์มาพรมศรีษะ เรานึกถึงเรื่องที่เราจะเครียด เพราะมะกี้เรามีสติเห็นเครียดมีอยู่ ตอนนี้เครียดไม่อาศัย ทั้งที่สาเหตุก็ยังมีอยู่ ยังไม่ได้แก้ไข เราสมควรต้องเครียดอยู่ด้วยเหตุ แต่นี่กลับหายไป อันนี้ต้องลองอัศจรรย์ดูเองครับ55 เป็นเรื่องของพลังจิต
จะไม่ทุกข์
1.แก้ปัญหาด้วยเหตุ
2.จิตไม่ยึดมั่นในเรื่องนั้น
ส่วนเรื่องที่ว่าลูกหลานญาติมิตรบวชแล้ว ครอบครัวได้ใกล้วัด แม้จะตามประเพณีผมว่าก็ดีครับ อย่างน้อยก็ได้เข้าวัดบ้างได้ทำบุญทำทาน บางครอบครัวไกลวัดจริงๆ พอลูกบวชทีนี้ตื่นใส่บาตรทุกเช้าเลยกลัวลูกไม่มีของอร่อยไม่ถูกปาก อนุโมทนาด้วยครับ
แชร์ เรื่องที่เกิดกับฉันวันที่ 21 ก.ค.55
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nongkaikuk, 21 กรกฎาคม 2012.
หน้า 2 ของ 3
-
เคยสังเกตุ จิตตน ในขณะที่เราพบกับคนไม่ทำให้เราเกิดความไม่พอใจ เราจะตามลมหายเข้าออก มัน ไม่เกิดสมาธิค่ะ ตามทั้งวันยังไม่มีสมาธิ
แต่หากวันใด ที่จิตปล่อยความรู้สึก ไม่ยึดติด แผ่เมตตาให้แก่บุคคลนั้นๆ พอเราเริ่มตามลมหายใจ มีความรู็สึกว่า จิตมีสมาธิ
สรุป ความเห็นของฉัน
จิตที่ยึดมั่นกับความแค้น ไม่สามารถทำให้ จิตมีสมาธิได้ แม้จะนั่งหลับตา ก็ไม่เกิดสมาธิ -
-
ให้ระลึกลงไปก่อน หรือ ปล่อยความคิด เรื่อง สมาธิ เป็นอย่างไร ซึ่งมีอยู่
เดิมออกไปก่อน
สมาธิ ที่ควรทำความเข้าใจ ให้ทำความระลึกรู้ไปตรงๆว่า ยามใดก็ตาม
ที่คุณสำรวจเข้ามาที่กาย เข้ามาที่ใจ เพื่อสอดส่อง อาสวะ กิเลส อนุสัย
ภาวะ ภาวะสวะ เหล่านี้คือ การงาน ที่ควร
และเมื่อไหร่ คุณเห็นว่าจิตคูรกำลังสมาทาน การงาน ที่ควรข้างต้น ให้รับรู้
ไปเลยว่า นั่นแหละ "สมาธิจิต" ปรากฏอยู่ ไม่ใช่ผู้ขาดสติหลงลืมการงาน
ไม่ใช่ผู้ขาดสัมปชัญญะทิ้งธุระในการภาวนา
ใช่!! ตั้งแต่ บรรทัดแรกที่คุณบอกว่า มองมาที่ตนแล้วพบว่า จิตไม่เป็น
สมาธิ เนี่ยะ!!แหละ เขาเรียกว่า จิตมีสมาธิประกอบการงาน ภาวนาอยู่
*******************
แล้วคำว่า สมาธิ ที่คุณเข้าใจอันเดิม ที่เผลอไประบุว่า ไม่มี คืออะไรกันหละ
สมาธิ แบบที่คุณเข้าใจเดิม ก็คือ ความชา ความชิน ความเฉยชา ชินชา
ต่อการกระทบผัสสะ ชินมากๆจิตเข้าสู่ภพ แล้วอาศัยในภพที่ตัดช่องแต่พอ
จิตนั้น เรียกเต็มๆว่า อเนญชาสมาบัติ อเนญชาสมาธิ หากมีมากๆทำไว้
มากๆ จะ ชิน และ ชา เฉยชาต่อการแตกดับของจักรวาลนับแสนนับกลัปป
โดยไม่สะดุ้งสะเทือน ....... ถ้ามีความคล่องตัวมากในการเข้า การออก
การอยู่ เรียกว่ามี วสี พอมี วสี ความชา ความชิน นั้นก็เรียกว่า ฌาณ
ฌาณ ท่านถึงแปลว่า ชา ชิน ชำนาญ ซึ่งเป็นเรื่องต้อง อาศัยโลกปรากฏ
อีกข้างหนึ่ง ถึงจะระบุได้ว่า มีสภาพชา ชิน ต่อสิ่งกระทบหรือไม่
***************
ส่วน สมาธิ ที่ให้ทำความเข้าใจใหม่นั้น จะเหนือกว่า ฌาณ ไม่ใช่เรื่อง
เอาชา เอาชิน เอาชำนาญ แต่ เป็นความเข้าใจต่อโลก มีภูมิปัญญา
ในการเห็นความแปรปรวนของโลก ความเจริญ(มีสมาธิชาชินต่อโลก)
ความเสื่อม(จมโลก) จนสามารถรู้ได้ว่า นั่นยังไม่พ้น แล้ว เฝ้นหาอุบาย
นำออกจากทุกข์ ที่ยิ่งกว่ายึดมั่นถือมั่นต่อการมุ่งชา มุ่งชิน มุ่งชำนาญ
พระท่านจึงเรียก สมาธิในแบบที่พุทธเราภาวนาอยู่ว่า "สมถะวิปัสสนา"
( ตามดูจิตที่เป็นสมถะ ) ...............เนี่ยะ สมาธิในแบบพุทธ คุณ
มีนะ และ เพียรภาวนาอยู่ ....ไม่ใช่ ไม่มี ให้ทำการเห็นเสียใหม่ด้วย
***********
อ้อ แล้วสังเกตด้วยนะว่า คุณตามมันได้แค่ วันต่อวัน ไม่สามารถตาม
ดูมันได้เป็นเดือน เป็นปี
ดังนั้น ให้เห็นลงไปด้วยว่า แม้สิ่งที่คุณสมาทานอยู่ ก็มีความไม่เที่ยง
เป็นธรรมชาติ
เน้นนะว่า เห็นความไม่เที่ยงของสมถะวิปัสสนานั้น ถูกแล้ว เราไม่ได้
กล่าวเพื่อให้คุณไปหาทางทำให้มันเที่ยง ไม่ใช่ไปนั่งดูว่า 10ปีแล้ว
จิตก็ยังพิจารณาได้หรือไม่ได้ แต่เราเน้นการเห็นความเป็นจริงคือไม่เที่ยง
ถ้าเห็นได้แจ่มๆเนี่ยะ ช่วงเวลาไม่กี่อึดลมหายใจ คุณจะเห็นเลยว่า เดี่ยว
จิตก็เข้าไปอยู่กับสมถะชาชินได้ เดี๋ยวก็ล้มผลิกออกมาแล้ว จะเห็นเลยว่า
มันสลับ สับเลี่ยน แปรปรวนเร็วมาก การเห็นได้แบบวันหนึ่ง ถือว่าเห็นหนึ่ง
ครั้งถือว่า เห็นได้น้อยไป
แต่ถ้าเห็นได้ ทุกลมหายใจเข้าออก จิตแปรปรวนตลอดเวลา เดี๋ยวสุข(จิตมี
ชามีชิน) เดี๋ยวทุกข์(จิตจมโลก) แบบนี้ก็จะเรียกว่า ทรงสมาธิได้ คือ ทรง
การเห็นความไม่เที่ยงได้จำนวนมาก ไม่มีเผลอเกินหนึ่งลมหายใจ -
จะมีภูมิปัญญาสำรวจสิ่งที่คุณเล่าออกมาดังกล่าว มันคือ กระบวนการที่
เรียกว่า
"เกิดศรัทธาอินทรีย์"
เกิดแล้วก็ดับไป
หากคุณเผลอไปกับโลก ศรัทธาอินทรียนี้ก็อันตรธาน หายไปจากจิต
ไม่สามารถตั้งอยู่ได้
แต่พอมีเหตุกระทบ ให้ระลึกถึงคุณรัตนไตร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
คุณก็จะเห็น ศรัทธาอินทรียเกิดอีก
แต่ถ้าวันใดมีเหตุกระทบ แต่ศรัทธาอินทรียง่อนแง่น ก็จะระลึกถึงคุณของ
เทวดาบ้าง ล๊อเตอรรี่บ้าง ศาสดาอื่นบ้าง ต้นกล้วยบ้าง ยาหม่องบ้าง นี้เรียก
ว่า ศรัทธาอินทรีย์อันตรธานหายไปหมดแล้ว
ตามดูพฤติจิตนี้ไว้เนืองๆ เห็นความไม่เที่ยงเนืองๆ ก็จะชื่อว่า เป็นผู้ใฝ่ศึกษา
อยู่ เป็นบัณฑิต วันไหนเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็เรียกว่า เป็นมุนี หรือ พราหมณ์ -
การอาศัยเชื่อ นี่แหละคือ พวงดอกไม้แห่งมาร
นักปฏิบัติ ที่เป็นมุนี รู้แจ้งโลก จะ พ้นการอาศัยเชื่อ พ้นพวงดอกไม้แห่งมาร
สามารถพ้นการอาศัยเชื่อ ประกาศตนได้ว่า รู้แจ้งได้ด้วยตนเอง
ดังนั้น
ครูบาอาจารย์ อะไรก็แล้วแต่ ที่สอนให้คุณเข้าถึงความเชื่อ เอาความเชื่อเป็น
หลัก หรือ ความเข้าถึง พึงระวัง !!
ระวังอย่างไร
ระวังอย่าไปปรามาส 1 เพราะให้โทษเผ็ดร้อน
ระวังอย่าเข้าถึงด้วยความเชื่อ 1 เพราะไม่ใช่ผู้พ้น ย่อมมีแต่ความเป็นทาสที่ประกาศก้องได้ -
ครู อาจารย์ ในความคิดของดิฉัน ดิฉันจะคิดเสมอว่า(ความคิดของตัวเอง)
มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระประธาน (บางครั้งก็มีความรู้สึกว่าสูงไปสำหรับตน)
รองลงมคือสาวกของพระพุทธองค์ค่ะ
ถ้าผิดพลาดประการใดช่วย แนะนำด้วยค่ะ
ขอน้อมรับทุกคำตอบ เพืื่อนำไปพิจารณาต่อไปค่ะ -
อันนี้เรียกว่า "มานะทิฏฐิ"
หากนำไปใช้ต่อบุคคลอื่นเรียกว่า "มายาคติ"
หากยกขึ้นเพื่อเป็น ตัวอย่าง บุคคลาธิษฐาน ประกอบการชี้ทุกข์
ก็จะถือว่า กล่าวให้เห็นทุกข์ กล่าวขึ้นเพื่อชี้ทุกข์ ก็จะจัดว่า เป็นการแสดงธรรม
ถ้าเมื่อไหร่ ระลึกได้ว่า กำลังชี้ทุกข์ มายาคติที่ปรารภว่า
และจะพึงทราบด้วยว่า ผู้ที่เพียรพิจารณาอยู่ จะรับรู้ได้ว่า มีความนอบน้อม
หรือ ศรัทธาอินทรีย์แก่กล้า หรือไม่ ด้วยจิตสู่จิต รับรู้กันเงียบๆ พอ แล้ว -
ความคิดเนี่ยผุดออกมาแบบ นับไม่ถ้วนในแต่ละวัน เรารู้ว่าคิดแต่ห้ามคิดไม่ได้ -
สังเกตุนะ ส่วนที่ เหมือนหลุดออกมาสังเกตุ ส่วนนั้นพ้นโลกอยู่ ( ไม่มีความเป็นสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา )
แต่ ส่วนที่ถูกสังเกตทั้งหมด นั่นแหละเรียกว่า โลก
ทีนี้ ที่คุณขาดไป ก็แค่ ลืมระลึก สติ นี้ก็เป็นสิ่งเกิดดับ สิกขาที่
คุณยกได้นั่นแหละ ก็เป็นของเกิดดับ
ถ้าคุณเพิ่มตัวนี้เข้าไป เงื่อนเวลาที่ระบุด้วยจำนวนสมมติ วัน ปี เดือน
จะหายไป เหลือเพียงสั้นๆคือ ขณะ ขณะ
ไวกว่านั้นอีกหน่อยก็เรียกว่า ขณะจิต
ไวกว่านั้นอีกหน่อยก็เรียกว่า วาระจิต
ถ้าไวกว่านี้ เรียกว่า ฆนะสัญญาแตก เงื่อนเวลาทั้งหมด จะไม่มี
เรียกว่า มีแต่ปัจจุบันปัฏฐาน เรียกให้เต็มสูตรว่า สติปัฏฐาน4
ลองไปใคร่ครวญ เห็นสิกขาที่สมาทานอยู่ ตามความเป็นจริงดู
ส่วน
การเสพความ ชา ความชิน อันนั้น ก็ต้องแบ่งเวลา ทำไว้บ้าง
เพื่อความไม่ประมาท
พระท่านว่า สมถะเป็นยาทา(หายเฉพาะจุด) วิปัสสนาเป็นยากิน(หายขาด) -
ทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง พ้นการอาศัยเชื่อ
เช่น เลิกดูดวงไปเลย หากยังอยากดูดวงอยู่แปลว่า ยังอาศัยเชื่ออยู่
แต่ถ้า เลิกดูดวงไปเลย ไม่อาศัยเชื่ออีกแล้ว เนี่ยะ ก็มีแนวโน้ม "สมาทานสิกขาได้"
ผู้ สมาทานสิขาได้ จะพ้น บ่วงแห่งมาร
บ่วงแห่งมารหากยังมีอยู่ โอย จะนอบน้อมสุดๆเลย เรียกว่า เวลาไปหาใครนะ ก็แทบ
จะคลานเข่าตั้งแต่ ธรณีประตู จนถึง เท้าท่านแล้วกราบ เนี่ยะ อาการของคนไม่พ้นบ่วง
แห่งมารนะ
แต่ถ้าเป็น ผู้ที่สมาทานสิกขาได้ มีกายคตาสติบริบูรณ์ จะมี ความอาจหาญ ร่าเริง
ในการมี ธรรม ปรากฏ จะไม่กราบใคร่สุ่มสี่สุ่มห้า -
แล้วมันก็แปลกว่า พอทำเช่นนั้นแล้วเราก็หายจากความปวด
แม้ว่าเราจะไม่ทราบเหตุที่แน่ชัด ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ไปทำอะไรเสียหาย ไม่ได้ไปทำอะไรที่เป็นทางเสื่อม -
-
ยอมรับค่ะ -
คนบางคน จะทำอะไรก็ไม่กล้า เวลานั่งสมาธิก็กลัวว่าจะเป็นจงใจบ้าง
จะคิดจะนึกก็กลัวว่าจะเป็นการปรุงแต่ง
จะอธิษฐานก็คิดไปว่าจะติดกับบ่วงมาร
นี่เป็นเพราะคนๆนั้นยังโง่อยู่ เหรียญมันมีสองด้าน เลือกมองสิ มองด้วยความรู้และมีสติ
จะทำสมาธิก็ได้ จะคิดพิจารณาก็เป็นโยนิโสมนสิการ เป็นธัมมวิจย
จะอธิษฐานก็เป็นบารมี
จะให้ทานก็เป็นทานบารมี
ก็เพราะ รู้ มีสติ เข้าใจ แยกได้ว่า ตั้งใจไว้อย่างไร เป็นโทษหรือเป็นคุณ
ไม่ใช่ กลัวไปหมด จนต้องไปนั่งเฉยๆ รู้เฉยๆ จะไปทำมาหากินก็ไม่ทำ นั่งมันเฉยๆ
นี่แหละ ศิษย์พระศาสดาต้องพินิจพิจารณา ด้วยสติปัญญานะ -
ให้ รับ ในลักษณะ ทำการเห็น หรือ ตามรู้ตามดู ไป
เอา ทุกสิ่งแปรมาเป็น สิ่งช่วยเฝ้นหา อุบายนำออก
คนที่ฉลาด มีปฏิภาณ จะหยิบจับทุกสิ่ง มาเป็น อุบายอบรมจิต ได้หมด
ไม่ต้องโง่ งุดโง สถานเดียว ........ลองใคร่ครวญดู เนาะ -
อนุโมทนาค่ะ -
สังเกตนะ ในฐานะที่ เป็นนักภาวนา มีความอาจหาญ ร่าเริง เพราะ จิตสมาทานสิกขาอยู่
จะเห็นเลยว่า เราจะอาศัย ฟังธรรมจากข้างในเป็นหลัก และ ยิ่งฟังยิ่งใช่
ส่วน สิ่งที่ไม่ใช่ธรรม มันจะมีการ ชวนเชื่อ อาศัยภาพตบแต่ง ตลบแตลง ชวนเชื่อตลอด
เพื่อโน้มน้าวให้เรา ลุกออกจากรัตนบัลลังก์ ไปสยบสู่อุ้งเท้าในฐานะ ทาส เป็นผู้คอยฟังเขา
แทนที่จะเป็นการ สมาทานสิกขา รู้ได้เฉพาะตน ก็ผลิก ล้มประดาตายไปสู่ การคอยเงื่ย
หูฟังว่าเขาจะโน้มน้าวเราด้วยอะไร เอา มายาคติอะไรมา หลอกล่อเป็นพวกดอกไม้ให้
เราไคว่ขว้าเข้ามา สำคัญว่าเป็นสิ่งวิเศษ ............... -
กำลังฝึกฝนค่ะ ส่วนทางออกต้องเจอสักวันหนึ่ง -
เคยเขวไปทางนั้นจริงๆๆ ค่ะ
หน้า 2 ของ 3