แนวทางที่ผมฝึกแล้วเห็นผล

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ปัญฺญาวโร, 15 พฤศจิกายน 2012.

  1. dong2002

    dong2002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +2,600
    เรื่องเหล่านี้เป็นปัจจัตตังครับ ปฏิบัติแบบเดียวกัน ผลไม่เหมือนกันก็ได้ ขึ้นกับบุญบารมีที่สั่งสมมา ขอเพียงปฏิบัติแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง ลดลง เป็นใช้ได้
     
  2. นายกสิณ

    นายกสิณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2011
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +251
    แล้วมโนยิทธินี่ เกิดเป็นบุญบารมีได้ไหม ดูจากอะไร เอาอะไรมาวัด
    องค์เทพ เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ เจ้าป่า-เจ้าเขา ผีหรือสัมภเวสี..กลัวหรือเกรงใจเราไหม
    แต่กสิณที่ผมปฎิบัติมา มีแน่นอน ถ้าจะให้เล่าต้องถามเจ้าของกระทู้ก่อน ถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์
     
  3. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    กึ๋ย เรา่ท่านลูกพระพุทธเจ้าไหงเอาเรื่องนี้มาทะเลาะกัน
    จากที่ผมฝึกมาผมว่าทั้งสองอย่างนี้ผสมผสานกันได้นะ
    มโนเองก็เกิดบุญบารมีได้ ผมคิดว่าเมื่อเราฝึกมโน หากเราไปหาพระบ่อยๆรับพลังพุทธะจากพระพุทธเจ้าเป็นประจำ บุญบารมีนั้นมีแน่นอน ที่คุณกสิณเขียนน่าจะหมายถึงเอามโนไปเที่ยวเล่นล่ะกระมั่ง อันนั้นน่าจะเป็นพวกที่เขาหลงทางน่ะครับ
    อย่าเอาธรรมมาะมาเถียงกันเลยครับ ว่าแบบไหนดีกว่า ธรรมมะสายใดๆก็ล้วนมาจากท่านพ่อของเรา สุดท้ายก็ไหลไปรวมกันแหละครับ
    อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ พุทธบุตรทั้งหลายเอ๋ย
     
  4. thepsak

    thepsak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +1,306
    ปัญญาทึบ ไม่ขอวิจารร์ร่วม
    แวะมาถามคุณ ปัญญาวโร ถ่ายรูปที่ไหน มีโอกาสหนูจะไปกราบบ้าง
     
  5. dong2002

    dong2002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +2,600
    ตอนแรกว่าจะไม่เข้ามาร่วมนะครับ เพราะชอบอ่านมากกว่า ปัญญายังน้อย แต่ว่าพอดีเคยปฏิบัติกับศึกษามาบ้างเหมือนกันเกี่ยวกับมโมยิทธิ...

    จริงๆแล้วเท่าที่ได้ลองทำมา (ฝึกเอง) มโนมยิทธิ เป็น สมถะ+วิปัสสนา ในตัว แต่ยังอ่อน เพราะสมถะแค่อุปจารสมาธิ วิปัสสนาก็แค่ปล่อยวางขันธ์ 5 กับ นิวรณ์ 5...
    ที่เคยเห็นคนไปฝึก เนื่องจากมีครูสอนครูนำ การโน้มใจไปเพื่อละวางขันธ์ กับ นิวรณ์ มันง่ายกว่าทำเอง เพราะเพียงแค่ใจน้อมรับมันก็มีผลแล้ว แต่มันแค่วันนั้นตอนนั้น สมถะก็ปกติคือ ขณิกกะสมาธิ มาจน อุปจารสมาธิ อันนี้ก็ปกติ เพราะสภาพความเป็นทิพย์จะเกิดตอนนั้น ส่วนนิมิตหรือภาพหรือบางท่านเรียกทิพยจักขุญานนั้น ผมถือว่าเป็นอย่างอ่อนนะครับ เรื่องนิมิตต่างๆไม่ขอพูดแล้วกัน

    ดังนั้น การที่เราทำสมถะวิปัสสนาด้วยมโนมยิทธินี่ บุญบารมีเกิดแน่... เพราะชื่อว่าการภาวนาบุญบารมีย่อมเกิด มากน้อยเท่านั้นเอง...

    แต่ไม่ใช่ว่าเมื่อเอามาทำเอง ทุกคนจะทำได้อีก เพราะการกลับมาทำเองนั้น เราต้องน้อมและใช้ปัญญาด้วยตนเอง... มันยากกว่า และอย่างที่บางท่านว่านำมาใช้ในทางที่ผิด ก็เท่านั้น เรื่องนี้หลวงพ่อเองก็ตำหนิ...

    การที่เราจะใช้มโนมยิทธิจนชำนาญ ถูกต้องแจ่มใส และทำได้ทุกครั้งนั้น (กรณีทำเอง) ผมบอกตรงๆว่า สมถะต้องแน่น จะเก่งคล่องๆผมว่าควรฝึกไปจนได้ฌานเป็นอย่างน้อยแล้วลดกำลังลงมาเพื่อใช้มโนมยิทธิในอุปจารสมาธิ และเรื่องการพิจารณาละขันธ์ 5 กำจัดนิวรณ์ 5 เมื่อทำด้วยตนเองมันยากกว่ามีคนนำ ดังนั้น วิปัสสนาจำเป็น เพราะมโนมยิทธินั้น หากมีความอยาก ยึดติดกับร่างกาย มันไม่ไปไหนหรอก ไม่ก็เจอนิมิตหลอกแทน เพราะนิมิตทั่วๆไปก็เกิดในช่วงอุปจารสมาธิเหมือนกัน...

    ที่กล่าวมานั้นแค่ มโนมยิทธิครึ่งกำลัง (อานาปานสติ + พุทธานุสสติ + อาโลกสิณ) ใช้กรรมฐาน 3 กอง เป็นฐาน... หากมโนมยิทธิเต็มกำลัง มากกว่านั้น เพราะต้องใช้กำลังถึงฌาน 4...

    ส่วนจะทำให้ใครเกรงกลัวอะไรเราไหม อาจจะไม่ใช่จุดมุ่งหมายของมโนมยิทธิครับ เพราะบาทฐานที่หลวงพ่อสอนจะเน้น ศีล สมาธิ ภาวนา พรหมวิหาร 4 กรรมบถ 10 การละวางตัดสังโยชน์ เพื่อพุ่งเป้าไปนิพพานมากกว่า มโนมยิทธิท่านให้เอาไว้ดูใจตนเอง เอาไว้ฝึกเพื่อให้จิตเกาะความสงบให้ชิน ไม่ได้เอามาไว้ดูใคร ทำนายอะไร

    ก็ขอแชร์ความรู้เท่านี้ครับ
     
  6. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    วัดไจ๊ปุ่นพญา เมืองปาโก(หงสาวดี)ห่างจากย่างกุ้งประมาณ 80 ก.ม.ครับ
     
  7. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    เมื่อคืนสมถะไม่ได้เลย นั่งสมาธิเข้าฌานไม่ได้ มันเห็นนั้นเห็นนี้(เห็นแบบเคลื่อนไหวภาพสี)แต่ใจเรารู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นอุปาทานไม่มีสาระ เป็นการปรุงแต่งของจิต เนื่องจากจากที่สามารถเห็นอดีตชาติได้ใหม่ๆจึงเกิด กามฉันทะ บวกกับนั่งสมาธิทด้วยทำงานด้วยพักผ่อนน้อยก็เกิด ถีนมิทธะ และ อุทธัจจกุกกุจจะ
    เมื่อพิจารณาได้ดังนี้ ผมคงต้องพักมาวิปัสนาอสุภะกรรมฐานก่อน

    ได้รู้ได้ทำได้เห็นก็ดีแล้ว ใจมันซนก็อย่างนี้แหละครับ เหนื่อยหน่อย 55+
     
  8. dong2002

    dong2002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +2,600
    เรื่องปกติ หลวงพ่อเคยสอนไว้อย่าไปสนใจ มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ครับ เหนื่อยล้าก็พัก หายแล้วอารมณ์สบายแล้วจึงทำ แต่พยายามทำอานาปานาสติไปให้ได้เท่าที่สติจะระลึกได้ ทำให้ทรงอารมณ์ได้ยิ่งดี เพราะการทรงอารมณ์สมถะไปได้มากเท่าไร นิวรณ์มันก็ลดตาม
     
  9. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    หงสาวดีมีที่เที่ยวน่าสมใจครับ ได้กลิ่นไอประวัติศาสตร์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    องค์เจดีย์ คือ มหาเจดีย์พระธาตุมุเตา คนพม่าเรียก ชเวมอดอพญา
    สมัยพระเจ้าบาเยนองจะเดนอยาธา(ออกเสียงแบบพม่า)หรือบุเรงนอง ทางลังกาได้ส่งพระบรมสารีรีกธาตุพระเขี้ยวแก้วมาถวาย ตอนหลังมากับอ้างว่าที่ส่งมาไม่ใช่ของจริง เลยไม่รู้แน่ว่าอยู่ไหนจริง แต่พระธาตุองค์นี้ พระเจ้าบุเรงนองเคารพมากทุกครั้งที่ต้องไปทัพต้องมาสักการะทุกครั้ง ในหนังเรื่องพระนเรศวร เขาก็จำลองไว้ในฉาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2012
  11. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    รูปพระฤาษีแบบพม่าครับที่ถือไม้เท้า
    รูปสองคนถือระฆังมีโทรศัพท์เน็บเอวก็ทายกเด็กวัดครับ
    ตอนผมไปไม่มีมัคคุเทศแบบปลอมตัวเป็นพม่าเที่ยว(ถ้าคนไทยหรือคนต่างชาติเขาคิดค่าเข้าชมแพงครับ)
    แฟนเก่าเป็นพม่าบ้านอยู่หลังวังกัมโพซ่าธานี เลยเนียนครับ เด็กผู้หญิงนี้น้องแฟนเก่าครับ
    เสียดายรูปท้องพระโรงที่แอบถ่าย(เขาไม่อนุณาตให้ถ่าย)ไว้ ใช่กล้องฟีล์มติดไปกับแฟนเก่าทั้งฟีล์มทั้งรูป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2012
  12. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    ฝากหาคำตอบให้หน่อยครับว่า เรื่อง พระเขี้ยวแก้ว
     
  13. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    สังหรณ์ใจว่าได้เลข เพราะฝันในวันที่นั่งสมาธิ(ปกตินั่งสมาธิจะไม่ฝัน) ว่าได้ตังค์ทอนเหรียญบาทสองเหรียญ โดยคนทอนหยิบกรรไกรมาทำตำหนิ(สังหรณ์ตรงนี้ด้วยทำไม่ต้องทำตำหนิ)ที่เหรียญทั้งสอง คิดว่าต้องกลับเลขด้วย เลยลองซื้อดู 12 21 หวยออก 15 500 ลองส่องกระจกดู นั่งขำคนเดียว กลับแบบนี้นี่เอง 555
     
  14. thepsak

    thepsak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +1,306
    ขอบคุณมากๆ ที่เอื้อเฟื้อ รูปถ่ายเพิ่มเติม:cool::cool::cool:

    งดงามมากๆ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  15. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    คนเราร่างกายเป็นของไม่เที่ยงเกิดแล้ว แตกดับ เสียหายได้ ถ้าเป็นคนช่างสังเกตุจะเห็นในรูปว่าหน้าผากของผมไม่เรียบ รถล้มกระโหลกยุบเส้นประสาทตาซ้ายเสีย คนเราก็หนีไม่พ้นความแตกดับ บางสิ่งบางอย่างอาจจะแตกดับก่อนบ้างจะแตกต่างอะไรกัน
    สาธุ
     
  16. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    กรรมเก่าคนเรานี้จะบอกว่าชาติที่แล้วส่งผล หรือ ชาตินี้ส่งผล นั้นจะชี้ชัดลงไปไม่ได้ง่ายอย่างกรณีของผม ขณะเกิดอุบัติเหตุ ภาพที่เห็นตอนนั้นจำได้ติดตาจนทุกวันนี้คือ การเอาสากทุบหัวปลาดุก เราจะบอกว่าชาติก่อนทำไว้ส่งผลชาตินี้ ก็ชาตินี้ก็ทำทำไมจะไม่ใช่ล่ะ บาปกรรมใหม่เก่ามันหนุนกันเสริมกันครับ ที่ว่าเห็นบางคนอาจสงสัยว่าอุปาทานหรือปล่าว สลบไปตื่นมาเลยอุปาทาน ขอบอกว่า ไม่ได้สลบรับรู้ตลอดเวลา เวทนากายครบ จนเอ็กเรย์เสร็จถึงหลับไป กรรมส่งผล เวลาเราทุบหัวปลาไม่เคยเห็นปลามันสลบสักที
     
  17. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ก่อนอื่นต้องขออนุญาตเจ้าของกระทู้ก่อนนะครับ เนื่องจากเห็นข้อสอบถามของเพื่อนในบอร์ดท่านนี้ คือคุณนายกสิณ จึงอยากจะขอเสริมความเห็นนี้สักเล็กน้อยนะครับ

    ต้องขอเรียนเจ้าของกระทู้ก่อนว่า เพื่อนในบอร์ดของเราคนนี้ ผมเคยคุยกับท่านมาก็หลายวาระ แต่เนื่องจากพื้นฐานของท่าน ฝึกสมาธิในแนวฤาษีมาก่อน ดังนั้น เวลามาคุยกับเพื่อนๆ ในบอร์ดที่สมาชิกส่วนใหญ่ เน้นการปฏิบัติในสมาธิแนวพระพุทธศาสนา ก็ทำให้เพื่อนในบอร์ดเราท่านนี้ รู้สึกสับสนไปไม่น้อย ซึ่งก็ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด เพืยงแต่พื้นฐานของแต่ละฝ่ายแตกต่างกันเท่านั้น จึงทำให้การพูดคุย แลกเปลี่ยนความเห็นมีลักษณะติดๆขัดๆ ไปบ้าง

    เพื่อให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้นสำหรับคุณนายกสิณ ผมจึงอยากจะขอเสริมความเห็นบางประการเล็กน้อย ซึ่งในการนี้ ผมจะขอคุยใน "รูปแบบ" ที่เป็นไปในทางเดียวกันกับของคุณนายกสิณนะครับ

    นั่นคือ ในการแสดงความเห็นในครั้งนี้ ผมจะเน้นในเรื่องสมาธิแนวฤาษี ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องมรรค ผล นิพพาน ศีล แต่อย่างใดนะครับ (ถือว่าแหวกแนวไปจากแนวทางของผมไปมาก) เพราะมุ่งเน้นที่จะขอคุยกับคุณนายกสิณโดยตรง

    สมาชิกท่านใด อ่านไม่เข้าใจหรือไม่รู้เรื่อง ก็ต้องขออภัย และโปรดรับทราบว่า ผมกำลังคุยเรื่องสมาธิแนวฤาษี ที่ไม่ใช่สมาธิของพระพุทธศาสนา กับคุณนายกสิณ เป็นการเฉพาะนะครับ


    อารัมภบท มายืดยาว เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันของผมและเจ้าของกระทู้ รวมทั้งท่านสมาชิกทุกท่านนะครับ ก็เข้าเรื่องกัน คุณนายกสิณ มีข้อสงสัย ดังนี้

    1.แล้วมโนมยิทธินี่ เกิดเป็นบุญบารมีได้ไหม ดูจากอะไร เอาอะไรมาวัด

    การพิจารณาเรื่องบุญบารมี ต้องดูว่าจะใช้เกณฑ์อะไรมาใช้สำหรับเทียบเคียง สำหรับในทางฤาษีแล้ว บุญบารมีย่อมเกิดจากการมีญาณมาครอบหรือที่เรียกว่ามีกระแสจากครูอาจารย์เข้ามาช่วยหนุนนำให้เกิดเป็นกำลังเสริมให้กับตัวเรา เพื่อใช้สมาธิในการประกอบกิจต่างๆ ถ้าเป็นในลักษณะนี้ ขอเรียนว่า ในวิชามโนมยิทธินี้ มีเรื่องทำนองนี้อยู่คล้ายๆ กัน แต่ก็มีประเด็นปลีกย่อย ที่ต่างกันออกไป

    ประเด็นที่เหมือนกันคือ ไม่ว่าจะในวิชามโนมยิทธิหรือวิชาของฤาษี ต่างก็ต้องมีครูเป็นผู้สั่งสอนวิชาเหมือนกัน แต่ที่ต่างกันคือ จุดมุ่งหมายปลายทางครับ

    บุญบารมีของผู้ฝึกมโนมยิทธิเกิดได้จากความพากเพียรในการฝึกตัวเอง ให้นำเอาสิ่งที่ได้รับทราบจากการฝึก ใช้เป็น "เครื่องมือ" สำหรับขัดเกลาจิตใจให้ห่างไกลจากความเศร้าหมองต่างๆ ยิ่งจิตมีความห่างไกลจากความเศร้าหมองมากๆ กล่าวกันว่า ยิ่งมีบุญบารมีมาก

    ส่วนสมาธิของฤาษี บุญบารมีที่มีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับอิทธิ ปาฏิหาริย์ ที่มีอยู่ในตัวตน และกระแสหนุนนำจากญาณของครูอาจารย์ที่ครอบร่างก็จะเป็นส่วนช่วยเสริมบุญบารมีได้

    จะเห็นว่าแนวคิดเรื่องบุญบารมีนั้นต่างกัน แต่สรุปแล้ว ทั้งมโนมยิทธิและวิชาฤาษี ล้วนก่อให้เกิดบุญบารมีได้ทั้งคู่ แต่ก็มีจุดมุ่งหมายปลายทางกันคนละอย่าง

    แล้วบุญบารมี ที่เกิดขึ้น วัดจากอะไร เอาอะไรมาวัด

    ตอบได้ว่า เขาวัดกันได้จากรัศมีของเรือนกายครับ ถ้าผู้ฝึกปฏิบัติมาพอสมควร ในวิชาพิเศษบางวิชา สามารถที่จะมองเห็นภพภูมิต่างๆ ได้ ย่อมที่จะสามารถมองเห็นรัศมีกายที่ว่านี้ได้ ความแตกต่างของรัศมีกายนี้ จะบ่งบอกถึงระดับของบุญบารมีที่มีอยู่

    ส่วนจะดูกันอย่างไร มีลักษณะแบบไหน ผมขอยังไม่กล่าวถึง เนื่องจากจะเกินขอบเขตของกระทู้นี้ไป

    2.องค์เทพ เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ เจ้าป่า-เจ้าเขา ผีหรือสัมภเวสี..กลัวหรือเกรงใจเราไหม

    เรื่องนี้ คงต้องขอเรียนว่า ในการฝึกวิชามโนมยิทธิ ท่านไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้ผู้ใดมากลัวหรือเกรงใจนะครับ เพราะไม่ได้มีความมุ่งหมายที่จะไปข่มขู่ คุกคามผู้ใด ให้เกิดความกลัวหรือเกรงใจ เพราะวัตถุประสงค์จริงๆ คือมุ่งที่จะฝึกเพื่อขัดเกลาจิตของตัวเอง มากกว่าที่จะไปเกี่ยวข้องกับผู้หนึ่ง ผู้ใด

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การระวัง ป้องกันตัว ก็จำเป็นเช่นกัน สำหรับผู้ที่ท่องไปในภพภูมิต่างๆ ด้วยวิชามโนมยิทธิ

    แต่ผู้ฝึกวิชามโนมยิทธิ จะไม่ค่อยกังวลในจุดนี้มากนัก เพราะท่านผู้ฝึกทั้งหลาย กล่าวได้ว่า แต่ละท่านจะมีผู้คุ้มครอง ดูแลอยู่เป็นการเฉพาะ ซึ่งอาจจะเป็นเทพหรือครูอาจารย์ที่เกี่ยวข้องกัน เป็นผู้ดูแล อภิบาลอยู่

    ดังนั้น องค์เทพ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าป่า เจ้าเขา จะเกรงใจหรือเกรงกลัวหรือไม่ ก็ต้องแล้วแต่ท่านๆ ทั้งหลาย นั่นเอง คงจะไปข่มขู่ คุกคาม ให้ท่านเกิดความเกรงกลัวหรือเกรงใจ ย่อมไม่ได้ เพราะวิชามโนมยิทธิ ไม่ได้มุ่งเน้นหรือมีจุดมุ่งหมายที่่จะกระทำอย่างนั้น

    ตรงนี้จะแตกต่างจากวิชาของฤาษี ที่มุ่งอาศัยกำลังของสมาธิเพื่อสร้างอิทธิปาฏิหาริย์ นอกจากนี้แล้ว ยังมีญาณขององค์เทพหรือครูอาจารย์ ครอบร่างอยู่อีก ตรงจุดนี้ ถ้าหากมีญาณที่แข็งแกร่งมากๆ ครอบร่างอยู่แบบนี้ องค์เทพอื่นๆ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าป่า เจ้าเขา ผีหรือสัมภเวสสีต่างๆ ย่อมต้องเกรงใจหรือเกรงกลัวเป็นธรรมดา เพราะผู้ที่ถูกครอบร่าง สามารถใช้กำลังเข้าข่มขู่คุกคามกับพวกเขา ให้ได้รับความทุกข์ทรมานได้โดยตรง

    ตรงนี้เห็นความแตกต่างของวิชามโนมยิทธิกับวิชาของฤาษีไหมครับ กล่าวโดยสรุปคือ มโนมยิทธิ จะไม่ให้ความสำคัญว่าผู้อื่นผู้ใด จะต้องมาเกรงกลัวหรือเกรงใจเรา เพราะเรามุ่งฝึกตัวเอง ไม่ได้ต้องการไปเกี่ยวข้องกับใคร แต่วิชาของฤาษี จะทำให้ผู้อื่นเกิดความเกรงกลัวหรือเกรงใจได้ เพราะสามารถใช้กำลังที่มีอยู่ ทำการคุกคามกับผู้อื่นได้โดยตรง

    ทั้งนี้ ทั้งนั้น การที่มีความแตกต่างกันในแง่ความเกรงใจหรือความเกรงกลัว ก็เพราะเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ของวิชามโนมยิทธิและวิชาของฤาษี มีความแตกต่างกันนั่นเอง

    จากที่พยายามอธิบายมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่า มโนมยิทธิ จะมีสิ่งที่แตกต่างจากวิชาสมาธิแนวฤาษีที่คุณนายกสิณได้ฝึกมาอยู่พอสมควร เพราะวิชาแต่ละอย่างก็มีจุดมุ่งหมายของตัวเอง ดังนั้น ผมขอเสนอว่า ในการพูดคุยกัน ไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน ว่าวิชาของฉัน สุดยอดกว่าวิชานั้น สุดยอดกว่าวิชานี้ เนื่องจากจะทำให้เกิดข้อขัดแย้ง กินแหนงแคลงใจกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    ทางที่ดี ทุกฝ่าย ควรจะได้เปิดใจ พูดคุย แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความหลากหลายในองค์ความรู้ และแนวคิด เพื่อประโยชน์ในเชิงวิทยาการต่อไปในภายภาคหน้า อย่างนี้ ผมว่า น่าจะมีความเหมาะสมมากกว่า ในการเสริมสร้างบรรยาการความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในบอร์ดของเราต่อไปครับ

    เขียนกระทู้มาเสียยืดยาว รบกวนท่านเจ้าของกระทู้อย่างมาก ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
     
  18. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    คืนวันที่16พ.ย.2555 ทำสมถะ จนกายท่อนล่างหายเหลือแต่ท่อนบนยังไม่ยอมหาย หลังจากถอยออกก็นอนเลยไม่มีแวะอุปจารสมาธิ พักก่อนยังไม่อยากรับรู้อะไร อยากจะให้ได้ฌาณ ๔ ก่อนอย่างที่ตั้งใจไว้
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    คงอยู่ในบริเวณข้อ 3-5 ในโพสท์นี้

    5. เมื่อความรู้สึกว่า "โล่ง ๆ โปร่ง ๆ สบาย ๆ อยู่" เกิดขึ้น ให้ย้ายมาแช่อยู่ในอาการนี้ (หากสติไม่แกร่งพอ อาจจะหลับในขั้นนี้ได้)

    จริง ๆ แล้วในข้อที่ 5 นี้ยังมีส่วนย่อยละเอียดอีกนิดหน่อยคือ อาการ "สบายอยู่แต่เฉยอยู่" ประกอบอยู่ด้วยกัน หากสังเกตุรู้ได้ ก็เข้ามาอยู่ในอาการ เฉยอยู่ นี้ได้เลย ก็จะเป็น ฌาณ 4 เอง จะมีร่างกายหรือไม่ ไม่จำเป็น หากต้องการแค่ ฌาณ 4 มาตรฐานก็พักแต่เพียงแค่นี้ หากจะต่อไปถึงจิตเป็นประภัสสร ก็ให้ไล่อารมณ์ต่อไปในข้อ 6

    หากในข้อที่ 10 ร่างกายยังมีอยู่ อาการเปล่งรังสีจะแผ่พลุ่งออกมาทางดวงตา แต่ความเข้มข้นจะไม่เท่ากับ ไม่มีร่างกาย การมีร่างหรือไม่มีนั้น จะอยู่ในรอยต่อของข้อ 5 กับข้อ 6 ให้้ค่อย ๆ ศึกษาการเดินจิตจากโพสท์นี้ดู

    [URL="http://palungjit.org/posts/6880777[/URL]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2016
  20. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    เมื่อคืนวันที่19พ.ย.2555นอนสีหไสยาสน์ทำสมาธิเข้าฌาณ โดยสังเกตุว่า ตัดกรองลม มีสติรู้ว่าทำสมาธิ หลับตาสบายๆเหมือนเวลาจะนอน ไม่มีการเพ่งนิมิตใดๆเลย ก็ เป็นไปตามปกติ แต่รู้สึกสุขก็สุขกว่าปกติ เฉยก็เฉยกว่าปกติ ใช้เวลาไม่นานรู้สึกเหมือนหลับเพราะมันดับไปหมดเลย พอหลุดออกมามันรู้สักว่าไม่ไช่หลับ ไม่นานแต่ไม่ใช่วูป สักนาทีน่าจะได้ หรือหลับสมาธิ? จตุตถฌาณปกติยังมีสติใช่ป่ะเลยสงสัย
     

แชร์หน้านี้

Loading...