แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]พอพระเริ่มออกสู่ตลาด ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้พระชุดนี้เกิดการยอมรับกับวงการในวงกว้างให้มากขึ้น จึงพากันยกเมฆว่าเป็นบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกน ซึ่งการนำออกสู่ตลาดก็มีที่มาที่ไปที่ออกแนวปั้นแต่ง ใส่สีตีข่าวให้ดูสมเหตุสมผล เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที แต่พิมพ์นี้ก็ออกมาทีหลังพระบล๊อคแรก (นิยม) ดังที่ทราบกันอยู่ทั้งวงการ ซึ่งออกมาหลังปี [/FONT][FONT=&quot]2530 พระบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกนนี้ ใช้แม่พิมพ์ที่เป็นแบบแม่พิมพ์สมัยใหม่ แบบที่สามารถยกไปไหนมาไหนได้ และทำการกดกันที่บ้านหลังหนึ่ง อยู่ใกล้กับวัดละหารไร่[/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]หากพิจารณาพระชุดนี้ ที่ทุกคนบอกว่าเป็นพระบล๊อคลองพิมพ์ที่ทำมาจากหินมีดโกน จากการที่ทั้งได้อ่านหนังสือ และดูข้อมูลตามหน้าสื่อ [/FONT][FONT=&quot]Internet ทั้งหลายว่า เมื่อประมาณปี 2514 - 2516 ทางวัดละหารไร่ มีการสร้างพระพิมพ์ต่าง ๆ การทำแม่พิมพ์เป็นการแกะพิมพ์ที่ทำกันเอง โดยพิมพ์ที่ทำก็มาจากหินมีดโกนเป็นหลัก เพราะคงไม่มีอะไรดีและเหมาะสมไปกว่านี้ จึงได้แกะเป็นแม่พิมพ์เอาไว้สำหรับสร้างพระเพื่อแจกแก่ญาติโยมผู้ที่มาร่วมบริจาคทรัพย์เพื่อสร้างถาวรวัตถุให้กับวัด หรือสืบทอดพระพุทธศาสนาเป็นต้น แม่พิมพ์ทั้งหมดถูกแกะ จากหินมีดโกน และถูกแกะโดยนายสาย แก้วสว่าง ผู้ซึ่งเป็นไวยาวัจกรของวัดละหารไร่ในช่วงเวลานั้น [/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]การทำความเข้าใจว่าพระที่แกะจากหินมีดโกนเป็นอย่างไร และควรจะมีความแตกต่างจากแม่พิมพ์ที่ใช้กันในปัจจุบันอย่างไร และอะไรบ้างที่พอจะทำให้เราเห็นความแตกต่างของแม่พิมพ์ทั้งสองประเภท ระหว่างแม่พิมพ์หินมีดโกน และแม่พิมพ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และหน้าตาของแม่พิมพ์ควรเป็นแบบไหน โครงสร้างหลักของแม่พิมพ์หินมีดโกน และโครงสร้างหลักของแม่พิมพ์แบบปัจุบันมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ผู้เขียนจึงได้นำภาพแม่พิมพ์พระขุนแผนผ้าป่าของหลวงพ่อสาครมาเป็นตัวอย่าง เพื่อชี้ให้เห็นถึงแม่พิมพ์ปัจจุบันที่นิยมสร้างกันแบบนี้ ซึ่งการสร้างแม่พิมพ์แบบนี้ก็ทำกันมาหลายปีมากแล้วเช่นกัน แต่ที่นำมานั้นวัตถุประสงค์ก็เพื่อให้คิดเปรียบเทียบ ถึงหลักความเป็นจริง และวิเคราะห์ไปถึงแม่พิมพ์ที่เป็นหินมีดโกน และดูถึงความยากง่ายว่าการสร้างแม่พิมพ์นั้น ยากง่ายมากน้อยแค่ไหน[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]และอีกประการหนึ่งคือ ให้เกิดการเปรียบเทียบและเพื่อให้เกิดการคิดวิเคราะห์ และพิจารณาว่าหลักการในการสร้างแม่พิมพ์ของหลวงพ่อสาครที่เป็นแม่พิมพ์สมัยใหม่ว่าเป็นอย่างไร เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับพระขุนแผนบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกน ที่เล่นหากันอยู่ทุกวันนี้ ว่ามีความเหมือนหรือความต่างกันมากน้อยแค่ไหนและอย่างไรบ้าง ข้อเขียนทั้งหมดเกิดจากการสอบถาม คิดวิเคราะห์ และประสบการณ์จากการทำงานด้านธุรกิจแม่พิมพ์มานานหลายปี และไม่ได้ลอกข้อเขียนของใครมาเขียน ดังนั้นขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาอย่างเป็นกลาง และขอให้พิจารณาเหตุผลที่ผู้เขียนได้เขียนประกอบว่าเป็นดังเช่นที่ผู้เขียนได้เขียนไว้หรือไม่ [/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]เมื่อลองพิจารณาดูแม่พิมพ์พระของหลวงพ่อสาคร พิมพ์ขุนแผนผ้าป่า ที่หลวงพ่อสาครท่านได้ลงมือทำลายบล๊อคเองนั้น พระบล๊อคนี้แม่พิมพ์ทำมาจากโลหะ(เหล็ก) ที่สามารถสั่งทำได้ จะเอารายละเอียดแค่ไหนก็ทำได้ ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เข้าไปติดต่อกับบริษัทผู้ผลิตแม่พิมพ์ และคุยรายละเอียดต่าง ๆ รับรองว่าออกมาได้ตามต้องการแน่นอน ท่านผู้อ่านลองสังเกตุแม่พิมพ์ด้านหลังดังตัวอย่างที่ผู้เขียนเอามาให้ดู จะพบว่าทั้งตัวหนังสือภาษาไทย และตัวยันต์ต่าง ๆ จะต้องเขียนกลับด้านทั้งหมด เวลาที่ปั๊มหรือกดพระออกมาจึงจะได้ตัวหนังสือเหมือนที่เราอ่านออก ลองนึกดูว่า หากบอกว่านายสาย แก้วสว่าง เป็นผู้แกะพิมพ์ในสมัยนั้น นายสายคงต้องตากลับแน่ เพราะทั้งแกะแม่พิมพ์ด้านหน้า และยังต้องมาไล่เรียงการแกะแม่พิมพ์ด้านหลัง แถมยังต้องแกะยันต์และตัวหนังสือให้กลับด้านกันอีกด้วย นายสายเป็นบุคคลที่มีความสามารถในทางช่างก็จริง แต่การทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสักนิดเดียว หากท่านใดที่มีความรู้ในเรื่องการสร้างแม่พิมพ์อยู่บ้าง ก็คงพอเข้าใจที่ผู้เขียนได้อธิบายอยู่พอสมควร[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]หากเป็นดังคำกล่าวอ้างที่รู้กันตามหน้าสื่อโดยทั่วไปว่า เป็นพระบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกน เพราะการที่จะนำพิมพ์ทั้งสอง (พิมพ์ด้านหน้า และพิมพ์ด้านหลัง) มาประกอบให้เข้ากันได้แบบแม่พิมพ์สมัยใหม่คงเป็นเรื่องที่ลำบากมาก เพราะคงต้องตัดหินมีดโกนให้ได้ตามรูปแบบแม่พิมพ์ตามตัวอย่างที่ผู้เขียนนำมาให้ดูแล้วยังต้องหาตัวเสื้อของแม่พิมพ์ ทั้งตัวบนและตัวล่าง [/FONT][FONT=&quot](Moving and stationary Holding Box) แปลง่าย ๆ ก็คือเสื้อของตัวที่เคลื่อนที่ได้ และตัวที่เคลื่อนที่ไม่ได้ และตัวแม่พิมพ์เองจะเรียกว่า (Moving and stationary Core)

แม่พิมพ์ทั้งสองตัวเวลากดต้องอยู่ในตำแหน่งเดียวกันทั้งหมด พระที่ออกมาจึงจะเหมือนกันทั้งหมดทั้งรอยตัด และรูปพรรณสัณฐานอื่น ๆ ซึ่งวิธีการแบบนี้ต้องนำเอาแม่พิมพ์ที่ประกอบกับตัวเสื้อแล้ว ไปติดตั้งไว้ที่เครื่องกดแบบคันโยก หรืออาจเป็นเครื่องปั๊มแบบสมัยใหม่ก็ได้ และตำแหน่งที่ติดตั้งนั้นต้องพอดี หรืออาจมีเบ้าสวมเพื่อให้แม่พิมพ์ทั้งตัวบนหรือตัวล่างประกบกันได้ถูกต้องตรงกันพอดี เมื่อเอามวลสาร (วัตถุดิบ) ใส่เข้าไปแล้วกดคันโยกลงให้สุด เมื่อเปิดคันโยกออกก็จะได้พระตามแบบที่เราต้องการ เหมือนกับแม่พิมพ์ที่ทำไว้ หากเป็นเครื่องสมัยใหม่ แบบเครื่องปั๊ม (Press) ก็ทำได้เร็วกว่าเครื่องแบบใช้มือกดแบบคันโยกมากหลายเท่า [/FONT]

[FONT=&quot]หรืออีกแบบหนึ่งแต่เป็นอย่างง่าย ๆ ก็คือทำแม่พิมพ์ออกมาทั้งตัวหน้าและหลัง รวมทั้งตัวเสื้อประกอบกันเรียบร้อยซึ่งมีขนาดเล็ก สามารถยกไปไหนมาไหนได้ ( เนื่องจากมีขนาดเล็ก) แม่พิมพ์แบบที่ว่านี้ไม่ต้องใช้เครื่องแบบคันโยก หรือเครื่องปั๊มแบบสมัยใหม่ เป็นลักษณะแม่พิมพ์อย่างที่ใช้คนกดเองได้ มีตัวประกอบหน้าหลัง มีร่องหรือเสาบังคับให้ลงที่เดียวกันตลอด เมื่อใส่ผงเข้าไปแล้ว และกดแม่พิมพ์ตัวบนลง แล้วยกแม่พิมพ์ตัวบนขึ้นก็ได้พระตามแบบของแม่พิมพ์แล้ว [/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]หากเป็นเทคโนโลยีสมัยนี้ก็เป็นเรื่องง่าย แค่ว่าจ้างโรงงานทั้งขึ้นรูปทำเป็นแม่พิมพ์แล้วประกอบให้เสร็จ หรือรวมถึงการปั๊มออกมาให้เรียบร้อย ที่ผู้เขียนพิจารณาอย่างนี้ได้ เพราะผู้เขียนเคยได้ทำงานเกี่ยวกับธุรกิจการสร้างแม่พิมพ์ ทั้งแม่พิมพ์ปั๊ม แม่พิมพ์ฉีด แต่ไม่ใช่แม่พิมพ์ที่เอาไว้สำหรับทำพระนะครับ (เป็นแม่พิมพ์ปั๊มชิ้นส่วนโลหะ และฉีดชิ้นส่วนทั้งอลูมิเนียมและพลาสติก) จึงเข้าใจกรรมวิธีการสร้างแม่พิมพ์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตแม่พิมพ์ ทั้งก่อนหน้านี้และในสมัยนี้ได้ดีพอสมควร พระที่เล่นหาโดยลงเป็นเสียงเดียวกันว่า บล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกน

ท่านผู้อ่านก็ลองพิจารณาดูด้วยหลักเหตุผลว่าควรเป็นอย่างไร ลองดูภาพบล๊อคพระขุนแผนผ้าป่าทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก และแม่พิมพ์ที่ผู้เขียนนำมาเป็นตัวอย่าง ของหลวงพ่อสาครที่ท่านทำลายบล๊อคแล้วดูนะครับว่าเป็นอย่างไร ซึ่งพระบล๊อคนี้แม่พิมพ์ทำมาจากโลหะ (เหล็ก) และอยากให้ดูตรงบริเวณลูกศรสีแดงที่ผู้เขียนทำไว้ก็คงพอเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการอธิบายได้มากขึ้น ต้องขอขอบพระคุณเจ้าของภาพทั้งหมดด้วยนะครับ ขออนุญาตินำภาพพระ และแม่พิมพ์มาเพื่อการศึกษาและเปรียบเทียบให้แด่ผู้สนใจเกี่ยวกับแม่พิมพ์พระขุนแผนบล๊อคหินมีดโกนของหลวงปู่ทิม (ในช่วงถัดไป)[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]มาลองพิจารณาเปรียบเทียบพระของหลวงพ่อสาคร กับพระขุนแผนบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกนของหลวงปู่ทิมที่เล่นหากันองค์ละหลายหมื่นกันสักนิดนะครับ (หากท่านใดมีบล๊อคลองพิมพ์อยู่ก็ลองเอามาพิจารณาดู หากไม่มีลองไปหาดูภาพจากสื่อ [/FONT][FONT=&quot]Internet มาดูเปรียบเทียบก็ได้ครับ) สิ่งที่พึงสังเกตุว่าองค์พระนี้ถูกสร้างมาจากแม่พิมพ์ที่แกะขึ้นมาเองด้วยมือ หรือแม่พิมพ์ถูกสร้างขึ้นมาจากเครื่องจักร เรื่องนี้เป็นข้อคิดของผู้เขียนเอง ส่วนท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ เป็นดุลยพินิจของท่านผู้อ่านเองนะครับ ซึ่งสิ่งที่ผู้เขียนอยากให้ท่านผู้อ่านร่วมกันพิจารณามีด้วยกัน 3 เรื่องหลัก ๆ ที่สามารถพิจารณาได้โดยง่ายดังนี้[/FONT]

[FONT=&quot]1. [/FONT][FONT=&quot]พื้นผนังองค์พระ และตามซอกซุ้ม ในส่วนที่เรียบ ๆ[/FONT]
[FONT=&quot]2. [/FONT][FONT=&quot]ครีบตามแนวขอบองค์พระ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (ไม่ใช่ขอบตัด แต่เป็นขอบรอบองค์พระทั้งด้านหน้าและด้านหลัง) หรือภาษาทางช่างเขาเรียกว่าครีบ ([/FONT][FONT=&quot]Burr) ที่เกิดหลังจากการปั๊มหรือกด(Press) หรือฉีดด้วยเครื่อง ( Injection or Die-casting ) [/FONT]
[FONT=&quot]3. [/FONT][FONT=&quot]กรรมวิธีการสร้าง แม่พิมพ์ด้านหน้าและด้านหลัง[/FONT]

[FONT=&quot]มาลองพิจารณาเป็นข้อ ๆ ดังนี้ครับ [/FONT]

[FONT=&quot]พื้นผนังองค์พระ และตามซอกองค์พระ ของแม่พิมพ์[/FONT][FONT=&quot] เมื่อมองจะเห็นว่าส่วนที่เป็นแม่พิมพ์ โดยเฉพาะส่วนที่ไม่กัด กัด คือภาษาเรียกที่ใช้กันในวงการผลิตแม่พิมพ์ หมายถึงการใช้ดอกกัด [/FONT][FONT=&quot](Endmill) กัดเหล็กให้ได้รูปร่างตาม Program ที่เขียนไว้ด้วยเครื่อง CNC (computer numerical control) จะเห็นว่าตามพื้นผนัง ตามซอกเสา จะมีความสูงเสมอกัน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะกรรมวิธีการผลิตต้องผ่านการทำพื้นให้เรียบก่อน ด้วยการเจียรไน (Griding) จึงค่อยนำมากัดขึ้นรูปตามที่ต้องการ [/FONT]

[FONT=&quot]หากเป็นพระที่แกะจากหินมีดโกนจริง พื้นผนังทั่วไปด้านหน้าองค์พระไม่ควรเรียบเสมอกัน เพราะเป็นการแกะด้วยมือและใช้คนทำ ค่าความเที่ยงตรงแบบเปะ ๆ จึงไม่แน่นอนเหมือนกับเครื่องจักร แต่ถ้าหากว่าเป็นแม่พิมพ์ที่ถูกสร้างมาจากเครื่องจักร หรือที่เราเรียกกันว่าเครื่อง [/FONT][FONT=&quot]CNC พื้นผนังจะเรียบเสมอกัน เพราะผ่านการเจียรไนมาเรียบร้อยตั้งแต่ตอนก่อนกัดเป็นรูปองค์พระ[/FONT]

[FONT=&quot]ครีบตามแนวขอบองค์พระทั้งด้านหน้า และด้านหลัง[/FONT][FONT=&quot]
เมื่อดูตามแนวขอบองค์พระที่ทำออกมาแล้ว พระที่ถูกทำมาจากแม่พิมพ์ที่สร้างมาโดยเครื่องจักร เวลาปั๊มหรือกดพระออกมาแล้ว จะเห็นแนวสันนูนขององค์พระ ถามว่าการเกิดสันนูนเล็ก ๆ นี้มีขึ้นได้อย่างไร สาเหตุก็เนื่องจากว่า แม่พิมพ์ที่สร้างขึ้นดังรูป (ดูรูปประกอบ) แกะเป็นแบบเดียวกับองค์พระ แต่เป็นแบบ [/FONT][FONT=&quot]negative ดังนั้นเมื่อแกะเสร็จแล้วก็ต้องนำไปใส่ใน Holding Box แม่พิมพ์ตัวหน้าก็ใส่ Holding Box ตัวหนึ่ง แม่พิมพ์ด้านหลังก็ใส่ใน Holding Box อีกตัวหนึ่ง ตอนที่ใส่ก็เป็นส่วนสำคัญ เพราะหากตัว Holding Box กับตัวแม่พิมพ์ (Core) ทำมาแบบขนาดเท่ากัน จะใส่ไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องทำให้ตัวแม่พิมพ์ (Core) เล็กกว่าเล็กน้อย

เพื่อให้สามารถสวมได้ง่าย ๆ และบริเวณนี้เองที่มีส่วนทำให้ตามแนวขอบขององค์พระทั้งด้านหน้าและหลังจะมีขอบนูนขึ้นเกือบทั้งนั้น เพราะต้องทำให้ขนาดรอบตัวของตัว Core (ที่เป็นรูปองค์พระ) ให้มีขนาดเล็กกว่าตัว Holding Box เล็กน้อย เพื่อให้สามารถใส่ได้หากใส่ได้แบบแน่น ๆ ก็จะมีขอบน้อย หากหลวมก็จะมีขอบมาก (ขอบหนาขึ้น) แต่แม่พิมพ์หินมีดโกนนั้น การสร้างและแกะไม่ได้มีกรรมวิธีการสร้างแบบนี้แน่นอน ลักษณะคือแกะแม่พิมพ์ให้ลึกลงไปเป็นรูปองค์พระ โดยไม่ต้องทำตัว Holding Box คือแกะให้ลึกได้รูปแบบตามที่ต้องการและแกะด้านหน้าด้านเดียว แต่พระขุนแผนที่เรียกกันว่าบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกน ที่เล่นหากันอยู่ทุกวันนี้ ลักษณะของพระที่เห็นตามหน้าสื่อ internet และตามหนังสือพระเครื่องทั่วไป จะเห็นเป็นสันนูนทั้งด้านหน้าและด้านหลังเกือบทุกองค์ ลองพิจารณาและสังเกตูดูนะครับ[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]กรรมวิธีการสร้างแม่พิมพ์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง[/FONT][FONT=&quot]

พิจารณาตามกรรมวิธีการสร้าง โดยพิจารณาจากองค์พระที่เล่นหากันทุกวันนี้ (บล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกน) ทั้งที่กล่าวว่า นายแมงเป็นคนกดบ้าง ทำกันเองที่วัดบ้าง มาลองพิจารณาองค์พระกันดูครับว่า พระบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกนนี้ลักษณะองค์พระเป็นอย่างไร ดูองค์พระแล้วก็พอสันนิษฐานได้ว่า เป็นพระที่สร้างมากจากบล๊อคหินมีดโกนจริง หรือสร้างมาจากแม่พิมพ์ที่ทำมาจากวัสดุอื่น ท่านผู้อ่านลองคิดกันดูนะครับ [/FONT]

[FONT=&quot]การเปรียบเทียบนี้ เป็นการยกตัวอย่างการผลิตแม่พิมพ์ในสมัยปัจจุบัน แบบแม่พิมพ์พระขุนแผนผ้าป่าหลวงพ่อสาคร แต่ต้องการให้ผู้อ่านเอาไปเปรียบเทียบกับพระบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกนดู[/FONT]

[FONT=&quot]1. ชิ้นส่วนหลักของแม่พิมพ์ (แบบที่เป็นแบบสมัยใหม่) ที่ต้องทำแม่พิมพ์ที่มี ทั้งหมด 4 ชิ้น คือ [/FONT]
· [FONT=&quot]แม่พิมพ์ด้านหน้า [/FONT][FONT=&quot](Core) ที่เป็นรูปองค์พระ[/FONT]
· [FONT=&quot]แม่พิมพ์ด้านหลัง [/FONT][FONT=&quot](Core) ที่เป็นยันต์[/FONT]
· [FONT=&quot]ตัวเสื้อ [/FONT][FONT=&quot](Holding Box) ด้านหน้า เพื่อใส่ตัวแม่พิมพ์ ที่เป็นรูปองค์พระ[/FONT]
· [FONT=&quot]ตัวเสื้อ ([/FONT][FONT=&quot]Holding Box) ด้านหลัง เพื่อใส่ตัวแม่พิมพ์ ที่เป็นยันต์[/FONT]

[FONT=&quot]ความจริงอาจมีมากกว่านี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสลับซับซ้อนของสิ่งที่จะผลิต(สร้าง)[/FONT]

[FONT=&quot]2. เมื่อทำแม่พิมพ์ (Core) และตัวเสื้อ (Holding Box) ได้แล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องเอาแม่พิมพ์ที่ได้ทั้งหมดไปติดตั้งไว้กับเครื่องจักรโดย ติดตัวหนึ่งแบบ Fixed อยู่กับที่ ส่วนอีกตัวหนึ่งก็ติดไว้ด้านบน เพื่อให้สามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงได้ ตำแหน่งเวลากดลง จะเท่ากันทั้งหมด เพราะถูกบังคับด้วยเครื่องจักร เวลากดพระถึงจะได้พระที่เหมือนกันทุกครั้ง การติดตั้งกับเครื่องจักร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแบบคันโยกเล็ก ๆ แบบสมัยเก่าหรือสมัยนี้ หรือเครื่องปั๊ม (Press)

ตำแหน่งการเคลื่อที่ของแกนคันโยก (เครื่องแบบคันโยก) เมื่อใช้มือโยก ก็จะเหมือนกันและจบที่ตำแหน่งเดียวกันทุกครั้ง หากเป็นเครื่องปั๊ม แกน column ของเครื่อง (ไม่ว่าจะเป็น 2 Coolum หรือ 4 Coolum ก็เหมือนกัน) ก็จะเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวดิ่ง (Z Axis) เท่ากันทุกครั้งเช่นกัน เมื่อพิจารณาพระที่เล่นหากันอยู่ทุกวันนี้ ท่านผู้อ่านคิดอย่างไรครับ คิดว่าเป็นพระที่กดด้วยมือหรือด้วยเครื่อง [/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]3. ตามบริเวณ ซอกเสาซุ้ม หรือบริเวณบัวด้านบน การขึ้นรูปแม่พิมพ์แบบสมัยใหม่นั้น หากพิจารณาให้ดี หรือท่านใดที่ทราบเรื่องกรรมวิธีการสร้าง ก็คงพอเข้าใจในการอธิบายของผู้เขียน ผู้เขียนขอเริ่มที่แม่พิมพ์ด้านหน้าที่เป็นรูปองค์พระก่อน ผู้เขียนขออธิบายการผลิตแม่พิมพ์แบบปัจจุบันแบบให้พอเข้าใจง่าย ๆ ดังนี้[/FONT]

[FONT=&quot]3.1 การเริ่มต้นทำแม่พิม์นั้นก็จะเริ่มทำขอบด้านนอกก่อน โดยทำเป็นรูปร่างห้าเหลี่ยมเหมือนกับรอบนอกขององค์พระ (หากเป็นพระสมเด็จก็จะทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม) และจะต้องเอาไปเจียรไนปาดหน้าให้เรียบทั้งสองด้าน เพื่อสะดวกต่อการ Set บน Table ของเครื่อง CNC เมื่อเจียรไน (Grinding) เสร็จแล้วก็นำไป Set บน Table ของเครื่อง CNC เพื่อกัดด้วยดอกกัด ตาม Program ที่เขียนไว้ การกัดก็กัดให้ลึกลงไปตาม Program ที่เขียนไว้ โดยกัดเฉพาะส่วนที่ลึกลงไป คือส่วนที่เมื่อปั๊มออกเป็นองค์พระแล้วก็คือส่วนที่นูนขึ้น ส่วนที่เรียบอยู่แล้วไม่กัดเพิ่ม สังเกตุได้จากแม่พิมพ์ที่นำมาเป็นภาพประกอบ เพราะส่วนที่เรียบยังเป็นผิวเจียรไนอยู่

หากท่านใดเคยเรียบรู้เรื่องงานวิศวกรรมมาบ้าง ก็คงไม่ปฏิเสธว่าว่าผิวเจียรไนที่ผู้เขียน ๆ นั้น ถูกต้องหรือไม่ ส่วนที่เป็นรูปองค์พระ เสา บัวซุ้มเรือนแก้ว บัวที่ฐาน กุมารทั้งซ้ายขวา (หรือพระโมคคัลลา และพระสารีบุตรตามคติความเชื่อแต่โบราณ) เป็นส่วนที่กัดลึกลงไป และพอได้เป็นองค์พระก็จะเห็นเป็นนูนขึ้น สังเกตุได้ว่าบริเวณที่กัดลงไปผิวของการกัดกับการเจียรไนจะต่างกันมากทีเดียว ซึ่งบริเวณที่กัดลงไปเมื่อเสร็จแล้วต้องเอาแม่พิมพ์มาแต่งในส่วนที่กัดลึกลงไป เพราะแนวของดอกกัดยังไม่เรียบต้องเอามาขัดแต่งอีกรอบให้สวยงาม [/FONT]

[FONT=&quot]หรืออีกวิธีหนึ่งคือ ไม่ใช่เครื่อง [/FONT][FONT=&quot]CNC แต่ใช่เครื่อง EDM (Electrical discharge machine)หมายถึง เครื่องกัดเนื้อโลหะจากการทำงานของกระแสไฟฟ้ามีความต่างศักย์สูง ซึ่งไหลผ่านโลหะสองชิ้นได้แก่ ชิ้นงาน (โลหะที่ต้องการทำเป็นตัวแม่พิมพ์) และอิเลคโตรด เหมาะกับงานที่ต้องการความเที่ยงตรง และงานที่ทำการขึ้นรูปโดยวิธีการตัดเฉือนปกติได้ยาก หรือชิ้นงานที่ผ่านการชุบแข็ง โดยเริ่มต้นด้วยการเอาทองแดง หรือก้อนกราไฟต์ มากัดเป็นรูปร่างให้เหมือนหรือตรงข้ามองค์พระที่เราเห็น ทางช่างจะเรียกว่าทำ electrode ซึ่งก็คือวัสดุที่สามารถนำกระแสไฟฟ้าได้ และมีรูปร่างเหมือนชิ้นงาน (องค์พระ) ที่ต้องการ แล้วเอาไป Setไว้ด้านบนเครื่อง EDM และ Set เหล็กที่จะนำมาเป็นตัวแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ที่ Table ด้านล่าง โดย Set ทั้งสองส่วนให้ตรงกัน และได้ระดับ จากนั้นปล่อยให้เครื่องทำงาน วิธีการทำงานด้วยเครื่อง EDM นี้จะใช้เวลาค่อนข้างมาก แต่จะได้รายละเอียดที่ครบถ้วน แต่แม่พิมพ์ขุนแผนผ้าป่าที่นำมาเป็นตัวอย่างให้ชม เป็นพระที่กัดจากเครื่อง CNC ครับ เพราะลักษณะของผิวที่เห็นเป็นอย่างนั้นจริง[/FONT]

[FONT=&quot]3.1 การทำแม่พิมพ์ด้านหลัง ก็เช่นกัน ขนาดรอบนอกต้องทำก่อน และต้องเท่ากับแม่พิมพ์ตัวด้านหน้า จากนั้นก็เจียรไนให้เรียบ แล้วเอาไปแกะเป็นยันต์ด้านหลัง ซึ่งวิธีการก็ไม่ได้แตกต่างจากการทำม่พิมพ์ตัวหน้า ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งเครื่อง CNC และ EDM จะสังเกตุว่ายันต์ด้านหลังของแม่พิมพ์พระขุนแผนผ้าป่าของหลวงพ่อสาครนั้นจะเห็นว่าแกะเส้นยันต์ทุกตัวกลับด้านกับที่เราอ่านได้ แม้แต่ตัวหนังสือที่ระบุเป็นชื่อหลวงพ่อสาครก็เช่นกัน ก็แกะกลับด้านกัน หากเราเอาแม่พิมพ์ไปส่องกระจกดู เมื่อดูที่กระจก ก็สามารถอ่านได้ แบบปกติ เพราะต้องแกะแบบ Negative ทั้งสิ้น หากนายสายแกะแม่พิมพ์ด้านหลังด้วยคงตาลายน่าดู [/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]เมื่อพิจารณาการแกะแม่พิมพ์ด้วยการเปรียบเทียบกับองค์พระ ท่านผู้อ่านคิดว่านายสาย แก้วสว่าง จะแกะแม่พิมพ์ขุนแผน โดยทำองค์ประกอบของแม่พิมพ์ทั้ง [/FONT][FONT=&quot]4 ตัว ดังที่ผู้เขียนได้เขียนอธิบายให้ทราบ เพื่อนำมาทำพระขุนแผนพิมพ์เดียวหรือไม่ แล้วพระพิมพ์พลายคู่ พรายเดี่ยว พระสิวลี พิมพ์เศียรโต ทำไมไม่ทำด้วย แล้วคำบอกเล่าของคนที่อ้างตัวว่าเป็นศิษย์ทั้งหลาย ที่ยังหากินกับชื่อเสียงของหลวงปู่อยู่ บอกว่าพระเนื้อผงไม่ว่าจะเป็นขุนแผน พรายเดี่ยวพรายคู่ พระสิวลี หรือแม้กระทั้งแม่พิมพ์ยุคหลังที่ทำมาจากทองเหลือง ก็ยังกดด้วยมือทั้งหมด เมื่อท่านผู้อ่านพิจารณาจากองค์พระแล้ว ท่านคิดว่าเป็นพระที่กดด้วยมือหรือไม่ครับ ผู้เขียนเห็นแล้วก็ตอบได้คำเดียวแบบไม่กังวลเลย ว่าพระที่เล่นกันทุกวันนี้ว่าเป็นพระบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกนนั้น ไม่ได้กดด้วยมือและแม่พิมพ์ไม่ได้ทำด้วยหินมีดโกนแน่นอน [/FONT]

[FONT=&quot]เมื่อมองพระขุนแผนพิมพ์ใหญ่ และพิมพ์เล็กของหลวงพ่อสาคร เทียบกับแม่พิมพ์ แล้วผู้อ่านคงเข้าใจมากขึ้น ลองหาภาพพระขุนแผนบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกน มาเทียบดูนะครับ ว่าจุดต่าง ๆ ที่ผู้เขียนทำลูกศรสีแดงชี้ไว้ เป็นแบบเดียวหรือคล้ายกับพระขุนแผนพิมพ์นี้ของหลวงพ่อสาครหรือไม่ หากเป็นเหมือนกัน ก็โปรดคิดหรือพิจารณาเอาเองว่าจะเป็นอย่างไร ที่ผู้เขียนไม่เอาภาพพระขุนแผนบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกนมาให้ดูเป็นตัวอย่างก็เนื่องจากว่าไม่มี ถ้าหากไปเอาภาพพระคนอื่นมา ก็กลัวโดนปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์[/FONT][FONT=&quot]…[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]คราวนี้มาดูหินลับมีดที่เป็นขนาดมาตราฐานว่ามีรูปแบบอย่างไร ผู้เขียนเข้าใจว่าเมื่อสักสี่สิบกว่าปีที่แล้ว คงไม่ได้แตกต่างกันมากนัก กับหินลับมีดในสมัยนี้ ขนาดปกติโดยทั่วไปก็จะมีความยาวประมาณ [/FONT][FONT=&quot]5 นิ้ว กว้างเกือบ 2 นิ้ว [/FONT]

[FONT=&quot]ดูภาพหินลับมีดภาพด้านล่างแล้วมีความเห็นเป็นอย่างไรบ้างครับ พอจินตนาการภาพออกหรือไม่ ว่าการแกะแม่พิมพ์ที่แกะด้วยมือของนายสายแก้วสว่างจะเป็นอย่างไร ลองนึกภาพดูนะครับว่าจะเป็นแบบไหน คงมีท่านผู้อ่านอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่เมื่ออ่านแล้ว จับจุดของการพิจารณาหลัก ๆ ได้เช่น[/FONT]

[FONT=&quot]1. แม่พิมพ์และลักษณะของการแกะ[/FONT]
[FONT=&quot]2. ไม่มีเครื่องจักรใด ๆ ที่ใช้ในการปั๊มพระผงในวัดละหารไร่เลย[/FONT]
[FONT=&quot] 3. พระเครื่องที่ได้เป็นพระกดด้วยมือทั้งหมด จากพระ เณร และผู้ใกล้ชิดหลวงปู่ (อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคุณเพียรวิทย์ เพราะน่าจะเข้าไปไม่ทันในช่วงระหว่างนี้ และก็ไม่ใช่คุณชินพร เพราะเข้าไปเมื่อปลายปี 2516 เพราะฉนั้นการสร้างพระที่ทำจากหินมีดโกนนั้น สองคนนี้รู้เห็นแต่ก็เพียงบางพิมพ์เท่านั้น) [/FONT]
[FONT=&quot]4. ผงที่ใช้ทำเป็นผงที่ผ่านการเขียนผงลบผงจากหลวงปู่ทิม ไม่มีปูนเป็นส่วนผสม[/FONT]
[FONT=&quot] 5. ประเภทหรือลักษณะของหินมีดโกนที่ใช้ทำแม่พิมพ์[/FONT]

[FONT=&quot] หากท่านผู้อ่านเอาองค์ประกอบหลัก ๆ ที่กล่าวมานี้มาร่วมประกอบการพิจารณา ท่านผู้อ่านเองอาจมองภาพออกได้ไม่ยากเลย มิหนำซ้ำอาจเข้าใจได้ง่ายมากขึ้นทีเดียว[/FONT]

[FONT=&quot] มีอีกประเด็นที่ผู้เขียนอยากกล่าวถึง แต่ประเด็นนี้ เป็นเรื่องจริงที่หลายท่านอาจรับไม่ได้เนื่องจากว่า พระขุนแผนบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกน ที่เล่นกันเป็นแท้และราคาองค์ละหลายหมื่นบาทนั้น มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร มาลองอ่านและทำความเข้าใจกันดูนะครับ เรื่องนี้มีผู้เกี่ยวข้องหลายคนทั้งคนที่มีชื่อเสียงในวงการ จำนวน [/FONT][FONT=&quot]2 คน ซึ่งคนทั่วไปให้ความเคารพ เชื่อมั่น ศรัทธา และเรียกกันติดปากทั่วไปว่าอาจารย์ และอีกทั้งพระภิกษุ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังบวชอยู่ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ได้อยู่ที่วัดละหารไร่แล้ว แต่ไปอยู่ที่วัดหนึ่งที่มีชื่อเสียงพอสมควร ในจังหวัดอยุธยา รวมทั้งยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกหลายคน[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]กลุ่มคนและพระดังกล่าว ได้ร่วมกันสร้างพระชุดนี้ขึ้นเมื่อตอนช่วงปี [/FONT][FONT=&quot]2530 กว่า ๆ โดยทำกันบ้านหลังหนึ่งที่ข้างวัดละหารไร่ มิหนำซ้ำยังไปจ้างชาวบ้านบางคนมาร่วมกดด้วย บล๊อคที่ใช้เป็นบล๊อคเหล็ก เป็นบล๊อคแบบมีตัวเสื้อประกอบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และมีคนที่รู้ และเห็นการสร้างพระบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกนนี้อยู่อีกหลายคน…ใครสนิทชิดเชื้อกับขาใหญ่สายหลวงปู่ทิมที่เป็นศิษย์ครอบครูทั้งสองคนลองเอาไปถามว่าแท้หรือไม่ หากเขาตอบว่าแท้ ลองให้เขาไปจุดธูป 16 ดอกที่วิหารหลวงปู่ทิม และสาบานต่อองค์หลวงปู่ดู ว่าใช่จริงหรือเปล่า [/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]พี่ท่านนี้กล่าวให้ฟังอีกว่าแม่พิมพ์หินมีดโกนมีแค่ด้านหน้า (แม่พิมพ์ด้านที่เป็นรูปพระ แต่ไม่มีแม่พิมพ์ด้านหลังที่เป็นรูปยันต์) และการกดพระที่วัดละหารไร่ พระที่เป็นพระเนื้อผงเกือบทั้งหมด กดด้วยมือของพระเณรในวัด และลูกศิษย์หรือกรรมการวัดในสมัยนั้น ไม่มีเครื่องกดไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรลักษณะปั๊ม หรือเครื่องกดแบบคันโยกแต่ใช้มือคนกด ลองคิดดูแบบเล่น ๆ ว่าหากเป็นยุคนั้น เมื่อทำแม่พิมพ์พระที่แกะมาจากหินมีดโกนเสร็จแล้ว และทุกท่านก็ทราบดีว่าการกดเป็นการกดด้วยมือ หรืออธิบายแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็คือนำเอาผงที่ได้จากหลวงปู่มารวมกับตัวประสานทำให้เหนียวขึ้น แล้วปั้นเป็นก้อนใส่เข้าไปในแม่พิมพ์แล้วกดอัดด้วยมือ โดยไม่มีแม่พิมพ์อีกด้าน ด้านหลังของพระจะเป็นอย่างไร[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]การแกะพิมพ์จะแกะด้านใดก่อน แล้วพระยุคแรก ๆ ที่เป็นเนื้อผงของหลวงปู่ทิมทั้งหมดที่สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์เศียรโต พิมพ์พลายคู่ พิมพ์พรายเดี่ยว พิมพ์พระฉิมพลี (พระสิวลี) และพิมพ์อื่น ๆ มียันต์ด้านหลังบ้างหรือไม่ แล้วทำไมบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกน ที่กล่าวกันว่าเป็นพิมพ์แรก ๆ ที่เล่นกันอยู่ทุกวันนี้ มียันต์หลังแบบสวยงามติดมาด้วย รวมทั้งรายละเอียดของพระที่กดด้วยมือก็ไม่มีให้เห็นในพระบล๊อคนี้เลยสักนิดเดียว ก็ลองนึกดูว่าพระที่กดด้วยมือของคนในสมัยนั้นจะมีความสวยงามเรียบร้อย เหมือนกับสมัยนี้ที่ทำด้วยเครื่อง และเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างไร[/FONT]

[FONT=&quot]พี่ท่านนี้ยังเล่าให้ฟังต่ออีกว่า เมื่อก่อนนี้มีคนเอาพระบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกนไปให้นายสาย แก้วสว่าง (อดีตไวยาวัจกรของวัดละหารไร่) เพื่อให้นายสาย ยอมรับว่าเป็นพระหลวงปู่จริง แต่นายสาย เฉย ๆ ไม่สนใจด้วย หรือพูดง่าย ๆ ว่าไม่เอาด้วย และนายสาย ยังบอกว่าของแบบนี้ไม่เคยเห็น ตอนที่ทำกันสมัยก่อนไม่เคยมีแบบนี้ แกไม่แอบอ้างเอาของที่ไม่ใช่มายกเป็นใช่ ซึ่งเป็นการทำลายครูบาอาจารย์อย่างนี้ เพราะกลัวบาปกรรม หลวงปู่ท่านสอนเสมอว่า ให้เป็นคนดีมีสัจจะ หากให้ทำอย่างนี้ นายสายทำไม่ได้ใครอยากทำก็ทำไป นายสายไม่ยุ่งและไม่สนใจ

ซึ่งคนกลุ่มนี้คงไม่มีทางออกเพื่อให้พระบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกนมีความชอบธรรม หรือให้วงการยอมรับได้ คนกลุ่มนี้เลยพากันไปหานายชแมง และมีการจ่ายค่าเสียเวลาเป็นหลักหมื่นให้กับนายชแมง เพื่ออุปโลกให้นายชแมง เป็นคนกดพระชุดบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกน ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วนายชแมงไม่เคยกดพระเลย จากนั้นก็ถ่ายรูป นำไปเขียนเป็นเรื่องเป็นราวออกสื่อต่าง ๆ เพื่อเป็นการแจ้งเกิดของพระชุดนี้ ให้แมงเม่าวิ่งข้าหา ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มีคนรู้เห็นอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นก็คือคนที่อ้างตัวว่าเป็นศิษย์ครอบครูหลวงปู่ที่ไปกับเขาด้วย ซึ่งหลาย ๆ คนก็ยังมีชีวิตอยู่

หากไปถามคนแถว ๆ บ้านค่าย ที่ใกล้ ๆ วัด คงได้คำตอบที่น่าตกใจอีกมากมาย ส่วนนายชแมง ก็ย้ายไปอยู่ที่สุโขทัยได้หลายปีแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่ท่านนี้ได้ถามนายชแมงว่า [/FONT][FONT=&quot]“ได้ข่าวว่าเป็นคนกดพระบล๊อคลองพิมพ์เรอะ ทำไมไม่เคยเห็นสักที แกกดกันตอนไหนวะนี่”[/FONT][FONT=&quot] เมื่อถามเสร็จนายชแมงก็ยิ้มแหย ๆ พี่ท่านนี้ก็เลยหัวเราะอย่างขบขัน… หากนายชแมงไม่เห็นแก่เงินในวันนั้น มีหรือพระบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกนที่เล่นหากันทุกวันนี้จะโผล่ออกมาเป็นแท้ได้ คงเป็นได้แค่ของปลอมทั่วไปเท่านั้น[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]ว่ากันว่าบล๊อคลองพิมพ์นี้ ผู้ที่สร้างพระบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกนนี้ ไปหาซื้อพระเก่า ๆ ตามแผง แบบเหมา ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระผ้าป่า หรือพระทั่วไป ที่เป็นเนื้อผงเอามาบด รวมทั้งพระผงที่แตกหักของเก่าของหลวงปู่ทิมด้วย แล้วนำมาตำให้ละเอียดนำมากดเป็นพิมพ์พระ ส่วนตัวประสานได้เอาน้ำผึ้งเป็นส่วนผสมเพื่อให้การยึดเกาะของผงดีขึ้น จึงทำให้พระพิมพ์นี้ออกเยิ้ม ๆ บางองค์ก็ดูมีสีออกเขียวดูเหมือนไม่ค่อยแห้ง แท้ที่จริงแล้วเอาใบขี้เหล็กใบขัดมอญ มาตำแล้วคั้นเอาน้ำต่างหาก

บางกลุ่มเห็นเป็นสีเขียวก็ว่าเป็นน้ำมันพระเจ้าตากไปโน่น บางองค์อาจเห็นผงเป็นก้อน ๆ ก็ว่าเป็นผงพรายกุมาร บ้างก็ว่าเป็นผงพุทธคุณ ลองนึกดูว่าควรจะเป็นอย่างใด เพราะเท่าที่ทราบผงพรายกุมารไม่ได้เป็นก้อนหรอกครับ เป็นแค่ผงชล์อคและดินสอพองที่ผ่านการเขียนผงลบผงโดยหลวงปู่ต่างหาก แล้วผงพรายกุมารที่ว่านี่ก็มีความละเอียดเหมือนผงแป้ง ไม่ได้เป็นก้อนแบบนี้ คนที่เขียนเชียร์เพื่อขายของ แต่คนที่บ้าตามก็ไม่พิจารณาดูความเป็นไปได้บ้าง อยากได้มากก็เลยกลายเป็นวิ่งไปขึ้นเขียงให้เขาเชือดเสียเอง[/FONT]

[FONT=&quot]แต่สิ่งที่น่าละอายมากที่สุดสำหรับเรื่องนี้ ก็คือคนที่ชอบบอกว่าเป็นศิษย์หลวงปู่ทิม กลับทำเรื่องที่ส่งผลเสียหายต่อครูบาอาจารย์ของตัวเอง โดยไม่คิดถึงคุณงามความดี และพระคุณของหลวงปู่ที่ท่านให้ความเมตตา เมื่อครั้งอดีต แต่กลับทำเรื่องที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง ซึ่งสิ่งที่ควรทำเช่น คอยดูแลปกป้องไม่ให้ของที่ไม่แท้ ไม่ใช่ หรือสิ่งที่ไม่ดี ไม่ใช่ของหลวงปู่ไม่ให้เข้าสู่การยอมรับของวงการ หรือให้ทุกคนที่ศรัทธาหลวงปู่ได้ทราบ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ใช้เป็นบรรทัดฐานกลับไม่ทำ แต่เลือกทำเรื่องที่น่ารังเกียจเพียงเพราะเห็นว่ามันจะได้เงินมาใช้ โดยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงปู่ที่บอกเสมอว่าให้เป็นคนดี ละเว้นความชั่ว แต่กลับกันอย่างสิ้นเชิง เล่นสร้างความชั่วเสียเอง ทั้งยอมรับแบบหน้าด้าน ๆ

ยกตัวอย่างเช่น พระบล๊อคลองพิมพ์หินมีดโกน หรือพรายขาว พรายดำอะไรเทือกนั้น มิหนำซ้ำตะกรุดสาริกายังมีทองแดงเป็นแผ่น ๆ เอาไว้ตัดแล้วแยกขายให้กับคนที่ศรัทธา คู่ละ [/FONT][FONT=&quot]4000 บาทบ้าง บางทีอยากขายจัดก็บอกว่าช่วงนี้ลดพิเศษ 2000 บาทเท่านั้น ใครที่เชื่อใจก็สลบกันมาหลายราย คนที่โดนไปแล้วก็ต้องจำ และอีกอย่างอยากให้ช่วยกันป่าวประกาศให้คนทั่วไปรู้ไว้บ้างก็จะเป็นการสร้างกุศลอย่างหนึ่ง อย่าอายเลยครับว่าโดนเขาหลอกมา อย่างน้อยจัดการคนชั่วในคราบผู้ดี ที่ชอบอ้างว่าเป็นศิษย์ครอบครูทั้งหลาย ให้ได้อายกันบ้าง [/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]เอาไว้ให้ผู้เขียนอีเดียดไอ้พวกนี้ให้มากกว่านี้หน่อย เดี๋ยวจะเอามาแฉให้หมดเปลือกว่า คนพวกนี้ทำอะไรไว้บ้าง คนที่ชอบว่าตัวเองเป็นศิษย์นี่แหละครับ แถมคนก็ชอบเรียกว่าอาจารย์ ให้ความเคารพกันทั้งนั้น ที่เห็น ๆ ก็มีอยู่สองคน แต่หารู้ไม่ว่า นั่นแหละครับอันตรายสุด ๆ [/FONT][FONT=&quot]...คนหนึ่งก็ทำเก๊สารพัด ไม่ว่าจะพระไม้แกะ พระปิดตาน้ำท่วม พระชุดน้ำท่วมทั้งหลาย พระพรายเดี่ยว พรายคู่ ลูกอมเทียนมัทรี ลูกอมเทียน เป็นของหายากมาก ยังมีหน้าเอามาแจกฟรี ทำเป็นเหมือนการสร้างบารมี แถมปิดทองใหม่เอี่ยม บอกตรง ๆ ครับ เขาทำเองไม่ใช่หลวงปู่ทำ ดูก็รู้ว่าใหม่ขนาดนั้น ยังมากล่าวอ้างแบบหน้าด้าน ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ เก๊เห็น ๆ[/FONT]

[FONT=&quot]อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องน่าละอายของคนที่ละโมบโลภมาก ยุคที่สร้างพระกริ่งชินบัญชรเสร็จ หลวงปู่ท่านมอบพระกริ่งชินบัญชรก้นทองคำองค์หนึ่ง โดยวานให้คนหนึ่งที่ชอบอ้างว่าเป็นศิษย์ครอบครู ให้นำพระกริ่งชินบัญชรก้นทองคำองค์นั้นไปมอบให้แก่นายสาย แก้วสว่าง แต่นายคนนี้ไม่ยอมเอาไปมอบให้มิหนำซ้ำยังยึดไว้เป็นของตัวเองอีกต่างหาก น่าละอายจริง ๆ เรื่องนี้จริงหรือไม่ ลองไปถามนางไพ ที่เป็นภรรยาของนายสาย ดูครับว่าที่เขียนมาว่าจริงหรือไม่ หรือว่าผู้เขียนแอบอ้าง หากได้ฟังแล้วอาจเข้าใจถึงนิสัยที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวของนายคนนี้ก็ได้ครับ[/FONT][FONT=&quot]..[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]สมัยก่อนที่นายสายยังไม่เสียชีวิต พระเหล่านี้เคยออกมาให้เห็นที่ไหน พอนายสายเสียชีวิตไปแล้ว กลับโผล่มาทีละนิด จนตอนนี้แขวนกันให้เกื่อน พอได้เห็นพระแท้ กลับบอกว่า [/FONT][FONT=&quot]“เก๊ แบบนี้กูไม่เคยเห็น” รวมทั้งล๊อบบี้คนนั้นที คนนี้ที รวมทั้งนายช่างมงคล ด้วย ผู้เขียนบอกตามตรงว่าขำกลิ้ง ตอนบ่ายแก่ ๆ ช่างมงคลมาเห็นพระแล้วบอก พระนี่แท้ เป็นยุคแรก และยังเอาพระที่คอมาให้ดูบอกว่าเป็นพระเนื้อเดียวกัน แต่พอเจอนายคนที่เป็นศิษย์ครอบครูในช่วงเย็น และนอนพักที่พิพิธภัณฑ์บุญญาภิรัตน์ด้วยกัน 1 คืน (สงสัยกลางคืนโดนคนที่เป็นศิษย์ครอบครูมาเป่ากระหม่อมให้) พอเช้ากลับเดินมาบอกอีกทีว่า “ไม่เคยเห็น ที่บอกไปตอนแรกกลัวจะเสียน้ำใจ”

ผู้เขียนเลยรู้สึกว่า นี่แหละหนาผลประโยชน์ ไม่รู้ว่านายคนที่เป็นศิษย์นี่จ่ายออกไปเท่าไหร่ หรือมีข้อตกลงอะไรเพิ่มเติม เมื่อได้เห็นแบบนี้ก็ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า ผลประโยชน์มันช่างไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ และความคิดว่านายช่างมงคล น่าจะเป็นผู้หนึ่งที่ควรแก่การเข้าหา หรือปรึกษาหารือด้วย เพราะเป็นผู้หนึ่งที่รู้เห็นอะไรมาพอสมควร พอได้ทราบอย่างนี้ผู้เขียนก็หมดศรัทธาทันที เพราะเป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร พูดจา.................... ทั้งที่พระที่ตัวเองแขวนอยู่ก็เป็นเนื้อเดียวกันชัด ๆ อย่างนี้พระในคอของนายช่างมงคลก็คงเป็นพระ....เหมือนกัน…[/FONT]

[FONT=&quot]หากจะสาวเรื่องราว รับรองว่าคงมีหลายคนที่ทราบแล้ว แต่คนที่ยังไม่ทราบก็คงงง หลายคนคงอยากทราบว่าคนกลุ่มนี้ทำไปเพื่ออะไร ก็จะไม่ให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อคนหนึ่งก็บ้าผู้หญิง ชอบผู้หญิงเด็ก ๆ ทั้งที่ตัวเองก็อายุราว [/FONT][FONT=&quot]60 ปีเข้าไปแล้ว ก็เลยต้องหาเงินมาปรนเปรอเด็ก ๆ เหล่านี้ รวมทั้งพ่อตาแม่ยายด้วย พอเสร็จจากคนโน้นก็ไปต่อที่คนนี้ มันก็เลยต้องหาเงินมาปรนเปรออยู่เรื่อย ๆ ไม่จบสิ้น จึงมีความจำเป็นต้องสร้างของเก๊ขึ้นมา เพื่อหารายได้ กลับกลายเป็นว่าคนทั่วไปกลับคิดว่าคนนี้แน่นอนจริง ๆ ที่หาเมียเด็ก ๆ ได้ หรือคิดว่าคนนี้มีของดี มีอะไรเป็นพิเศษแน่ ๆ ที่ไหนได้ลองพิจารณาดูดี ๆ หากไม่มีเงินมีหรือหาเงินให้เขาไม่ได้ เขาจะมาอยู่ด้วยหรือยอมอะไรง่าย ๆ แบบนี้ ดู ๆ ไปก็ตลกดีเหมือนกัน[/FONT]

[FONT=&quot]ส่วนอีกคนนี่ เสริมได้เสริมดี ชั้นเชิงลีลาแพรวพราวกว่ามาก คนนี้ก็บ้าการพนัน เล่นม้า (ม้าแข่ง) พอเสียก็ต้องหาเงินมาเล่นใหม่ ก็เลยต้องสร้างพระ หากผู้อ่านลองสังเกตุจะทราบว่า สร้างพระ.........อยู่เสมอ เอาแบบเข้าใจง่ายก็คือ สร้างทุกไตรมาส (............) ก็คงไม่เกินจริงนัก สร้างเสร็จก็โฆษณา บอกว่า................... เคยได้ยินว่าผงพรายเหมือน............. เติมเข้าไปเล็กน้อยก็สามารถใช้ได้ แถมอ้างอยู่ตลอดว่าหลวงปู่ท่านกล่าวว่า.................... ท่านจะ..............................ว่าเข้าไปนั่น ใครเชื่อตามนั้น ผู้เขียนก็ไม่รู้ว่าจะบอกว่าไงดี [/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]บล๊อคแรก หรือบล๊อคนิยม[/FONT]

[FONT=&quot]สำหรับขุนแผนบล๊อคนิยมนี้ เป็นพระที่กดด้วยบล๊อคทองเหลือง ซึ่งบล๊อคทองเหลืองที่นำไปแกะพิมพ์ใหม่โดยอาจารย์ ดุษฏี สิริโวหาร นำบล๊อคหินมีดโกนไปเป็นแบบ จะมีด้วยกันสองวาระคือ บล๊อคทองเหลืองยุคแรก ซึ่งเป็นบล๊อคที่ไม่มียันต์หลัง และบล๊อคที่มียันต์หลังซึ่งมาพร้อมกับบล๊อคเศียรเล็ก ขุนแผนพิมพ์เล็ก การกดพระบล๊อดทองเหลืองในครั้งแรกนั้น ลักษณะของพิมพ์ก็คงมีเค้าเดิมจากบล๊อคหินมีดโกนอยู่บ้าง ส่วนวิธีการและกรรมวิธีการกดพระ ก็ไม่แตกต่างกัน อาจจะต่างกันที่เนื้อที่มีการปรับส่วนผสมอยู่บ้าง เพื่อปรับปรุง หรือแก้ไขข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในยุคก่อน ๆ [/FONT]

[FONT=&quot]ส่วนขุนแผนอีกบล๊อค ที่มียันต์หลังด้วย มาพร้อมกับบล๊อคเศียรเล็ก และบล๊อคขุนแผนพิมพ์เล็ก ทุกบล๊อคที่กล่าวมาทั้งหมดมีบล๊อคหน้าและหลัง ประกบมาเป็นเซ็ทเรียบร้อย พระที่ได้ออกมาเกือบทั้งหมดเส้นยันต์จะไม่คมเฉียบเหมือนที่เห็นในทุกวันนี้ และขอบตัดด้านข้างก็ไม่ได้เรียบร้อยสวยงามแบบนี้ พระชุดนี้สร้างได้ไม่มากเนื่องจากเป็นยุคปลายแล้ว จากนั้นอีกไม่นานทางคณะของคุณชินพร ก็เข้ามาสร้างพระให้กับวัดเมื่อตอนเดือนมีนาคม [/FONT][FONT=&quot]2517 [/FONT][FONT=&quot]และต่อมาก็เป็นชุดชินบัญชร ที่โด่งดังในทุกวันนี้ ช่วงปลายอายุของหลวงปู่ ก่อนที่ท่านจะละสังขารอาจมีการกดกันอีก แต่ก็คงไม่มากแล้ว เพราะตอนนั้นทางวัดก็มีวัตถุมงคลที่สร้างโดยคุณชินพร ที่ยังเหลืออยู่ [/FONT]

[FONT=&quot]หากมองและวิเคราะห์ให้ดี ก็จะเห็นว่ามีพระพิมพ์นิยมที่เล่นหากันทุกวันนี้นั้นบางองค์ สวยคม ติดชัดเกือบทุกรายละเอียด บ้างก็กล่าวว่า เป็นพิมพ์ที่พัฒนามาจากบล๊อคสอง โดยการเซาะแต่งพิมพ์ มาเรื่อย ๆ การเซาะแต่งพิมพ์ก็ว่ากันไปต่าง ๆ นานาตามความคิดของแต่ละคน หากคนที่เรียนเรื่องโลหะวิทยามา ก็คงทราบว่าการที่จะเซาะแต่งโลหะ (ทองเหลือง) ด้วยมือและเครื่องมืออื่นประกอบ (ที่ว่าเอาก้านร่มมาเหลาให้แหลม) เพื่อให้ได้รูปแบบจากลักษณะพระขุนแผนบล๊อคสองจนได้เป็นพิมพ์นิยมนั้น คงทำได้ยากมาก ๆ เพราะทองเหลืองมีทั้งความแข็งและเหนียวอยู่ด้วยกัน

หากบอกว่าเอาก้านร่มแต่งหินมีดโกน ผู้เขียนว่ายังน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะว่าหินมีดโกนสามารถเซาะแต่งได้ ไม่เชื่อลองดูได้ครับว่าที่ผู้เขียนกล่าวอย่างนี้จริงหรือไม่ ผู้อ่านก็ลองพิจารณาดูนะครับ อย่าเชื่อเรื่องทั้งหมดที่ยังไม่ได้พิสูจน์ บางอย่างเราควรเอาหลักวิทยาศาสตร์มาใช้ประกอบในการพิจารณาด้วย เพื่อใช้เป็นข้อสันนิษฐานและพิจารณาว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินว่าใช่หรือไม่ใช่[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]ผู้เขียนอยากบอกว่าพระบล๊อคนี้มีอยู่ก็จริง แต่ไม่ได้สวยงามติดชัดทุกรายละเอียดแบบที่เห็นกันอยู่ พระพิมพ์นี้เป็นพระที่กดมาจากบล๊อคทองเหลือง ที่อาจารย์ดุษฏี สิริโวหาร นำแม่พิมพ์หินมีดโกนที่แตกร้าวเข้ากรุงเทพไปเพื่อให้ช่างแกะพิมพ์ขึ้นมาใหม่ และแม่พิมพ์ชุดนี้ก็ยังไม่มีแม่พิมพ์ด้านหลังที่เป็นเส้นยันต์ คือทำออกมาเหมือนแม่พิมพ์หินมีดโกน แต่พระที่ออกมาหลังจากการกดก็ยังไม่สวยเหมือนเดิม อาจดูด้อยกว่าบล๊อคหินมีดโกนเดิมด้วยซ้ำไป เนื่องจากพระที่กดออกมาแล้วมีความหนาที่ไม่สม่ำเสมอ [/FONT]

[FONT=&quot]เมื่อแห้งแล้วเกิดการบิดเบี้ยว หรือรูปลักษณ์ออกมาแย่กว่าเดิมเยอะพอสมควร และพระชุดนี้กดได้น้อยมากอยู่แค่หลักร้อยองค์เท่านั้น สุดท้ายก็นำแม่พิมพ์กลับไปแก้ไขใหม่ เพราะคิดว่าการไม่มีตัวบังคับพิมพ์จึงทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว และแม่พิมพ์ชุดที่นำกลับไปทำใหม่นี้ ให้ช่างทำยันต์หลังมาด้วย ทำมาพร้อมกันกับพระขุนแผนพิมพ์เล็ก พระผงพิมพ์เศียรเล็ก และชุดนี้เองก็เป็นจุดเริ่มต้นของพระที่มียันต์ด้านหลังของหลวงปู่ทิม และวัดละหารไร่ ที่เป็นเนื้อผง แม่พิมพ์ที่ได้กลับมาก็ไม่ต่างกันมากนัก แต่รูปลักษณ์ขององค์พระก็สวยงามมากขึ้น

ซึ่งท่านผู้ชอบพระพิมพ์นี้ก็คงเห็นกันอยู่ทั่วไปว่า พระมีแบบยันต์หลัง และไม่มียันต์หลัง บางองค์ก็เห็นเป็นเนื้อกระยาสารทยันต์ไม่มีบ้างบางองค์ก็ติดบ้างแต่เลือน ๆ ซึ่งนั่นก็คือความจริง แต่ข้อที่อยากให้ทุกท่านคิด และพิจารณาให้มากก็คือ พระชุดเนื้อผง ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ขุนแผน ทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก พิมพ์เศียรโต พิมพ์เศียรเล็ก พระสิวลี พิมพ์พรายคู่ พรายเดี่ยวและยังมีพิมพ์อื่น ๆ อีกล้วนเป็นพระที่กดด้วยมือทั้งสิ้น ไม่ใช่พระที่กดด้วยเครื่อง [/FONT]

[FONT=&quot]ลักษณะการกดพระ ที่ทำกันในช่วงนี้ ตัวช่วยในการกดเหมือนที่หนีบกล้วย ที่กล่าวแบบนี้เพราะมีหลักฐานให้เห็นอยู่ทนโท่ ลองไปดูที่พิพิธภัณฑ์บุญญาภิรัตน์ได้ครับว่าตัวช่วยกดพระในยุคนั้นเป็นอย่างไร ลักษณะการกดพระในสมัยนั้น (ยุคบล๊อคทองเหลือง) ก็นำเอาแม่พิมพ์ที่ทำมาแล้วใส่เข้าไปร่องในอุปกรณ์ที่ว่านี้ (ที่หนีบกล้วย) แล้วนำผงที่ผสมตัวประสานเสร็จแล้วใส่ลงไปในพิมพ์ จากนั้นก็กดตัวหนีบลง ลองนึกภาพดูว่าพระที่ได้ความหนาจะเสมอกันทั้งแนวหรือไม่ แต่พระที่เห็นเล่นกันทุกวันนี้เท่าที่เห็น ๆ ตามหน้าสื่อทั่ว ๆ ไป ต้องยอมรับว่า สวย คม เสมอกันทั้งแนว ขอบตัด ความแน่นของเนื้อพระ เหมือนกับออกมาจากเครื่องปั๊มไม่มีผิด[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]มาพิจารณายันต์ด้านหลังของพระขุนแผนพิมพ์นี้กันบ้าง พระที่กดด้วยวิธีการอย่างนี้ท่านผู้อ่านคิดว่าจะมีเส้นยันต์ที่คมกริบเหมือนพระที่เล่นหากันทุกวันนี้เลยหรือ กรรมวิธีที่ผู้เขียนกล่าวไว้นี้คือเรื่องจริง ก็ลองพิจารณาดูกันเองนะครับ[/FONT]

[FONT=&quot]การกดพระยุคนั้นไม่ได้กดลงในแนวดิ่ง แต่กดแบบแนวเฉียงเข้าหา โดยเริ่มตั้งแต่ด้านบนและค่อยมาจบที่ด้านล่าง หากพิจารณาให้ดีก็จะทราบว่า เมื่อผงถูกบีบไล่จากด้านบนมาด้านล่างในแนวเฉียง เนื้อผงหรือวัสดุ ที่ใส่เข้าไปด้านในย่อมปลิ้นหรือล้นออกมาในด้านที่ยังไม่ถูกบีบ เพราะฉนั้นการกดพระจะไม่สามารถกดได้สุด หรือสนิทเพราะผงที่ล้นออกมาด้านล่าง เป็นผลทำให้พระมีความหนาไม่เท่ากัน[/FONT]

[FONT=&quot]เมื่อมาพิจารณาพระที่เล่นหากันอยู่ทุกวันนี้ ย่อมมองและพิจารณาได้ว่า เป็นพระที่กดลงในแนวดิ่งโดยไม่ต้องสงสัย ส่วนจะกดในลักษณะใด อันนี้ก็ให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเอาเอง เท่าที่สังเกตุและดูพระพิมพ์นี้ คือมีความหนาเสมอกัน ขอบรอบองค์พระ ทั้งด้านหน้าและหลังมีรอยปลิ้น เหมือนพระที่สร้างกันในยุคนี้ด้วยเครื่องปั๊ม แต่ยุคสมัยนั้นของวัดละหารไร่ทำกันเองด้วยมือ และกดพระกันในแนวเฉียงหรือใช้ไม้หนีบ (เหมืนที่หนีบกล้วยให้แบน) เชื่อไม่เชื่อก็อยู่ที่ดุลยพินิจของท่านผู่อ่านเองครับ[/FONT]

[FONT=&quot]แม้ว่ายุคปลายของการสร้างพระจะมีบล๊อคแบบประกบหน้าหลัง แต่ก็ยังใช้คนทำทั้งหมดอยู่ดี การทำพระในช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณชินพรมาสร้างพระด้วย ทางวัดก็เลยไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ที่จะกดกันที่วัด ลุงพิน จึงขออาสานำพระพิมพ์นี้ทั้งหมดไปกดให้ที่บ้าน ซึ่งก็เป็นที่มาของนายคร๊อก ซึ่งเป็นลูกลุงพิน ที่สื่อต่าง ๆ เขียนว่าเป็นผู้กดพระขุนแผนพิมพ์นิยม

ช่วงนั้นทั้งลุงพินและนายคร๊อกต่างช่วยกันทำพระ และมีการตำผงด้วยและจุดนี้เองที่เป็นที่กล่าวกันว่าไฟลุกครก จึงได้ไปนิมนต์หลวงปู่มาพรมน้ำมนต์ให้ ทำได้ไม่นานพอทางวัดเสร็จภารกิจเรื่องการสร้างพระของคุณชินพรในช่วงปี [/FONT][FONT=&quot]2517 ก็นำพิมพ์มากดกันที่วัดต่ออีกครั้ง[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]สำหรับเรื่องมวลสารที่กล่าวกันว่า หลวงตาบางท่านให้นำปูนขาวผสมลงไปด้วยเพื่อให้เนื้อพระดูแกร่งขึ้น และเกิดความสวยงาม พี่ท่านนี้กล่าวว่า ไม่น่าเป็นไปได้ หากบอกว่าเป็นการปรับตัวประสานที่นำกาวมาเป็นส่วนผสมน่าจะเป็นความจริงมากกว่า ผงพระของหลวงปู่มีทั้งผงแป้ง ผงดินสอพลองที่เกิดจากการเขียนลบยันต์ และมีว่านบ้าง แต่ว่าการผสมว่านก็เป็นส่วนน้อย

มีพระบางองค์เท่านั้นที่ออกแนวสีหม่นเทา ที่ดูลักษณะแล้วมีเนื่อว่านผสมอยู่ โดยเฉพาะพระพิมพ์ปิดตา ที่พบได้เป็นบางองค์ และจะมีน้ำหนักเบากว่า ไม่มีปูนขาวผสมแต่ประการใด หากพระที่เนื้อแกร่ง ผิววภายนอกดูเรียบเนียนเหมือนปูนขาวก็ให้คิดว่าผิดปกติไว้ก่อน [/FONT]

[FONT=&quot]ดังนั้นเรื่องนี้อยากให้พิจารณาให้ถี่ถ้วน ว่าลักษณะพระที่กดด้วยมือเป็นอย่างไร ทั้งด้านหน้าและด้านหลังพระควรเป็นแบบไหน ให้พิจารณาก่อนตัดสินใจ และจ่ายเงิน อย่าเข้าข้างตัวเอง ความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นสิ่งที่ดี แต่บางกรณีก็ใช้ไม่ได้ทั้งหมด ต้องเอาหลักเหตุผล และหลักวิทยาศาตร์ รวมทั้งการศึกษาจากต้นตอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านที่รู้เห็นการสร้างพระในอดีตซึ่งก็ยังมีชีวิตอยู่อีกหลายคน มาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาด้วย โดยเทียบกับพระที่เห็น ๆ กันในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร เช่นองค์ไหนที่เส้นยันต์ติดชัดเจนสวยงามเป็นเส้นคม อันนั้นก็ระวังไว้ให้มากหน่อยก็ดี และพระองค์ไหนที่เนื้อแน่น ๆ แบบแกร่ง ๆ อันนั้นก็ควรระวังเช่นกัน

เพราะคนกดจะให้คมทุกสัดส่วนเหมือนแรงกระแทกของเครื่องจักรได้อย่างไร อย่างนี้เป็นต้น การขอคำปรึกษากับผู้รู้หรือเซียนก็คงเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถทำได้ แต่อยากให้ตระหนักในเรื่องเหล่านี้ไว้ให้มากหน่อย เพราะสุดท้ายเขาก็ต้องการขายพระอยู่ดี และความรู้ที่เราจะได้รับแบบเต็มที่นั้นผมเชื่อว่าเป็นไปได้ยาก หรือได้แค่นิยายที่ถูกแต่งเพื่อหลอกผู้ที่ศรัทธาในอดีต ที่เล่าสืบต่อกันมาเป็นตัวชูโรงเพื่อการขายเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot]..[/FONT]

หนุ่มเมืองแกลง · 24 กรกฎาคม 2011

[FONT=&quot]บล๊อคสอง[/FONT]

[FONT=&quot]ส่วนบล๊อคสอง เป็นพระพิมพ์ที่สร้างจากโรงงานปั๊มเสร็จมาแล้ว แต่เอากลับมาไม่ทันหลวงปู่ทิม เนื่องจากว่าท่านละสังขารก่อนได้ทำการปลุกเสก ที่มีคนกล่าวว่าพระชุดนี้ปลุกเสกโดยหลวงปู่แก้วนั้นข้อมูลยังจะน่าเชื่อถือมากกว่า แต่ก็ไม่ทราบได้ว่าหลวงปู่แก้วท่านได้เสกหรือเปล่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้ข้อยืนยันหรือหลักฐานที่แน่ชัด

พระชุดนี้ได้ว่าจ้างโรงงานทำให้ และนำมาหลังจากที่หลวงปู่มรณภาพได้ไม่นาน เมื่อหลวงปู่ท่านเสียไปแล้ว ไม่มีผู้เสกให้จึงเก็บเอาไว้ และต่อมานำไปเก็บไว้ที่กุฏิหลวงปู่แก้ว เพราะเกรงว่าจะหาย ส่วนหลวงปู่แก้วท่านจะเสกหรือไม่นั้น ผู้เขียนถามท่านใดก็ไม่มีใครตอบได้ แต่แนวโน้มหรือคำตอบทุกคำตอบส่วนมากแล้ว คือไม่ได้เสก แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น[/FONT]

[FONT=&quot]คุณ....วิทย์เคยตอบข้อซักถามของเด็กคนหนึ่งว่า บล๊อคสองปู่เป็นคนสร้างเอง และพระกดกันที่วัดแต่ดูพระอย่างไร ก็ไม่ใช่พระที่กดด้วยมือเป็นพระที่กดด้วยเครื่องต่างหาก และดูยังไงก็รู้ว่าเป็นพระที่ถูกสร้างมาจากโรงงาน ลองเอารูปพระบล๊อคสองหลาย ๆ องค์มาเทียบกันดูก็น่าจะพอเข้าใจได้

ท่านใดที่เชื่อคุณ....วิทย์ ว่าพระกดกันด้วยมือ และทำกันที่วัดก็ตามแต่ความคิดของท่าน หรือบางท่านอาจคิดว่าบล๊อคสองแต่ละองค์ ไม่ค่อยเหมือนกันบางองค์เอวเล็กเอวใหญ่ ก็ว่ากันไป หากผู้เขียนจะตอบว่า ไอ้ที่เหลือนั้นเป็นงานฝีมือที่เก๊กันมาคนละแบบจะเชื่อผู้เขียนหรือไม่ครับ[/FONT][FONT=&quot]..[/FONT]

แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

แชร์หน้านี้

แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

แชร์หน้านี้

ติดต่อเรา