แผนการทำลายพระพุทธศาสนา

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 29 มกราคม 2008.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    แผนทำลายพระพุทธศาสนาปัจจุบัน ถ้าถามว่า วัดไหนที่ใหญ่ที่สุด บุคคลากรมีคุณภาพที่สุด มีพระมากที่สุด คนศรัทธามากที่สุด ในประเทศไทย แน่นอน วัดพระธรรมกาย แค่นี้ ก็ตอบได้ว่า ทำไม เขาไม่ทำลายวัดอื่น จ้องทำลายแต่วัดพระธรรมกาย ไม่ยอมเลิกลา แต่นั่นเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะความจริงแท้ก็คือ เป็นวัดใหญ่ เป็นที่สนใจของสังคม และสามารถ กระจายข่าวได้เร็ว และการสร้างความเชื่อใหม่ สลายศรัทธาเดิม จะประสพผลเร็ว ยิ่งขึ้น และจุดที่จะทำลายคือ ทำให้ องค์กรปกครอง คณะสงฆ์ไทย (มหาเถรสมาคม) หมดโอกาสตัดสินใจ เพราะมีแต่เสียกับเสีย และนี่คือเป้าประสงค์หลัก ในการ สลายองค์กรพุทธศาสนา ในประเทศไทย โดยมีแผนงาน และการจัดบุคลากร อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ หน้าฉาก สร้างกระแสผ่านสื่อ(มาร)มวลชน โจมตีวัดพระธรรมกาย โจมตีมหาเถรสมาคม จับพระสังฆราช (พระลิขิต) มาชนกับมหาเถรสมาคม เพื่อจุดสงคราม มหานิกาย - ธรรมยุต สร้างความวุ่นวาย ก่อม็อบชนม็อบ แล้วจะได้ใช้กำลังอำนาจรัฐเข้าจัดการแล้วก็ หลังฉาก อาศัยที่คนสนใจ ข่าววัดพระธรรมกาย เข็ญร่าง พ.ร.บ (ทำลายพุทธ) อุปถัมภ์ฯ ออกมา ล่วงหน้า (เกือบ 1 ปี) เงียบๆ โดยอ้าง วัดฯ เป็นต้นเหตุ และ ได้ออก กฎหมาย ควบคุม ถอดถอน ยึดทรัพย์ มูลนิธิต่างๆ ไว้ล่วงหน้า (ผ่านสภาไปแล้ว) แล้วก็ได้เตรียมตั้ง องค์กร บุคลากร ต่างๆ ไว้ บรรจุตามตำแหน่ง ...ฯลฯก็ลองอ่าน เอกสาร เหล่านี้ แล้วตรองดูแล้วกันนะครับท่าน ว่า มันจริงอย่างที่ผมบอกหรือเปล่า? มาอีกแล้วครับท่าน แผนยึดครองโลกของสหรัฐอเมริกา โดยมุ่งยึดเอาประเทศไทย เป็นศูนย์กลาง ทำไม?? เป็น html และ doc ครับ แฉ .. แผนทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ของวาติกัน ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา (ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ) วิเคราะห์โดย อาจารย์คณิน บุญสุวรรณ ทนายความชื่อดัง (30 กรกฎาคม 2542) เอกสารฉบับ หลักการและเหตุประกอบ - ร่าง พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครอง(ทำลาย)พระพุทธศาสนา (พ.ร.บ. ฆราวาสปกครองพระ)เป็นไฟล์ Microsoft Word 97 (doc) แบ่งออกเป็น ๒ ไฟล์ เชิญดาวน์โหลด --- > ไฟล์ที่ 1 , ไฟล์ที่ 2 (18 กรกฎาคม 2542) ร่าง พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครอง(ทำลาย)พระพุทธศาสนา (พ.ร.บ. ฆราวาสปกครองพระ) ตอนที่ 1(ฉบับวิจารณ์ย่อ) ร่าง พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครอง(ทำลาย)พระพุทธศาสนา (พ.ร.บ. ฆราวาสปกครองพระ) ตอนที่ 2 (ฉบับวิจารณ์) ความวิตกห่วงใยต่อพุทธศาสนา ในประเทศไทย ของพระเถระผู้ใหญ่ - กระทู้พันธุ์ทิพย์ (พ.ร.บ.ฆราวาสปกครองพระ) ศึกธรรมยุต - มหานิกาย กำลังบานปลาย - พระมหานิกาย แถลงการณ์ถึงชาวพุทธ เพื่อความอยู่รอดของคณะสงฆ์ (พระลิขิต) - พระนิสิต แถลงการณ์ถึงชาวพุทธ พระสังฆราชกำลังตกอยู่ในอันตราย (พระลิขิต) - ศิษย์วัดบวรฯ ขันทีห้องกระจก - กลุ่มปกป้องสมเด็จพระสังฆราชฯ พระพุทธศาสนากำลังถูกทำลายให้หมดจากประเทศไทย (คณะกรรมาธิการศาสนาฯ) - ชาวพุทธhttp://www.geocities.com/Tokyo/Highrise/3418/
     
  2. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    แผนยึดครองโลกของสหรัฐอเมริกาเอกสารสำหรับคนไทย-ชาวพุทธ จากสภาพความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุที่เป็นไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้ชาวไทยทุกคนคุ้นเคยกับคำว่า
     
  3. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    แผนทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทย(1) ดำเนินการโดยสำนักวาติกัน กรุงโรมประเทศอิตาลี คาทอลิกซึ่งเป็นที่ประชุม กำหนดนโยบายต่ออินโดจีน เอเชียใต้และประเทศไทย สภาบาทหลวงแห่งประเทศฝรั่งเศส เป็นหน่วยงานที่รับนโยบายมาปฏิบัติการ ในอินโดจีนและเอเชียใต้ ในฐานะประเทศเหล่านั้น เคยเป็นอาณานิคมของตน(2) ทุนดำเนินการ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ (2.1) ทุนซื้ออาวุธให้กระเหรี่ยงคริสต์กู้ชาติในพม่าและฟิลิปปินส์ ขณะนี้กระเหรื่ยงพุทธได้แยกตัวออกมาจากการต่อสู้และได้ขึ้นต่อรัฐบาลทหารพม่าแล้ว (2.2) ทุนสื่อสารมวลชนที่เรียกว่า ทุนสื่อสารมวลชนคาทอลิกภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ อยู่เบื้องหลังสื่อสารมวลชน ประเภท หนังสือพิมพ์ และรายการโทรทัศน์ต่างๆ ในประเทศไทย (2.3) ทุน เอ็น.จี.โอ. ที่เรียกว่าองค์กรเอกชนมีสำนักงานอยู่ในประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย เป็นทุนที่สนับสนุนรางวัลแมกไซไซ(3) ทุนที่ 2 และ 3 ที่ทุ่มเข้ามาในประเทศไทยในรูปแบบต่างๆ ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดในปี พ.ศ. 2525 และมาปรากฏผลในปี พ.ศ. 2527 เมื่อวิทยาลัยแสงธรรมของคาทอลิก ในประเทศไทย รับนโยบายมาดำเนินการถูกเปิดเผยขึ้น โดยชาวเยอรมันที่รู้เรื่องนี้ดี และได้มอบเอกสารบางส่วนที่รับมาจากวาติกันให้กับนักวิชาการไทย และจากเอกสาร บันทึก การประชุม กำหนดนโยบายที่บ้าน ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ อดีตบาทหลวงข้างโรงเรียนเซนคาเบรียลหรือบ้านญวนถูกเปิดเผยขึ้น(4) กองทุนสื่อสารมวลชนคาทอลิกภาคพื้นแปซิฟิกนี้ ในประเทศไทยดำเนินการโดยผ่านนายชัยณรงค์ มณเฑียรวิเชียรฉาย (อัศวินแห่งวาติกัน) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของ ฝรั่ง ชาวเยอรมันที่ให้ข้อมูลนี้ และดร. เสรี พงษ์พิศ อดีตบาทหลวง และอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันดำเนินการเป็นประธานมูลนิธิพัฒนาชนบท ในรูปขององค์กร เอกชน ในด้านหนังสือพิมพ์ผ่านหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น กรุงเทพธุรกิจ มติชน ข่าวสด รวมวิทยุโทรทัศน์ ดำเนินการผ่านบุคคลต่อไปนี้ นายสุทธิชัย หยุ่น นายขรรค์ชัย บุญปาน นายเกียรติชัย พงษ์พานิช นายสมเกียรติ อ่อนวิมล นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โดยใช้สิ่งสื่อชื่อรายการต่างๆ นายสุทธิชัย หยุ่น ได้รับสัมปทานรายการวิทยุ และโทรทัศน์ ร่วมกับนายสมเกียรติ อ่อนวิมล บริษัท แปซิฟิคมากที่สุดข้อสังเกต 1. รายการวิทยุโปรแกรมต่างๆ ก็ดี ดาราที่แสดงนำก็ดี นักร้องที่แสดงโทรทัศน์ก็ดี ฉากหรือแฟชั่นการแต่งตัวดาราก็ดี จะต้องมีเครื่องหมายไม้กางเขนติดอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะดาราภาพยนต์คนที่จะสนับสนุน ต้องแต่งตัวที่มีแฟชั่นไม้กางเขน และสนับสนุนดาราที่นับถือศาสนาคริสต์เป็นพิเศษ เช่น จินตรา สุขพัฒน์ อัญชลี จงคดีกิจ 2. หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ลงข่าวต่างๆ จะเป็นไปในลักษณะที่เป็นข่าว แต่หนังสือพิมพ์ดังต่อไปนี้ มติชน กรุงเทพธุรกิจ เดอะเนชั่น ข่าวสด ถ้าเกี่ยวกับพุทธศาสนา จะใช้วิธีวิเคราะห์เจาะลึก ชี้นำให้เป็นที่ติดตามของหนังสือพิมพ์อื่นๆ 3. บทบาทที่เห็นได้ชัดของบุคคลที่ดำเนินการ เช่นเมื่อเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ รายการโทรทัศน์ของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นของนายสุทธิชัย หยุ่น มติชนของนายขรรค์ชัย บุญปาน มีบทบาทอย่างมากในการชี้นำขับไล่รัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร โดยเชียร์พลตรีจำลอง ศรีเมือง ขึ้นเป็นพระเอกในฐานะ ได้รับรางวัล แมกไซไซ(5) เป้าหมายประเทศไทย (5.1) เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเดียว ที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก เป็นปราการที่แข็งแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง แต่จุดอ่อนอยู่ที่การเผยแพร่ศาสนาไปแบบต่างคนต่างทำ ไม่เป็นเอกภาพโดยเฉพาะเป็นการประกาศธรรมเฉพาะในวัดของตน (5.2) ประเทศไทยมีระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภก ทำให้เกิดสถาบันทั้ง 3 คือ สถาบันชาติได้แก่ ทหาร ประชาชน สถาบัน พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะเชื่อมโยงเป็นเอกภาพ ทำให้ลัทธิอื่นโดยเฉพาะศาสนาคริสต์ ที่ใช้ความพยายามที่จะเปลี่ยนสังคมไทย มาเป็นเวลากว่า 400 ปี ไม่ประสบ ผลสำเร็จ (5.3) ตราบใดที่ละลายความเข้มแข็งทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ ลัทธิอื่นก็ไม่สามารถที่จะเผยแพร่เข้าสังคมไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ พระสงฆ์เป็นศูนย์ศรัทธาของ ประชาชน เป็นพยานคำสอนของพระพุทธเจ้า ดำรงชีวิตแตกต่างจากคฤหัสถ์(6) ยุทธวิธีแทรกซึมและทำลาย (6.1) จากประสบการณ์ที่ผ่านไป ทำให้ได้รับคำตอบจากการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้วได้พบว่า คำสอนในศาสนาพุทธเป็นจุดแข็ง ที่คาทอลิกพยายามที่จะหักล้าง มาตลอด เป็นการโจมตีตรงๆ ที่เรียกว่า มิชชั่น เห็นว่าไม่ได้ผล เพราะพระสงฆ์ในฐานะเป็นศูนย์รวมศรัทธาของประชาชน แต่มีจุดอ่อนที่สามารถทำลายได้ง่ายกว่าข้อ (2) (6.2) จากอดีตถึงปัจจุบันบทบาทที่พบมากที่สุดคือ การร่วมกับขบวนการทางการเมืองในการโจมตีรัฐบาล เช่นในสมัย 14 ตุลาคม 2516 ร่วมกับขบวนการล้ม รัฐบาล ถนอม ประภาส และในปี 2519 วันที่ 6 ตุลาคมในรัฐบาลของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช และพฤษภาคม 2535 เกิดพฤษภาทมิฬรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร บุคคลต่างๆ ที่แฝงตัวอยู่ในรูปนักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ ได้แสดงตัวออกมาอย่างชัดเจน การอยู่เบื้องหลังของบุคคลเหล่านี้ ทำให้ประชาชนขบวนการนิสิตนักศึกษาชนกับรัฐบาล โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง พยายามจะให้ชนกับองค์ประมุข เช่น อย่างเหตุการณ์ 14 ตุลาคม เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ (6.3) บทบาทในศาสนา บนหลักการและนโยบายที่ว่าการทำลายพุทธศาสนา ต้องทำลายพระภิกษุเพราะพระสงฆ์ คือ มวลชนที่สัมพันธ์อยู่กับประชาชน อย่างแยก ไม่ออก เป็นผู้ประกาศ และรักษาพุทธศาสนา ที่มีจุดอ่อนที่สุด โดยยุทธวิธีนารีพิฆาต จึงเกิดขึ้นตามมา และได้ผลตลอดมา เป็นการโยนเผือกร้อน เข้าปากคณะสงฆ์ และจัดการ กันเองยกตัวอย่างเช่นตัวอย่างที่ 1 ในปี พ.ศ. 2521 พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย แห่งวัดเขาสุกิม จันทบุรี ถูกพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ กล่าวโทษว่า เป็นคอมมิวนิสต์สายรัสเซียนำเรื่องเข้า กอ.รมน. จนกระทั่ง เลขานุการ มหาเถรสมาคมในสมัยนั้น ร้อยเอกสุภาพ สุภูตโยธิน ต้องดำเนินการช่วยเหลือรอดมาได้ (ภรรยาของพลเรือเอกสงัดฯ นับถือศาสนาคริสต์ แม้พลเรือเอกสงัดฯ จะถึงแก่กรรม แต่ศพ ก็ยังฝังตามลัทธิคริสต์)ตัวอย่างที่ 2 พระเถระผู้เป็นผู้นำชุมชนที่มีชื่อเสียงในภาคต่างๆ ในปี พ.ศ. 2535 ในปีเดียวเสียชีวิตด้วยโรคเดียวกันถึง 13 ท่านและถูกกล่าวหาอาบัติปาราชิก 7 ท่าน โดยเฉพาะ อาจารย์กรรมฐานทางภาคอีสาน เช่นพระอาจารย์แบนฯ วัดป่าดอยธรรมเจดีย์ก็รู้เรื่องนี้ดี พระราชธรรมนิเทศแห่งวัดบวรวิหาร ก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีตัวอย่างที่ 3 เรื่องคดีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เจ้าคุณอุดมฯ แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ได้ถูกหนังสือพิมพ์มติชน ดำเนินการเกาะติด เขี่ยคุ้ย เอาเรื่องจนในที่สุด หนังสือพิมพ์มติชน ถือว่า เป็นความสูงสุด เพราะทำให้ศรัทธาประชาชน ที่มีต่อสถาบันกษัตริย์สั่นคลอนตัวอย่างที่ 4 พระกิตติวุฑโฒ ซึ่งมีบทบาทเคลื่อนไหวเข้าถึงชุมชนมาโดยตลอด เป็นพระภิกษุที่มองการณ์ไกล มีความเคลื่อนไหวอยู่เสมอ จึงถูกจ้องทำลายหลายต่อหลายครั้ง การเล่นงานพระนิกรธรรมวาทีนั้น เป้าหมายที่แท้จริงคือ พระกิตติวุฑโฒ ในปี พ.ศ. 2537 ถูกแจ้งความดำเนินคดีที่โรงพักชนะสงคราม เกี่ยวกับเงินซื้อที่ดิน เพื่อปลูกป่า จริง ๆ มีปัญหากันมาตั้งแต่ 2 ปีแล้ว แต่ทำไมจึงแจ้งจับในสัปดาห์วิสาขบูชา ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่คนไทยทั้งชาติ ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนา และประโคมข่าว ให้เป็นความ เสียหาย และภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อศรัทธา และต้องให้พลตรีเสรีย์ เตมีย์เวส เป็นผู้ประกาศจับ(ยศขณะนั้น) กรณีของพระยันตระ(พระวินัย อมโร) ถือว่าเป็นเหยื่อที่ชัดเจนที่สุด เป็นเหตุการณ์ที่แสดงถึงบุคคล 3 พวก ที่ปรากฏชัดเจน 1. บุคคลที่อยู่เบื้องหลัง 2. บุคคลที่รับเงิน 3. บุคคลที่ตกเป็นเครื่องมือ เพราะเรื่องของพระยันตระใช้เวลายาวนานมาก ต่างจากเหตุการณ์อื่นๆทั้งหมดเป็นเวลา 1 ปีกว่า เรื่องยังไม่จบ บุคคลที่ปรากฏตัวแสดงออกในตอนแรก และคุม เกมส์นี้ ในเบื้องต้นคือ นายสุทธิชัย หยุ่น โดยหนังสือพิมพ์ เดอะเนชั่น กรุงเทพธุรกิจ นายขรรค์ชัย บุญปาน หนังสือพิมพ์มติชน และนายเกียรติชัย พงษ์พานิช หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ผู้ปฏิบัติการ น.ส. ทิพย์วรรณ ทิพย์ทัศน์ ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร นางบุญช่วย รุกขชาติ คนที่ตกเป็นเครื่องมือคือหม่อมดุษฎี บรพัตร นางแก้วตา หม่องจินดา นางจันทิมา มายะรังษี บุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อผลประโยชน์ที่ชัดเจนคือนายเสถียรพงษ์ วรรณปก นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผู้ที่คุมนโยบายคือ ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ บรพัตร ผู้ดำเนินการได้วางแผนอย่างแยบยล และติดตามเรื่องนี้ก่อนเปิดประเด็นใช้เวลาอยู่ 2 ปี ประชุมครั้งสุดท้าย ก่อนปีใหม่เดือนธันวาคม 2536 โดยจะเปิดประเด็นในวันปีใหม่ 2537 แต่ที่ประชุมคัดค้านกันเอง ขอให้ผ่านบรรยากาศปีใหม่ไปก่อนเ พราะเป็นเรื่องเสียหายต่อบรรยากาศ จึงเปิดประเด็นในวันที่ 16 มกราคม 2537 บุคคลที่ดำเนินการให้ข้อมูลในเบื้องต้น มี นพ. ประเวศ วะสี ดร. ระวี ภาวิไล เป็นที่น่าสงสัยว่าขณะนี้ นายเสถียรพงษ์ วรรณปก ได้แสดงบทบาทเป็นตัวตั้งตัวตี ด้านพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต และมหานิกาย และเนื้อเรื่องการเขียนอยู่ที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ไม่ตกลงที่จะร่วมมือกับเรื่องนี้ นายเสถียรพงษ์ รู้สึกอึดอัด จึงมารวมกลุ่มกับมติชน และข่าวสด เป็นผลให้เกิดการกระทบกระทั่งขัดแย้งกันกับ คอลัมนิสต์ปฐมพงษ์ โพธิประสิทธินันท์ ที่เขียนอยู่กับนายขรรค์ชัย บุญปาน ประกาศขีดเส้นตายว่า เรื่องยันตระ ต้องจบสิ้นในวันที่ 15 มีนาคม ประกาศให้ผู้สื่อข่าวได้ยินว่า ฟันพระยันตระไม่ตาย เราแขวนคอตายดีกว่า เครื่องราชใหญ่กว่า เรายังล้มได้ เมื่อพ้น 3 เดิอนไปแล้ว จึงมอบ นโยบาย ให้นายเกียรติชัย พงษ์พานิช ดำเนินการต่อเป็นขั้น สาเหตุที่พระยันตระ ตกเป็นเหยื่อที่ชัดเจนที่สุดยิ่งกว่า กิตติวุฑโฒเพราะ พระยันตระ ดำเนินการเผยแพร่พุทธศาสนา แบบเชิงรุกทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะ ในยุโรปและออสเตรเลีย เป็นการดำเนินการเผยแพร่ที่ได้ผล ทำให้สมาคมคาธอลิกแห่งยุโรป ซึ่งมีศูนย์กลางที่ฝรั่งเศส ต้องติดตามบทบาทอยู่ถึง 2 ปี อดีตนักประกาศ ศาสนา ชาวเยอรมันได้เปิดเผยกับอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยความรู้สึกว่าเขาสงสารคนไทย เพราะเขาชอบวัฒนธรรมไทย ไม่อยาก เห็น สังคมไทยแตกแยก และเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม เขาไม่รังเกียจพระพุทธสาสนา เพราะศาสนาพุทธเป็นวัฒนธรรมสายหนึ่งของมนุษยชาติ เขาจึงเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ ตอนกลางปี พ.ศ. 2537 อดีตรองอธิการบดีท่านหนึ่ง ได้ทำการวิเคราะห์ เหตุการณ์นี้ โดยเพียงเพ่งมองไปที่บุคคลต่างๆ ที่แสดงอยู่ในเกณฑ์นี้ ยืนยันว่า 100% เงินที่มาดำเนินการนั้น ส่วนหนึ่งมาจากวาติกัน และวิเคราะห์ได้คำตอบตรงกันกับ ฝรั่งชาวเยอรมันให้ข้อมูล สาเหตุที่พระยันตระถูกทำลาย เนื่องจากพระยันตระ มีบทบาทในต่างประเทศมากนี่เอง ทำให้คาธอลิคถือว่า เป็นอันตรายที่จะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ของ พวกเขา ดังนั้นจึงต้องหาทางทำลาย สาเหตุที่พระยันตระ ถูกกล่าวร้ายในประเทศไทยประการที่ 1 พระยันตระเป็นชาวใต้ ประการที่ 2 พระยันตระบวชเป็นพระธรรมยุต การตีพระยันตระ หมายถึงการกระทบสมเด็จพระสังฆราช ประการที่ 3 มีนักการเมืองในรัฐบาลปัจจุบันเลื่อมใสมาก วิเคราะห์เหตุการณ์ปัจจุบันของพระยันตระ ข้อที่ 1 จากรูปแบบการทำลายโดยสื่อสารมวลชน ดำเนินการเช่นเดียวกับการล้มรัฐบาลถนอม ประภาส รัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร โดยสร้างกระแสให้เกิดว่า เป็นความชอบธรรม นั่นคือสื่อสารมวลชนตั้งตนเป็นโจทก์เสียเอง กรณีพระยันตระ เป็นเรื่องบุคคลแต่ผลักดันให้เป็นเรื่องส่วนรวม พระยันตระเป็นพระลูกวัด แต่ผลักดันให้เป็นเรื่องใหญ่ระดับเถรสมาคม ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชต้องเกี่ยวข้อง ข้อที่ 2 เมื่อเห็นว่าการต่อสู้ยืดเยื้อยาวนาน ความจริงเริ่มปรากฏไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายโจทก์หรือผู้กล่าวหา ประชาชนเริ่มเข้าและเห็นใจผู้ถูกกล่าวหา กลุ่มบุคคลผู้ดำเนินการ จึงใช้วิธีรวบรัดโดยการทำให้เกิดการปะทะชนกัน ระหว่างผู้ถูกกล่าวหาและกรมการศาสนา ในขณะเดียวกัน ก็พยายามทำลายความเชื่อถือ ของศาลสงฆ์ โดยยกภาคยกถิ่นนิยม ขึ้นมา ข้อที่ 3 เพื่อที่จะให้ประชาชนคล้อยตามและสร้างภาพให้พระยันตระเป็นผู้ผิดอย่างแท้จริง ไม่พยายามที่จะให้มีการดำเนินงานตามขั้นตอนคือ ตามกฎนิคหกรรม ที่ นักวิชาการ นายเสถียรพงษ์ วรรณปก นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นต้น เข้ากราบทูลสมเด็จพระสังฆราชตั้งแต่ตอนแรก โดยพยายามรวบรัด เสนอประเด็นขัดแย้งขึ้นมา เช่น การเจาะเลือด หรือพยายามชี้นำให้คณะสงฆ์ ใช้อำนาจพิเศษมาตรา 27 ทำการสึกพระยันตระ โดยไม่ต้องมีการสอบสวน เป็นต้น ผลร้ายที่ตามมากรณีที่มหาเถรสมาคม ใช้มาตรา 27 ต่อพระยันตระ ข้อที่ 1 จะก่อให้เกิดนิกายใหม่ ข้อที่ 2 ศาลสงฆ์หรือดำเนินการตามกฏนิคหกรรม ซึ่งมหาเถรสมาคมตั้งขึ้นเองตามพระราชบัญญัติ การปกครองตามคณะสงฆ์นั้นก็ไร้ความหมาย เป็นการเขียน ด้วยมือ แต่ลบด้วยเท้าหาหลักเกณฑ์อะไรมิได้ มหาเถรสมาคมจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ ข้อที่ 3 ไม่มีระบอบประกันความยุติธรรมในคณะสงฆ์เมื่อพระภิกษุถูกกล่าวหา มหาเถรสมาคมก็จะไม่เป็นองค์กรสูงสุด ที่พระสงฆ์ในราชอาณาจักรนี้เพิ่งได้ ข้อที่ 4 จะเกิดภาวะเอาตัวรอดแบบตัวใครตัวมันในวงการสงฆ์ ขาดความเคารพนับถือยำเกรงระหว่างพระผู้น้อยกับพระผู้ใหญ่ กรณีพระยันตระเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ที่จะต้องมีตัวอย่างรายอื่นเกิดขึ้นอีกต่อไป โดยเฉพาะอาจเกิดขึ้นกับพระผู้ใหญ่ ภายในอีกไม่นาน และตอนนี้ก็มา พระภาวนาพุทโธ วัดสามพรานแล้ว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวิทยาลัยแสงธรรมของคาทอลิคนัก แล้วเหยื่อรายต่อไปจะเป็นองค์กรไหน วัดไหน ก่อนหลัง?วัดชลประทานรังสฤษฏ์ วัดสวนแก้ว วัดบวรนิเวศวิหาร วัดพระธรรมกาย วัดสังฆทาน .....ฯลฯ.... ภัยของพระพุทธศาสนากำลังเข้ามาถึงพุทธศาสนิกชนทุกคนแล้ว เราจะมัวนั่งเชื่อหนังสือพิมพ์ที่กำลังขายศาสนา(พุทธ) อยู่ได้อย่างไร ลุกขึ้นเถิดชาวพุทธทั้งหลาย อย่าให้หนังสือพิมพ์ชั่วๆ บางฉบับจูงจมูกเราเลย --------------------------------------------------------------------------------
     
  4. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา(ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ)******************************1. ชื่อร่างพระราชบัญญัติกับเนื้อหาและหลักการในตัวร่างพระราชบัญญัติ ขัดแย้งกันเอง เพราะในขณะที่ชื่อร่าง เป็นเรื่องของการอุปถัมภ์และคุ้มครอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย ที่จะให้เป็น "คุณ" แก่พระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชน แต่ในเนื้อหาและหลักการ กลับมีแต่เรื่องการควบคุม การปกครอง การจัดการผลประโยชน์ และการ "ลงโทษ" แทบจะทั้งสิ้น2. เป็นกฎหมายที่จะลดบทบาทและฐานะของ "พระสงฆ์" ในพระพุทธศาสนา ให้เป็นเพียง "บุคลากร" ทางศาสนา ที่อยู่ในอาณัติและการควบคุมของ "รัฐ" เท่านั้น และ จะทำให้ "พระสงฆ์" สูญสิ้นความเป็นอิสระและความเป็นองค์กรหลัก ในการสืบทอดและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพราะจะต้องปฏิบัติตามระเบียบ คำสั่ง และนโยบายของ "องค์กรของรัฐ" ที่มีชื่อว่า "คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา" ซึ่งมี นักการเมือง เป็นประธาน มิฉะนั้นจะมีความผิดและถูกลงโทษ3. ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 73 ที่ว่า "รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่น ส่งเสริมความ เข้าใจ อันดี และความสมานฉันท์ ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา รวมทั้งสนับสนุน การนำหลักธรรมของศาสนา มาใช้ เพื่อเสริมสร้างคุณธรรม และพัฒนาคุณภาพชีวิต" เพราะในขณะที่มาตรา 73 ซึ่งอยู่ในหมวด แนวนโยบายพื้นฐาน แห่งรัฐของรัฐธรรมนูญนั้น ถือเป็น "หน้าที่" ของรัฐที่จะต้องให้ความคุ้มครอง และอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา แต่ในตัวร่างพระราชบัญญัติ กลับมากำหนดให้เป็น "หน้าที่" ของบุคคลอื่นนอกจากรัฐ เช่น "หน้าที่ของพุทธศาสนิกชน" หรือ "หน้าที่ของพระสงฆ์" เป็นต้น4. หากพิจารณาดูตามมาตรา 73 ของรัฐธรรมนูญแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายมารองรับในรูปของพระราชบัญญัติ เพราะมาตรา 73 ดังกล่าว บังคับ "รัฐ" ให้ทำอะไร ต่ออะไร หลายอย่าง ที่เป็นคุณต่อศาสนาและประชาชน แต่การออกเป็นพระราชบัญญัติ กลับเป็นการบังคับ "ประชาชน" และบุคลากรทางศาสนา รวมทั้งพุทธศาสนิกชน ทุกคน ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง5. การออกกฎหมายเพื่อจัดตั้งองค์กรของรัฐมา "จัดระเบียบ" และ "ควบคุม" พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ นอกจากจะขัดแย้งกับมาตรา 73 ของรัฐธรรมนูญที่ให้รัฐ "อุปถัมภ์ และ คุ้มครองพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่น" แล้ว ยังจะทำให้เกิด การแยกตัวเป็นเอกเทศ ภายใต้กฎหมายแต่ละฉบับ ของแต่ละศาสนา อันเป็นเหตุให้มีการแบ่งแยก กันในสังคม อย่างชัดเจน ระหว่างคนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชน กับคนไทยที่นับถือศาสนาอื่น และในที่สุด จะทำให้เกิดความเหลื่อมลํ้า และการเลือกปฏิบัติ ระหว่างคนไทย ที่เป็นพุทธศาสนิกชน กับคนไทยที่นับถือศาสนาอื่น6. มาตรา 6 ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ที่บังคับให้พุทธศาสนิกชนมีหน้าที่รวม 8 ประการนั้นขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 38 วรรคหนึ่งที่ว่า"บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ ในการถือศาสนา และการปฏิบัติตาม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรม ตามความเชื่อถือของตน" อย่างชัดแจ้ง ถือเป็นการออกกฎหมายลูก มาล้างกฎหมายแม่คือรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เพราะการออกกฎหมายบังคับให้ "พุทธศาสนิกชน" มีหน้าที่ ต้องทำบุญ กุศล บริจาคทรัพย์ เอาใจใส่ติดตามเหตุการณ์ ที่เป็นภยันตรายต่อ พระพุทธศาสนา รายงานต่อเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ แสดงตนเป็นพุทธมามกะ และดำรงไว้ ซึ่งพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเพียงบางส่วน ในมาตรา 6 ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ นั้น ขัดต่อบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญมาตรา 38 วรรคสองที่ว่า"ในการใช้เสรีภาพดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง มิให้รัฐกระทำการใดๆ อันเป็นการรอนสิทธิ หรือเสียประโยชน์ อันควรมีควรได้ เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรม ตามความเชื่อถือ แตกต่างจาก บุคคลอื่น" ทั้งนี้เพราะ "คนไทย" ทุกคนจะสูญเสียเสรีภาพ ตามมาตรา 38 ของรัฐธรรมนูญทันที เพียงเพราะเขานับถือศาสนาพุทธเท่านั้น7. กฎหมายฉบับนี้ ถ้าออกมาใช้บังคับ จะมีผลทำให้ "มหาเถรสมาคม" อันเป็นองค์กรหลักของพระพุทธศาสนาและการปกครองคณะสงฆ์มาตลอดเป็นเวลานับร้อยปี มีอันต้องเสื่อมสลาย ทั้งนี้เพราะไม่ปรากฏบทบาท ความสำคัญ และอำนาจหน้าที่อันเป็นรูปธรรมของมหาเถรสมาคมเลยแม้แต่น้อยในกฎหมายฉบับนี้ และที่น่าฉงน สนเท่ห์มากก็คือ ในมาตรา 4 ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ที่ให้คำจำกัดความของคำต่างๆ ไว้มากมาย เช่น "ศาสนบุคคล" "ศาสนวัตถุ" "อุปถัมภ์" "ทรัพย์สินส่วน พระพุทธศาสนา" "คณะกรรมการทรัพย์สิน" หรือแม้แต่คำว่า "แม่ชี" แต่กลับไม่มีคำว่า "มหาเถรสมาคม" 8. ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ หากมีผลใช้บังคับ อาจนำไปสู่การแปลงโฉม "ศาสนจักร" ให้เป็น "พุทธอาณาจักร" ซึ่งจะอยู่ภายใต้การปกครองและควบคุมของ "คณะกรรมการอุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" ตามมาตรา 11 อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด9. โครงสร้างของ "คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" ตามมาตรา 11 มีสภาพและฐานะไม่ผิดอะไรกับ "กรมการเมือง" ในระบอบการเมือง แบบหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะประกอบด้วย นักการเมือง ข้าราชการประจำ และฆราวาสจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างล้นเหลือ ต่อวงการพระพุทธศาสนา ซึ่งลักษณะคล้าย "กรมการเมือง" ดังกล่าว ยังได้ขยายและแผ่อำนาจลงไปถึง "คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา ส่วนกรุงเทพมหานคร" ตามมาตรา 19 "คณะกรรมการอุปถัมภ์ และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา ส่วนจังหวัด" ตามมาตรา 17 และยังคุมลงไปถึง "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" อีกด้วยในระดับชาติ มีนักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการเป็นหัวหน้าใหญ่ นอกนั้นก็มีบรรดา ปลัดกระทรวงหลักๆ ร่วมเป็นกรรมการ มีผู้บัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมการศาสนา และ ฯลฯ เป็นกรรมการ และมีฆราวาสจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีนายกพุทธสมาคม แห่งประเทศไทย และประธานสภา ยุวพุทธิกสมาคม แห่งชาติ เป็นแกน พร้อมทั้งมีผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวน 12-15 คน เป็นกรรมการในระดับจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าใหญ่ และมีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งเป็นนักการเมืองเป็น รองประธาน มีนายกเทศมนตรี ซึ่งเป็น นักการเมือง เช่นกัน เป็นกรรมการ และที่น่าสังเกต จะมีนายกพุทธสมาคม ประจำจังหวัด และนายกยุวพุทธิกสมาคม ประจำจังหวัด พร้อมทั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12-15 คน ซึ่ง รัฐมนตรีแต่งตั้ง ร่วมเป็นกรรมการด้วยดังนั้น จึงเห็นได้ว่า องค์กรซึ่งมีลักษณะคล้าย "กรมการเมือง" เช่นว่านี้ จะมีอำนาจครอบคลุม และมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต ของชาวพุทธทั้งมวล ในทุกๆ ระดับ ซึ่งจะเป็นอันตราย อย่างยิ่ง ถ้าหากคณะบุคคล ซึ่งยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ในองค์กรนี้ ทั้งในระดับชาติ และระดับจังหวัด ใช้อำนาจ กลไก และผลประโยชน์ ภายใต้การยึดกุมของตน ทำการสร้าง อาณาจักร ทางการเมือง การปกครองขึ้นมา ซ้อนกับองค์กร และอำนาจทางการเมือง ของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ10.ในขณะที่ "คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" ตามมาตรา 11 ประกอบด้วย นักการเมืองและข้าราชการประจำ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคงจะส่ง ตัวแทน ที่ไม่มีปากเสียง เข้าไปเป็นกรรมการ หรือประชุมแทน นั้น จะมี "ฆราวาส" จำนวนหนึ่ง ซึ่งมี นายกพุทธสมาคม แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นแกนหลัก ซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็นประธาน ในที่ประชุม ทุกครั้งที่ประธานหรือรองประธาน ไม่มา หรือถึงจะมา "ฆราวาส" สองคนดังกล่าว ก็สามารถกำหนดเกม และชี้นำมติของการประชุมได้ เพราะในที่ประชุมทุกครั้ง จะประกอบด้วยบรรดาตัวแทน ซึ่งไม่มีปากเสียง เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้เป็นไปตาม มาตรา 15 ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ดังนั้น ถ้าหากกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับ คนที่จะมีอำนาจยึดกุมและปกครอง "พุทธอาณาจักร" ของประเทศไทยแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็จะได้แก่ "ฆราวาส" สองคน ที่เป็น นายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย และประธานยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่งใน "คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา แห่งชาติ" นั่นเอง11.เป็นที่น่าสังเกตว่า "คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" ตามมาตรา 11 ซึ่งมีอำนาจมากมายถึง 13 ข้อตามมาตรา 14 นั้น ไม่มีการกำหนดวาระ ในการดำรงตำแหน่ง ดังนั้น ในขณะที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 12-15 คน รวมทั้งนักการเมือง และข้าราชการประจำ ที่เป็นประธาน รองประธาน และกรรมการ ต้องพ้นจากตำแหน่ง ไปตามวาระของตำแหน่งต้นสังกัด หรือไม่ก็ถูกเปลี่ยนแปลงบุคคล เข้ามาเป็นกรรมการนั้น "ฆราวาส" สองคน ซึ่งเป็น นายกพุทธสมาคม แห่ง ประเทศไทย และประธานสภา ยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ จะสามารถดำรงตำแหน่งได้ตลอดไป12.เป็นที่น่าสังเกตอีกเช่นกันว่า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 12-15 คน ในส่วนที่เป็น "ฆราวาส" ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็นกรรมการฯ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปีนั้น ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ มิได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งเอาไว้ ดังนั้น จึงหมายความว่าจะแต่งตั้งใครก็ได้ แม้แต่นักการเมือง ข้าราชการประจำ หรือพ่อค้านักธุรกิจ ซึ่งอาจเป็นช่องทาง ที่จะทำให้มีการซื้อขายตำแหน่ง หรือเป็นการแต่งตั้ง ในลักษณะต่างตอบแทน หรือปูนบำเหน็จกัน ในทาง การเมืองได้ และในที่สุด ก็อาจจะได้ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ไม่ได้มีความเลื่อมใสศรัทธา ในพระพุทธศาสนา อย่างจริงใจ และไม่มีความรู้ความเข้าใจ ในหลักธรรมของ พระพุทธศาสนา อย่างถ่องแท้ได้ ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ต่อการสืบสานและเผยแพร่ พระพุทธศาสนา ให้ยั่งยืน13.อำนาจหน้าที่ของ "คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" รวม 13 ข้อ ตามมาตรา 14 นั้น มีมาก กว้างขวาง และไร้การตรวจสอบ จนน่ากลัวว่า จะถูกใช้ไปในการแสวงหาผลประโยชน์และอำนาจทางการเมือง หรือกลายเป็นดาบสองคม ถึงขั้นทำลายความมั่นคงของพระพุทธศาสนาได้ ตัวอย่างเช่น (2) กำหนด นโยบาย แนวทาง และมาตรการในการคุ้มครองพระพุทธศาสนา (3) กำหนดมาตรฐาน ศีลธรรมจริยธรรมและคุณธรรม เพื่อใช้เป็นหลักในการจัด การศึกษาแห่งชาติ (4) อนุมัติแผนงาน โครงการ และงบประมาณฯ (6) ป้องกันและขจัดผู้ปลอมตน ผู้ต้องห้าม หรือไม่เหมาะสม ที่จะเข้ามาอุปสมบท ในพระพุทธศาสนาฯ (8) จัดตั้ง รวม ยุบเลิก ชมรม พระพุทธศาสนา และพุทธธรรมสถาน เพื่อศาสนศึกษา ในส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และสถานศึกษา และ (11) เรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งวัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐาน มาประกอบการพิจารณา และตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ เป็นต้น 14.การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ตามมาตรา 15 โดยให้ถือเสียงข้างมากนั้น จะเป็นช่องทางให้ นายกพุทธสมาคม และประธาน สภายุวพุทธิกสมาคม ซึ่งเป็นกรรมการหลัก ประเภทถาวร ร่วมกับกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ อีกไม่กี่คน ทำการชี้ขาด และกำหนดมติ อันกระทบต่อความเป็นไปของ พระพุทธศาสนา ได้ ทั้งนี้เพราะองค์ประชุม ได้กำหนดไว้เพียง กึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด ดังนั้น เพียงแค่มีกรรมการมาประชุม 15-16 คน ก็เป็นองค์ประชุม และมีเสียงเพียงแค่ 8-9 คน ก็เป็นมติที่จะมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่ออนาคต และชะตากรรมของ พระพุทธศาสนาได้แล้ว15.ข้อความในมาตรา 25 ที่ว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและคฤหัสถ์หรือคณะสงฆ์ เป็นผู้ขอสร้าง รวม ย้าย ยุบเลิก ยกวัดร้างขึ้นเป็นวัด มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ขอพระราชทาน วิสุงคามสีมา และยกวัดขึ้นเป็นพระอารามหลวง" จะทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้มีอิทธิพล ในท้องถิ่น เข้ามามีอิทธิพล ครอบงำวงการสงฆ์ การดำเนินงานของวัด และชุมชนชาวพุทธ รวมทั้งหาประโยชน์จาก พุทธพาณิชย์ ได้อย่างสะดวกง่ายดาย ซึ่งจะทำให้วัดและพระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งเจ้าอาวาสวัด ขาดความ เป็นอิสระ16.ข้อความในมาตรา 34 ที่ว่า "คณะสงฆ์ หน่วยงานพระสังฆาธิการ วัด ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา องค์กรเอกชน และ คณะกรรมการทรัพย์สิน อาจเรี่ยไรเพื่อดำเนินงานพระพุทธศาสนาก็ได้" จะเปิดช่องให้มีการหาประโยชน์ และทำธุรกิจ จากการเรี่ยไร อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ซึ่งถึงแม้ จะต้องขออนุญาต จะถูกควบคุมโดย คณะกรรมการอุปถัมภ ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ตาม กลับยิ่งจะทำให้ ถนนทุกสาย มุ่งเข้าสู่แกนหลัก ผู้มีอิทธิพล สูงสุดใน คณะกรรมการฯ อันจะกลายเป็นศูนย์รวมของผลประโยชน์มหาศาล ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพรวมและความเลื่อมใสศรัทธา ต่อพระพุทธศาสนาเลย แม้แต่น้อย17.ข้อความในมาตรา 35 ที่ว่า "ผู้บริจาคทรัพย์สินอุปถัมภ์คณะสงฆ์ หน่วยงานพระสังฆาธิการวัด และคณะกรรมการทรัพย์สิน อาจนำหลักฐาน มูลค่าการบริจาค ประกอบการ ขอลดหย่อนภาษีเงินได้ หรือในกรณีที่บริจาคอสังหาริมทรัพย์ ให้ได้รับการยกเว้นภาษีอากร และค่าธรรมเนียมการโอน อสังหาริมทรัพย์นั้น แล้วแต่กรณี" จะเป็นช่องทาง ที่ทำให้เกิดการฟอกเงิน ที่ได้มาโดยทุจริต ผิดกฎหมาย หรือการค้ายาเสพติด โดยอาศัยการบริจาคดังกล่าว เป็นเครื่องมือได้18.ข้อความในมาตรา 36 ที่ว่า "ผู้บริจาคทรัพย์สิน ตามมาตรา 35 อาจได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เครื่องหมายตอบแทน หรือเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ตามระเบียบว่าด้วย การนั้น แล้วแต่กรณี" จะเป็นช่องทางให้เกิด การทุจริตและการหาประโยชน์ ในทางมิชอบ เหมือนในอดีต จากกรณีการบริจาค เพื่อขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดังกล่าวได้19.ข้อความในมาตรา 38 ที่ว่า "ศาสนธรรม ต้องได้รับการคุ้มครอง ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการบิดเบือน ฉ้อฉล เหยียดหยาม หรือทำลาย" เป็นข้อความที่ทั้งกว้าง คลุมเครือ และเป็นดาบสองคม ที่จะเป็นช่องทางให้ผู้มีอำนาจ ใช้เป็นเครื่องมือ ในการทำลายบุคคลากร ในทางศาสนา หรือพระสงฆ์ ที่ไม่ยอมอยู่ในโอวาทได้ นับเป็นมาตรา ที่เป็น อันตรายอย่างยิ่งต่อ พระพุทธศาสนา ที่จะถูกคุกคามจากอิทธิพล และอำนาจมืด20."กฎเหล็ก" ในการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติของบุคคล ก่อนที่จะอนุญาตให้บรรพชาอุปสมบท โดยส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ได้รับมอบหมาย จาก กอค.พช. ตามมาตรา 41 จะทำให้บุคคลที่มีความประสงค์จะบวช เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย อย่างบริสุทธิ์ใจ บวชเพื่อทดแทนพระคุณ บุพการี บวชตามประเพณี หรือบวช ตามฤดูกาล เลิกล้มความตั้งใจ ที่จะบวชอีกต่อไป เพราะความยุ่งยาก และระเบียบข้อห้าม ที่หยุมหยิมเกินเหตุ ทำราวกับผู้ที่คิดจะบวช เป็นอาชญากรหรือผู้ร้าย ในทาง ตรงข้าม อาจเป็นการเปิดช่องให ้เจ้าหน้าที่เรียกรับสินบน จากผู้ที่อยากบวช เพื่อหนีอาญาแผ่นดิน หรือโดยมีผลประโยชน์อย่างอื่น แฝงเร้น21.ข้อความในมาตรา 42 วรรคสองที่ว่า "ภายใต้กฎหมายว่าด้วยชื่อบุคคล ชื่อสกุล ให้ใช้คำว่า "พระ" นำหน้าชื่อ และต่อท้ายด้วย "ฉายา" ควบคู่ไปกับคำดังกล่าว หรือ สมณศักดิ์ สำหรับพระภิกษุ และให้ใช้คำว่า "สามเณร" นำหน้าชื่อ และต่อท้ายด้วย "นามสกุล" สำหรับสามเณร แล้วแต่กรณี" นั้น นอกจากจะขัดแย้งกับกฎหมาย ที่อ้าง ดังกล่าวแล้ว ยังก่อให้เกิดความยุ่งยากสับสน ในการปฏิบัติทางปกครอง เป็นอย่างมาก และที่สำคัญคือ ไม่แน่ใจว่า จะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะการเปลี่ยนไปใช้คำว่า "พระ" หรือ "สามเณร" ดังกล่าว จะทำให้บุคคลนั้น เสียสิทธิในฐานะเป็น "บุคคล" ตามรัฐธรรมนูญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือตามกฎหมายอื่นด้วยหรือไม่22.ข้อความในมาตรา 47 ที่ว่า "ห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัด สำนักคณะสงฆ์ และทรัพย์สินอันเป็นศาสนสถาน ศาสนสถานซึ่งเป็นที่วัด และที่ธรณีสงฆ์ ของ สำนักคณะสงฆ์ และทรัพย์สินส่วนพระพุทธศาสนา เป็นทรัพย์สิน ที่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบ แห่งการบังคับคดี" นั้น จะทำให้วัด สำนักคณะสงฆ์ และทรัพย์สินส่วน พระพุทธศาสนา เป็นเสมือน "รัฐอิสระ" ที่อยู่ภายใน "พุทธอาณาจักร" ซึ่งมี "คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนาแห่งชาติ" เป็นผู้ปกครอง และควบคุม อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด23.ข้อความในมาตรา 56 ที่ว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดหรือวัด จัดทำ สร้าง ปลุกเสก หรือโดยกรรมวิธีอื่นใด หรือสนับสนุนการกระทำดังกล่าว ที่ไม่เกื้อกูลต่อศาสนธรรม ในพระพุทธ ศาสนา ด้วยวิธีการซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้เช่า ประดิษฐาน มีไว้เพื่อการสักการบูชา ใช้ประกอบพิธีกรรม พิธีไสยศาสตร์ อวดอิทธิปาฏิหาริย์ ใบ้หวย หลอกลวง เพื่อลาภ สักการะ ก่อให้เกิดภยันตราย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดี เว้นแต่กรณีตามมาตรา 49 มาตรา 52 และมาตรา 53" นอกจากจะไม่สอดคล้องกับชื่อร่างพระราชบัญญัติแล้ว ยังเท่ากับเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ วิธีคิด รวมทั้งระบบความเชื่อถือ ศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ชนิดหน้ามือเป็น หลังมือ แบบที่เรียกว่า "ปฏิวัติ" กันถอนรากถอนโคนทีเดียว เพราะบรรดาโรงหล่อพระ ทำพระเครื่องและรูปเหรียญบูชาทั้งหลาย ต้องเลิกกิจการหมด เนื่องจาก ห้ามซื้อขาย หรือให้เช่าวัตถุบูชา แผงเช่าพระ ที่มีนับพันนับหมื่นแผง ทั่วประเทศ ต้องเลิกกิจการ หรือไม่ก็หลบลงใต้ดิน พิธีกรรมต่างๆ ในทางไสยศาสตร์ ไม่ว่าแบบไหน ที่ได้ชื่อว่า เป็นพิธีกรรมของชาวพุทธ หรือแม้แต่พิธีกรรม ตามศาลเจ้าต่างๆ ต้องเลิกหมด ซึ่งตรงนี้แหละ ที่เคยชี้ให้เห็นว่า กฎหมายฉบับนี้ ทำให้คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ถูกเลือก ปฏิบัติต่างกับ คนไทยที่นับถือศาสนาอื่น เพราะถ้าเป็นการกระทำแบบเดียวกัน คนไทยที่นับถือศาสนาอื่น ไม่มีความผิด เพราะกฎหมายนี้ จะใช้บังคับได้ แต่เฉพาะคนไทย ที่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น นอกจากนั้น ยังเป็นช่องทาง ที่จะทำให้เกิดการวิ่งเต้น ติดสินบนต่อเจ้าหน้าที่อีกด้วย โดยเฉพาะในการขออนุญาต สร้างพระพุทธรูปหรือ ศาสนวัตถุที่เป็นพระพุทธรูป การจำลองพระพุทธรูป หรือศาสนวัตถุที่เป็นพระพุทธรูป รวมทั้งการสร้างรูปปั้น รูปหล่อ และเหรียญศาสนบุคคล ตามมาตรา 49 มาตรา 52 และมาตรา 5324.ข้อความในมาตรา 58 ที่ว่า "ศาสนสถานและศาสนวัตถุใด เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน หรือที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดใดวัดหนึ่ง และเป็นที่เคารพสักการะของ พุทธ ศาสนิกชน โดยทั่วไป ให้ศาสนสถานหรือศาสนวัตถุนั้น อยู่ในความควบคุมดูแล และจัดประโยชน์ของ คณะกรรมการทรัพย์สิน "นั้น เป็นการสร้างขุมทรัพย์ขึ้นใหม่ แบบรวมศูนย์ ซึ่งจะเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ จำนวนมหาศาล และจะทำให้วัดแต่ละวัด หมดสิทธิที่จะจัดการผลประโยชน์ของตนเอง เพราะมีรายได้เท่าไร ต้องส่ง คณะกรรมการทรัพย์สินหมด แล้วหลังจากนั้น จึงค่อยเบิกจ่ายมาทำนุบำรุง หรือซ่อมสร้างศาสนวัตถุ และศาสนสถาน ในความดูแลรับผิดชอบของตน25.ข้อความในมาตรา 66 ที่ให้มีทรัพย์สินส่วนพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย รายได้จากศาสนสถาน และศาสนวัตถุ ที่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน หรือที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ ของวัดใดวัดหนึ่ง เงินอุดหนุนจากต่างประเทศ เงินและทรัพย์สินที่มีผู้บริจาค ให้แก่พระพุทธศาสนา เงินและทรัพย์สิน จากการลงทุน ค่าธรรมเนียม การจัดการลิขสิทธิ์ และดอกผล และรายได้ จากทรัพย์สิน ส่วนพระพุทธศาสนา เป็นต้น นั้น เป็นการรวมศูนย์อำนาจ การจัดการผลประโยชน์ ไว้ที่ส่วนกลางแห่งเดียว ภายใต้การดูแลของ สำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระพุทธศาสนา ซึ่งล้อการจัดการผลประโยชน์ ของสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งน่าจะไม่เหมาะไม่ควร26.บทกำหนดโทษตั้งแต่มาตรา 73 ถึงมาตรา 87 ซึ่งมีแต่เรื่อง โทษจำคุกและโทษปรับ ที่ค่อนข้างรุนแรง เช่น จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาท ถึง หนึ่งแสนบาทนั้น ทำให้ดูเหมือนว่า วงการพระพุทธศาสนา ในสายตาของ ผู้ร่างและผู้เสนอ เป็น "โลกแห่งอาชญากรรม" โดยแท้ จึงต้องดำเนินการปราบปราม ทำลายล้าง ด้วยวิธีการที่รุนแรง ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ใดต้องคำวินิจฉัยให้สึกแล้ว ไม่ยอมสึก ต้องจำคุกสามปี ผู้ใดพ้นจากความเป็นพระภิกษุ เพราะต้องปาราชิกแล้ว ยังแต่งกายเลียนแบบสงฆ์อีก ต้องถูก จำคุกไม่เกินสามปี ผู้ใดเรี่ยไร โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องโทษจำคุกไม่เกินสามปี ผู้ใดบิดเบือนศาสนธรรม โดยการโฆษณา หรือโดยกระจายเสียง ต้องโทษจำคุกห้าปีถึงสิบปี ผู้ใดทำลายหรือ ทำให้เสียหายซึ่งพระพุทธรูป ประติมากรรมติดที่ ต้องโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี ผู้ใดจัดกิจกรรมรื่นเริงในวัด ต้องโทษจำคุกไม่เกินสามปี ผู้ใดเสพเมถุน ในขณะเป็นพระภิกษุ รวมทั้งผู้ร่วมเสพเมถุน ต้องโทษจำคุก ตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และผู้ใดกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญาในวัด ต้องโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ อีกกึ่งหนึ่ง เป็นต้น27.มาตรา 89 ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ กำหนดให้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง และกระทรวงศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เอาไว้ล่วงหน้า ทั้งๆที่ยังไม่มีกฎหมาย แก้ไข ปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรมใหม่ ที่ว่าด้วยการนั้นแต่อย่างใด28.ข้อความในมาตรา 91 และมาตรา 92 ที่ให้จัดตั้ง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระพุทธศาสนา ภายในหนึ่งปี และให้ใช้กฎมหาเถรสมาคม และคำสั่งที่ออกตามความ ใน พระราชบัญญัติคณะสงฆ์เดิม ได้ต่อไป อีกเพียงหนึ่งปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ แสดงให้เห็นความเร่งร้อน ในการแปลงโฉม ศาสนจักรของชาวพุทธทั้งมวล ให้เป็น "พุทธอาณาจักร" ที่อยู่ในความควบคุมและปกครอง แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของ "ฆราวาส" เพียงไม่กี่คน--------------------------------------------------------------------------------
     
  5. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ความวิตกห่วงใยต่อพุทธศาสนาในประเทศไทย ของพระเถระผู้ใหญ่กระทู้จาก พันธุ์ทิพย์ 18/06/42เนื้อความ : พุทธศาสนาในประเทศไทยจะอยู่รอดตลอดไปได้หรือไม่ เป็นปัญหาที่น่าคิด น่าเป็นห่วง พระคุณเจ้าพระญาณวโรดม เลขาธิการคณะธรรมยุต แห่งประเทศไทย ท่านได้ปรารภถึงเรื่องนี้ทุกครั้ง เมื่อท่านมีโอกาสไปประชุมสามัญประจำปีคณะสงฆ์ธรรมยุตในสหรัฐอเมริกา หลายปีติดต่อก้นมาแล้ว ในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน ขอคัดบางตอนจากเทปคำปราศัยของท่านพระญาณวโรดม ที่ท่านปรารภกับพระภิกษุและญาติโยมในงานฝังลูกนิมิตอุโบสถ วัดพุทธรัตนาราม เมืองเคลเลอร์ รัฐเท็กซัส ในวันที่ 13 มิถุนายน นี้ โปรดอ่านแล้วพิจารณา อย่าได้คิดว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ ที่นำมาเสนอนี้ ด้วยความหวังดีต่อพระพุทธศาสนาโดยส่วนเดียว ไม่เกี่ยวกับฝ่ายไหนทั้งสิ้น.....(ผู้เสนอกระทู้).....เวลานี้มีเรื่องน่าวิตกอยู่เรื่องหนึ่งในประเทศไทย คือทางรัฐบาลจะออกพระราชบัญญัติ...ชื่อน่ะเพราะครับ... พระราชบัญญัติคุ้มครองสนับสนุน พระพุทธศาสนา ฉบับแรก เขาออกมาก่อน แล้วก็มีการแก้ไข ฉบับที่ 2 หนักกว่าฉบับแรก สรุปแล้วก็คือว่า เอาฆราวาสมาปกครองพระ เอานายกรัฐมนตรี มาคุมพระ ทรัพย์สินของวัดของวา ก็เหมือนกัน เขาไม่เข้าใจเรื่องของสงฆ์ และจะพยายามเสนอให้ได้สำเร็จภายในรัฐบาลนี้ด้วย อันนี้เป็นเรื่องที่เราวิตกกัน แล้วเขาอ้างเหตุอะไร อ้างเหตุว่า พระปกครองกัน ไม่เรียบร้อย การที่พระวุ่นๆ นี้ เป็นการให้ช่องแก่เขาในการที่เขาจะนำมาอ้าง ฉะนั้น การที่คณะธรรมยุตเรา วางเฉยในเรื่องทั้งหลาย โดยเฉพาะเรื่องธรรมกาย ก็เป็นประโยชน์สำหรับการ ที่จะเอาไปอ้างได้ว่า ที่ว่าพระวุ่นวายนั้น ธรรมยุตไม่มีอะไร ที่วุ่นวายสำหรับ นิกายหนึ่งนั้น ก็เฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น ไม่ใช่ทั่วไป แต่พระอีกนิกายหนึ่งไม่มีอะไร ดูแล้วนะครับ ฟังดูเผินๆ แล้วก็ดูดี แต่ที่ไหนได้ ส่วนลึกแล้ว หากฆราวาสปกครองพระ มีอำนาจเหนือพระ อย่างที่แล้วมาน่ะ ฆราวาสสึกพระได้ มีที่ไหนบ้าง ฆราวาสสึกพระได้มันไม่ถูกต้องแล้วก็ทางกรมการศาสนาเขาเสนอเรื่อง การพิจารณารับรองวัดพุทธศาสนาในต่างประเทศ เมื่อคราวที่แล้วมา เมื่อวันที่ 8 (มิ.ย.) ผม (พระญาณวโรดม) ก็บอก สมเด็จ พุทธาจารย์ ไว้ว่า ผมจะมาที่นี่ (สหรัฐอเมริกา) จะนำเรื่องนี้มาประชุม (สงฆ์คณะธรรมยุตในสหรัฐ ที่เมืองซีแอตเติล วันที่ 24 มิ.ย.) ในที่ประชุม เพราะฉะนั้น ขอให้ระงับ ไว้ก่อน ให้ผมกลับมาเสียก่อนค่อยมาพูดกัน พอกรมการศาสนาเขาเสนอขึ้นมา ท่านก็สั่งให้ระงับ ท่านบอกว่า ผมให้รอไว้ก่อน อันนี้ก็ขอให้พวกเราเตรียมไว้ด้วย ผมเอาแบบมา เหมือนกัน ถ้าใครมีเวลาพอซีลอคได้ก็ซีลอคแจกกันไป เขากำหนดไว้ว่า วัดจะต้องมีพระอย่างน้อย 5 รูป แต่ในนั้นก็ไม่ได้บอกว่า เป็นพระชาติไหน เป็นพุทธเถรวาท หรือพุทธ มหายาน ถ้าเป็นพระมหายานหรือพระต่างชาติแล้ว จะไปคุมเขาได้อย่างไร อีกอย่าง หนึ่ง ทางคณะสงฆ์ในประเทศไทย คุมมาถึงต่างประเทศแล้ว จะให้อะไรเขาบ้าง พวกที่อยู่ ต่างประเทศ จะให้สิทธิพิเศษอะไรแก่เขาบ้าง แต่ที่เราพูดกัน เป็นการส่วนตัว กับสมเด็จวัดสระเกศ ก็ว่า ของเรา (ธรรมยุต) มีพระน้อย ถ้ามี (กำหนดว่าต้องมีวัดละ) 5 องค์ มีปัญหา ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ก็เอา 2 องค์ขึ้นไป ผ่อนตามที่เรามีปัญหา ถ้าองค์เดียวมันน้อยไป นี่ก็ขอแจ้งให้พวกเราได้ทราบด้วย เพื่อจะได้คิดไว้ว่า เราจะเอาอย่างไร ดีกว่าไปอ่านในขณะนั้น แล้วก็ตัดสินใจในขณะนั้นผมไม่ค่อยไว้ใจเลยครับ พุทธศาสนาในประเทศไทย เห็นไปกันใหญ่ พวกคริสต์คาทอลิค เขาไปตั้งเมืองคริสต์ที่อำเภอปักธงไชย มีเนื่อที่ 6000 ไร่ เรียกว่า แมรี่ทาวน์ เมือง พระแม่มารี คือเขาโครงการ ที่จะเอาประเทศไทย เป็นเมืองคริสต์ให้ได้ ภายในปี ค.ศ. 2000 ก็ปีหน้า ที่นี้เขาทำไม่ได้ ก็คงจะคิดเอาใหม่ ซื้อที่ได้ที่ปักธงไชย 6000 ไร่ สร้าง เมืองเลย สร้างเมืองคริสต์ในเมืองพุทธนี่แหละ แล้วเป็นยังไง ไม่มีใครสนใจเลย เฉย ทางกรมการศาสนาก็เฉย ทาง คณะสงฆ์ก็เฉย องค์การพุทธศาสนา เช่น องค์การพุทธ ศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก พุทธสมาคม ยุวพุทธิกสมาคม ก็เฉย พวกนักการเมือง พวกนักวิชาการก็เฉย แล้วเป็นไงกัน แล้วเป็นไงจะอยู่ได้หรือ มิหนำซ้ำ พวกนักการเมือง นักวิชาการ บางคน ยังพูดกร้าวร้าวพุทธศาสนา เช่นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2540 พสร.คนหนึ่ง ในจำนวน 99 คน พูดทางสถานีวิทยุ พูดหยาบคายมากครับ พสร.คนนั้น อันดับ 6 ครับ เป็นอาจารย์อยู่ธรรมศาสตร์ เรียกพระพุทธเจ้าเป็น "ไอ้" ครับ ว่าคนไทยนี่โง่ เชื่อไอ้แขกคนนั้น กล้าพูดถึงขนาดนี้ แล้วมีใครสนใจครับ มีพวกเปรียญธรรมสมาคม สนใจเอามาลง ถึงได้รู้กัน ถึงประกาศกัน หนังสือพิมพ์ก็ไม่ลง เปรียญธรรมสมาคม ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรนี่ครับ เอามาลง ไม่อย่างนั้น ก็ไม่รู้เรื่องหรอกผมก็นำไปพูดในที่ประชุมมส. มส.ก็ให้กรมการ ศาสนาไปพิจารณา ก็อย่างว่านะครับ เราต้องรู้ก่อน กรมการศาสนานั้น เขาใส่หมวกสองใบ ใบเขียว ใบเหลือง แต่ใบเหลืองคือ พระนั้นน่ะ ไม่สามารถทำให้ เขาได้ดี เลื่อนขั้นเลื่อนตอนอะไรได้ ไม่เหมือนอย่างนักการเมือง เพราะฉะนั้น เขาจะเอากับใคร เขาก็ต้องเอากับนักการเมืองนายเขาน่ะซี เขาจะมาเอา อะไร กับพระ นายเขามีเจตนาอย่างไร มีความประสงค์อะไร เขาก็ทำตามนั้น แล้วอย่างนี้เราจะไว้ใจได้หรือว่า ศาสนาพุทธจะอยู่กับเราตลอดไป น่าวิตกก็ยังปล่อยให้อะไรต่ออะไรเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า สมเด็จพระสังฆราช ก็แทบจะไม่มีความหมายอะไร ดังจะเห็นว่า ก่อนหน้านี้มีกลุ่มมากเหลือเกิน พยายาม เอาเรื่องกับ ธรรมกาย แต่พอเขาสามารถ ดึงสมเด็จสังฆราช ไปชนกับธรรมกายได้ ไปชนกับมส.ได้ ก็เงียบ ทำให้เรารู้ไต๋พวกนี้ อ้อ...เขามีเจตนาอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เงียบ เอาสมเด็จพระสังฆราช ไปชนกับคนอื่น พอเขาทำสำเร็จ เฉย นี่ นึกดูมั่งหรือเปล่า เพื่ออะไร แล้วพยายามเอาเรื่องนิกายเข้ามาอีก อย่างนี้เป็น เรื่องที่น่ากลัวครับ เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ เพราะฉะนั้น การที่มีพวกเราอยู่ในต่างประเทศนี่ นับว่าเป็นโอกาสดีนักหนา เช่นเดียวกับที่พระเจ้าอโศก พระโมกขลีบุตร นำพุทธศาสนา ไปไว้ที่นั่นที่นี่ที่โน่น โดยเฉพาะในประเทศลังกา นับว่าโชคดีเหลือเกิน ที่พุทธศาสนาได้ออกไปอยู่ต่างชาติต่างเมือง ไม่อย่างนั้น ป่านนี้เสร็จแล้ว นี่ก็เหมือนกัน ได้มีพุทธศาสนาไปอยู่ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง นับว่าโชคดีมาก ได้ทราบว่า ได้เข้าไปในอาฟริกาแล้วด้วย พระไทยเรานี่ ถึงจะต่างนิกาย แต่เขาก็นำเข้าไปแล้ว เป็นแบบเถระวาท ท่านอาจจะนึกว่า ผมไปที่ไหนก็นำความทุกข์ไปให้ที่นั่น นำความไม่สบายใจ ไปให้ที่นั่น มันก็เป็นความจริงนี่ครับ มันเป็นอันตราย ถ้าไม่บอกให้รู้ตัวไว้ก่อน เท่ากับเราประมาท มีเรื่องอะไรก็บอกกันเสียก่อน เรื่องดีก็เรื่องดี เรื่องไม่ดีก็ไม่ดี เตรียมตัวรับ สถานะการณ์ไว้ก่อน อย่างอหิวาต์มันมาแล้วนี่ หรือไฟมันไหม้ใกล้เข้ามาแล้วนี่ เราจะทำเฉยเมยอย่างนั้นหรือ ให้มันมาถึงตัวก่อน แล้วค่อยพูดกัน ไม่ได้ ก็ต้องว่ากันเสียก่อน พูดกันให้รู้เรื่องกันเสียก่อน และในฐานะผมจะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้จึงได้นำเรื่องนี้มาเล่าสู่ให้ท่านฟังจะได้ทราบ เพื่อให้ท่านทั้งหลายจะได้เห็นความสำคัญของท่านที่นำพุทธศาสนา โดยเฉพาะคณะธรรมยุต มาประดิษฐานที่นี่ ถ้าที่โน่นหมด ที่นี่อยู่ ยังมี เพราะฉะนั้น ท่านจึงทำหน้าที่สำคัญมาก ที่จะรักษาคณะธรรมยุต เอาไว้ให้อยู่ในโลก ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องสามัญ เรื่องสำคัญมาก ท่านอย่าไปนึกว่า ที่มาอยู่ที่นี่อยู่ไปวันๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นการรักษาคณะธรรมยุต ให้อยู่ในโลกนี้ ท่านต้องนึกอย่างนั้น และพยายาม สร้างเสริม ให้มีความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ผมเป็นห่วง พุทธศาสนา เป็นห่วงหมู่คณะมาก เพราะว่าผมมีหน้าที่รับผิดชอบ ตามควร และผมก็อยู่ได้อีกกี่วันแล้ว ไม่กี่วันผมก็จะเข้าฉากไปแล้ว ท่านทั้งหลายนี่ จะเป็นทายาทของ หมู่คณะ ต่อไป ท่านทั้งหลาย ต้องมีความตระหนัก ต้องมีความสำนึก ต้องมีความรู้ตัวว่า ท่านมีความสำคัญต่อพุทธศาสนา ต่อคณะธรรมยุตเพียงใด....
     
  6. max77

    max77 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +493
    ยาวจัง.................................................
     
  7. vnoen

    vnoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +827
    ไม่ชอบวัดพระธรรมกายอ่ะ...ไฮเทคโนเกิน..เรี่ยไรเกิน..หรือผมคิดไปเองซึ่งจริงๆวัดอื่นๆก้มีเหมือนกัน ความจริงแล้วผู้ที่ทำลายพุทธศาสนาก้คือ พุทธบริษัท นั่นเองแหละ...
     
  8. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    ตัวผมได้เข้าไปสัมผัสมาแล้ว ไปเป็นประจำประมาณ ๓ ปี (ประมาณปี ๔๖ - ๔๙) มีสิ่งดีๆมากมายในวัดนี้ ที่ผมประทับใจ คือ
    ๑. สถานที่สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย ถอดรองเท้าวางกันอย่างมีระเบียบ ที่สำคัญ รองเท้าไม่หาย
    ๒. เวลามีงานบุญใหญ่คนที่มาปฏิบัติธรรมหลายหมื่นคน(ผมประมาณด้วยสายตา) แต่ทุกคนมีวินัย ไม่เบียดเสียด แก่งแย่งกันเวลารับอาหาร
    ๓. ไม่มีไสยศาสตร์ หรือหลักปฏิบัตินอกพุทธศาสนา (น้ำมนต์ยังไม่มีเลย)
    ๔. เวลานั่งสมาธิรวมกันจำนวนมาก ได้ยินแต่เสียงนกร้อง (วันอาทิตย์)
    ๕. พระภิกษุที่วัดนี้สำรวมน่าเลื่อมใส
    ๖. วัดนี้ไม่มีสุนัข เวลาเดินไม่ต้องกังวลว่าจะเหยียบ..........
    ๗. มีกัลยาณมิตรคอยประคับประคองให้ตั้งอยู่ในทาน ศีล ภาวนา
     
  9. kasitun

    kasitun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +181
    เป็นศิษย์วัดท่าซุง ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ค่ะ

    สำหรับวัดธรรมกายในความคิดส่วนตัวนะคะ ... ดูจาก DMC เค้าก็ให้ปฏิบัติดีนะคะ อย่างมีการบ้านให้คิดถึงพระทุก ๆ ชั่วโมง สะสมเงินหยอดกระปุกไว้ทำบุญวันละนิดทุกวัน ฯลฯ คิดว่า ... เมื่อละจากขันธ์ 5 จิตเกาะพระ ...เกาะบุญกุศลก็ไปดีทุกคนนะคะ ... แต่มองว่าวัดธรรมกายเค้ามีการบริหาร การจัดการที่ดี ทุกอย่างเป็นระบบ คล้าย ๆ กับองค์กรเอกชนนะคะ ...

    และก็เช่นเดียวกันกับวัดอื่น ๆ อย่างวัดมหาธาตุ ก็จะมีทำวัตรเย็น ฟังเทศน์ กรรมฐาน เดินจงกลม ทุกวันอาทิตย์และวันพระ

    หรือวัดชนะสงครามก็มีเหมือนกัน ... ทำวัตรเย็น สวดมนต์ 7 ตำนาน ฟังเทศน์... ค่ำ ๆ ท่านสมเด็จฯ ก็ออกมาคอยตอบปัญหาที่เราสงสัยด้วยค่ะ สำหรับท่านที่ชอบสวดมนต์ขอแนะนำให้ไปที่วัดชนะสงครามเลยค่ะ เพราะสวดมนต์ยาวมาก ๆ ...

    ... ถ้าจิตเป็นทิพย์ก็มองเห็นอาทิสมายกายใสแจ๋วทุกคนนะคะ
     
  10. soonram

    soonram เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2007
    โพสต์:
    719
    ค่าพลัง:
    +1,406
    องค์หลวงพ่อท่านบอกว่า พระพุทธองค์เคยทำนายไว้ว่า อายุพระพุทธศาสนาจะอยู่ ครบ 5000 ปีแน่นอน
     
  11. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงพยากรณ์ไว้เช่นกันครับ ที่พระธาตุดอยกิติและดอยโมคคัลลา
     
  12. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    หลายที่มีทั้งที่เราชอบใจและไม่ชอบ แต่ขอให้เรามองหลักใหญ่ ๆ ว่าเป็นการส่งเสริมปกป้องคุ้มครองพระศาสนาไหม เราอย่าไปมองรายละเอียดเหมือนการจับผิด เพราะแต่ละสำนักมีรายละเอียดไม่เหมือนกัน ผมไม่ใช่ศิษย์วัดธรรมกายไม่ใช่ปกป้องแทน แต่ที่วัดนี้ดี ๆ มีมากอยู่ เช่น สอนให้คนอยู่ในศีลธรรม ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รวมศรัทธาได้มาก ชาวพุทธเป็นบึกแผ่น เราอย่าแบ่งแยก ดี ๆ ใครทำอะไรก็ทำ อย่าตกเป็นเครื่องมือทำลายชาวพุทธด้วยกันเอง

    เราต้องรู้ว่ามีขวนการทำลายพุทธศาสนาทุกรูปแบบ ตั้งแต่ทำลายพระเป็นรูป ๆ โดยใช้นารีพิฆาติ มีการวางยาฆ่าพระก็มี มีการใส่ร้ายป้ายสี มีเข้าไปถึงระบบการเมือง เรื่องกฏหมาย กฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ทั้งหมดมีการวางแผนอย่างดี มีเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ

    อย่าลืมไม้ใหญ่ใครก็อยากโค่น ทั้งวัดธรรมกาย

    ทั้งพุทธในไทยเองเป็นปรากการสำคัญ

    ขออย่ารบต่อสู้กันเอง ใหรู้ด้วยว่ามีศัตรูทั้งในประเทศทั้งต่างประเทศ ทั้งคนนอก คนในเกลือเป็นหนอนทั้งรัฐบาล ทั้งส่วนปกครองต่าง ๆ

    อย่าแตกความสามัคคีกันเลย

    ชาวพุทธทุกคนต้องช่วยกันทำนุบำรุงพระศาสนาอย่างเต็มกำลัง เป็นหูเป็นตา และปกป้องคุ้มครองด้วยชีวิตเพื่อลูกหลานของเราสืบไปให้ครบ 5000 ปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2008
  13. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ถ้าพุทธบริษัทมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัย รวมถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี ไม่ว่าใครก็ทำลายพระพุทธศาสนาไม่ได้หรอกครับ
     
  14. B4900924

    B4900924 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +11
    เฮ้อ... เถียงไปเถียงมา ทำไมไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมที่มีล่ะ แค่ศีล ๕ ถือปฏิบัติได้ครบทั้งวันรึเปล่า
     
  15. ตาปืน

    ตาปืน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +98
    กรรมเป็นของบุคคล

    ประเทสไทยมีคนดีมากมาย มีคนเลวก้เยอะต่างคนมีหน้าที่เป็นของตน บางคนอ่านขอความก็จะรู้สึกกันไปตามความรู้สึกของแต่ละบุคคล แต่ผมเชื่อว่าคนที่มีหน้าที่ ที่จะมาช่วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ก็ต้องมีอยู่แล้วและเหตุการที่ว่านี้มันเป็นเรื่องการเมืองผมก็เป็นประชาชนคนพุทธคนนึง คงได้แต่ทำความดี ได้เท่านั้น
     
  16. pasawan

    pasawan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +20
    ไม่ระแวงแต่ต้องระวัง ผู้คนทุกวันนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ศีล ๕ ถ้าทำได้ทุกวันก็พยายามทำ ศีล ๘ถ้าทำได้ ก็ยิ่งดี แล้วผู้ที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนา คือเด็กในวันนี้หละ เอาแต่เที่ยวเตร่ดื่มเหล้า เสพยาเสพติด อนาคตของชาติ ศาสนา จะไปรอดหรือไม่ ? คิดมากน่า....... พุธ....โธ.....พุธ....โธ.....พุธ....โธ.....พุธ....โธ.....พุธ....โธ.....
     
  17. Soul Mate

    Soul Mate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +356
    เราเคยไปวัดพระธรรมกาย ดีนะสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย ดีค่ะ รู้สึกเหมือนกับเป็นเครือข่าย ทำมากได้บุญมาก ยังไงไม่ทราบ มีแจกเป็นโปรชัวเลย เราไปตอนที่กำลังก่อสร้างวัดลานกว้างๆที่มีพระพุทธรูปอยู่ตรงกลาง รู้สึกแปลกๆ แต่จริตคนไม่เหมือนกัน คนมีสตางค์มีฐานะทำมากได้มาก ส่วนคนจนก็ต้องพยายามมากขึ้นพยามยามทำให้มากๆ สะสมไปเรื่อยๆ ก็จะได้ผลเอง อันนี้แชร์ความคิดเห็นเฉยๆ นะคะ ไม่ได้ต้องการโจมตีหรืออื่นใด หากมีท่านที่เข้าใจดีในเรื่องนี้ ต้องการชี้แนะเรา เราพร้อมที่จะน้อมรับคำแนะนำ
     
  18. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    ขอยืมคำพูดของคุณสมัครมาใช้หน่อยแล้วกันนะครับ...แมวไม่ว่าจะสีอะไรขอให้จับหนู
    ได้ก็พอ...ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ว่าจะแยกเป็นอะไร...แล้วทุกๆนิกายยึดหลักที่พระพุทธองค์
    ทรงวางรากฐานขั้นพื่นฐาน...เปรียบได้กับสาธารณูปโภคขั้นพั้นฐานที่ประชาชนพึงได้
    พึงมี...เหมือนตันไม้ใหญ่จะยืนต้นได้ก็ด้วยรากแก้วมิใช่หรือ...แล้วทำไมเราทั้งหลาย
    ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะให้...แต่เรามัวคำนึงถึงแต่อรรถและพยัญชนะ
    ตีความลงไป...ผิดบ้าง ฝั่นเฝือบ้าง...น่าจะมี...เพราะการเผยแผ่ธรรมะไปสู่ชุมชน
    ในที่ต่างๆ...บางครั้งสถานที่ๆไป..การยึดถือเก่าๆของชุมชนยังคงมีอยู่ต้องปรับเปลี่ยน
    รูปแบบในการที่จะให้ชุมชนนั้นๆยอมรับโดยศรัทธาก่อนเหมือนที่พระพุทธองค์ท่าน
    ทรงเห็นว่า...พุทธกับพราหมณ์ก็ยังเป็นของคู่กัน...แต่สิ่งใดที่พราหมณ์ทำดีแล้วเข้า
    กับแนวทางของพุทธได้..พระพุทธองค์ทรงคงไว้...จริงมั้ยครับ...เรามาเริ่มต้นกันใหม่
    แล้วร่วมแบ่งปันความรู้ที่จะยังประโยชน์ตนและผู้อื่น..เพื่อที่เราท่านทุกคนจะถึงซึ่ง
    ฝั่งอันเกษมคือพระนิพพาน..ให้สมกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
    แล้วทรงพระกรุณาโปรดเวไนยสัตว์ให้ข้ามพันวัฏฏะสงสาร...กว่าจะสั่งสมบุญบารมีมา
    ก็ใช้เวลาไม่รู้เท่าใด...กี่ร้อยกี่พัน..เพื่ออะไร...ก็เพราะพระเมตตาอันหาที่สุดมิได้
    ที่จะช่วยเราท่านทุกคน...ยังไม่สายนะที่เราจะกลับตัวใหม่มาเดินตามเส้นทางที่พระพุทธองค์
    ทรงวางไว้...ยังไม่สายเกินไปสำหรับพวกเราทุกคนที่จะประคับประคองพระพุทธศาสนา
    ให้ครบถ้วนห้าพันพระวัสสา...ถ้าเราจะร่วมใจกัน
     
  19. hack super fast

    hack super fast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +560
    อย่าโกรธนะครับที่ไม่เห็นด้วยเพราะ การเทียบแมวไม่ว่าสีอะไรขอให้จับหนูได้ก็พอ เป็นคำของ เหมา เจ๋อ ตุ่ง ครับ ท่านสมัครยืมมาใช้อีกทีนึงมิใช่คำของท่านเอง

    และความหมายของคำนี้ออกไปในเชิงที่ไม่ดีนะครับ เปรียบแมวขาวกับแมวดำ
    ซึ่งถ้าเอามาเทียบ กับพุทธศาสนา กับศาสนาอื่น ความเชื่ออื่นๆ มันย่อมหมายความว่า มีศาสนาที่ดี และศาสนาที่ไม่ดี ซึ่งความจริงคือทุกศาสนาดีหมดครับ แล้วแต่คนจะเข้าใจ หรือ เอาไปใช้........

    อย่าโกรธนะครับถ้าผมบอกสิ่งใดผิดก็เชิญชี้แนะได้นะครับ
     
  20. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    ไม่โกรธหรอกครับ..ดีเสียอีกผมจะได้นำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น..และขอบคุณมากครับที่ชี้แนะให้
    เจตนาของผมที่ยืมคำพูดของคุณสมัครมานั้นเรื่องแมว...ผมไม่ได้ให้คำสำคัญกับพยัญชนะ
    ที่แปลเป็นอื่น...เจตนาก็คือ..ไม่ว่าจะเป็นออกไปเช่นไร เช่น มหายาน เถรวาท หรือที่ประเทศต่างๆที่พุทธศาสนาไปเผยแผ่..จะมีสำนักมากมายเช่นไร..แต่จุดหมายที่สอนก็คือความหลุดพ้น
    ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี..จริงครับ..แต่จะมีสักศาสนาหนึ่งมั้ยที่สอนให้คนหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร
    ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด..เกิดๆดับๆอยู่อย่างนั้น...
     

แชร์หน้านี้

Loading...