แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. noppornl

    noppornl เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,607
    ค่าพลัง:
    +8,008
    กลับไปไล่ตามอ่าน มาพบโพสต์ของพี่เดชาสองอันเป็นสิ่งที่ผมอยากทราบอยู่พอดี ต้องขอขอบคุณมากครับ
     
  2. นาย สมพล

    นาย สมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2007
    โพสต์:
    866
    ค่าพลัง:
    +905
    รูปหล่อหลวงพ่อกวยสวยงามมากครับ บูชามาเท่าไรครับ พอจะมีเบอร์วัดเพื่อติดต่อขอบูชาบ้างได้มั้ยครับ

     
  3. คนเมืองชล2

    คนเมืองชล2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +63
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 48 คน ( เป็นสมาชิก 31 คน และ บุคคลทั่วไป 17 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>คนเมืองชล2, man_12, Limtied, นาย สมพล, โต้งชลบุรี, area, CheKuvara, zea2516, sitthiphol, nuanpan, คนกันเอง, นะจักรวาล, นำทาง, ลืมตัวลืมตน, ekkorn9, หนุ่มเมืองแกลง, แสงแข, dejlee, daychar, PITINATTH73, ลูกน้ำเค็ม, Tawatchai1889, shunmeaw, q2499, narrong, หรหมจาโร, wiruch99, น้าต๋อย เซมเบ้, paitoon01 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พร้อมหน้าพร้อมตาครับ
     
  4. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    โดนกุมารทองเข้าสิง

    ขอบคุณเจ้าของบทความด้วยครับ


    พี่รุ่งอุษาเล่าให้ดิฉันฟังว่า สามีของเธอเช่ากุมารทองมาจากวัดแห่งหนึ่ง หน้าตาสะสวย พอซื้อมาแล้วก็นำไปไว้ในห้องพระ จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเพื่อนมาเยี่ยมที่บ้าน พอเดินเข้าไปในห้องพระก็ทักขึ้นมาว่า " เอามาเลี้ยงไว้ทำไม มันไม่ดีนะ"

    สามีของพี่รุ่งก็บอกว่า เขาไม่รู้ คิดว่ามันสวยดีก็ซื้อมาไม่คิดว่าจะมีอะไรก็เลยเอามาเก็บไว้ในห้องพระ เพื่อนของพี่ก็บอกว่าให้เอาไปทิ้งเสีย พวกนี้เลี้ยงแล้วไม่ดี ทำให้บ้านไม่ดีไปด้วย สามีของเธอเลยเอามาไว้ที่ห้องรับแขก ปรากฏว่า พอพี่รุ้งเอาลูกชายคนเล็กมาอาบน้ำ แกทำท่าเหมือนกลัวอะไรสักอย่างหนึ่ง พี่รุ่งจึงเดาว่า คงเป็นกุมารทองเป็นแน่ก็เลยเอ็ดขึ้นมาลอยๆว่า

    "นี่อย่ามารังแกน้องนะ เดี๋ยวเอาไปทิ้งเลย"

    พอวันต่อมา ป้าของเด็กก็มีอาการเหมือนเด็กเล็กๆ เข้ามากอดสามีของพี่รุ่ง และพูดเป็นเสียงเด็กว่า "พอจ๋า อย่าทิ้งหนูนะ ขอหนูอยู่ที่นี่" พูดซ้ำหลายๆครั้ง แล้วก็พูดอีกทีว่า "ไม่ได้รังแกน้องสักหน่อย หนูมาช่วยพ่อ หนูไม่เคยทำไม่ดี ไม่เคยทำให้พ่อเสียหาย" แล้วแกก็ล้มลง

    ป้าเป็นบ่อยมาก และทุกครั้งที่พูดถึงกุมารทอง ก็จะมีอาการเป็นแบบนี้อยู่ ทุกครั้ง พี่รุ่งเลยให้ป้าเอาไปไว้ในห้องของแก แต่พอพูดถึงกุมารทองทีไรก็จะโดน เข้าสิงแล้วพูดว่า
    "พ่อจ๋าให้หนูอยู่ที่นี่เถอะ อย่าเอาหนูไปทิ้งเลย หนูไม่ทำความเดือดร้อนให้ พ่อหรอก"
    ทุกวันนี้ ทุกคนในบ้านของพี่รุ่งจะไม่กล้าพูดเรื่องกุมารทองอีกเลยเพราะสงสารป้า โดยเข้าสิงทีไร แกหมดแรงเหนื่อยอ่อนทุกที
     
  5. คนกันเอง

    คนกันเอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    7,441
    ค่าพลัง:
    +8,975
    กุมารที่ไหนนะ เฮี้ยนขนาดนี้
     
  6. noppornl

    noppornl เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,607
    ค่าพลัง:
    +8,008
    ลองดูที่นี่นะครับ
    วัตถุมงคลรุ่นฉลองเรือนไทยเเละสมทบทุนซื้อที่ดิน
    ไม่แน่ใจว่าหมดหรือยัง ลองโทรถามดูครับ
    ผมจองทำบุญ ๑,๘๐๐ ครับ
     
  7. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735

    ครั้งนั้นเป็นการรอคิวที่นานที่สุดที่เคยต่อคิวมาเลยครับ จำได้ว่าเกือบๆสามชั่วโมงในวัดบวร.....เจ้าหน้าที่ที่วัดจะแจกบัตรคิวแบบนี้เพื่อให้ทุกๆท่านและท่านใดแอบมารับรอบสองหากเจ้าหน้าที่จำหน้าได้ก็จะถูกเชิญออกไปเพราะมีการบันทึกและตรวจสอบบัตรประชาชนของแต่ล่ะคนด้วยครับ..ถึงแม้จะคอยนานแต่ก็คุ้มกับการได้รับพระองค์นี้ครับ....(^_^)

    และพอได้ฟังประสบการณ์เรื่องนี้เพิ่มเติมจากคุณPITINATTH ข้างต้น....สงสัยว่าผมคงต้องนิมนต์มาแขวนขึ้นคอเพิ่มอีกองค์แล้วสิครับเนี่ย....(^_^)...
    โมทนาด้วยครับ.



    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ajtyk_resize.jpg
      ajtyk_resize.jpg
      ขนาดไฟล์:
      180.1 KB
      เปิดดู:
      600
    • re 55.jpg
      re 55.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.5 KB
      เปิดดู:
      624
  8. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    คู่มือดับทุกข์


    สัพพะทานัง ธรรมะทานัง ชินาติ
    การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง

    สุขะโต สุขะทานัง
    ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตน


    1. จงประพฤติศีล 5 ให้สมบูรณ์ ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ทุกชนิด ไม่ขโมยสิ่งของๆ ใครไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหกหลอกลวงใคร และไม่ดื่มหรือเสพสิ่งเสพติดมึนเมา

    2. แบ่งเวลาในแต่ละวันให้พอเหมาะพอดีแก่สภาพชีวิตของตัวเอง มีเวลาทำงานเพียงพอ
    มีเวลาพักผ่อนเพลิดเพลินในครอบครัวตามสมควร สำหรับผู้ที่เป็นฆราวาส และมีเวลาฝึกสมาธิเพื่อทำจิตให้สงบ


    3. ในการฝึกสมาธินั้น ให้นั่งอยู่อย่างสงบสำรวม อย่าเคลื่อนไหวอวัยวะมือเท้า จะนั่งกับพื้น
    เอาขาทับขาข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ หรือ จะนั่งพับเพียบก็ได้ หรือ จะนั่งบนเก้าอี้ตามสบายก็ได้ ไม่มีปัญหา

    4. วิธีการฝึกสมาธินั้น ขอให้เข้าใจว่า ท่านจะทำจิตให้สงบ ปราศจากความคิดนึกปรุงแต่งในเรื่องภายนอกทุกอย่าง ชั่วระยะเวลาที่ทำสมาธินั้น ท่านจะไม่ปรารถนา ที่จะพบเห็น รูป สี แสง เสียง สวรรค์ นรก หรือ เทวดา อินทร์ พรหม ที่ไหน เพราะสมาธิที่แท้จริง ย่อมไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่ในจิตใจ สมาธิที่แท้จริงจะมีแต่จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ และสงบเย็นเท่านั้น


    5. พอเริ่มทำสมาธิโดยปกติแล้ว ให้หลับตาพอสบาย สำรวมจิตเข้านับที่ลมหายใจ ทั้งหายใจเข้า และหายใจออก โดยนับอย่างนี้ว่า หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 2 อย่างนี้เรื่อยไป ทีแรกนับช้าๆ เพื่อให้สติต่อเนื่องอยู่กับการนับนั้น แต่ต่อไปพอจิตสงบเข้าที่แล้ว มันก็จะหยุดนับของมันเอง

    6. หรือ บางทีอาจจะกำหนดพุทโธก็ได้ว่า หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ อย่างนี้ก็ได้ ไม่ขัดแย้งกัน เพราะการนับอย่างนี้ เป็นเพียงอุบายที่ทำให้จิตหยุดคิดนึกปรุงแต่งเท่านั้น


    7. ในการฝึกแรกๆ นั้น ท่านอาจจะนับ หรือ กำหนดไม่ได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะมักจะมีความคิดต่างๆ แทรกเข้ามาในจิต ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ช่างมัน ให้เข้าใจว่า ฝึกแรกๆ ก็เป็นอย่างนี้เอง ท่านอาจตั้งนาฬิกาเอาไว้ ว่าจะทำสมาธินานเท่าไร เริ่มแรกอาจจะนั่งสัก 15 นาที และให้เฝ้านับ หรือ กำหนดอยู่จนครบเวลาที่ตั้งไว้ ระหว่างนั้นจิตจะมีความคิดมาก หรือ น้อย ก็ช่างมัน ให้พยายามกำหนดนับตามวิธีการที่กล่าวมาแล้วจนครบเวลา ไม่นานนัก จิตจะหยุดคิด และสงบได้เอง

    8. การฝึกสมาธินี้ ให้พยายามทำทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง แรกๆ ให้ทำครั้งละ 15 นาที แล้วจึงเพิ่มมากขึ้น จนถึงครั้งละ 1 ชั่วโมง หรือ มากกว่านั้น ตามแต่ปรารถนา

    9. ครั้นกำหนดจิตด้วยการนับอย่างนั้นจนมีประสบการณ์พอสมควรแล้ว ท่านจะรู้สึกว่า จิตสะอาด สงบเย็น ผ่องใส ไม่หงุดหงิด ไม่หลับใหล ไม่วิตกกังวลกับสิ่งใด เมื่อนั้นแหละคือ สัญลักษณ์ ที่แสดงว่า สมาธิกำลังเกิดขึ้นในจิต


    10. เมื่อจิตสงบเย็น ไม่หงุดหงิดเช่นนั้นแล้ว อย่าหยุดนิ่งเฉยเสีย ให้ท่านเริ่มน้อมจิต
    เพื่อพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ต่อไป หากมีปัญหาในชีวิต หรือ ปัญหาใดๆ ที่กำลังทำให้ท่านเป็นทุกข์ กลัดกลุ้มอยู่ ให้น้อมจิตเข้าไปคิดนึก พิจารณาปัญหา ด้วยความสุขุมรอบคอบ ด้วยความมีสติ

    11. จงยกเอาปัญหานั้นขึ้นมาพิจารณาว่า ปัญหานี้มาจากไหน เกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมท่านจึงหนักใจ จะสามารถแก้ไขได้อย่างไร และทำอย่างไรจึงจะเบาใจ ไม่เป็นทุกข์กับปัญหานั้น


    12. การพิจารณาอยู่ด้วยจิตอันสงบอย่างนี้ การถามหาเหตุผลกับตัวเองอย่างนี้ จิตของท่านจะค่อยๆ รู้เห็น และเกิดความคิดนึกรู้สึกอันฉลาดขึ้นมาโดยธรรมชาติ จิตจะสามารถเข้าใจต้นสายปลายเหตุของปัญหาต่างๆ ได้อย่างชัดเจน และถูกต้อง นักปฏิบัติจึงต้องพยายามพิจารณาปัญหาต่างๆ อย่างนี้เรื่อยไป หลังจากที่จิตสงบแล้ว

    13. ในกรณีที่ยังไม่มีปัญหา หรือ ความทุกข์เกิดขึ้นหลังจากที่ทำจิตให้สงบเป็นสมาธิแล้ว
    จงพยายามคิดหาหัวข้อธรรมะ หัวข้อใดหัวข้อหนึ่งขึ้นมาพิจารณา เช่น ยกเอาชีวิตของตัวเองมาพิจารณาว่า มีความมั่นคงเพียงใด มีความจีรังยั่งยืนเพียงใด ได้อะไรจากชีวิต อันประกอบด้วย ร่างกาย และจิตใจ ให้พยายามถามตัวเองเช่นนี้อยู่เสมอ


    14. หรือ อาจจะน้อมจิตมาสำรวจการกระทำเท่าที่ผ่านมาของตัวเอง พิจารณาดูว่า ทำประโยชน์อะไรบ้างต่อส่วนรวม ทำอะไรผิดพลาดบ้าง แล้วตั้งใจว่า ต่อไปนี้จะไม่ทำ และพูดในสิ่งที่ไม่ดี ที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน และไม่สบายใจ ต่อไปนี้จะพูด และทำแต่สิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อความสะอาด และบริสุทธิ์ต่อชีวิตของตัวท่านเอง

    15. จงเข้าใจว่า เป้าหมายที่ถูกต้องของการฝึกสมาธินั้น คือ การฝึกเพื่อ ให้จิตสงบจากอารมณ์ภายนอกชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิแล้ว จิตนั้นจะมีกำลัง และความมั่นคงในสภาวะจิตเช่นนั้นเอง ที่จะมีความพร้อมในการรับรู้ และเข้าใจปัญหาต่างๆ หรือ สิ่งต่างๆที่อยู่โดยรอบตัว ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง สรุปคือ ท่านฝึกสมาธิ เพื่อเรียกกำลังจิตจากสมาธิไปพัฒนาความนึกคิด หรือ ความรู้สึก ให้ถูกต้อง ซึ่งความรู้สึกนึกคิดที่ถูกต้องนั้น แท้จริงแล้วคือ “ปัญญา” นั่นเอง

    16. จงจำไว้ว่า ปัญหาอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่าน หรือ ความทุกข์นั้นไม่อาจหมดไปได้ ด้วยการไหว้วอน บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แต่ความทุกข์นั้นจะหมดไปได้ หากเพียงท่านมีปัญญาที่รู้เท่าทันตามความเป็นจริงในสิ่งที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์เท่านั้น ดังนั้น
    ในการฝึกสมาธิทุกครั้ง ท่านต้องกำหนดจิตให้สงบเสียก่อน จากนั้นนำจิตที่สงบมาพิจารณา
    ทบทวนปัญหาที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์


    17. ท่านต้องเข้าใจด้วยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น อาจมีทั้งที่แก้ไขได้ และแก้ไขไม่ได้
    และไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร ขอให้คิดว่า ท่านทำดีที่สุดแล้ว

    18. ท่านจะต้องเปิดใจให้กว้าง ยอมรับในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ว่าเรื่องดี หรือ ไม่ดีก็อาจเกิดขึ้นได้ เพราะธรรมดาแล้ว ทุกสิ่งเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน เป็นไปตามกรรม


    19. จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า “อนิจจัง” ซึ่งแปลว่า ความไม่เที่ยง สิ่งที่มีเหตุปัจจัย ปรุงแต่งทั้งหลาย ในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นของที่ไม่เที่ยงทั้งนั้น ความเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสิ่งเสมอ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว จิตของท่านจะไม่เป็นทุกข์

    20. จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า “ทุกขัง” ซึ่งแปลาว่า ความเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย การได้รับในสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งสิ้น


    21. จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า “อนัตตา” ซึ่งแปลว่า ความไม่ใช่ตัวเรา หรือ ของเรา หมายความว่า ไม่มีสิ่งใดที่คงอยู่ยั่งยืนได้ตลอด รวมถึงร่างกาย และจิตใจของเราทุกคนด้วย

    22. เมื่อทุกสิ่งเป็นของไม่เที่ยง ย่อมทำให้เราเป็นทุกข์ เช่นนั้นแล้ว เราจะอยากได้ อยากมี และอยากเป็น เพื่ออะไร

    23. ในการฝึกสมาธินั้น ให้แบ่งเวลาออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรก เป็นการกำหนดจิตให้สงบ ช่วงที่ 2 เป็นการพิจารณาสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยจิตที่สงบ อย่างรอบคอบ

    24. เมื่อนั่งสมาธิครบเวลาที่กำหนดแล้ว ก่อนออกจากสมาธิ ให้กำหนดจิตว่า จากนี้ไป
    จะมีสติพิจารณาสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา โดยพิจารณาตามสภาพความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้นว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง ไม่มีแก่นสารถาวร ทุกสิ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรม


    25. จงเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเรื่องดี หรือ ไม่ดี อาจเกิดขึ้นกับเราตอนไหนก็ได้ เพราะฉะนั้น จงเตรียมจิตให้พร้อมรับสถานการณ์เหล่านั้นอยู่เสมอ

    26. จงพยายามทำจิตให้ปล่อยวางอยู่เสมอ คือ พยายามรักษาจิตให้สะอาดบริสุทธิ์
    ไม่คิดอะไรที่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ อย่าอยากได้ อยากมี และอยากเป็นจนเกินพอดี
    จงน้อมจิตให้มองเห็นสภาวะที่สงบ และสะอาดอยู่เสมอ วิธีนี้จะทำให้จิตใจสงบเย็น ผ่องใส
    และไม่ทุกข์ร้อนได้เป็นอย่างดี


    27. จงตั้งใจไว้ว่า ถึงแม้จะออกจากการนั่งสมาธิแล้ว จะยังคงรักษาจิตให้ผ่องใส และไม่ถือมั่น ซึ่งจะทำให้เกิดสมาธิในจิตตลอดเวลา

    28. จงใช้ความคิดด้วยปัญญา คิดเพื่อหาความถูกต้อง เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้รับความสุขสงบในชีวิต คิดเพื่อจะทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ให้ตัวเอง และผู้อื่นไม่มีทุกข์อยู่เสมอ


    29. จงจำไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะมาทำให้ท่านเป็นทุกข์ได้ นอกจากความคิดผิดของตัวเอง

    30. จงอย่าเชื่อถือสิ่งงมงายไร้เหตุผล เพราะสิ่งเหล่านั้นจะทำให้สิ้นเปลืองทั้งทรัพย์สิน และเวลาไป โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้สร้างแต่กรรมดี คิดดี พูดดี ทำดี


    31. จงรู้ความจริงว่า เรื่องที่น่าพอใจ และเรื่องที่ไม่น่าพอใจ เป็นเรื่องธรรมชาติ
    เป็นเรื่องธรรมดาที่มีอยู่ในโลก บางครั้งอาจได้ตามที่ปรารถนา บางครั้งอาจไม่ได้ตามที่ปรารถนา ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา

    32. ตลอดเวลาที่กำลังทำกิจการงานอะไรอยู่ จงน้อมจิตให้มองเห็นความสงบที่เคยพบในการฝึกสมาธิ และจงมองความเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก จงแยกให้ออกว่า สิ่งหนึ่งคือ จิตที่สงบ อีกส่วนหนึ่ง คือ การปรุงแต่งของสิ่งภายนอก

    33. เมื่อไรก็ตามที่ท่านคิด อยากได้ อยากมี อยากเป็น ท่านจะเกิดความสับสน วุ่นวาย และเป็นทุกข์ ดังนั้นไม่ว่าท่านจะอยู่ในอิริยาบถใด ควรฝึกจิตให้สงบ และควบคุมจิตไม่ให้เกิดความอยาก ความไม่รู้จักพอ


    34. จงใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้น หมายถึง ความมีสติรู้ ประคองจิตให้สะอาดอยู่เสมอ ทำจิตให้ปล่อยวาง รู้เท่าทันว่า สิ่งใดถูกผิด รู้จักพิจารณาหน้าที่ และทำให้ดีที่สุด พยายามแก้ไขปัญหาให้สงบด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม และถูกต้องที่สุด โดยไม่เห็นแก่ตัว วิธีนี้จะทำให้ปัญญามีความคมชัด และจะไม่มีความทุกข์อยู่ในจิต

    35. ท่านต้องเข้าใจว่า คนส่วนมากในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่มีกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ดังนั้น บางทีเขาก็คิดถูก และทำถูก บางทีก็คิดผิด และทำผิด บางทีโง่ บางทีฉลาด เพราะฉะนั้น ท่านต้องให้อภัยเขา ค่อยๆ พูดกับเขา ต้องใช้ปัญญาเข้าไปสอน และนำพาเขาให้เดินในทางที่ถูก นี่คือหน้าที่ของผู้มีปัญญา อันจะทำให้ท่านมีจิตใจที่เยือกเย็น และไม่เป็นทุกข์


    36. การพิจารณาอย่างต่อเนื่อง แม้ในตอนที่ไม่ได้นั่งสมาธิ คือ การปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปัญญา ซึ่งปัญญาที่สูงสุดคือ ความรู้จักปล่อยวาง

    37. จงจำไว้ว่า การฝึกสมาธินั้น แท้จริงแล้ว ท่านปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปัญญา ซึ่งปัญญานั้นเอง ที่เป็นตัวทำลายความทุกข์ทางใจให้หมดสิ้นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด


    38. จงตั้งใจไว้ว่า ถ้าจะรู้สึกเป็นทุกข์ หงุดหงิด เมื่อไร ให้สลัดความรู้สึกนั้นทันที ท่านจะไม่เอาอารมณ์นั้นมาไว้ในใจ ถ้าท่านสลัดอารมณ์ไม่ดีให้หลุดไปได้เมื่อไร เมื่อนั้นท่านจะรู้แจ้งธรรมะ ท่านจะหมดทุกข์ และได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของท่าน ในนาทีที่ท่านสลัดอารมณ์หงุดหงิดออกไปได้

    39. ในตอนเจ็บไข้ได้ป่วย จงอย่าคิดอยากจะหายจากโรคนั้น แต่จงคิดว่า ท่านจะรักษาโรคไปตามเรื่อง บางทีหาย บางทีไม่หาย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ท่านไม่เป็นโรคนี้ ท่านก็ต้องตายอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นจะต้องเสียใจ หรือ หวาดกลัวต่อโรคนั้น

    40. จงตามดูความรู้สึกภายในจิตอยู่เสมอ ถ้าจะวิตกกังวลให้ตัดทิ้งทันที ถ้าจะหงุดหงิดให้ตัดทิ้งทันที ถ้าจะห่วงอะไรให้ตัดทิ้งทันที ถ้าทำอย่างนี้อยู่เสมอ ปัญญาของท่านจะสมบูรณ์ เต็มเปี่ยมอยู่ในจิต นี่แหละคือ ทรัพย์อันประเสริฐสุดในชีวิตของท่าน และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ก็จะสลายตัวไปเอง


    41. ปัญหาที่ทำให้ท่านหนักใจเป็นทุกข์ จะไม่เกิดขึ้นในจิต ถ้าท่านทำจิตให้สลัดอารมณ์ดีร้ายเหล่านั้นอยู่เช่นนี้เสมอ

    42. สมาธิจะมั่นคงต่อเนื่องอยู่ในจิตเสมอ ไม่ว่าท่านจะทำอะไร หากท่านพยายามทำจิตให้ปล่อยวางอยู่เสมอ สมาธิก็จะยิ่งมั่นคง


    43. อย่าคิดว่าสิ่งต่างๆจะเป็นไปตามที่เราคิด แต่จงคิดว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
    ท่านจะพยายามหาทางแก้ไขตามความสามารถของตน ทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย เรื่องทุกข์ เรื่องสุข ก็สามารถตัดทิ้งได้ แล้วท่านจะเป็นอิสระ และไม่เป็นทุกข์

    44. ท่านไม่ควรปล่อยให้ความอยาก ความรักตัว ความหวงตัว เกิดขึ้นในจิต เพราะความคิดแบบนั้น เป็นสิ่งบั่นทอนจิตของท่านให้ตกต่ำ และเป็นทุกข์


    45. เมื่อมีเวลาว่าง จงน้อมจิตเข้าสู่สมาธิที่บริสุทธิ์อยู่เสมอ แม้จะใช้เวลาเพียง 5 นาที
    สมาธิที่ถูกต้องก็เกิดขึ้นในจิตได้เช่นกัน และหากปฏิบัติอยู่เรื่อยๆ แล้ว จิตของท่านจะมั่นคงยิ่งๆขึ้นไป

    46. จงอย่าคิดว่า ฉันปฏิบัติไม่ได้ ฉันไม่มีกำลังใจที่จะปฏิบัติควบคุมจิตของตนเอง เพราะความคิดแบบนั้น เป็นการดูหมิ่นตนเอง เป็นการตีค่าตนเองต่ำเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง


    47. เมื่อมีปัญหายุ่งยากเกิดขึ้น จงหยุดคิดทุกอย่างก่อน ให้น้อมจิตเข้าสู่การกำหนดลมหายใจ นับ 1-2 กลับไปกลับมาพร้อมกับลมหายใจเข้าออก สักนาทีหนึ่ง แล้วจึงน้อมจิตเข้าไปพิจารณาปัญหานั้นว่า ปัญหาคืออะไร ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์กับปัญหาที่เกิดขึ้น และทำอย่างไรจึงจะสงบลงได้อย่างถูกต้องที่สุด การปฏิบัติเช่นนี้ จะทำให้ท่านเข้าใจสถานการณ์นั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง ท่านจะเกิดความคิดที่เฉียบแหลมในการแก้ไขปัญหาด้วยสติปัญญาของตนเอง

    48. หลักสำคัญที่จะลืมไม่ได้ คือ จงปล่อยวางอยู่เสมอ จงทำจิตให้ปล่อยวาง อย่าเก็บเอาสิ่งใดมาค้างไว้ในใจด้วยความอยากเป็นอันขาด แล้วปัญหาทุกอย่างจะสลายตัวไปในที่สุด

    49. พยายามนั่งสมาธิอยู่เรื่อยๆ และเมื่อออกจากสมาธิ ให้ตามดูจิต แล้วทำจิตให้ปล่อยวางเรื่อยไป

    50. จงมองเห็นความไม่เที่ยงของทุกสิ่งอยู่เป็นประจำ

    51. จงยอมรับในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน ไม่เป็นทุกข์ไปกับสิ่งเหล่านั้น
    ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่ดี หรือ ไม่ดี ก็ตาม นี่คือ การฝึกจิตให้สงบ และฉลาด

    52. จงคิดอยู่เสมอว่า ชีวิตกำลังเดินเข้าไปหาความตาย และการพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้น จงอย่าประมาท เพราะความประมาท จะทำให้พลาดโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต นั่นคือ สติปัญญา ความหลุดพ้น

    53. ความหลุดพ้นทางจิต คือ ความที่จิตไม่เป็นทุกข์กลัดกลุ้ม

    54. ธรรมชาติแห่งความหลุดพ้นนี้ ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ หากท่านฝึกจิตให้ถูกต้อง ซึ่งการฝึกนี้ เราเรียกว่า “การปฏิบัติธรรม”

    55. หากท่านฝึกจิตให้เป็นสมาธิ และใช้สติตามดูอาการภายในจิตของตนเอง แล้วทำจิตให้ปล่อยวางอยู่เสมอ ความทุกข์จะไม่เกิดขึ้นในจิตของท่าน

    56. อย่าเชื่อง่ายจนเกินไป อย่าคิดว่าใครพูดอย่างไร ก็จะเป็นเช่นนั้น จนเมื่อได้ศึกษา
    ไตร่ตรองตามสภาพเป็นจริงด้วยสติปัญญาอันบริสุทธิ์ ไม่มีการปรุงแต่งจากสิ่งภายนอก

    57. จงเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องของการฝึกจิต ให้รู้จักหยุดคิดปรุงแต่ง
    รู้จักทำจิตให้ปล่อยวางอยู่เสมอ

    58. อย่าท้อถอยในการฝึกจิตให้สงบ

    59. เมื่อมีเวลาว่างเมื่อไร จงทำจิตให้สงบเมื่อนั้น และเมื่อสงบแล้ว
    จงถอนจิตออกมาพิจารณาสิ่งแวดล้อมทุกอย่าง และอย่าถือมั่นสิ่งนั้นไว้ในใจ

    60. จงยอมให้คนอื่นได้เปรียบท่าน โดยไม่ต้องโต้เถียงกับเขา แล้วท่านจะเป็นผู้ชนะอย่างถาวร หมายความว่า ท่านจะชนะความทุกข์ใจได้อย่างถาวร แม้ว่าจะมีใครมากลั่นแกล้ง หรือ ตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่านอยู่เสมอก็ตาม

    61. จงเชื่อว่า เมื่อท่านทำดีแล้ว ทำถูกต้องแล้ว นั่นก็ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว คนอื่นจะคิดอย่างไร ยอมรับและสรรเสริญหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องคิด ขอเพียงทำดีให้ดีที่สุด ทำให้ทุกสิ่งถูกต้องที่สุด โดยไม่หวังผลตอบแทน เมื่อนั้นท่านจะเป็นมนุษย์ผู้มีความประเสริฐสุดอยู่ในตัวท่านเอง

    62. จงพยายามเข้าหา ครูบาอาจารย์ผู้มีปัญญา ที่จะสอนท่านให้รู้แจ้งธรรมะได้อยู่เสมอ
    การเข้าใกล้สมณะที่เป็นเช่นนี้ จะช่วยให้ท่านได้สติปัญญา และรู้จักแนวทางในการดำเนินชีวิตของท่านอย่างถูกต้อง

    63. อย่าลืมหลักปฏิบัติที่ว่า หยุดคิดให้จิตสงบ แล้วจากนั้นจึงคิดอย่างสงบ เพื่อทำจิตให้ปล่อยวางอยู่เสมอ

    64. อย่าถือมั่นว่า ชีวิต คือ ร่างกาย และจิตใจของท่านเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน ถ้าใครถือเช่นนั้น เขาย่อมเป็นทุกข์ เพราะชีวิตที่ไม่เคยแน่นอนของเขา

    65. จงเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ตายแล้วท่านจะไม่ได้อะไรไป ดังนั้น จงฝึกจิตให้สงบ และปล่อยวางอยู่เสมอ อย่าเห็นแก่ตัว อย่าตระหนี่ หมั่นเสียสะทรัพย์สินในสิ่งที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ แล้วท่านจะบรรลุถึงความหลุดพ้นได้ตามที่ปรารถนา

    66. จิตที่สะอาด ปราศจากความอยาก และความถือมั่นในตน เป็นจิตที่หลุดพ้นจากความทุกข์แล้วอย่างสิ้นเชิง จงพยายามฝึกจิตให้เป็นเช่นนั้น

    67. การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องลึกลับมหัศจรรย์ที่ทำไป เพื่อการติดต่อกับดวงวิญญาณต่างๆ แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้ เป็นการฝึกจิตให้สงบ และฉลาด ให้จิตมั่นคง และปล่อยวาง ความทุกข์จะหมดไปด้วยการปฏิบัติเช่นนี้เท่านั้น

    68. ความทุกข์จะไม่หมดไป หากท่านได้ในสิ่งที่ต้องการ เพราะการได้ในสิ่งที่ต้องการจะทำให้ท่านเป็นทุกข์ ในวันที่สิ่งนั้นหายไปจากท่าน

    69. จงปฏิบัติเช่นนี้ทุกวัน แล้วจิตของท่านจะบรรลุถึงความสะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์สูงสุด ในสักวันหนึ่ง ซึ่งไม่นานัก


    ธรรมะโอสถ

    อันหนทางชีวิต คิดดูเถิด
    เมื่อเราเกิดแล้วต้องแก่ แน่ใช่ไหม
    หนีไม่พ้นเจ็บไข้ กายและใจ
    จะแก้ไขอย่างไร ให้ทุกข์คลาย

    เป็นโรคกายหมอยา รักษาโรค
    ถูกโฉลกถูกเหตุผล ดลโรคหาย
    เป็นโรคใจภัยรุมเร้า เศร้าปางตาย
    ทุกข์มลายเมื่อรู้ใช้ “โอสถธรรม”


    เติมธรรมะให้ชีวิต พิชิตโรค
    ดับทุกข์โศกดับตัณหา อย่าถลำ
    ดับกิเลส โลภ โกรธ หลง จงหมั่นจำ
    ยึดพระธรรมพระศาสดา เป็นยาใจ
     
  9. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    ขอบคุณพี่หนุ่มสำหรับเรื่องราวการดูจิตของหลวงปู่ดูลย์ครับ...เพราะเป็นแนวทางที่กำลังปฏิบัติอยู่ครับ....(^_^)
     
  10. CheKuvara

    CheKuvara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,460
    ค่าพลัง:
    +19,341
    พี่นพพร พระสีวลีจากในรูปของที่ไหนพี่ คล้ายๆของผมเลย ของผมจำได้ว่าเป็นเนื้อไม้ลงรักขนาดประมาณสองนิ้ว เป็นพระวัดแถวกรุงเทพครับพี่
     
  11. chopper1972

    chopper1972 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +13,151
    **
    ขออนุญาตตอบนะครับ....รูปหล่อหลวงพ่อกวย หน้าตัก 5.9 นิ้ว ผมบูชามา 1800 บาทครับ.....เบอร์โทร.ที่วัด ลองใช้กูเกิ้ล เข้าไปในเว็บวัดโฆสิตารามนะครับ:cool:
     
  12. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    เสือสมิง ที่ดอยผาแดง

    By โดมดอย


    มาอ่านเรื่องสั้นเรื่องแรกของ “โดมดอย” ที่เคยเขียนส่งนิตยสารเขย่าขวัญฉบับหนึ่ง ชื่อ “สยอง” ที่ได้รับการตีพิมพ์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 39 ประจำเดือนกันยายน 2538 ราคา 15 บาท ขณะนี้นิตยสารฉบับนี้ปิดตัวลงแล้ว เพราะพิษเศรษฐกิจ ฟองสบู่แตกในปี 2540





    อยผา แดง บรรดาพรานดอยทุดคนรู้จักกันดี เพราะเป็นป่าทึบที่ประกอบด้วยไม้เบญจพรรณนานาชนิด และเล่าต่อๆ กันมาว่ามีสัตว์ป่าชุกชุม แต่ผีดุ มีพรานที่ยอมรับว่าตนมีวิชาอาคมป้องกันผีป่า สมิงไพรเคยเข้าไปลองดีอยู่เนืองๆ แต่ยังไม่เคยเห็นใครรอดกลับมาสักคนเดียว จนปัจจุบัน พรานดอยทั้งหลายเลยไม่มีใครกล้าเข้าไปลองดีอีกจึงไม่รู้ว่ามีอะไรที่ดอยผา แดงบ้าง


    แต่สำหรับผม “ปอลี” พรานดอยผู้เจนจัดเรื่องป่า ผมผ่านป่าทุกป่ามาแล้วนับไม่ถ้วน ยกเว้นแต่ป่าดอยผาแดง จะเข้าทีไรถูกทักท้วงทุกที แต่ครั้งนี้เห็นทีเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ อาชีพพรานป่าถ้าไม่ล่าสัตว์ เอาเนื้อ หนัง นอ เขา มาขายแลกข้าวกินแล้วจะทำอะไรกินล่ะครับ เมื่อผมและเพื่อนทั้งสามตัดสินใจว่าจะไปดอยผาแดงแน่แล้ว เราก็เตรียมกระสุนปืนลูกซอง ที่ผลิตเองเป็นพิเศษ เผื่อเจอช้างงาม หรืออาจเป็นกวางเขาอ่อน ตามตำรายาโป๊ว ที่กล่าวกันว่าต้องมีส่วนผสมเขากวางอ่อน ถ้าโชคดีจริงคงได้กำเงินหมื่นแน่ ใครจะไปรู้ เมื่อเตรียมข้าวของเครื่องใช้ ข้าวสารอาหารแห้งเรียบร้อยแล้ว เราทั้งสามก็ออกเดินทางเมื่อตะวันบ่ายคล้อย เพื่อมุ่งหน้าสู่ดอยผาแดง โดยใช้เวลาเดินทาง กว่า 4 ชั่วโมงเศษ เมื่อเข้าเขตป่าดอยผาแดงเสียงสิงสาราสัตว์ร้องระงมก้องไพร พวกเราเร่งมือทำห้างเพื่อเป็นที่พักและส่องยิงสัตว์ไปในตัว โดยเฉพาะป่าใหญ่ไม่น่าไว้วางใจ


    เมื่อผมกับพรานเฒ่า เล่าเส่ง ทำห้างพักเสร็จก็พอดีกับพรานหนุ่ม ท่อน้ง ทำอาหารเย็นเสร็จพอดี เราทั้งสามทานอาหารค่ำเสร็จก็ทุ่มเศษๆ เราดับไฟให้สนิท ขึ้นห้างและจัดเวรยาม 3 ผลัด ผมผลัดแรกไปสิ้นสุดตอน 4 ทุ่ม เหตุการณ์ปกติ แต่ไม่มีเสียงสัตว์ร้องแม้แต่ตัวเดียว แม้เสียงหรีด หริ่ง เรไรก็ไม่มี หรือที่ที่เราทำห้างอาจไม่ใกล้ที่หากินของสัตว์ก็ได้ พรุ่งนี้ยังมี ผมอยู่ยามจน 4 ทุ่มเศษ ผมจึงไปปลุกเฒ่าเล่าเส่งมาอยู่ยามต่อ แล้วผมก็นอนหลับอุตุ เพราะเดินทางไกล อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเต็มทน มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงไก่ป่าขันระงมไพร ผมรีบลืมตามองหาสมาชิกว่าอยู่ครบหรือไม่ แต่ไม่เห็นท่อเน้ง แล้วท่อเน้งหายไปไหน หรือว่าเขาอาจลงไปทำธุระส่วนตัวผมจึงไม่เอะใจอะไร ผมปลุกเฒ่าเล่าเส่งแล้วลงมาก่อไฟหุงหาอาหารเช้า จนอาหารเช้าเสร็จก็ไม่เห็นท่อเน้งกลับมา ผมใจไม่ดีจึงบอกเฒ่า เล่าเส่ง ว่าผมจะไปหาน้ำ เพราะได้ยินเสียงน้ำไหลดังอยู่ใกล้ ๆ ผมรีบเดินตามเสียงน้ำไหล พอห่างจากห้างประมาณ 500 เมตร ผมก็เห็นรอยลากเป็นทาง จึงตามรอยนั้นไปเรื่อย ๆ จนถึงโขดหินใกล้ลำธาร อะไรนั่น……เศษเสื้อผ้า เศษเลือดเนื้อเกลื่อนบริเวณ และที่ผมช็อคสุดขีด


    เพราะเป็นเศษเสื้อผ้าของท่อเน้ง ผมรีบหันหลังกลับทันที และทำตัวปกติ และบอกเฒ่าเล่าเส่งว่าน้ำไหลลอดถ้ำอยู่ลึกมากตักน้ำไม่ได้ เมื่อเล่าเส่งถามหาท่อเน้ง ผมรีบปฏิเสธ และว่าท่อเน้งอาจหนีกลับระหว่างที่เราทั้งสองหลับอยู่ ขอให้เราเปลี่ยนที่พักก่อน เพราะผมอยากพิสูจน์ว่ามันคืออะไรกันแน่แต่ไม่บอกเฒ่าเล่าเส่ง จากนั้นผมกับเฒ่าเล่าเส่งเดินสำรวจหาที่ที่เหมาะ ใกล้แหล่งน้ำ เล่าเส่งส่งเสียงเรียกท่อเน้งตลอดทาง แต่สำหรับผมไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อ เพราะเห็นแต่ภาพสยดสยองเมื่อเช้านี้มาหลอนอยู่ตลอดเวลา


    เมื่อเดินมาถึงที่ใกล้แหล่งน้ำแห่งหนึ่งดังที่เราคิดไว้ ผมกับเล่าเส่งตัดสินใจพักที่นี่ โดยช่วยกันทำห้างที่พัก เมื่อแล้วเสร็จเล่าเส่งยิงนกที่มาเล่นน้ำยามร้อนได้ 4-5 ตัว เพราะไม่มีสัตว์ใหญ่ให้ยิงแม้สักตัวเดียว แม้ว่าได้ยินเสียงสัตว์ร้องจริง แต่พอออกตามเสียงที่ร้องกลับไม่มีร่องรอย เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จวนจะค่ำ เลยนำนกมาแกงป่ากินกัน แล้วรีบปีนขึ้นห้างที่พัก เพื่อรอคอยเวลาอันระทึกใจว่าคืนนี้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผมให้เล่าเส่งอยู่ยามตั้งแต่หัวค่ำ หากเล่าเส่งง่วง หรือมีเหตุการณ์ไม่ปกติให้รีบปลุกผมทันที ผมพยายามหลับเอาแรง แต่ไม่สามารถหลับลงได้ หลับตาครั้งใดก็เห็นภาพสยดสยองของท่อเน้งมาหลอนอยู่ตลอด พอดึกเข้า ผมก็เริ่มเคลิ้ม ๆ และหลับไปในที่สุด


    ผมมาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ผมรีบคว้าไฟฉายส่องปราดไปตามเสียงร้อง แล้วผมก็เห็นไอ้ลายพาดกลอนตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา กำลังคาบเล่าเส่งกระโจนหายไปในความมืด ผมยิงลูกซองคู่ชีพตามไปหลายนัด แต่ไม่ได้ผล แล้วป่าทั้งป่าก็เงียบเชียบเช่นเคย ผมขลาดเกินกว่าที่จะตามไอ้ลายไป ผมระวังตัวตลอดเวลาจนกระทั่งเช้า และคิดว่าลักษณะเล่าเส่งคงไม่ต่างอะไรกับท่อเน้งแน่ เฮ้อ….เหลือผมคนเดียวแล้วนะ….ผมจะอยู่เพื่อพิสูจน์ หรือกลับดี


    ความขลาดเข้าครอบงำจิตใจผมทันที โดยไม่ต้องตัดสินใจ ผมพยายามออกจากป่าดอยผาแดง ผมคิดว่าเดินมาไกลแล้ว แต่แท้จริงแล้วผมกลับย้อนมาที่เก่าที่ผมค้างกับเล่าเส่งเมื่อคืนนี้ ผมพยายามอยู่ 3 ครั้งก็ไม่สามารถออกจากป่าได้ ผมไม่สงสัยเลยที่เขาว่าป่าอาถรรพณ์ ป่าแห่งนี้คงไม่ต่างจากที่ผมคิดแน่ เอาวะ…..ตายเป็นตายผมพยายามข่มความกลัวไว้ แล้วพักผ่อนให้มาก เพื่อเตรียมสู้กับไอ้ลายคืนนี้ อย่างไรเสียมันคงไม่ปล่อยผมแน่ ผมนั่งรอเวลาจนค่ำ กระสุนอาคม มีดหมอ เท่าที่มีอยู่ติดตัวมาคิดว่าจะป้องกันตัวได้บ้าง ผมนำออกมาวางไว้ข้างตัว รอจนนาฬิกาบอกเวลา 5 ทุ่ม หูผมก็ผึ่ง เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินคล้ายกำลังมุ่งมาทางผมเสียด้วย ใกล้เข้าทุกขณะ ผมมองตามเสียงตาไม่กระพริบ ซึ่งในความมืดนั้นผมก็ยังมองเห็นแสงสว่างอยู่บ้างจากแสงเดือนที่ฉายลงมา ทันใดนั้น….รับรองว่าตาผมไม่ฝาดแน่ ผมเห็นหญิงสาวชาวป่านางหนึ่งนุ่งกระโปรงสั้นเหนือเข่า เสื้อผ่าอกไม่มีกระดุมติดสักเม็ด ปล่อยให้อกกระเพื่อมไปมาตามจังหวะย่างก้าวของเธอ ผมเธอยาวสยายท่าทางจะสวยเอาการทีเดียว หล่อนเดินมาหยุดตรงใต้ไม้ใหญ่ที่ผมทำห้างอยู่พอดี แล้วพูดกับผมอย่างอ่อนหวาน
    “พี่ชาย…..พี่ชายจ๊ะ…..ฉันรู้นะว่าพี่ชายอยู่บนนั้นน่ะ ฉันเหงามาก ลงมาคุยกันข้างล่างได้ไหมจ๊ะ ฉันกับพ่อแม่มาทำไร่อยู่ริมชายป่า ฉันตามกลิ่นควันไฟที่พี่ชายก่อไฟมาน่ะจ้ะ ฉันไม่มีเพื่อนเลย ฉันเหงา ลงมาคุยกันข้างล่างดีกว่านะ ฉันไม่ทำอะไรพี่ชายหรอกจ้ะ”
    ผมไม่ได้อ้าปากพูดโต้ตอบหล่อนเลยสักคำเดียว ผมกำลังตลึงว่าป่าลึกอย่างนี้ ยังจะมีคนมาอาศัยอยู่ได้อย่างไรกัน หล่อนต้องไม่ใช่คนแน่ ความคิดผมก็แว็บขึ้นมาถึงคำพูดของผู้เฒ่าผู้แก่ว่า “เสือสมิง” มักจะแปลงมาเป็นคน หรือเป็นญาติพี่น้องที่เรารู้จัก ทำให้เราตายใจ แล้วมันก็ขย้ำเรา ผมจึงตอบหล่อนไปว่าให้มาพรุ่งนี้ก็แล้วกัน แต่หล่อนพยายามตื๊อผมให้ลงไปหาหล่อนให้ได้ ถ้าผมไม่ลงไปหาหล่อน หล่อนก็จะขึ้นมาหาผมเอง ผมจึงบอกว่าหากหล่อนขึ้นมาผมก็จะยิง หล่อนออดอ้อนว่าผมใจร้ายหากไม่สงสารผู้หญิงตาดำ ๆ ก็ตามใจ หากผมไม่ลงไปหาหล่อนจริง ๆ เป็นหน้าที่หล่อนเองที่ต้องปีนต้นไม้ขึ้นมาหาผมแทน


    หล่อนเริ่มปีนขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว ผมแน่ใจว่าหล่อนไม่ใช่มนุษย์แน่แล้ว เพราะเกินวิสัยที่ผู้หญิงพึงกระทำได้ ผมตัดสินใจยิงหล่อนทันทีที่แสกหน้าด้วยกระสุนอาคมที่ผมมีอยู่แค่ 5 นัด ได้ผล…..หล่อนหล่นตุบลงข้างล่าง กระสุนนัดแรกแค่เฉียดชายกระโปรงของหล่อนเห็นเป็นรอยแหว่ง แต่แปลก ทำไมชายกระโปรงหล่อนมีเลือดไหลออกมาโชกพอมองเห็น เสียงร้องโหยหวนของหล่อนฟังดูคล้ายสัตว์ร้ายมากกว่าเสียงมนุษย์ธรรมดาอย่าง เรา ๆ หล่อนต่อว่าผมว่าทำชายกระโปรงหล่อนขาด แล้วหล่อนก็เริ่มปีนขึ้นมาอีก ผมตัดสินใจยิงแสกหน้า 2 นัดติดกัน แต่ทำไมไม่ระคายผิวของหล่อนเลย เพียงแค่หน้าหงายเท่านั้นเอง


    หล่อนหัวเราะเยาะผมว่า ผมทำอะไรหล่อนไม่ได้ เพราะหล่อนมีของดีติดตัว ถ้าอยากรู้ให้ผมลงไปหา หล่อนจะให้ผมได้เห็นเป็นขวัญตา หากไม่ลงไปหล่อนไม่เกรงใจผมอีกต่อไป ผมปฏิเสธ ทันใดนั้นร่างของหล่อนค่อย ๆ แปรเปลี่ยนจากหญิงงามผมยาว เป็นไอ้ลายพาดกลอนตัวที่ผมเห็นเมื่อคืนนี้ แล้วกระโจนขึ้นมาเกือบถึงห้างที่ผมนั่งอยู่ การกระโจนแต่ละครั้งใกล้ห้างเข้ามาทุกที เหลือกระสุนอีก 2 นัด ผมตัดสินใจยิงกรอกปาก มันหล่อนตุ้บไปนั่งยอง ๆ แล้วคายกระสุนออกมา 2 นัดที่ผมยิงไป ผมหมดทางสู้เพราะกระสุนอาคมยังเอามันไม่อยู่ อย่างอื่นคงไม่ต้องพูดถึง เหลือเพียงมีดหมอที่สั้นเพียงคืบแล้วจะทำอะไรมันได้


    ขณะนั้นผมสังเกตุเห็นที่หางไอ้ลายมีเลือดออกซิบ ๆ คงเป็นนัดแรกที่ยิงแล้วมันไม่ทันตั้งตัวแต่หลบได้ เลยเฉียดแต่ปลายหางขาดไปเท่านั้นเอง ไอ้ลายคำรามเสียงก้องป่า มีดหมอในมือพร้อมลูกซองที่บรรจุกระสุนธรรมดาเตรียมพร้อม อีกทั้งปืนสั้นลูกโม่ อัดกระสุนเต็ม ขึ้นไก เตรียมลั่น เมื่อมันกระโจนมาเกาะที่ขอบห้างได้ แม้ผมจะยิงเป็นชุดจนนับไม่ถ้วน แต่ไม่ระคายผิวมันเลย มันกระโจนใส่ผมทันที ห้างที่ทำไม่แข็งแรงนัก หักและพังโครมลงมาเบื้องล่าง ความรู้สึกผมยังดีอยู่ แต่เจ็บแปล็บที่ขาขวา ผมพยายามลนลานหนีสุดชีวิต แต่ไอ้ลายไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้ทำอย่างที่คิด


    มันกระโดดตะปบผมอย่างแรง แล้วกระชากผมมาใกล้ ๆ มันคว้าผมได้ก็เริ่มหยอกล้อผมเหมือนแมวหยอกหนู ผมพยายามหนี แต่ขาข้างที่เจ็บไม่เป็นใจ ผมถูกมันเหวี่ยงขึ้นลง ไปมา จนผมหมดแรง เหลือเพียงลมหายใจแผ่ว ๆ ที่พอรู้ว่าผมยังไม่ตาย เมื่อมันหยอกจนพอใจ ทันใดนั้นไอ้ลายก็อ้าปากอันกว้างใหญ่ ผมมองเห็นฟันอันแหลมคมเรียงสลอนอยู่เต็มปาก ผมรีบหลับตาลง ผมไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป ผมเจ็บแปล็บที่ศรีษะ เพราะมันขบลงมาอย่างแรง อ๊าก..ก..ก


    ผมค่อย ๆ ลืมตามองไปรอบ ๆ ผมฝันไปหรือเปล่า ผมถามตัวเองว่าผมตายแล้วใช่ไหม แต่ตอบตัวเองไม่ได้ ผมเหลือบไปเห็นพระธุดงค์ รูปหนึ่งเดินตรงมาที่ผมนอนอยู่ “โยม…..ฟื้นแล้วรึ” ท่านนำน้ำมาให้ผมดื่ม และเล่าให้ฟังว่า ท่านมาจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำผาแดงทุกปีเพื่อโปรดสัตว์ที่นี่ ท่านรู้ว่าผมยังไม่หมดบุญจึงมาโปรด ส่วนเจ้าลายเป็นเสือ เคยไปกัดกินคนมามาก วิญญาณผีที่กัดกินไปเข้าสิงจึงกลายเป็นเสือสมิงไปในที่สุด ยิ่งฆ่าคนมากเท่าไหร่ จะยิ่งคงกระพันมากเท่านั้น แต่ท่านได้แผ่เมตตา แผ่บุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ดวงวิญญาณเหล่านั้น เมื่อวิญญาณเหล่านั้นได้รับส่วนบุญกุศล ต่างก็ไปผุดไปเกิดในภพใหม่แล้ว ส่วนเสือก็สำนึกในบาป มันจะถือศีลอุทิศกุศลให้เหล่าผู้คนที่ถูกมันฆ่ากินด้วย


    ผมเป็นชาวดอยไม่เคยรู้เรื่องบาป-บุญ-กุศล-ผลกรรม มาก่อน ผมตัดสินใจว่าหลังจากหายป่วยครั้งนี้ ผมจะกลับมาปรนนิบัติท่าน แต่ท่านบอกผมว่าจะออกพรรษาอีกในไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว ไม่ต้องมาปรนนิบัติท่านหรอก ขอให้ผมละเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้อื่น เพราะสัตว์เหล่านั้นย่อมรักชีวิตของมันเช่นกัน หากทำได้ก็เหมือนผมได้รักษาศีลและแทนคุณท่านแล้ว ทุกวันนี้ผมเลิกฆ่าสัตว์แล้วจริง ๆ ผมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณของเล่าเส่ง กับ ท่อเน้ง ไม่เคยขาด ผมเข็ดแล้วจริง ๆ .
     
  13. noppornl

    noppornl เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,607
    ค่าพลัง:
    +8,008
    ใช่ครับ เนื้อไม้ลงรัก แต่น่าจะประมาณ 4 นิ้วนะครับ
    ได้มาจากคุณป้าเพื่อนบ้าน ให้แม่ผมมาตอนย้ายมาอยู่แถวนี้เมื่อ 15ปีก่อน
    แกยังให้ลูกประคำมาด้วย แกบอกว่าเป็นของครูบาศรีวิชัย ครับ
    ซึ่งแม่ผมจำได้แค่นี้ละครับ ไม่แน่ใจเหมือนกัน แหะๆ
     
  14. ถิรวุษิ

    ถิรวุษิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,685
    ค่าพลัง:
    +7,520
    ใช่ครับ ทุกครั้งที่ผมไปกราบหลวงปู่ที่วัด จะมีความรู้สึกอยู่2อย่าง คือ 1.เหมือนท่านยังดำรงค์ขันธ์อยู่ ขับรถไม่รู้สึกว่าเหนื่อย อยากไปถึงวัดเร็วๆ
    2.อบอุ่นและเหมือนกลับไปที่คุ้นเคย จิตใจผมสงบและรู้สึกร่มเย็นอย่างบอกไม่ถูก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2010
  15. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ผู้ที่สนใจปฏิบัติ ภาวนา อยากให้ลองอ่านดูครับ
    เข้าใจง่าย ใช้คำธรรมดา ตรงประเด็นมากเลย
    เป็นเรื่ีองที่ทุกคนที่ฝึกปฏิบัติ ต้องพบเจอทั้งสิ้น
    ลองอ่านสักสองเที่ยว ใช้สติพิจารณา คิดตามไปด้วย
    จะเข้าใจได้อีกมากว่า เรายังห่างไกลปลายทางนัก
     
  16. อย่าลืมฉัน

    อย่าลืมฉัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +2,807
    อนุโมทนากับพี่หนุ่มครับ

    พระธรรมของพระพุทธเจ้า ดี เลิศ ประเสริฐศรี และเป็นของแท้จริงครับ

    สาธุ ๆ
     
  17. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Norragate [​IMG]
    ขอบคุณพี่หนุ่มสำหรับเรื่องราวการดูจิตของหลวงปู่ดูลย์ครับ...เพราะเป็นแนวทางที่กำลังปฏิบัติอยู่ครับ....(^_^)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผู้ที่สนใจปฏิบัติ ภาวนา อยากให้ลองอ่านดูครับ
    เข้าใจง่าย ใช้คำธรรมดา ตรงประเด็นมากเลย
    เป็นเรื่ีองที่ทุกคนที่ฝึกปฏิบัติ ต้องพบเจอทั้งสิ้น
    ลองอ่านสักสองเที่ยว ใช้สติพิจารณา คิดตามไปด้วย
    จะเข้าใจได้อีกมากว่า เรายังห่างไกลปลายทางนัก
    ..................................................................

    ขอบคุณครับพี่หนุ่ม..
    ครับ..เป็นเรื่องยากจริงๆหากเราไม่ลองปฏิบัติจะไม่รู้เลยว่าจิตกับกิเลส..สามารถแยกออกจากกันได้จริงๆ.. เพราะมันเป็นล่ะส่วนกัน..ดั่งที่หลวงปู่ดูลย์ตรัสไว้จริงๆครับ...<!-- google_ad_section_end -->
     
  18. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    คัดมาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา"
    .. เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย <hr> <center> <table border="0"> <tbody> <tr> <td align="middle"> นายพรานป่าที่น่าหวาดกลัวเข้ามาหา

    </td></tr></tbody></table></center>[​IMG] <menu><dd>เวลา<wbr>อัสดง<wbr>ของ<wbr>วัน<wbr>นั้น เรา<wbr>กำลัง<wbr>เดิน<wbr>จง<wbr>กรม อยู่<wbr>ด้วย<wbr>ความ<wbr>สงบ เดิน<wbr>ไป<wbr>เดิน<wbr>มา<wbr>อย่าง<wbr>ช้า ได้<wbr>ยิน<wbr>แต่<wbr>เสียง<wbr>วิหค นก<wbr>กา<wbr>มา<wbr>ส่ง<wbr>เสียง<wbr>เจื้อย<wbr>แจ้ว หา<wbr>ที่<wbr>นอน<wbr>ตาม<wbr>ธรรม<wbr>ชาติ<wbr>ของ<wbr>มัน ใน<wbr>ขณะ<wbr>นั้น<wbr>เอง เรา<wbr>เห็น<wbr>นาย<wbr>พราน<wbr>ป่า ที่<wbr>น่า<wbr>สะ<wbr>พรึง<wbr>กลัว เพราะ<wbr>บน<wbr>หัว แก<wbr>โพก<wbr>ผ้า<wbr>สี<wbr>แดง มือ<wbr>ทั้ง<wbr>สอง<wbr>ถือ<wbr>ปืน<wbr>ยาว แบก<wbr>ปืน<wbr>โบราณ ใช้<wbr>เหล็ก<wbr>นก<wbr>นับ<wbr>หิน คง<wbr>เป็น<wbr>ปืน<wbr>ที่<wbr>ใช้<wbr>ล่า<wbr>เนื้อ สะพาย<wbr>ย่าม<wbr>ใบ<wbr>ใหญ่ ด้าน<wbr>หลัง<wbr>มี<wbr>มีด<wbr>เล่ม<wbr>ใหญ่ ใส่<wbr>ฝัก ออก<wbr>ปาก<wbr>ทัก<wbr>คำ<wbr>เดียว<wbr>ว่า พระ<wbr>คุณ<wbr>ท่าน แล้ว<wbr>แก<wbr>ก็<wbr>คุก<wbr>เข่า เอา<wbr>ปืน<wbr>วาง<wbr>ไว้<wbr>ข้างๆ ถอด<wbr>มีด<wbr>อี<wbr>โต้ ออก<wbr>มา<wbr>จาก<wbr>เอว<wbr>ข้าง<wbr>หลัง แล้ว<wbr>ยก<wbr>มือ<wbr>ไหว้<wbr>แบบ<wbr>โบราณ คือ ยก<wbr>มือ<wbr>ขึ้น<wbr>ใส่<wbr>เกล้า<wbr>บน<wbr>หัว แล้ว<wbr>กราบ<wbr>ลง<wbr>สาม<wbr>ครั้ง แล้ว<wbr>ออก<wbr>ปาก<wbr>ว่า</dd><dd>
    </dd><dd>พระ<wbr>คุณ<wbr>ท่าน ผม<wbr>ชื่อ<wbr> หิรัญ<wbr>พนา<wbr>สูร ผม<wbr>มา<wbr>ตาม<wbr>คำ<wbr>สั่ง ของ<wbr>เจ้า<wbr>เหนือ<wbr>หัว ผู้<wbr>ยิ่ง<wbr>ใหญ่ ให้<wbr>มา<wbr>เป็น<wbr>อารักขา พา<wbr>เป็น<wbr>มัคคุเทศก์ ช่วย<wbr>ป้อง<wbr>กัน<wbr>เหตุ<wbr>ร้าย ที่<wbr>จะ<wbr>มาก<wbr>ล้ำ<wbr>กลาย ทำ<wbr>ร้าย<wbr>ท่าน ใน<wbr>ขณะ<wbr>ที่<wbr>ท่าน จะ<wbr>เดิน<wbr>ทาง<wbr>สู่<wbr>แดน<wbr>อันตราย และ<wbr>เรียบ<wbr>ผ่าน<wbr>ป่า<wbr>เขา<wbr>ลำเนา<wbr>ไพร ไป<wbr>ทาง<wbr>ทิศ<wbr>ตะวัน<wbr>ตก แล้ว<wbr>วก<wbr>ขึ้น<wbr>ไป<wbr>ทาง<wbr>เหนือ ที่<wbr>ท่าน จะ<wbr>ต้อง<wbr>ลัด<wbr>เลาะ เข้า<wbr>ไป<wbr>ใน<wbr>เขต<wbr>ทุรกันดาร ผ่าน<wbr>มนุษย์<wbr>หลาย<wbr>เผ่า หลาย<wbr>ชาติ หลาย<wbr>ศาสนา แม้<wbr>แต่<wbr>พวก<wbr>คน<wbr>เงาะ คน<wbr>ป่า<wbr>ก็<wbr>มี<wbr>ไม่<wbr>น้อย เจ้า<wbr>เหนือ<wbr>หัว<wbr>ให้<wbr>ข้า<wbr>ไป<wbr>ด้วย ดู<wbr>แล<wbr>เพื่อ<wbr>จะ<wbr>ได้<wbr>ช่วย<wbr>แก้<wbr>ไข ภาวะ<wbr>วิกฤต<wbr>ที่<wbr>พี่<wbr>น้อง<wbr>ของ<wbr>พระ<wbr>องค์<wbr>ท่าน ยัง<wbr>ตก<wbr>ติด<wbr>ค้าง<wbr>อยู่<wbr>ต่าง<wbr>แดน เป็น<wbr>เชลย<wbr>ยัง<wbr>ติด<wbr>อยู่ ท่าน<wbr>จะ<wbr>ต้อง<wbr>ใช้<wbr>เวลา<wbr>เดิน<wbr>ทาง อย่าง<wbr>น้อย 1 เดือน ผม<wbr>จะ<wbr>ไป<wbr>ด้วย เพื่อ<wbr>ช่วย<wbr>นำ<wbr>บอก<wbr>ทาง และ<wbr>ป้อง<wbr>กัน<wbr>อันตราย ไม่<wbr>ไป<wbr>ไม่<wbr>ได้ คอ<wbr>ขาด<wbr>แน่ เจ้า<wbr>เหนือ<wbr>หัว<wbr>สั่ง<wbr>มา ผม<wbr>จะ<wbr>รับ<wbr>อาสา ไป<wbr>ส่ง<wbr>และ<wbr>กลับ<wbr>พร้อม<wbr>ท่าน ข้าพเจ้า<wbr>จึง<wbr>ถาม<wbr>แก<wbr>ว่า โยม<wbr>จะ<wbr>พา<wbr>ฉัน<wbr>ไป<wbr>ไหน<wbr>หละ ก็<wbr>ไป<wbr>ตาม<wbr>ทาง ที่<wbr>เจ้า<wbr>เหนือ<wbr>หัว<wbr>สั่ง<wbr>นั่น<wbr>แหละ ผม<wbr>จะ<wbr>นำ<wbr>พา<wbr>ท่าน<wbr>ไป<wbr>เอง
    </dd><dt>
    </dt><dd>เรา<wbr>ก็<wbr>ตอบ<wbr>เขา<wbr>ว่า มัน<wbr>จะ<wbr>เหมาะ<wbr>หรือ คุณ<wbr>โยม ฉัน<wbr>เป็น<wbr>นัก<wbr>บวช เป็น<wbr>พระ<wbr>ภิกษุ<wbr>สงฆ์ จะ<wbr>ไป<wbr>ด้วย<wbr>กัน<wbr>กับ<wbr>ท่าน ที่<wbr>เป็น<wbr>นาย<wbr>พราน<wbr>ป่า ผู้<wbr>มี<wbr>อาวุธ<wbr>อยู่<wbr>ใน<wbr>มือ ใน<wbr>พระ<wbr>วินัย<wbr>สงฆ์ ก็<wbr>ห้าม<wbr>พูด<wbr>คุย<wbr>กับ<wbr>บุคคล ผู้<wbr>มีศัส<wbr>ตราวุธ<wbr>ใน<wbr>มือ<wbr>นะ<wbr>โยม ถ้า<wbr>ฝ่า<wbr>ฝืน อาตมา<wbr>ก็<wbr>เป็น<wbr>อาบัติ และ<wbr>ฉัน<wbr>เอง<wbr>บวช<wbr>เข้า<wbr>มา ก็<wbr>มิ<wbr>ใช่<wbr>เป็น<wbr>พระ<wbr>นัก<wbr>รบ<wbr>อย่าง<wbr>คน<wbr>อื่นๆ เขา พอ<wbr>แก<wbr>ได้<wbr>ฟัง<wbr>แล้ว ก็<wbr>ท่า<wbr>งงๆ แล้ว<wbr>ออก<wbr>ปาก<wbr>ถาม<wbr>ว่า พระ<wbr>นัก<wbr>รบ เป็น<wbr>อย่าง<wbr>ไร พระ<wbr>คุณ<wbr>ท่าน เออ<wbr>คุณ<wbr>โยม พระ<wbr>นัก<wbr>รบ<wbr>ก็<wbr>คือ พวก<wbr>รบ<wbr>กวน<wbr>ชาว<wbr>บ้าน<wbr>นะ<wbr>ซิ<wbr>โยม ได้<wbr>แก่ นัก<wbr>บวช<wbr>ที่<wbr>ชอบ<wbr>ขอ ที่<wbr>ชอบ<wbr>เรี่ย<wbr>ไร<wbr>ไม่<wbr>รู้<wbr>จัก<wbr>พอ ขอ<wbr>ตะบัน<wbr>ยันเต คือ<wbr>เมื่อ<wbr>หลาย<wbr>วัน<wbr>มา<wbr>แล้ว ฉัน<wbr>เดิน<wbr>ธุดงค์ มา<wbr>หยุด<wbr>พัก<wbr>ตาม<wbr>ห้าง<wbr>ไร่<wbr>ห้าง<wbr>นา ได้<wbr>อาศัย<wbr>เอา<wbr>เป็น<wbr>ที่<wbr>บรรเทา<wbr>ความ<wbr>ร้อน ได้<wbr>ถาม<wbr>ชาว<wbr>บ้าน<wbr>เขา<wbr>ว่า เป็น<wbr>อย่าง<wbr>ไร<wbr>บ้าง<wbr>โยม ข้าว<wbr>นา<wbr>ข้าว<wbr>ไร่ มี<wbr>พอ<wbr>ใช้<wbr>พอ<wbr>กิน<wbr>ตลอด<wbr>ปี<wbr>หรือ<wbr>เปล่า เขา<wbr>ตอบ<wbr>ว่า เออ<wbr>ถ้า<wbr>ปี<wbr>ไหน หนู<wbr>ไม่<wbr>กัด วัด<wbr>ไม่<wbr>ขูด ก็<wbr>พอ<wbr>กิน<wbr>เจ้า<wbr>ข้า พอ<wbr>อาตมา<wbr>ได้<wbr>ฟัง<wbr>เขา<wbr>ตอบ<wbr>อย่าง<wbr>นั้น แล้ว<wbr>ก็<wbr>รู้<wbr>สึก อาย<wbr>ตัว<wbr>เอง และ<wbr>อาย<wbr>แทน<wbr>พระ<wbr>นัก<wbr>รบ คือ<wbr>รบ<wbr>กวน<wbr>ชาว<wbr>บ้าน<wbr>ด้วย ดัง<wbr>นั้น จึง<wbr>ไม่<wbr>อยาก<wbr>จะ<wbr>รบ<wbr>กวน<wbr>ใคร คราว<wbr>นี้<wbr>ถ้า<wbr>คุณ<wbr>โยม<wbr>ไป<wbr>กับ<wbr>ฉัน ครอบ<wbr>ครัว<wbr>โยม<wbr>จะ<wbr>ลำบาก<wbr>อีก อาตมา<wbr>กับ<wbr>โยม<wbr>ไป<wbr>ด้วย<wbr>กัน<wbr>ได้ แต่<wbr>จะ<wbr>พูด<wbr>ด้วย<wbr>กัน<wbr>ไม่<wbr>ได้ ถ้า<wbr>หา<wbr>ไม่ อาตมา<wbr>ก็<wbr>เป็น<wbr>อาบัติ อาตมา<wbr>ขอ<wbr>ที<wbr>เถอะ คุณ<wbr>โยม<wbr>อย่า<wbr>ไป<wbr>เลย ถึง<wbr>เจ้า<wbr>เหนือ<wbr>หัว ท่าน<wbr>ตรัส<wbr>ถาม หรือ ทำ<wbr>โทษ<wbr>โยม ก็<wbr>ต้อง<wbr>กราบ<wbr>เรียน<wbr>ท่าน อย่าง<wbr>ที่<wbr>อาตมา<wbr>กล่าว<wbr>มา<wbr>นี้ ขอบใจ<wbr>นะ<wbr>คุณ<wbr>โยม
    </dd><dt>
    </dt><dd>เรา<wbr>คุย<wbr>สนทนา<wbr>กัน จน<wbr>ตะวัน<wbr>ลับ<wbr>ขอบ<wbr>ฟ้า แล้ว<wbr>แก<wbr>ก็<wbr>อำ<wbr>ลา<wbr>ไป ก่อน<wbr>ไป<wbr>นาย<wbr>พราน ยก<wbr>สอง<wbr>มือ<wbr>ขึ้น แบบ<wbr>ประนม<wbr>มือ<wbr>ขึ้น<wbr>เหนือศีรษะ กราบ 3 ครั้ง แล้ว<wbr>บอก<wbr>ว่า ผม<wbr>ขอ<wbr>ถวาย<wbr>หัว<wbr>กับ<wbr>พระ<wbr>คุณ<wbr>เจ้า เอา<wbr>มือ<wbr>ทั้ง<wbr>สอง<wbr>ถอด<wbr>ผ้า<wbr>แดง ที่<wbr>พัน<wbr>หัว<wbr>แก<wbr>อยู่<wbr>ถวาย<wbr>ให้ แล้ว<wbr>บอก<wbr>ว่า<wbr>เอา<wbr>ไว้<wbr>ป้อง<wbr>กัน<wbr>ตัว เมื่อ<wbr>นาย<wbr>พราน<wbr>จาก<wbr>ไป<wbr>แล้ว เรา<wbr>เอา<wbr>ผ้า<wbr>นั้น<wbr>มา<wbr>คลี่<wbr>ดู เห็น<wbr>เป็น<wbr>ผ้า<wbr>ยันต์ เขียน<wbr>ด้วย<wbr>อักษร<wbr>ไทย<wbr>เหนือ ใน<wbr>คำ<wbr>นำ<wbr>บอก<wbr>ว่า เป็น<wbr>พระ<wbr>คาถา ที่<wbr>พระ<wbr>พนรัตน์ วัด<wbr>ป่า<wbr>แก้ว ได้<wbr>ประสิทธิ์<wbr>ประสาท<wbr>ให้ พระ<wbr>นเรศวร กับ<wbr>พระ<wbr>เอ<wbr>กา<wbr>ทศ<wbr>รถ พร้อม<wbr>ด้วย<wbr>ทหาร<wbr>หาญ ใน<wbr>การ<wbr>กู้<wbr>บ้าน<wbr>กู้<wbr>เมือง เป็น<wbr>คาถา<wbr>ที่<wbr>ศักดิ์<wbr>สิทธิ์<wbr>มาก ภาวนา<wbr>บ่อยๆ เนือง<wbr>นิจ<wbr>จะ<wbr>พิชิต<wbr>หมู่<wbr>ไพรี ไล่<wbr>ความ<wbr>อัปรีย์ จัญไร<wbr>ได้<wbr>หมด ข้าพเจ้า<wbr>อ่าน<wbr>แล้ว ก็<wbr>พับ<wbr>เอา<wbr>ไว้<wbr>อย่าง<wbr>เดิม เพราะ<wbr>คาถา<wbr>นี้ ข้าพเจ้า<wbr>เอง<wbr>สวด<wbr>ทุก<wbr>เช้า<wbr>เย็น และ<wbr>ตอน<wbr>กลาง<wbr>คืน คือ วัน<wbr>ศุกร์<wbr>ที่ 30 เมษายน<wbr>นั่น<wbr>เอง นาย<wbr>พราน<wbr>คน<wbr>นั้น ก็<wbr>กลับ<wbr>มา<wbr>อีก</dd><dt>
    </dt><dd> มา<wbr>คราว<wbr>นี้<wbr>แก<wbr>นำ<wbr>เอา<wbr>แท่ง<wbr>เงิน แท่ง<wbr>ทอง<wbr>คำ มา<wbr>ให้<wbr>จำนวน<wbr>มาก บอก<wbr>ว่า กลัว<wbr>ท่าน<wbr>จะ<wbr>ลำบาก ใน<wbr>การ<wbr>เดิน<wbr>ทาง เมื่อ<wbr>ท่าน<wbr>อด<wbr>อยาก ก็<wbr>ขาย<wbr>เงิน<wbr>แท้ๆ ทอง<wbr>คำ<wbr>แท้ๆ เพื่อ<wbr>ประทัง<wbr>ชีพ<wbr>ใน<wbr>การ<wbr>เดิน<wbr>ทาง เพราะ<wbr>ทาง<wbr>เปลี่ยว ต้อง<wbr>ข้าม<wbr>เขา ลง<wbr>ห้วย ลำบาก ก็<wbr>ปฏิเสธ<wbr>แก<wbr>ไป<wbr>ว่า ไม่<wbr>หรอก<wbr>โยม ขอบใจ<wbr>มาก<wbr>ที่<wbr>เป็น<wbr>ห่วง ขอ<wbr>ให้<wbr>คุณ<wbr>โยม<wbr>เอา<wbr>กลับ<wbr>ไป<wbr>เถิด อาตมา<wbr>ไม่<wbr>เอา<wbr>ติด<wbr>ตัว<wbr>ไป ไม่<wbr>ว่า<wbr>ทรัพย์<wbr>สมบัติ<wbr>ชนิด<wbr>ใด ที่<wbr>เขา สมมุติ<wbr>ว่า<wbr>มี<wbr>ค่า สิ่ง<wbr>นั้น<wbr>จะ<wbr>นำ<wbr>ทุกข์<wbr>มา<wbr>ให้<wbr>ทุก<wbr>อย่าง อาตมา<wbr>เอง มา<wbr>แสวง<wbr>หา<wbr>ทรัพย์<wbr>ภาย<wbr>ใน คือ อริย<wbr>ทรัพย์ ส่วน<wbr>ทรัพย์<wbr>ภาย<wbr>นอก<wbr>คือ ข้าว<wbr>ของ<wbr>เงิน<wbr>ทอง ที่<wbr>จะ<wbr>ต้อง ใช้<wbr>จ่าย เพื่อ<wbr>ความ<wbr>สุข<wbr>ของ<wbr>ชีวิต<wbr>ทาง<wbr>โลก<wbr>นั้น อาตมา<wbr>ไม่<wbr>ถือ<wbr>เงิน<wbr>ทอง<wbr>ไป<wbr>ด้วย<wbr>เลย มี<wbr>ก็<wbr>แต่<wbr>เสื้อ<wbr>ผ้า ที่<wbr>จะ<wbr>นำ<wbr>ไป<wbr>ให้<wbr>คน<wbr>จน อาตมา<wbr>จึง<wbr>ขอ<wbr>ขอบใจ เจตนา<wbr>ดี<wbr>ของ<wbr>คุณ<wbr>โยม อย่าง<wbr>มาก เมื่อ<wbr>เรา<wbr>ไม่<wbr>ยอม<wbr>รับ แก<wbr>ก็<wbr>กลับ<wbr>ไป</dd><dd>
    </dd><dd>และ<wbr>ก่อน<wbr>ไป<wbr>แก<wbr>ถวาย<wbr>ไม้<wbr>เท้า<wbr>ไว้<wbr>หนึ่ง<wbr>ท่อน แก<wbr>บอก<wbr>ว่า<wbr>ป้อง<wbr>กัน<wbr>ได้<wbr>สารพัด อัน<wbr>ตัว<wbr>หนอน ตัว<wbr>ทาก มัน<wbr>ชุก<wbr>ชุม มัน<wbr>รุม<wbr>กัน ไต่<wbr>ขึ้น<wbr>ขา มา<wbr>ดูด<wbr>กิน<wbr>เลือด ตัว<wbr>มัน<wbr>คล้าย<wbr>ตัว<wbr>ปลิง ปลิง<wbr>บก<wbr>เรา<wbr>เรียก<wbr>ทาก หาก<wbr>มัน<wbr>เกาะ เอา<wbr>ไม้<wbr>นี้<wbr>แตะ<wbr>เข้า มัน<wbr>จะ<wbr>หลุด<wbr>ไป และ<wbr>กัน<wbr>ภัย<wbr>ได้<wbr>ทุก<wbr>อย่าง<wbr>เลย อัน<wbr>ไม้<wbr>เท้า<wbr>ที่<wbr>แก<wbr>ให้<wbr>นั้น บัด<wbr>นี้<wbr>เรา<wbr>ยัง<wbr>รักษา และ<wbr>ถือ<wbr>ประจำ<wbr>อยู่ จึง<wbr>นึก<wbr>ใน<wbr>ใจ<wbr>ว่า ผู้<wbr>ชาย<wbr>นาย<wbr>พราน<wbr>คน<wbr>นี้ เป็น<wbr>ใคร<wbr>กัน<wbr>แน่ แต่<wbr>ที่<wbr>แก<wbr>บอก<wbr>ว่า ชื่อ<wbr>หิรัญ<wbr>พนา<wbr>สูร<wbr>นั้น คือ<wbr>ใคร<wbr>กัน<wbr>แน่ และ<wbr>แก<wbr>อยู่<wbr>ที่<wbr>ไหน เรา<wbr>ก็<wbr>ลืม<wbr>ถาม<wbr>แก<wbr>ด้วย เมื่อ<wbr>พิเคราะห์<wbr>ดู ก็<wbr>คง<wbr>จะ<wbr>เป็น<wbr>เจ้า<wbr>ป่า คือ<wbr>ท้าว<wbr>หิรัญ ซึ่ง<wbr>มี<wbr>รูป<wbr>ปั้น<wbr>หล่อ อยู่<wbr>ที่<wbr>โรง<wbr>พยาบาล<wbr>พร<wbr>ะมง<wbr>กุฎ<wbr>นั้น<wbr>เอง จึง<wbr>มา<wbr>เชื่อ<wbr>มั่น<wbr>ว่า คิด<wbr>ดี พูด<wbr>ดี ทำ<wbr>ดี ผี<wbr>ช่วย เรา<wbr>จึง<wbr>มี<wbr>รูป<wbr>ท้าว<wbr>หิรัญ ไว้<wbr>ดู<wbr>เป็น<wbr>ขวัญ<wbr>ตา<wbr>มา<wbr>ทุก<wbr>วัน<wbr>นี้ </dd></menu><menu>

    </menu>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2010
  19. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624

    ที่มา : เป็นกระทู้ใน ประสบการณ์เรื่องเล่า ชื่ิอกระทู้ ใครบูชาพระเครื่องวัดบวร ขึ้นคอบ้างไหมครับ มาแบ่งประสบการณ์กัน
    เจ้าของกระทู้ คือ คุณnontaburi ครับ

    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ frankenstine "แม่ผมๆ แขวนสมเด็จสะท้านเพชรที่แจกเมื่อต้นปี53 (รูปดิสเพลย์ของผมเลย แต่เป็นพิมพ์เล็ก)
    แม่บอกว่าขายของที่ตลาด แม่ไม่ค่อยยุ่งกับใคร
    เวลามีใครที่คิดร้ายกับแม่ก็เห็นมันแพ้ภัยตนเองไปทุกราย "
     
  20. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    วันนี้ได้นำพระไปให้พระอาจารย์สำราญ เษกเดี่ยว ในโบสถ์ ที่วัดท่านแล้วครับ

    ตอนนำพระไปไว้ในโบสถ์ ผมก็ได้พูดเล่นๆกับท่าน (ท่านเป็นพระที่คุยสนุกมากและสอดแทรกสาระให้กับคนที่ไปคุยกับท่านเสมอ คุยแล้วไม่รู้สึกเบื่อเลย) ว่า หลวงพี่ครับ เษกให้เหรียญบินเลยนะครับ ท่านก็พูดว่า จะให้บินยังงัย พระอยู่ในกล่อง แล้วก็หัวเราะกัน ผมก็บอกว่า ดีซิครับ พระอยู่ในกล่อง แต่หลวงพี่ เษกจนเหรียญบินออกมาได้ เท่านั้นแหล่ะ หลวงพี่ - ผม และ พี่ศิษย์วัด หัวเราะกันใหญ่ แล้วท่านก็พูดว่าเอาอย่างนั้นเลยเหรอ ผมก็บอกว่าครับ ท่านก็บอกว่าเอาก็เอาเษกให้เหรียญบิน แล้วท่านก็หัวเราะ ท่านเป็นพระที่ใจดีมากๆและไม่เลือกที่จะรับลูกศิษย์ ยากดี มีจน ท่านคุยเหมือนกันหมด

    และต้องขอบคุณพี่ศิษย์วัด ที่ช่วยประสานงานกับท่านพระอาจารย์สำราญเรื่องเษกพระครั้งนี้ ให้ แล้วยังไปช่วยขนอีก ขอบคุณมากนะพี่

    ท่านจะเษกเดี่ยว ในโบสถ์ ตอน ทำวัตรเย็น พร้อมทั้งมีพระสวด 1 รอบ

    และจะเษกเดี่ยวอีก 1 รอบ ในวันพรุ่งนี้ ผมจะไปถ่ายรูป มาให้ชมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...