แฟนเพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 2 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ประวัติ วิหารสมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง

    มณฑปสมเด็จองค์ปฐม (พระพุทธสิขีที่ 1) เป็นมณฑป 3 ชั้นทั้งหมดติดกระจกทั้งชั้น 2 และชั้นที่ 3 ตลอดจนถึงยอดจตุรมุข สวยงามมาก พื้นวิหารใช้นิลจากจังหวัดกาญจนบุรีแทนหินขัด ซึ่งทำได้ยาก และใช้เวลามากกว่าจะสำเร็จ สมเด็จองค์ปฐม ท่านเป็นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้องค์แรกของโลก ทรงพระนามว่าพระพุทธสิขี เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วนับไม่ถ้วน (ตามพระไตรปิกฏกล่าวว่าพระพุทธเจ้ามีมากมายยิ่งกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทร) ฉะนั้นจึงมีพระนามซ้ำกัน โดยเฉพาะพระนามพระพุทธสิขีมีด้วยกัน 5 พระองค์ จึงได้ขานพระนามของสมเด็จองค์ปฐมว่า พระพุทธสิขีที่ 1 จึงนับได้ว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นสมเด็จองค์ปฐมบรมครูอย่างแท้จริง เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกจึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ จึงใช้เวลานานถึง 40 อสงไขยกัปเศษ ในการบำเพ็ญพระบารมี พระพุทธรูปมีเรือนแก้วแบบพระพุทธชินราชหล่อด้วยโลหะผสมทองคำ ขนาดหน้าตัก 4 ศอกทำพิธีเททองหล่อพระเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535 (ทองคำที่หลวงพ่อเทลงในเบ้าหล่อสมเด็จองค์ปฐม รวมทั้งสิ้นจำนวน 78 กิโลกรัม) และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐมไว้ในพระเกตุมาลา (พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาในพานที่ห้องหลวงพ่อ ก่อนพิธีบรรจุในพระเกตุมาลา) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2536 โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธานทั้ง 2 ครั้ง เมื่อเสร็จพิธีพระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ได้กล่าวว่า “พระองค์มีมีลาภมากนะ” สร้างวิหารแก้วพร้อมพระพุทธรูปเพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เนื่องในวาระทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2535

    486589_452378771449679_501744442_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    มหาวิหารแก้ว 100 เมตร เริ่มสร้าง กุมภาพันธ์ พ.ศ.2530 แล้วเสร็จ มีนาคม พ.ศ. 2532 มีขนาดกว้าง 28 เมตร ยาว 100 เมตร เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งตันทิศตะวันตกหันทางยาวไปทางทิศตะวันออก ภายในวิหารฯ ติดกระจกทั้งหมด หลังคาทำเป็นมุข 3 มุข มียอดมณฑป 3 ยอด และมีเฉลียงด้านหน้ากว้าง 12 เมตร ยาว 100 เมตร ปัจจุบันเป็นสถานที่ถวายสังฆทาน มี 2 เวลา คือ ระหว่าง 9.00 น. – 11.45 น. และ 14.00 น. -16.00 น. ภายในมหาวิหารมีการฝึกกรรมฐาน ทำวัตรเย็นทุกวัน และประกอบพิธีสำคัญๆ ประจำปี ภายในมหาวิหารประกอบด้วย

    430216_452689064751983_1420237474_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ปราสาททองคำ เป็นความประสงค์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยานก่อนมรณภาพ ท่านต้องการสร้าง ปราสาททองคำตรงบริเวณนี้ ฉะนั้นเมื่อท่านมรณภาพแล้ว ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน (พระครูปลัดอนันต์) ได้ทำตามประสงค์ของหลวงพ่อ โดยได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 แล้วทำการก่อสร้างมาจนถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2549) เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว ในปี พ.ศ. 2539 เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ครองราชย์ครบ 50 ปี ท่านเจ้าอาวาสจึงนำการสร้างปราสาททองฯ น้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศล ทางสำนักพระราชวังให้ชื่อว่า “ปราสาททองกาญจนาภิเษก” ปราสาททองฯ ก่อสร้างด้วยการก่ออิฐฉาบปูน ประดับลวดลายไทยปิดทองคำเปลวติดกระจก ทั้งภายนอกและภายในมี 3 ชั้น มียอดทั้งหมด 37 ยอด เป็นยอดเท่าๆ กัน 36 ยอด ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ และยอดตรงกลางเป็นยอดใหญ่ 1 ยอด ส่วนบนสุดของปราสาท สร้างพระพุทธรูปปางลีลา ขนาดสูง 8 ศอก 1 องค์ หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ชั้นที่ 1 เป็นพิพิธภัณฑ์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ โดยนำสิ่งของต่างๆ ที่ท่านเคยใช้ หรือของส่วนตัวของหลวงพ่อมาจัดแสดง ชั้นที่ 2-3 เป็นสถานที่เก็บพระพุทธรูป

    ที่มา ประวัติวัดท่าซุง และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 37-38

    539204_452718161415740_791810991_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    มณฑปหลวงปู่ปาน (ด้านหน้าซ้ายมือของโบสถ์) เป็นศาลาโปร่ง ปูพื้นด้วยหินอ่อน หลังคาทรงไทย องค์หลวงปู่ปานหน้าตัก 44 นิ้ว สูง 49 นิ้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จเททอง เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2518

    217653_453169261370630_1016037676_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    มณฑปหลวงพ่อใหญ่ (พระราชพรหมยาน) ด้านหน้าขวามือของโบสถ์ เป็นศาลาโปร่ง ปูพื้นด้วยหินอ่อน หลังคาทรงไทย องค์หลวงพ่อหน้าตัก 44 นิ้ว สูง 49 นิ้ว

    300771_453591147995108_1798887234_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    มณฑปหลวงปู่เส็ง (หลวงปู่ขนมจีน) อยู่มุมขวาสุดหลังโบสถ์เป็นมณฑปโปร่งปิดด้วยกระจกทั้งหลัง องค์หลวงปู่เส็ง หน้าตัก 33 นิ้ว สูง 33 นิ้ว อดีตท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง ต่อจากหลวงปู่ใหญ่ ท่านช่วยงานหลวงพ่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องพระภิกษุ และผู้ปฏิบัติธรรมในวัด ตอนท่านยังเป็นพระสงฆ์ ท่านชอบฉันขนมจีน จึงเป็นที่มาของชื่อหลวงพ่อขนมจีน ในปัจจุบันมีผู้บนหลวงปู่ด้วยขนมจีน หรือนำขนมจีนมาสักการะท่าน เป็นการแสดงสัญลักษณ์การเคารพนับถือและระลึกถึงกัน

    283805_453900287964194_1126878503_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  8. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ตอนที่ ๑ คำว่า “บารมี”

    จาก หนังสือ บารมี ๑๐

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็จะขอเริ่มต้นเรื่อง บารมี ๓๐ ทัศ เพื่อเป็นการสนองความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าคำว่า บารมี บรรดาท่านทั้งหลายส่วนใหญ่มักจะมีความหนักใจกัน เมื่อเราพูดกันถึงว่าการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน หรือปฏิบัติเพื่อความดีในด้านของพระพุทธศาสนา อาตมาได้ยินมาเป็นปกติ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้ามักจะกล่าวกันว่า บารมียังไม่ถึงบ้าง บารมียังอ่อนอยู่บ้าง หรือ ยังไม่มีบารมีเพื่อจะปฏิบัติบ้าง

    การที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปรารภอย่างนี้ อาตมาก็เห็นใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าอาตมาเข้าใจดีในคำว่า บารมี เดิมทีเดียวอาตมาเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับบรรดาท่านพุทธบริษัท คิดว่าคนที่จะปฏิบัติเอาดีในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเข้าถึงความดีสูงสุดได้ต้องมีบารมีมาเต็มแล้ว ตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาก็ทรงตรัสแบบนั้น

    ทีนี้คำว่า บารมี นี่เราไม่เข้าใจกัน นี่อาตมาไม่พูดถึงว่า บรรดาพุทธบริษัทไม่เข้าใจ พูดว่าอาตมาเองน่ะมีความไม่เข้าใจเรื่องบารมีมาก่อน แล้วก็บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอาจจะมีความดีกว่าอาตมามาก คือว่าท่านทั้งหลายอาจจะรู้จักคำว่าบารมีจริง ๆ มาก่อนก็ได้ แต่ว่าเรื่องนี้อาตมาขอยอมประกาศตรงๆ แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ยอมรับว่าอาตมาโง่เรื่องบารมีมามาก แล้วก็โง่มานาน อายุใกล้จะ ๖๐ ปี แล้วจึงได้รู้จักคำว่า บารมี

    ความจริงการปฏิบัติในด้านบารมีอาตมาทำถูก ทั้งนี้ก็ต้องขอประทานโทษ อย่าถือว่าเป็นการยกย่องตัวเองเกินไป ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น คือทำมาแบบชนิดที่เรียกว่าบังเอิญถ่ายอุจจาระตรงร่อง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการทำไป ไม่รู้หรอกว่าบารมีแปลว่าอะไร

    ตามที่ศึกษากันมา บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอาตมาเคยเรียนภาษาบาลี ครูท่านก็สอนว่า บารมี แปลว่า เต็ม และ ปรมัง แปลว่า อย่างยิ่ง ก็คือเต็มไม่บกพร่อง ทีนี้เราก็เข้าใจกันว่าเต็ม เต็มกันอยู่เสมอ เลยไม่ทราบว่าบารมีเต็มตรงไหน อาตมาเป็นทั้งนักเรียน เป็นทั้งครู เป็นทั้งนักเทศน์ ก็สอนผิดเทศน์ผิดเข้าใจผิดมาตั้งแต่เป็นนักศึกษา ทั้งนี้อาตมาไม่โทษครูบาอาจารย์ เห็นจะเป็นเพราะว่าอาตมาเลวเกินไป ที่ไม่ได้สนใจไต่ถามครูบาอาจารย์ให้เข้าใจว่า บารมีหมายความว่าอะไร

    อาตมาทราบเอาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ปีนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมามาอยู่ที่ วัดจันทาราม หรือ วัดท่าซุง นี้แล้ว ก่อนหน้านั้นนิดหนึ่ง อาตมาอยู่กระต๊อบโคนต้นโพธิ์เพราะว่าที่วัดนี้ไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นฐาน มีกุฏิโกรงเกรง ๆ อยู่ ๓ หลัง สองหลังที่รื้อไปก็ใช้การอะไรไม่ได้ ฝาก็โปร่งหลังคาก็ผุ พื้นก็ผุ รอดก็ไม่ดี ก็รื้อออกไป ยังเก็บไว้แต่เฉพาะกุฏิที่ท่านเจ้าอาวาสอยู่หลังเดียว คือมีสภาพแข็งแรง ศาลาก็โย้เย้ โบสถ์ก็ร้าว วิหารก็พัง หอสวดมนต์ใช้การไม่ได้ เมื่อท่านเจ้าอาวาสนิมนต์มา ก็ต้องไปปลูกกระต๊อบอยู่โคนต้นโพธิ์

    ปีที่มานั้นเป็นวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ ย้ายมาจาก วัดสะพาน โดยการอาราธนาของทางเจ้าอาวาสคือ พระครูสังฆรักษ์ (อรุณ อรุโณ) ได้จัดขบวนแห่ไปรับถึงวัด ไปกันเป็นร้อย ๆ คน ไม่ใช่คนสองคน

    ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ปลายปี ท่านพลอากาศตรี หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ พร้อมด้วยคณะของท่าน ทอดกฐินเป็นปีที่ ๒ คือปีแรกท่าน พลอากาศตรี พะเนียง กานตรัตน์ สมัยนั้นมียศขณะนั้น เวลานี้เป็นพลอากาศเอกแล้วได้มาทอดกฐินถวายโดยการสนับสนุนของ นาวาอากาศเอก อาทร โรจนวิภาต (ปัจจุบันยศพลอากาศเอก)เป็นผู้ติดต่อให้เพราะบวชอยู่ด้วย หลังจากนั้นจึงได้สร้างกุฏิขึ้นมาใหม่เป็นตัวตึก ๒ ชั้น พร้อมด้วยศาลาการเปรียญและวิหารสำหรับเอาพระที่เห็นควรแก่การบูชาประดิษฐานไว้ที่นั้น

    ปีนั้นพอสร้างเสร็จก็ปรากฏว่าน้ำท่วม ต้องหนีขึ้นชั้นบน ชั้นล่างท่วมหมด ไปดูที่กุฏิเก่า (กระต๊อบที่อยู่)น้ำแค่คอ นี่เป็นบุญแท้ ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท

    การสร้างกุฏิกับศาลาคราวนี้ มีทุนเดิมอยู่สามพันกับเจ็ดสิบห้าบาทเท่านั้น แต่ต้องใช้เงินทั้งหมดประมาณห้าแสนเศษ แต่ที่ผ่านไปได้ด้วยดีก็เพราะอาศัยบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความเคารพในศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ช่วยกันสงเคราะห์ ซึ่งมีท่านพลอากาศตรี หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ และ คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ผู้เป็นภรรยา เป็นหัวหน้าในการชักชวนพวกเพื่อนทั้งหลายมาร่วมบำเพ็ญกุศล จึงได้อาศัยกุฏิหลังนั้นสอนบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนเนื่องในการปฏิบัติพระกรรมฐาน

    ก่อนจะเข้าถึงเรื่องบารมีกัน ก็มาเล่าเรื่องเบื้องต้นกันเสียก่อน เพื่อความเข้าใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท

    มีคืนวันหนึ่งน้ำท่วมขึ้นมาแล้ว แต่ว่าท่วมไม่มาก ยังไม่ถึงพื้น ขณะนั้นอาตมามีร่างกายไม่ดี ความจริงอาตมานี่ป่วยไข้ไม่สบายมาตลอดชีวิต ร่างกายไม่ปกติกับเขา เพราะเป็นคนสร้างความชั่วไว้ในอดีตมาก คือในชาติที่เป็นอดีตอาตมาสร้างปาณาติบาตไว้มากบรรดาท่านพุทธบริษัท กรรมเก่าเขาก็ตามสนอง อาการความไข้มันเครียดหนักแต่อาตมาก็ไม่แสดงออกทางกาย เว้นไว้แต่บางครั้งที่ลุกไม่ไหว บรรดาประชาชนทั้งหลายจึงจะทราบว่าป่วยมาก ทั้งนี้เพราะอะไร ไม่ใช่มายาบรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมามีความอดทน ทนต่อกฎของกรรมชั่วที่ทำไว้ในอดีต ถือว่าเป็นการชำระหนี้ความชั่วไป มันจะเบียดเบียนร่างกายเพียงใดก็ช่างมัน เพราะองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่า

    ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

    เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

    ร่างกายเป็นบ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น

    นี่กระแสพระพุทธดำรัสขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังก้องอยู่ในโสตประสาทของอาตมาอยู่ตลอดเวลา

    ปรากฏว่าในคืนวันนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัทซึ่งมาขอเรียนพระกรรมฐาน มากันครบถ้วน ถึงเวลาใกล้ ๒๐.๐๐ น. อาตมาก็ขึ้นธรรมาสน์ หวังจะสงเคราะห์บรรดาท่านพุทธบริษัทด้วยบทสอนพระกรรมฐานตามที่มีความรู้ ความจริงความรู้ในด้านนี้ของอาตมาเห็นจะน้อย ยาวไม่แค่หางอึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ดี ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทมีความปรารถนา อาตมาก็สงเคราะห์เท่าที่จะรู้ เท่าที่จะทำได้ อะไรก็ตามถ้าทำไม่ได้สิ่งนั้นไม่สอน เพราะทราบดีว่าถึงสอนก็ผิด

    ทีนี้วันนั้น เมื่อขึ้นไปบนธรรมาสน์แล้ว ก่อนที่จะให้ศีล ได้นำบรรดาท่านพุทธบริษัททำวัตรสวดมนต์ ก็ปรากฏว่าเจ้าร่างกายทรชนที่มันเป็นศัตรูใหญ่ของอาตมา ที่อาตมากล่าวว่าร่างกายนี้มันเป็นศัตรูกับอาตมาก็เพราะว่ามันไม่ดีสักคราว ไม่ว่าวันไหนบรรดาท่านพุทธบริษัท จำได้มาตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี ร่างกายของอาตมานี้มันไม่เคยปกติ มันให้โทษอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งอาตมาเบื่อหน่ายมันเต็มทีแล้ว จึงได้เชื่อองค์สมเด็จประทีปแก้วว่า ร่างกายมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา อาตมาไม่สนใจมันนัก มันจะดีจะชั่ว มันจะทรงตัว มันจะพัง ก็ช่างหัวมัน ไม่คำนึงถึงมันอีก เพราะเจ้าศัตรูนี่ถ้าขืนคบไว้ก็สร้างแต่ความลำบากกายลำบากใจให้ปรากฏ

    ก่อนที่จะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทนมัสการองค์สมเด็จพระบรมสุคต เจ้าร่างกายจอมร้ายมันก็แสดงอาการออก คืออาเจียนอย่างหนัก (นี่ปี พ.ศ. ๒๕๑๓) การอาเจียนไม่ยับยั้งผ่านไปประมาณ ๒ กระโถน รู้สึกหน้ามืด ใจสั่น กายหวิว เกือบจะทรงตัวไม่ไหว ขณะนั้นปรากฏว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่มานั่งอยู่ด้วย ต่างก็พากันรายงานบอกว่า ถ้าร่างกายไม่ดีก็นิมนต์หลวงพ่อลงจากธรรมาสน์ ไม่ต้องสอน เขาจะทำกันเอง แต่อาตมาก็คิดในใจว่า ถ้ายิ่งร่างกายไม่ดีแล้ว อาตมาก็จะคุมกำลังใจให้ดียิ่งขึ้น เพราะไม่แน่ใจว่าการขึ้นมานั่งบนธรรมมาสน์คราวนี้จะเดินลงไปเองหรือว่าจะให้ชาวบ้านเขาอุ้มลงไป เพราะว่ากำลังใจมันสิ้นลมปราณลงไปเสียก่อน

    ในฐานะที่อาตมาประกาศตนเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินวร จึงบอกแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า ท่านไม่ต้องห่วง ถ้าอาตมายิ่งจะตายในขณะนี้ด้วย เรื่องการเจริญพระกรรมฐานจะให้งดนี้ไม่ได้แน่นอน เพราะยิ่งป่วยยิ่งเร่งรัดให้มาก เพราะเบื่อเจ้าร่างกายที่มีความอกตัญญูไม่รู้จักคุณที่เราขุนอยู่ตลอดเวลา อยากจะกินอะไรก็หาให้ ต้องการอะไรก็หาให้ แต่มันไม่เคยตามใจเรา ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้พูดเพราะเจ็บใจร่างกาย แต่เจ็บใจใจของตัวเองที่ไปคบกิเลสเข้าไว้

    วันนั้นเมื่อเสร็จจากการอาเจียน บ้วนปาก ทรงกำลังใจดีแล้ว เห็นว่าร่างกายไม่รวน ก็นำบรรดาท่านพุทธบริษัททำวัตรสวดมนต์ สมาทานพระกรรมฐาน แล้วก็มานั่งพิจารณาตัวเองว่า เวลานี้ใจมันหวิวเกือบจะขาดใจ เสียงที่กล่าวออกไปก็ไม่ค่อยจะออก หน้ามืด มองคนข้างล่างดำไปหมด จำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่ก็ควบคุมกำลังใจ ทรงสติสัมปชัญญะตามสมควร คิดว่าวันนี้บางทีเราจะไม่ได้ลงเอง จะต้องถูกหามลง เพราะว่าสิ้นลมปราณเสียบนธรรมาสน์ จึงได้ตัดสินใจว่า

    วันนี้ต้องสอนบรรดาท่านพุทธบริษัทเรียกว่าเอากันเฉือนขั้นสุดท้ายกันเลย เรียกว่าทิ้งทวนหรือว่าทิ้งไพ่ใบสุดท้าย และพุ่งทวนเล่มสุดท้ายที่มีอยู่ นั่นก็คือคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมครูที่เรียกว่า บารมี ๑๐ ทัศ

    วันนั้นสอนบารมี ๑๐ ทัศ แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านทั้งหลายจะมีความเข้าใจหรือไม่เข้าใจเพียงใด อาตมาก็ไม่ทราบ เพราะสอนไม่ค่อยตรงเป้าหมาย เมื่อสอนเสร็จเวลาผ่านไปก็ดับไฟ สั่งให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพากันเจริญพระกรรมฐานทรงสติสัมปชัญญะ คือว่าตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ให้คำภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย เพราะการภาวนาก็ดีพิจารณาก็ดีนี่ อาตมาไม่ขัดใจใคร ใครเคยทำแบบไหนคล่องมาแล้ว ให้ทำอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เพราะอะไร…?

    เพราะว่าการภาวนาหรือพิจารณาที่ทำมาแล้ว ถ้าไม่ผิดก็ไม่ควรจะเปลี่ยน เพราะแบบปฏิบัติมีมากด้วยกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้จึงจะถูก ทำอย่างไรก็ตาม ถ้าปรารภจิตเป็นสมาธิระงับจากนิวรณ์ หรือปรารภจิตเป็นปฏิปักษ์ขันธ์ ๕ ใช้ได้หมด ถ้าตรงกับแนวคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคตแล้ว อาตมาไม่ปฏิเสธการปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน

    เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทเริ่มปฏิบัติ อาตมาก็คิดในใจว่าร่างกายไม่ดีแบบนี้เราจะทนมันอยู่ทำไม ไปเสียจากร่างกายดีกว่า ปล่อยให้มันนั่งอยู่ตรงนี้ พอสัญญาณบอกเวลาปรากฏเราจึงจะกลับมา ฉะนั้นจึงได้ไปเสียจากกาย ไปไหว้พระ จะไปแบบไหนอันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาไม่บอก บอกไม่ได้ ไปอย่างไร ไปโดยวิธีไหน อยากจะรู้ก็ปฏิบัติกันเอาเอง แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่ของดีของเด่นอะไรนัก การไปได้มาได้ถ้าใจเหลิงเกินไปก็ยังลงนรกได้ ไม่ใช่ของพิเศษ เมื่อออกไปแล้วก็พบองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

    นี่ขวางกับชาวบ้านเขาแล้ว เขาบอกว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว จะพบกันได้ยังไง นั่นมันเรื่องของเขาบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย นี่มันเรื่องของอาตมา อาตมาพบกันได้ก็แล้วกัน เมื่อพบแล้วก็เข้าไปนมัสการองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พอเงยหน้าขึ้นมาพระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า “สัมพเกษี วันนี้เธอสอนบารมี ๑๐ ทัศใช่ไหม …?”

    ก็กราบทูลพระองค์ว่า “ใช่พระพุทธเจ้าข้า”

    พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า “สัมพเกษี บารมีแปลว่าอะไร…?”

    ตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายขอได้โปรดทราบว่า ถ้าอาตมาสอนถูกพระองค์จะไม่ทรงตรัสแบบนั้น อาตมารู้ทันรู้เท่าเข้าใจทันทีว่า การสอนวันนี้ผิดพุทธพจน์บทพระบาลี

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทการสอนนี้ไม่ใช่ว่ามันจะถูกเสมอไป มันก็ผิดได้เหมือนกัน เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรมีพระพุทธฎีกาตรัสถามแบบนั้นอาตมาก็ทราบ จึงได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่แน่ใจนักพระพุทธเจ้าข้า แต่ที่เรียนกันมา ครูสอนว่าบารมีแปลว่าเต็ม”

    พระองค์จึงทรงตรัสถามว่า “อะไรมันเต็ม และมันเต็มแบบไหน สมมุติว่าเธอจะปฏิบัติในทานบารมี ทำยังไงทานบารมีมันถึงจะเต็ม ถ้าหากว่าจะนำของมาให้เต็มโลก เธอจะไปขนมาจากไหน ถ้าเราจะไม่นำของมาให้ ทำยังไงทานบารมีมันจึงจะเต็ม…?”

    แบบนี้มันก็อยู่ด้วยกันทั้งนั้นแหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าคนอย่างอาตมา ถ้าหากว่าท่านที่เป็นนักปราชญ์ดีกว่าอาตมาก็ไม่เป็นไร ท่านไปได้ เพราะท่านมีความเข้าใจ ท่านมีความฉลาด อาตมาบอกแล้วนี่ว่าอาตมามีความรู้ไม่เท่าหางอึ่ง คือยาวไม่เท่าหางอึ่งหรือไม่แค่หางอึ่งเพราะความโง่มันมาก

    เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงตรัสแบบนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจในบารมีพระพุทธเจ้าข้า”

    พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “สัมพเกษี เธอเข้าใจ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ว่าเธอดีแต่เฉพาะบริโภคเองเท่านั้น แต่การที่จะแบ่งปันให้บุคคลอื่นน่ะ เธอไม่มีความฉลาด การที่เธอตั้งกำลังใจในด้านบารมี ๑๐ ทัศ เป็น ๓๐ ทัศ ด้วยกัน ๓ ชั้น เธอทำได้ แต่ว่าวันนี้เธอสอนบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย เธอทำไม่ถูก เธอจงมีความเข้าใจเสียใหม่ว่า คำว่าบารมีนี้มันแปลว่าเต็ม แต่อะไรมันเต็มตถาคตจะบอกให้ว่า บารมีนี่ควรจะแปลว่ากำลังใจเต็ม”

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท จำไว้ให้ดีว่า คำว่าบารมีก็คือกำลังใจ ทำกำลังใจให้เต็ม ตอนนี้ซิชักจะฉลาดขึ้นมาทันที มานึกในใจว่าเรานี่มันแสนจะโง่เสียมาก

    กำลังใจเต็มตอนไหนบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านก็ทรงให้ทวนเรื่องบารมี ๑๐ ทัศ ว่ามีอะไรบ้าง อาตมาก็ถวายคำตอบแก่พระองค์ว่า

    ๑. ทานบารมี

    ๒. ศีลบารมี

    ๓. เนกขัมมบารมี

    ๔. ปัญญาบารมี

    ๕. วิริยบารมี

    ๖. ขันติบารมี

    ๗. สัจจบารมี

    ๘. อธิษฐานบารมี

    ๙. เมตตาบารมี

    ๑๐. อุเบกขาบารมี

    องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า สัมพเกษี ถูกแล้ว บารมีทั้งหมดนี้ให้ใช้กำลังใจ สร้างกำลังใจให้มันทรงอยู่ในใจทั้งหมด ให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ไม่มีอะไรบกพร่อง คือ

    ๑. จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ

    ๒. จิตพร้อมในการทรงศีล นี่ซิบรรดาพุทธบริษัท พร้อมในการทรงศีลเป็นปกติ ไม่ใช่ปล่อยให้ศีลมันหล่นไป

    ๓. จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะก็แปลว่าการถือบวช บวชผมยาว บวชผมสั้น บวชโกนหัว ไม่โกนหัว ได้ทั้งนั้น

    ๔. จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารอุปาทานให้พินาศไป

    ๕. วิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ

    ๖. ขันติ มีทั้งอดทั้งทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์

    ๗. สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลาว่าเราจะจริงทุกอย่าง ไม่มีอะไรในคำว่าไม่จริงสำหรับใจเรา ในด้านของการทำความดี

    ๘. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ

    ๙. เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดีไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น

    ๑๐. อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ ในเมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว อย่างที่เธอเป็นวันนี้ อุเบกขาบารมีตัวนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า ตรงกับภาษาไทยที่ใช้กันเป็นปกติว่า ช่างมัน ขันติบารมีนี่ก็เหมือนกันใช้คำว่าช่างมัน ตรงตัวดี

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า วันนี้ยังไม่สอนอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัท เรามาคุยกันในคำว่า บารมี ทั้งหลายได้ทราบชัดว่า บารมีที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ให้เราสร้างให้มันเต็มนั้น ก็คือสร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์ ไม่ใช่ว่าเราจะมานั่งคิด เราจะมานอนคิด เราจะมาทรงจิตว่า เอ๊…บารมีของเรามันไม่มีนี่ ชาติก่อนบารมีของเรามันไม่พอ บารมีของเรายังไม่เต็ม เราจะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ยังไงได้

    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มีความเข้าใจตามนี้ พอยังจะรู้รึยังว่าเราสามารถจะสร้างบารมีได้ด้วยอาศัยกำลังใจ ความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัทมี กำลังใจอย่างเดียวเท่านั้นที่เราจะทำให้มันดีหรือไม่ดี อันนี้ก็ตรงกับพระบาลีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในเรื่อง พระจักขุบาล ว่า

    มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา

    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ นี่ความจริงเรื่องนี้ก็เรียนกันมาแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่เวลาปฏิบัติจริง ๆ มันทำไมถึงลืมก็ไม่ทราบ

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านคงจะเข้าใจคำว่า บารมี แล้วอย่าลืม บารมีแปลว่าเต็ม แต่ส่วนที่เราจะทำให้เต็มนั้นก็คือกำลังใจ ให้กำลังใจมันพร้อม พร้อมที่จะทรงความดีในด้านบารมีไว้ ถ้ากำลังใจของเราพร้อมทรงบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ครบถ้วนเพียงใด บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความเป็นพระอริยเจ้าเป็นของง่าย

    ที่นำบารมีทั้ง ๑๐ ประการมากล่าวในตอนนี้ก็เพราะว่า ในตอนต้นพูดเรื่องพระโสดาบันเข้าไว้ เห็นว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอาจจะคิดว่า แหม…มันยากเกินไป ถ้ากำลังใจในการสร้างตนเป็นพระโสดาบันมันยังครบถ้วนไม่ได้ ก็หันมาจัดการกับบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ให้มันครบถ้วนบริบูรณ์

    ทาน การให้ เป็นการตัดความโลภ

    ศีล เราก็ตัดความโกรธ

    เนกขัมมะ ตัดอารมณ์ของกามคุณ

    ปัญญา ตัดความโง่

    วิริยะ ตัดความขี้เกียจ

    ขันติ ตัดความไม่รู้จักการอดทน

    สัจจะ ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก

    อธิษฐาน ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์บริบูรณ์

    เมตตา สร้างความเยือกเย็นของใจ

    อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของกายเราไม่ปรารภ

    เท่านี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทสมบูรณ์เพียงใด คำว่า พระโสดาบัน นั้นบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะรู้สึกว่าง่ายเกินไปสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท

    ทำไมจึงว่าอย่างนั้น ก็เพราะว่าคนที่มีบารมีเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ มีกำลังใจเต็มทุกอย่างใน ๑๐ ประการนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เรียกว่าพระโสดาบัน แล้วท่านเรียกว่าอะไร ท่านเรียกว่า พระขีณาสพ แปลว่า ผู้มีอาสวะอันสิ้นไปแล้ว หรือเรียกว่า พระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาอันดับสูงสุดเข้าถึงซึ่ง พระนิพพาน ได้

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี

    524511_454438471243709_417181757_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เรื่อง หลวงพ่อ

    หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าฉันตายไปแล้ว 3 ปีนี่วัดจะไม่มีที่ยืน จริง เพราะน้ำมันท่วม ไม่รู้ว่าจะยืนตรงไหน เถียงไม่ได้ อย่างบอกกับพวกฉันไว้ไง ข้าเปลี่ยนชื่อ 3 ครั้งนะ 3 ปีก็ตาย เราก็.. พระสุธรรมฯ พระราชพรหมยาน เหลืออีกครั้งหนึ่งก็จะสามใช่ไหม เราก็รอเปลี่ยน 3 ครั้งนะ ไม่เปลี่ยนซักที ตายเสียก่อน เราก็มาทวนดู อ้อ แต่ก่อนท่านชื่อ สังเวียน เปลี่ยนเป็นวีระ เป็นพระสุธรรมฯ เป็นพระราชพรหมยาน หลังจากนั้น 3 ปีก็มรณภาพ เราไปหลงนึกว่าเปลี่ยนเป็นพระราชาคณะ 3 ครั้ง

    (หลวงพ่อยังบอกอีกว่า)

    เมื่อข้าตายไปแล้ว 7 วัน 15 วัน แกดูศพนะ เราก็ดูศพจริงเหมือนกัน ท่านคุยกับท่านท้าวมหาราชไว้แล้วว่าอย่าให้ศพมีกลิ่นเหม็น ของท่านไม่เหม็นจริงๆ ตอน 7 วัน 15 วัน เพราะว่าจะเป็นที่รังเกียจของคนที่มากราบไหว้ท่านว่าอย่างนั้น ไอ้ตอนเหม็นนี่เราไม่ได้จำหรอก เราจำแต่ตอนฟื้น 15 วัน เราลุ้นว่าฟื้นหรือไม่ฟื้น ผู้รู้มาบอกตอนหลังว่าเขาลือว่าหลวงพ่อจะฟื้น (ในหนังสือพรสวรรค์มี) เขาว่าหลวงพ่อจะฟื้น หลวงพ่อบอกไม่ไหว ร่างกายมันแย่มาก สมเด็จให้ฉันลง แต่ฉันไม่ยอม ฉันไม่เอา ก็ตรงกับก่อนที่ท่านจะมรณภาพก็บอกว่า สมเด็จติงว่ามณฑปสมเด็จองค์ปฐมคุณยังสร้างไม่เสร็จนี่ อย่างนี้ถือว่าติงแล้ว ติงไม่อยากให้ไป ก็ตรงกับที่ท่านมาบอกว่า สมเด็จบอกจะให้ฉันลง ฉันไม่เอา ร่างกายไม่ไหว ตรงกัน ก่อนมณภาพกับมรณภาพแล้วนี่พูดตรงกัน คือมันรับกันน่ะ เรื่องมันรับกัน

    หลวงพ่อเคยพูดว่าถ้าเป็นภาระของคนอื่นนี่จะไม่อยู่ คนอื่นจะลำบากเพราะท่าน ท่านไม่เอา ก็ไปจริงๆ ถ้าอยู่ร่างกายก็จะเป็นภาระกับคนอื่นมาก

    หลวงพ่อส่วนมากจะไม่ใช้คนเพราะเรื่องส่วนตัว ส่วนตัวของท่านนี่ท่านจะไม่ใช้คน ใครทำให้ท่าน ท่านก็บอกว่าขอบใจมากนะลูกนะที่เป็นห่วง ขอบใจมาก คนอยู่ข้างท่านน่ะชื่นใจนี่ ท่านไม่เอาเปรียบเลยล่ะ ท่านจะมีแต่เกรงใจคน ที่ทำอะไรให้ท่าน

    (จากคอลัมภ์ จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2538)

    300852_454440581243498_1519621770_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เรื่องหมาชื่อนาค

    เมื่อสัก 15 วันมานี่ได้ หมาต้นตระกูลชุดใหญ่ ที่หลวงพ่อเลี้ยงไว้ตาย ชื่อ นาค ประมาณ 10 กว่าปีละมั๊ง มีลูกหลานประมาณสักร่วม 500 ได้ แต่ตายบ้างอะไรบ้างนะ ก็เกิดตายไป พอตายไปสัก 3 วันได้ ก็มาหาคนเลี้ยงหมา มาทั้งวิมานที่เป็นเพชรเลย ไอ้เจ้าของตกใจ เช้ามืดประมาณตี 5 ตกใจว่าใครๆใครมานี่ สวยจังเลย ถามว่าจำแม่นาคไม่ได้หรือ คนเล่าเล่าไปก็ร้องไห้ไป คนเลี้ยงน่ะ ดีใจ

    หมานี่ส่วนมากมันจะแบ่งเขตกัน นาคนี่ก็ไปได้ทั่ว ใครเลี้ยงลูกไม่เป็นมันก็ไปเลี้ยงลูกให้เหมือนคนจริงๆ เออ เห็นหมามานักแล้ว นี่มีพรหมวิหารจริงๆเลย เพิ่งตายไปได้สัก 20 วันนี้ได้แล้ว ตายได้สัก 3 วันก็มา มาตอนเช้ามืด บอกเสียงเย็นจับใจ คนเลี้ยงมันรักหมานี่เดือนหนึ่งต้องใช้เงินตั้ง 4-5 หมื่น หมาหลวงพ่อมีเป็นร้อยตัว ท่านให้เลียงดี บอกพวกนี้รับอาสามาเฝ้าวัด ไม่ใช่มาจากอบายภูมิ มาจากเทวดา เราก็ตีเทวดาเสียเยอะเหมือนกัน (หัวเราะ) บางทีบางตัวก็อิจฉากัน แย่งแบ่งกันอะไรกัน ก็ต้องตี

    (จากคอลัมภ์ จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2538)

    264919_454470131240543_1527002749_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เรื่องหมอวัชรีพบหลวงพ่อแบบกายเนื้อ

    (ลูกสาวคุณหมอวัชรีชื่อโรส มาทำบุญพระครูปลัดอนันต์ จึงเล่าเรื่องคุณแม่ให้ฟัง)

    ไอ้คนนี้พ่อแม่เป็นหมอทั้งสองคน อยู่บางมูลนาก พ่อจะเล่นการเมือง ยังไม่ทันเล่นการเมืองเต็มที่ พวกยิงเสียหลายรูเลย ยิงก่อนแล้ว ยิงก็ไม่ตาย ยิงครั้งหรือสองครั้งก็เอาตำรวจเฝ้าบ้าน เฝ้าร้านหมอน่ะ ตอนหลังก็ไม่เอาแล้ว เลิก การเมืองไม่เอา มาหาพระก็มาหาหลวงพ่อนี่ พวกหมอหัวแข็งไม่ค่อยเชื่อง่ายๆ ก็มานั่งกรรมฐานคุยกับหลวงพ่อก็หมอเริ่มเข้าแล้ว สนใจแล้ว เริ่มสนใจ ภาวนาดี

    ทีนี้ หมอวิสุทธิ์ ก็มาวัด แต่เมียไม่เอา เมียยังไม่โดนยิง(หัวเราะ) เมียยังไม่เข้า หมอวิสุทธิ์ แกก็เข้า แล้วเทศน์โปรดกันไม่ได้สิ อยู่บ้านเดียวกันนี่ วิชามันทันกัน วิชาแก่กล้าทันกัน เมียก็ไม่เอา หมอวิสุทธิ์ จะยังไงก็ช่างเถอะ ไปหาพระหาเจ้าก็ไป แต่เมียยังไม่ภาวนา หมอวิสุทธิ์ ก็ทำๆ เขาเกิดฝึกมโนมยิทธิหรือยังไง หมอวัชรีก็ลองฝึกด้วย พอลองมันก็ไปเต็มกำลังเลย อีตานี้ พอทำก็ติดใจ ก็ลุยสมาธิ เอาเต็มที่เลย บอกมันหลับตาปุ๊บมันแพรวเป็นเพชรไปหมดแล้ว หลวงพี่ทำยังไงดี บอกหลวงพี่ยังไม่ได้เพชรสักทีเลย (หัวเราะ) หมอเอาเพชรไปกินซะแล้ว คนมันเด็ดขาดน่ะ

    พอได้มโนมยิทธิเต็มกำลังแล้ว ทีนี้แกก็ลุยกรรมฐาน ลุยกรรมฐานก็เกิด…..ท่านเอาแม่มาเลี้ยงไว้ด้วย คุณแม่อายุ 80 กว่า แม่หมอวัชรี หมอวิสุทธิ์ นี่เขาไปเมืองนอกกับหลวงพ่อ อยู่นี่ก็หมอวัชรีอยู่คนเดียว เลี้ยงแม่แกด้วย รักษาคนไข้ด้วย ความวุ่นวายมันก็เกิด พอแม่เห็นพระเดินผ่านหน้าบ้านตอนบ่ายโมงบ่ายสอง ” หนู มา เอาเงินมา จะใส่บาตร ” แม่เห็นพระก็จะใส่บาตร มีศรัทธาจะใส่บาตรลูกเดียว ลูกก็ดุแม่สิ แม่ไม่รู้เรื่องอะไรนี่บ่ายโมงแล้ว พูดเสียงดังหน่อย หลวงพ่อท่านรู้ ยังไงก็ไม่รู้ ว่ากรรมนี่มันจะตกกับคนที่มีบุญแล้ว มันจะริดรอนความดีของตัว

    เวลา 7 โมงเช้า หมอวัชรีแต่งตัวจะมาตรวจคนไข้ เดี๊ยวจะไปตรวจคนไข้แล้ว ไม่ใช่นั่งกรรมฐานนะ แต่งตัว พอหันหลังไปจะลงไปข้างล่าง หลวงพ่อยืนรออยู่บนที่นอนเลย พอเห็นพระยืน ไม่ใช่นั่งกรรมฐานนี่ ก็ตกใจร้อง ” หลวงพ่อเจ้าขาๆ ” ร้องอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อก็สอน ท่านมานี่เพราะว่ากรรมที่ทำไว้มันจะตัด เพราะไปดุแม่ ไปตะคอกใส่แม่ สอนถึงบุพการี การกตัญญูเป็นยังไง สอนถึงการปฏิบัติต่อแม่พ่อเป็นยังไง สอนให้มั่นคงยังไงๆ ทำอย่างนี้นะ พอสอนเสร็จก็กราบ ท่านก็กลับวัด ไม่ได้ไปทางประตู ออกทางประตู

    ” อ๋อ ไปกายเนื้อเลยหรือครับ ”

    ไปกายเนื้อนี่ ทีนี้ก็ถาม นี่ฉันถามเอง หลวงพ่อไปจริงหรือเปล่าครับ บอก เออ ไปจริง แล้วหมอวัชรีมาวัดหลวงพ่อบอก เฮ้ย หมอ ผีหลอกเหรอ (หัวเราะ)

    พอหลวงพ่อเทศน์อย่างนั้นแล้วนี่ อีกไม่กี่เดือน หรือเป็นปีก็ไม่รู้นะ แม่ของหมอวัชรีนี่ก็ป่วย หมอวัชรีนี่ก็นั่งกรรมฐานเยอะใช่ไหม ก็ไปสอนแม่ ไอ้สอนก็คุยกัน เขาบันทึกเทปไว้หมด ที่แม่พูดนี่อารมณ์พระอริยเจ้าเบื้องสูงทั้งนั้นเลย คนอายุตั้ง 80 จะมาเรียนหนังสือก็ลำบากแล้ว พูดอารมณ์ของพระอริยเจ้าเบื้องสูงทั้งหมดเลย ตัดความโกรธ ระคะกับโทสะนี่ พออ่านหนังสือที่เขาพิมพ์ออกมาแล้วอารมณ์พระอรหันต์ทั้งนั้น ที่ลูกไปดุแม่นี่ไปดุพระอริยเจ้านะ มันจะเป็นกรรมหนักจริงๆ

    ลูกไปถามแม่ ทำได้ยังไง ต้องค่อยๆทำลูก สอนลูกเสียอีก ไอ้ลูกก็ตั้งใจว่าจะไปสอนแม่บั้นปลายชีวิต แต่ไอ้แม่สอนลูกเสียอีก ตายด้วยความสงบ อารมณ์พระอรหันต์นะ ตอนหลัง บอกโอ้โฮ ตายแล้ว ที่หลวงพ่อไปสอนนี่ ไอ้ตัวนี้นี่รู้จริงใช่ไหม รู้จริงว่ากรรมจะไปตกกับคนที่เรารู้ ทำยังไง จะช่วยได้ อารมณ์นี่เราไม่ได้พยากรณ์ แต่อารมณ์ที่คนอายุตั้ง 80 พูดมานี่มันเป็นแบบของพระอริยเจ้าเบื้องสูงทั้งนั้น อย่าไปห่วงนั่นเลย อย่าไปห่วงนี่เลย เป็นธรรมดา มันก็ต้องแก่ก็ต้องป่วย ก็ต้องตาย อะไรนี่ อย่าไปห่วงแม่ มันธรรมดาของร่างกาย ลูกไม่ต้องสอนแม่ แม่สอนลูกแล้ว

    นี่มันจริง ครูบาอาจารย์เรารู้จริงด้วย รู้จริงว่ากรรมนี่มันจะตกกับคนนี้ เขาเรียกว่าตัดมรรคตัดผล ลูกที่ทำไม่ดีกับแม่ หลวงพ่อก็ช่วยได้ นี่ไปกายเนื้อจริงๆ ถ้าไปเล่าให้ตาสีตาสาฟังก็ยังเอ๊ มันเพี้ยนไปหรือเปล่า ใช่ไหม

    (จากคอลัมภ์ จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ กันยายน 2538)

    เรื่องของคุณหมอวัชรี หิรัญยูปกรณ์ ที่หลวงพี่นันต์เล่าให้ฟังข้างบน มีในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 1

    283813_454758327878390_1673579990_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    การทำจิตให้เป็นสมาธิ
    ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    ความจริงการทำจิตให้เป็นสมาธิ หรือทำจิตให้เป็นฌานสมาบัติ เป็นของไม่ยาก คนที่จะได้ดีเขาทำกันแบบนี้ ขณะที่ฟังก็ดี ขณะที่ตั้งใจทรงสมาธิจิตก็ดี เขาไม่ให้อารมณ์ส่งไปสู่อารมณ์อื่น รู้จักควบคุมใจของเราให้อยู่เฉพาะกิจที่เราจะพึงทำ คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้า และคำภาวนา ลมหายใจเข้านึกว่าพุท ลมหายใจออกนึกว่าโธ นึกอยู่ ควบคุมกำลังอยู่ เท่านี้ ตามเวลาที่เรากำหนดไว้ เราจะไม่ยอมให้อารมณ์จิตเราไปสู่อารมณ์อื่น นอกจากลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาว่าพุทโธ ถ้าเราบังคับจิตของเราอย่างนี้ไป ทุกคราวที่เจริญพระกรรมฐาน จนกระทั่งจิตมีอารมณ์ชิน อย่างนี้จิตของเราก็เป็นฌาน

    313044_489423754419691_1167564362_n.jpg
    การทำจิตให้เป็นสมาธิ
    ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    ความจริงการทำจิตให้เป็นสมาธิ หรือทำจิตให้เป็นฌานสมาบัติ เป็นของไม่ยาก คนที่จะได้ดีเขาทำกันแบบนี้ ขณะที่ฟังก็ดี ขณะที่ตั้งใจทรงสมาธิจิตก็ดี เขาไม่ให้อารมณ์ส่งไปสู่อารมณ์อื่น รู้จักควบคุมใจของเราให้อยู่เฉพาะกิจที่เราจะพึงทำ คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้า และคำภาวนา ลมหายใจเข้านึกว่าพุท ลมหายใจออกนึกว่าโธ นึกอยู่ ควบคุมกำลังอยู่ เท่านี้ ตามเวลาที่เรากำหนดไว้ เราจะไม่ยอมให้อารมณ์จิตเราไปสู่อารมณ์อื่น นอกจากลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาว่าพุทโธ ถ้าเราบังคับจิตของเราอย่างนี้ไป ทุกคราวที่เจริญพระกรรมฐาน จนกระทั่งจิตมีอารมณ์ชิน อย่างนี้จิตของเราก็เป็นฌาน

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เรื่อง การห่มจีวรของพระวัดท่าซุง

    ” การห่มจีวรนี่ ที่วัดท่าซุงทำไมไม่ห่มกลัก ทำไมต้องห่มเหลือง กลักไม่มีเลย ทำไมเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง มีอะไรเล่าให้ลูกหลานฟังไหมครับ ”

    เรื่องห่มจีวรเหมือนกัน สมัยก่อนนี่ก็มีสีกลักมั่ง สีแก่นขนุน สีกลักดำ กลักแดง กลักแก่นขนุน สีเหลือง อะไรอย่างนี้ ใครพอใจอย่างไหนก็ไปห่มกันเอา มีจีวรอะไรก็ไปห่มกัน ก็มีอยู่วันหนึ่ง เราก็ไปช่วยหลวงพ่อห่มจีวร ก็ห่มจีวร จับจีวรให้ท่าน สำหรับผ้ารัดอกอะไร จะไปรับแขก เวลามีงานน่ะ ท่านก็บอกกับเรา ท่านก็ติงมา ท่านบอก เราเป็นพระอยู่ในบ้านในเมือง ไม่ต้องไปห่มสีกลักกับเขานะ ไม่ต้องไปแสดงตัวว่าเป็นพระกรรมฐาน อยู่ในเมืองให้ใช้สีนี้ มันกลืนกับนักเรียนไป มันกลืนกับพระในเมืองไป แต่ จริงๆคนเขามองก็มองกันแค่ภายนอก ตัวนี้มันเป็นมายาอีกตัวหนึ่ง เหมือนทำให้เขารู้ว่าเราเป็นพระกรรมฐาน มองละเอียดจะรู้ว่านี่มันเป็นมายาอีกตัวหนึ่ง

    อย่างเราแต่งสีสารพัดสีนี่ แต่จริงๆเรารักษาศีล 8 ก็ได้ รักษาศีล 5 ศีล 8 นี่ก็ได้ หลวงพ่อท่านเอาผลของจิตจริงๆ ผลของตัวจิตของเราจริงๆ ไม่ใช่ว่าสีลาย สีเขียว สีแดง แล้วจะไม่มีศีล 8 ศีล 8 ไม่ใช่อยู่ที่ตัวนี้ อยู่ที่การงดเว้น เราทำได้หรือเปล่า เขาจะยกย่องว่าเราดี ไม่ดี แต่เรานี่จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่จิตของตัวของเราเองนี่แหละ ท่านหวังผลตัวนี้ ท่านไม่ได้หวังเปลือกอะไร มันก็ลึกซึ้งละเอียดไปอีกนะ

    ทีนี้คุยให้พระฟัง พระก็ยอมรับว่า เออ ไม่ต้องสร้างมายาให้คน ไม่ต้องสร้างเรื่องลวงโลกเปลือกนอกให้คนเขาเห็น ไม่ต้องไปใส่มายาให้คนอื่นเขามองเรา ให้เขาเกิดศรัทธาแค่เปลือกนอกหรืออะไรก็ช่าง ที่วัดเลยปฏิวัติหมดเลย พระก็ยอมรับว่าเออ จริง ทุกองค์ก็เลยห่มสีเดียวกันหมดเลย

    เรามาสังเกตุ พระไปธุดงค์กัน พระไม่ได้ไปธุดงค์ก็ห่มสีเหลืองๆ อย่างนี้ไป อีกองค์ก็ห่มสีกลักไป สีกลักเอาไปกินหมด (หัวเราะ) สีเหลืองอดอยาก

    ” หมายความว่าคนใส่บาตรทำบุญ ”

    คนใส่บาตรอะไรต่ออะไรอย่างนี้ มันก็ เออ มีส่วนเหมือนกัน สู้สีกลักไม่ได้ เรารู้ มีประการณ์นี่

    มายาตัวนี้มันเป็นอุปกิเลส ถ้าเราเจตนาจะทำตัวนี้ มันเป็นอุปกิเลสเสียแล้ว ความดีจะไม่เข้าถึง อย่างนั่งกรรมฐานโชว์อีกอย่าง หลวงพ่อท่านสอนมาเยอะเลยละ เห็นคนเขามานี่ เดินจงกรมเสียหน่อย เขาจะได้รู้ว่าเคร่ง พวกนี้ก็ไม่ได้ ถ้ารู้ปุ๊บต้องหลบเลย ก็หลวงพ่อเองท่านเป็นถึงขนาดนั้นแล้ว ฉันอยู่ห้องเทปตรงกัน เราก็เปิดไฟทำงาน พอเปิดไฟปั๊บ หลวงพ่อรูดม่านเลย ม่านตรงที่ท่านเดินจงกรมอยู่น่ะ ท่านรูดท่านปิด ท่านเป็นพระขนาดนั้น ท่านยังปิดเราเลย เราอยากจะเปิด (หัวเราะ) มันเป็นอย่างนั้นน่ะสิ กิเลสมันมี มันจะเป็นอย่างนั้น ท่านสอนในเรื่องอุปกิเลสเยอะ ท่านสอนแล้วท่านก็ต้องระวัง

    ทีนี้ถ้าเราเอาไปใช้ก็ได้ประโยชน์กับเรา ใคร่ครวญติตัวเองอยู่เสมอ ไปถึงไหนแล้ว ขึ้เกียจ ขยัน กิเลสตัวไหนมันงอก เราจะเคาะมันตรงไหนนี่ ไม่มีใครมาเคาะให้เราหรอก เราต้องเคาะเอง จิตเรานี่ ถ้าเราไม่เคาะเอง เสร็จ มันเหมือนโกหกตัวเอง อยากจะเป็นพระอรหันต์โดยไม่ต้องออกแรง ส่วนมากคนเรามันจะอย่างนี้ อยากจะเป็นผู้หมดกิเลสโดยไม่ต้องออกแรง นึกว่าวันหนึ่งมันจะพั๊วะ อย่างสมัยยพุทธกาล (หัวเราะ)

    ที่จริงแล้วต้องทำ ต้องเคาะ ตรวจดูจิตเราเสมอ ต้องเคาะกิเลสเราอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่ากิเลสมันพอกมาแล้ว อีก 7 วันถึงนึกได้มาเคาะมัน มันเกาะลงกระดูกแล้ว ถ้าเคาะได้ไว มันก็ละได้ไว

    แต่จริงๆ ของหลวงพ่อนี่ท่านสอนทุกอย่าง ทั้งกรรมฐาน 40 มหาสติปัฏฐานสูตร นี่ละเอียดหมด ละเอียดจริงๆ
    สอนแบบแนวปฏิบัติเลยนะ ของหลวงพ่อ จากแนวปฏิบัติโดยตรงเลย

    ” อย่างนี้ก็แสดงว่าเจ้าอาวาสก็ได้เปรียบสิ รู้หมดเลยนะ ”

    ในหนังสือพ่อเก็บไว้หมดเลย เจ้าอาวาสเก็บหมด เก็บใส่ตู้ไว้เยอะ (หัวเราะ) ไม่ค่อยได้เอามาใช้ เขาบอกว่าใกล้เกลือกินด่างนี่จริง เพราะหนังสือนี่ตั้งกี่เล่ม ไม่อ่านจบสักเล่มเลยนี่

    สมัยก่อนท่านจะเปิดเสียงตามสาย ท่านบอกว่าไม่ใช่สอนทั้งหมด แต่ว่าให้มันผ่านหู จะได้ไม่ทะเลาะกับคนอื่นเขา ให้รู้ไว้บ้าง

    (จากคอลัมภ์ จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ เมษายน 2538)

    418592_455431307811092_2090072169_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  14. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ใส่รองเท้าใส่บาตร

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา การที่บุคคลบางท่านสวมรองเท้าใส่บาตร จะมีโทษเพียงใดเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : เดี๊ยวรองเท้าราคาเท่าไร ?

    ผู้ถาม : ส่วนมากถ้าบ้านนอกก็รองเท้าแตะ กรุงเทพฯ ก็รองเท้าหุ้มส้น

    หลวงพ่อ : ยังงั้นบาปมาก ถ้าหากว่ารองเท้าคู่เป็นหมื่นๆ ไม่บาปหรอก

    ผู้ถาม : เอ๊ะ ! หลวงพ่อตอบไงนี่

    หลวงพ่อ : เอ้า ! เขาเอารองเท้าใส่บาตรพระไงล่ะ ราคาเป็นหมื่น ขายได้มากหน่อย พระไม่โกรธ (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เอ๊ะ ! จะพูดยังไงดี สวมรองเท้าไปยืนใส่บาตรพระ

    หลวงพ่อ : แหม..เอารองเท้าใส่บาตรพระ(หัวเราะ) ความจริงนะ เวลานี้ควรจะไม่ปรับกันดีกว่า ถือว่าเป็นปกติ เวลานี้เป็นปกติเขาใส่รองเท้ากัน ถ้าอะไรมันผิดปกติควรปรับยกเลิกไปดีกว่านะ

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ มิถุนายน 2547)

    528080_455444741143082_2021760868_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ชอบเวทย์มนต์คาถา

    ผู้ถาม : ลูกชอบศึกษาเกี่ยวกับเวทย์มนต์คาถาอย่างมาก ทั้งๆที่ตัวเองเป็นผู้หญิง จะเลิกก็เลิกไม่ได้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเวรเพราะกรรมอะไร อยากจะให้หลวงพ่อช่วยตัดเวรตัดกรรมให้หน่อยเถอะเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : เดี๊ยว มีดไม่ได้เอามาซะด้วย ใครมีมีดโต้ไหม ชอบเรียนคาถาอาคมใช่ไหม เอ๊ะ..คนนี้รูปร่างขาวหรือดำนะ ถ้าจะเชฟตุ่มๆ ไม่ขาวไม่ดำใช่ไหม ?

    ผู้ถาม : ครับ ก็ต้วมเตี้ยมๆ

    หลวงพ่อ : อ้วนเหรอ อ้วนๆหน่อยๆ หรือเปล่า คนนี้เคยเป็นผู้ชายมาก่อน ชอบเล่นและได้อภิญญามาก่อน แต่ โดยมากเผ่าของเรานี่เผ่าอภิญญามาก่อนนะ เล่นได้กันทั้งเผ่าเลย ไม่อย่างนั้นฝึกวิชามโนมยิทธิไม่ได้หรอกแค่วันสองวันนะ ไม่มีทางได้หรอกมโนมยิทธินะ ถ้าเดิมไม่ได้มาก่อนนะ ไม่มีทางเลยนะ ทีนี้เขาทำมาก่อนนิสัยเดิมมันติดอยู่คือติดมามาก อันนี้ไม่ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรม ถ้าคนที่เล่นคาถาอาคมที่มันรวยๆ..

    ผู้ถาม : เช่นคาถาเงินล้านเป็นต้น

    หลวงพ่อ : ก็ได้ คาถาเงินล้าน คาถาเงินแสน แต่หัวล้านก็ได้ แต่ว่าคาถาที่มีประโยชน์ คาถาทุกบทที่ให้ไปๆ ถือว่าเป็นพุทธานุสสตินะ เพราะว่าเป็นของพระพุทธเจ้าตรง ก่อนจะทำต้องนึกถึงเจ้าของก่อน คือพระพุทธเจ้า ทำไปก็ถือว่าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2536)

    533161_455451964475693_887411701_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    อนาคตังสญาณ

    ผู้ถาม : อนาคตังสญาณ การรู้เหตุการณ์ในอนาคตและเห็นภาพได้ ผมอยากทราบว่าภาพนั้นมันลอยอยู่ตรงไหนครับ

    หลวงพ่อ : ไม่มี

    ผู้ถาม : แล้วทำไมเห็นได้ล่ะครับ

    หลวงพ่อ : วันหน้ามันจะเกิด เขาเรียกว่าญาณ รู้จักคำว่าญาณไหม ทิพจักขุญาณ เขาไม่เรียกว่าดู ถ้ามันมีแล้ว ถ้าใช้ตาดูเห็น ถ้ามันยังไม่มี ท่านบอกว่า ข้างหน้ามันจะเป็นอย่างนั้นนะ เหมือนหมอดู อนาคตังสญาณรู้เหตุการณ์ข้างหน้า ไมใช่มันมีอยู่ มีอยู่ก็เป็นปัจจุปันนัีงสญาณซิ ไอ้นี่เป็นของทำได้ยาก ไม่ใช่จะทำได้ทุกคน เราต้องคิดว่าคนเท่าไร มีใครบ้าง มีกี่คน คนในประเทศไทย 50 ล้านเศษ ทำได้กี่คน พระในประเทศไทย 3 แสนเศษ ทำได้กี่องค์ แต่เราอย่าไปคิดว่าเราดีกว่าเขานะ มันน่าจะภูมิใจว่าเขาทำไม่ได้แต่เราทำได้ เป็นการวัดกำลัีงวาสนาบารมีที่สั่งสมมา ของเก่ามีมาก มีความดีมาก เราก็ทำความดีใหม่รับของเก่า ไอ้นี่ควรจะดีใจ

    แต่ความจริงการปฏิบัติได้จริง ดีกว่าเรียนรู้จากตำรา แต่ต้องอาศัยความฉลาดเ้ข้าร่วมด้วย ถ้าเรามีข้อข้องใจ ให้ถามตรงพระพุทธเจ้า อย่าไปนั่งฟังชาวบ้านเปะปะๆได้ที่เขาว่าได้จริงๆ บางทีไม่ได้จริงหรอก เอาความโง่ของตัวมาแจกให้บุคลลอื่นโง่ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระนี่มีความสำคัญมาก พระหลงตัวเองว่าห่มผ้าเหลืองเป็นพระ แต่ความจริงสู้ชาวบ้านไม่ได้ดีกว่าเยอะแยะ

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ มิถุนายน 2530)

    402803_456099951077561_570123051_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ว่าคาถาเงินล้านมือสั่น

    ผู้ถาม : ถ้าบูชาพระ นั่งเจริญกรรมฐานเสร็จแล้วก็ต่อด้วยคาถาเงินล้านของหลวงพ่อ ว่าไปสักครู่หนึ่งปรากฏว่ากายสั่น มือสั่น ใจสั่น เหมือนกับอาการจะปลุกพระอย่างนั้นแหละ จึงเรียนถามหลวงพ่อว่าเป็นเพราะเหตุใด ต่อไปจะทำต่อไปได้หรือไม่ครับ ?

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าัสั่นต่อ อย่าลืมนะถ้าใจสั่นนี่มันผิดปกติ แต่ใจสั่นนี่พอมันภาวนาเร็วเกินไปหรือไม่เข้าใจ ถ้าตัวสั่นนี่เป็นอุพเพงคาปิติ ดีนะ แต่ควรจะคุมอย่าให้ใจสั่น ถ้าใจสั่นหรือไม่สั่น ถ้าจิตมีกำลังสมาธิถึงนั่นมันก็สั่น ถ้าเลยไปแล้วเป็นผรณาปิติ มันก็ไม่สั่น ถ้าต่ำลงมามันก็ไม่สั่นและเวลาที่ว่าคาถานี่ ไม่ควรคิดว่าจะสั่นหรือไม่สั่น เอาแค่จิตเป็นสุขค่อยๆว่าสบายๆ ดีกว่าจึงจะถูกต้องนะ

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2536)

    408254_456421267712096_1771251797_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ณ บ้านสายลม
    กระผมฯ ได้มีโอกาส นั่งน้อมจิตเพื่อโมทนาบุญ แก่ศิษยานุศิษย์ขององค์หลวงพ่อฯ ที่กำลังถวายสังฆทาน

    มี สุภาพสตรีค่อนข้างจะสูงอายุ เดินเข้ามาถวายสังฆทาน (ถัง 100 บาท) แล้วเดินออกมา

    พระเดชพระคุณองค์หลวงพ่อฯ เมตตามอบ พระคำข้าว ให้ 1 องค์
    แล้วท่านฯ ก็กล่าวออกไมค์ ตามหลังโยมผู้หญิงท่านนั้น ว่า….

    (ขอกราบขมากรรม ตรงต่อองค์หลวงพ่อฯ ที่ไม่สามารถจำได้ตรง ทุกถ้อยคำพูด แต่ก็มีความหมาย ดังนี้..)
    “..โยมมม พระคำข้าว เนื้อสีขาว ๆ เก็บไว้ให้ดี ทำด้วยความยาก ทำอย่างเดียวกับพระสมเด็จฯ
    ต่อไปอีกไม่เกิน 20 ปี องค์ละเป็นแสน..”)

    มีศิษย์ที่เป็นโยมผู้หญิงท่านหนึ่ง
    ที่นั่งพนมมือ น้อมโมทนาบุญสังฆทาน และนั่งใกล้ ๆ กับที่นั่งขององค์หลวงพ่อฯ
    ได้พูดต่อจาก คำพูดขององค์หลวงพ่อฯ ว่า..

    “..ไม่กล้า ขาย เจ้าค่ะ กลัวว่าจะเป็นการ ขายพระ ขายครูบาอาจารย์”

    องค์หลวงพ่อฯ พูดตอบ ว่า..
    “..อนุญาตให้ ขาย ได้.. เป็น สัมมาชีพ..”

    นำคำพูดของท่าน มหาหินทร์ แห่งเว็บพลังจิตรมา

    417182_456444331043123_1664337029_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ภาวนาคาถาเงินล้านถูกหวย

    ผู้ถาม : ภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วขอบารมีทุกๆพระองค์ที่เป็นเจ้าของคาถาหยิบหวยรัฐบาล ปรากฏว่าถูกรางวัลที่ 5 สองใบ แล้วก็ถามเป็นประเด็นว่าการที่เราจะอาราธนาเจ้าของคาถามาซื้อหวยรัฐบาลนี้จะ เป็นบาปหรือไม่ เพราะเป็นการพนันนิดๆ

    หลวงพ่อ : ไม่เป็นบาป เขาไม่ถือว่าเป็นการพนันอย่างที่เขาจับกันนี่ การพนันประเภทนี้ ตำรวจเขาไม่ได้จับ ไม่ผิดกฏหมาย ไม่มีอะไรเป็นบาปนะ และก็เราไม่ได้บังคับว่าเลขที่ฉันซื้อมาจะต้องออก เราเขียนเองออกเองนะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เพราะคนหมุนกับเราคนละคนกัน ถือเป็นโชคดีดีกว่า

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2536)

    528081_456488167705406_351525965_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    คาถา ” อนัตตา ”

    ยกทรง : เจริญกรรมฐานบทไหนแล้วค้าขายดี

    หลวงพ่อ : บทค้าขายราคาถูก เขาขายบาท เราขาย 50 สตางค์ รับรองเดี๊ยวพรึบเดียวหมด บทนี้บทดีมาก เพราะเมตตาบารมี นี่บวกกับ พรหมวิหาร 4 ไม่ต้องห่วงน่ะ

    ยกทรง : โฮ้ เยอะแยะเลย

    หลวงพ่อ : ยังดี นี่เป็นบทที่ 1 นะ บทที่ 2 ดีกว่านี้ บท จาคานุสสติ แจกดะเลย

    ยกทรง : โอ้ ยอดแท้

    หลวงพ่อ : ให้เรื่องค้าขายดีนี่ มีคาถาตลกอยู่บทหนึ่ง

    ยกทรง : โอ้ ผมได้จดไว้เลย

    หลวงพ่อ : ไม่ต้องจดหรอก มีคาถามหาโต๊ะ มหาโต๊ะนี่น้องชายมหา เตียง คือว่าสมัยนั้นบวชอยู่ด้วยกันนะ แกเป็นนักเทศน์ แล้วก็มีโยมคนหนึ่งแกหาบข้าวแกงขาย หาบไปแล้วเช้า บ่ายกลับมา มันก็ไม่หมดสักวัน วันหนึ่งมหาโต๊ะ แกยืนล้างหน้าอยู่ที่หน้าต่าง แกก็บอกว่าท่านมหามีคาถาอะไรดีๆ ทำน้ำมนต์พรมให้ทีเถอะ ได้ขายออกหมดเร็วๆ มหาโต๊ะแกไม่ใช้คาถาอาคมเขานิ แกนึกอะไรไม่ออก ก็เอาไอ้นี่ถ้าจะดีว่ะ อนัตตา

    อนัตตานี่มันหมดนิ ใช่ไหม อนัตตา หมด ตัวก็ตาย ตายไปหมด แกนึกในใจ แกไม่ได้

    ยกทรง : ครับ

    หลวงพ่อ : อนัตตา มันแปลว่าหมดไม่เหลือ แกเอาน้ำล้างหน้าพรมๆ แต่แกไม่ว่าคาถาดี ยานนั่นไป สายๆกลับ หมด

    ยกทรง : ขายๆ หมด แต่ทิ้งของ

    หลวงพ่อ : ของหมด(หัวเราะ) หนักใจกะแกซิ ข้าวแกงหมด หม้อยังอยู่ แล้วหาบก็ยังอยู่ แต่สตางค์ได้มา ต้องอธิบายละเอียดไหม เป็นอันว่าโยมไม่เกเร มหาโต๊ะ ตื่น สังเกตุเวลาเช้า แกมาเรื่อยๆ ในที่สุด มหาโต๊ะ เลยต้องทำน้ำมนต์ด้วยคาถาบทนี้ ไว้ที่บูชา แกขายหมดทุกวัน ก็แปลกเหมือนกัน ถ้าจิตตรงนะ อนัตตา ถ้านัดกะตานี่ไม่ค่อยเปลื้อง ถ้านัดกะยายแล้วเปลื้อง

    ยกทรง : ลูกหลานคงเอาไปใช้ได้บ้างแบบนี้

    หลวงพ่อ : ปู่ย่าตายายก็ใช้ได้ (หัวเราะ)

    ยกทรง : เดียวไม่ใช่ อนัตตา ไม่มีใครมาเลย กลัวๆ

    หลวงพ่อ : ทำน้ำมนต์ พรม อนัตตา แปลว่าสลายตัวนี่ ก็หมด หมายถึงหมด

    ยกทรง : ให้ของหมด

    หลวงพ่อ : ใช่

    ยกทรง : น้ำมนต์เยอะๆ พรมน้ำมนต์ ก็ให้แน่ใจ

    หลวงพ่อ : ความจริง คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ที่ใช้กันนี่ เวลาขายของ เขาพรมของตั้งแต่ตอนเช้า ถ้าตั้งร้านก็จะพรมหน้าร้านตั้งแต่ตอนเช้าตรู่

    ยกทรง : น้ำมนต์ทำตอนกลางคืนหรือฮะ

    หลวงพ่อ : ตอนล้างหน้า ทำตอนนั้นนะ หยิบน้ำจะมาล้างหน้า ก็เสกด้วยคาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเลย เสกแล้วก็พอล้างหน้าเสร็จก็น้ำพรมๆว่าไปด้วยนะ แล้วเคยทำกัน น้ำหนักของเพิ่ม น้ำหนักนี่ไม่ได้โกง ไม่ได้เอาทรายใส่ แต่น้ำหนักนี่เพิ่ม เขาไปใช้ก็ไม่ขาด นี่เขาลองกันมาแล้วนะ คาถามหาลาภ เป็นคาถาเสกพระวัดพนัญเชิง

    วันนั้นเที่ยวมา ไปๆมาๆ ไปโผล่ที่วัดพนัญเชิง นานแล้ว หลายปี 10 ปี 20 ปีกว่า แล้วก็ไปดูว่าที่เลือกพระองค์นี้ ทำไมคนจึงบูชามาก ก็เลยมีภาพปรากฏ นี่ภาพเก่าก็หายแล้วเหลือพระองค์หนึ่งหน้าตักประมาณ 4 ศอก ท่านบอกว่า วัดนี้เขาเรียก พระนางเชิญ ไม่ใช่ พนัญเชิง ถาม ว่าเพราะอะไร ก็พระองค์นี้เศรษฐีนีเขาจับเชิญ สร้างขึ้นมา เชิญขึ้นมา แล้วก็เจ้าอาวาสวัดนั้น รูปร่างผอมๆดำๆ นั่งเสกด้วยคาถาบทนี้อยู่ 3 ปี วัดนั้นจึงมีลาภมาก

    แล้วต่อมาสมเด็จโต หรือใครไม่ทราบ ไปสร้างครอบใหญ่โตทีเดียว ถามว่าเสกด้วยคาถาอะไร ก็บอกว่า มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุเม แล้ว ท่านก็เลยบอกว่าให้ต่อด้วย คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ให้เสริมขึ้นมา แล้วคาถาอีกบทหนึ่ง นึกไม่ออกมี 2 บท อีกบทคาถาเงินแสน อีกบทคาถาเงินล้าน

    (จากสนทนาสายลมในหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 384 )

    531104_456499817704241_487717787_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...