เค๊าเคยฝันว่า มีคนมาชวนทะลุมิติ 2 ครั้งแระ แต่ทุกครั้งเค๊าปฏิเสธหมดอ่ะ
ป๊าดดดดด ก็มันป๊อดดด นิเนาะ (แต่คิดอีกที ก็เสียดายเหมือนกันนิ) :boo:
แมวเหมียวมงคลฟีล์ม ภูมิใจเสนอ!"เทพผู้พิทักษ์ทั้งสี่"น.64
ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย Norlnorrakuln, 10 ธันวาคม 2012.
?
-
เห็นดีด้วยและขอเป็นกำลังใจต่อไป
0 vote(s)0.0% -
ไม่เห็นด้วยนิทานไร้สาระ งมงาย ฯลฯ
0 vote(s)0.0%
หน้า 51 ของ 64
-
ลาลับ ลาก่อนปีเก่า เท้าย่างก้าว ก่อนเปิดประตู พบปีใหม่ ว๊าก!!! ปีนี้ปีไร ? ดีรึร้าย ช่างมันฉันไม่แคร์ (คิดเองว่าดี ดีดี ขอคำว่าดี รึความดี ส่งถึงทุกคนจ้า !)... มารออ่านนิทานจ้า ^_^
-
แมวเหมียวมาอย่าช้ารอท่าอยู่
รึไปเที่ยวท่องไพรใฝ่ความรู้
หาประตูดูลับแลชะแง้มอง -
ชีวิตที่แสนเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติสายน้ำขุนเขา ไพรสนฑณ์สถานแห่งนี้สมเป็นแดนดินถิ่นอุดม ดึงดูดให้ผู้แสวงหาความสุขจากธรรมชาติเดินทางมาพักผ่อนมิเว้นวาย แต่ใครจะรู้ว่าในทุกย่างก้าวที่ดำเนินไปนั้น สิ่งที่ตาเนื้อสัมผัสอาจครอบคลุมความจริงไม่ได้ทั้งหมด! นักเดินป่าชำนาญไพรส่วนมากมักมีประสบการณ์เกี่ยวกับต้นไม้ สัตว์ป่า หรือแม้แต่อำนาจลี้ลับอาถรรพณ์ป่าที่มองไม่เห็นต่างกันไปตามประสบการณ์
จ.กาญจนบุรี เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ยังทรงคุณค่าความงามทางธรรมชาติอย่างครบครัน สมัยทางการยังไม่ได้เข้มงวดเรื่องการตัดไม้ สัตว์ป่าล้วนมีมากมายหลายชนิด กว่าจะกลายเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเช่นทุกวันนี้ สรรพชีวิตน้อยใหญ่ต้องถูกสังเวยคมกระสุนไปสักเท่าใดแล้ว
หากย้อนอดีตกลับไปสมัยก่อนสงครามโลกจะอุบัติ พื้นที่แถบนั้นล้วนเต็มไปด้วยชนกลุ่มน้อยหลากหลายหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบเป็นเอกเทศ กล่าวคือตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง พวกเขาเหล่านั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับภูตผีปีศาจมาแต่ครั้งโบราณกาล กล่าวคือการล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารไม่เคยทำให้สัตว์ชนิดใดสูญพันธ์เลย เพราะพวกเขาต่างเป็นพวกที่ซื่อสัตย์และรักษาสัจจะวาจามั่นคงเป็นอย่างดียิ่ง เพราะหากผู้ใดไม่ประพฤติปฎิบัติตามเทพเจ้าผู้ดูแลขุนเขาก็จะพิโรธและบันดาลภัยพิบัติพร้อมหายนะต่างๆตามมา ซึ่งผิดจากการล่าสัตว์ป่าในยุคปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ไม่สนและไม่เลือกว่าสัตว์ชนิดใด ขอให้ได้พบเจอเป็นสังหารเรียบ!
ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในป่าแต่ดั่งเดิมนั้น หากพวกเขาตั้งใจจะล่ากวางสักตัวหนึ่ง พวกเขาก็จะช่วยกันล่าอย่างเต็มความสามารถโดยไม่เข่นฆ่าสัตว์อื่นเป็นอันขาด ถึงแม้ขณะนั้นจะมีหมูป่า กระจง หรือเนื้ออื่นๆผ่านเข้ามา พวกเขาก็ทำเป็นเหมือนไม่รู้ไม่เห็น จนกว่าจะได้กวางสมดั่งเจตนาที่ตั้งไว้ทุกประการ ชีวิตดำเนินไปเช่นนี้มานานแสนนานแล้ว...
ครั้นมีการสำรวจประชากรโลก เกิดขึ้น มีใครทราบบ้างหรือไม่ว่าชนกลุ่มน้อยที่เคยอาศัยอยู่ในแดนดินถิ่นเดิมนั้นพวกเขาหายไปไหน? และในพื้นที่ป่าทั่วทุกภูมิภาคที่ปรากฎหลักฐานว่าเคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ อายุเท่านั้นปีเท่านี้ปีตามหลักธรณีวิทยา บ้างก็สรุปว่าอพยกหนีโรคระบาด ภัยธรรมชาติฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ภัยสงคราม หรือแม้แต่พากันตายหมดทั้งหมู่บ้าน สารพัดเรื่องราวที่ปรากฎหลักฐานในท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวก็อาจเป็นจริงตามที่สัณนิฐานไว้
แต่ยังมีแดนดินถิ่นนึงซึ่งพวกเขาไม่เคยอพยกไปไหนเลย เพียงแต่เรามองไม่เห็นพวกเขาเท่านั้นเอง!
อ่า! ใช่แล้ว ผู้เขียนกำลังจะนำพาคุณผู้อ่านไขประตูสู่แดนดินถิ่นรมณียสถานแห่งนั้น "ลับแล-บังบด" แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นใครกันแน่? มีอยู่จริงหรือไม่?
"เมื่อสัจจะอันคงมั่นหลายร้อยดวงจิตรวมเป็นหนึ่ง หลอมเป็นแรงอธิษฐานร่วมกัน ปฎิหารย์อันมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์จึงอุบัติขึ้น!!"
อารัมบทเรียกน้ำย่อยไปพลางๆก่อนแล้วกัน ^_^ -
กระทู้เน่าๆคงอยู่คู่เว็บหนา
แม้ไร้คนกดLikeใคร่โมทนา
ยังสรรหานิทานมาให้เธอ! -
น้ำย่อย ย่อยซะจนกระเพาะแทบขาด แต่มิอาจหลบหนี ฉิ่งไปไหน ก็ยังรอแมวเหมียวมาห่วงใย ด้วยวางใจในนิทานตามฝันเอย...
-
โอ้ละหนอ เหมียวน้อย อ่อยจนเหลิง
ข้าฯ กระเซิง ดั้นด้น ตามค้นหา
หวังได้ชม เสียงเพรียก แห่งวิญญา
โอ้..นิทานจ๋า มาแค่เนี๊ยะ..ข้าฯ อยากตาย
..แค่ก แค่ก แค่ก..:':)'( -
กระไรเลยโดนเหมียวน้อยคอยพ้อว่า
ก้อชะแว๊บแฉลบไปสไลด์มา
แสร้งทำว่าเป็นนินจาหาไม่เจอ....อิอิ
:VO:VO:VO:VO:VO:VO:VO -
เป็นธรรมดาของบุคคลเมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้วย่อมหาที่พึ่งพิง เช่น ภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อารามและรุกขเจดีย์บ้างเป็นสรณะ ชนกลุ่มน้อยพวกนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างพากันอ้อนวอนร้องขอต่อเหล่าทวยเทพเทพาอารักษ์และผู้มีฤทธิ์อำนาจทั้งหลาย ขอภัยพิบัติจงอย่าบังเกิดมีแก่พวกเราทั้งหลายเลย บัดนั้นท่านผู้บำเพ็ญมหากรุณาใหญ่มีวิมานสถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า เห็นกลุ่มชนผู้เดือดร้อนเป็นผู้ไม่มีความผิดใด จะมาถูกภัยพิบัติเบียดเบียน ย่ำยีล้างผลาญชีวิตเป็นการไม่สมควรเลย เว้นเราเสียแล้วจักมีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถช่วยเหลือได้เล่า จำเราจักต้องลงไปเพื่อเป็นที่พึ่งให้แก่พวกเขา (นัยว่าชนกลุ่มนี้อุบัติมาเพื่อเป็นสะพานบุญให้ท่านสั่งสมบารมียิ่งๆขึ้นไป!)
ด้วยเดชแห่งการรักษาสัจจะวาจานั้น ทำให้ท้าวเธอเนรมิตรมิติภพหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้พวกเขาใช้หลบเร้นภัยพิบัติและอยู่ด้วยความผาสุขตราบนานเท่านาน โดยมีกฎระเบียบในการอยู่ร่วมกันคล้ายเป็นคำสาป หากใครละเมิดแล้วก็มีอันเป็นไปต่างๆ
* ลักษณะเป็นมิติซ้อนทับในเมืองมนุษย์ เป็นภพย่อยๆของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา...อนึ่ง การประธานเขตแดนเช่นนี้เป็นด้วยบุญฤทธิ์ของทั้งสองฝ่ายสงเคราะห์กัน ตามอำนาจกรรมจัดสรรค์ หาใช่จะเนรมิตอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าตามอำเภอใจก็หามิได้...และอีกนัยหนึ่งการประธานเขตแดนลักษณะนี้จัดว่าเป็น"อภัยทาน"รูปแบบหนึ่งได้เหมือนกัน, อธิบายมิติทับซ้อน คือ ลักษณะเป็นพื้นที่บริเวณหนึ่งที่ตาเนื้อเราเห็นอาจกินพื้นที่ไม่มากเพียง1-2ไร่ แต่ถ้าเราสามารถผ่านประตูมิติเข้าไปได้ พื้นที่ตรงนั้นกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว!
** ข้อมูลอ้างอิง จากประวัติหลวงพ่อจรัญฯสิงบุรี ตอนที่กล่าวว่าการจะไปป่าหิมพานต์ด้วยกายเนื้อนั้น ต้องเป็นผู้มีบุญและต้องเดินผ่านลอดช่องเขาแคบๆเข้าไป! ถ้าได้ฌานก็เหาะเข้าไปด้วยอำนาจฤทธิ์! (ป่าหิมพานต์ก็สงเคราะห์ลงในภพย่อยของสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกาเช่นกัน เพียงแต่ไม่มีใครไปเนรมิตไว้ เพราะอุบัติขึ้นเองตามกรรมของสรรพสัตว์ที่ไปเกิด และที่มีโคจรเกี่ยวเนื่องกัน พระอินทร์ท่านเพียงแต่ไปเนรมิตรบรรณศาลาให้พระเวสันดรอาศัยบำเพ็ญเพียร และเนรมิตรมักคลีผล 16 ต้น ให้พวกฤาษีชีไพร คนธรรพ์ พวกบ้ากามทั้งหลายได้เสพกัน จะได้ไม่ไปรบกวนพระนางมัททรี!
*** มีภพย่อยของสวรรค์แล้ว เราก็มาดูภพย่อยของนรกกันบ้างเพื่อเพิ่มอรรถรสของนิทานให้ดูมีมนต์ขลังมากขึ้น ^_^ เอาเฉพาะที่เป็นมิติทับซ้อนในเมืองมนุษย์ เช่น ที่"ตะโปธาราม" คือแม่น้ำสายหนึ่งมีลักษณะเป็นสายธารน้ำพุร้อน คนวรรณะกษัตริย์และพราหมณ์จะมีสิทธิ์ได้อาบต้นน้ำ วรรณะชั้นต่ำก็อาบปลายน้ำ ทำไมน้ำถึงร้อน? เหตุผลทางวิทย์ฯ ก็คงพอเข้าใจ แต่เหตุผลทางสิ่งเร้นลับท่านกล่าวว่า เพราะมันไหลผ่านนรกขุมหนึ่ง! โอ้โห้ งั้นพวกที่ดั้นด้นไปเที่ยวกันจะรู้บ้างหรือไม่ กำลังอาบน้ำร้อนในเมืองนรกอยู่!...บรื้ออออออ!!!!
อีกเรื่องหนึ่ง เราท่านคงเคยได้ยินคำว่า "อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว" ท่านทราบหรือไม่ว่าคำนี้ได้แต่ใดมา? จากนิทานชาดกกล่าวว่า
กะทาชายนายหนึ่งเป็นผู้อักตัญญู ทำร้ายบิดามารดา ท่านห้ามปรามว่ามหาสมุทรมีภัยนานับประการลูกอย่าไปเลย ก็ไม่เชื้อฟังแถมโกรธหาว่าจะมาขัดลาภตน แล้วตรงเข้าทำร้ายผู้มีพระคุณก่อนออกเรือเดินสมุทร เรือก็ได้อับปรางลง หนุ่มอักตัญญูลอยคอบนขอนไม้ เห็นเกาะอยู่ลิบๆก็ดีใจรีบว่ายขึ้นฝั่ง เห็นผู้คนบนเกาะกำลังดีใจร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน ก็ตรงเข้าไปร่วมสนุกเฮฮากับเขา เห็นเขาสวมมงกุฎดอกไม้ ตนก็ไปขอมาสวมใส่ด้วย ทันใดนั้นมงกุฎดอกไม้ก็กลายเป็นกงจักรปั้นศรีษะบุรุษผู้เนรคุณนั้นให้ได้รับทุกข์เวทนาแสนสาหัส ฯลฯ ...จากเรื่องนี้จะเห็นว่าภพย่อยของนรกที่เป็นมิติทับซ้อนในเมืองมนุษย์นั้นมีลักษณะเป็นเกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง ใช้รองรับผู้ที่มีบาปสัมพันธ์ให้แวะเวียนมาพักอาศัยอย่างง่ายดาย!
ชะรอยว่า "ชายผู้มาเยือนในฝันถามเรื่องราวเกี่ยวกับ ลับแลเอราวัณ นั้นคงได้เคยผ่านเข้าไปในมิติทับซ้อน ที่เราเห็นในภาพว่าเป็นเพียงแค่โขดหินกลางธารน้ำเท่านั้น!"...
ใกล้เข้าเนื้อเรื่องแล้ว อดใจรออีกนิส ชักแม่น้ำทั้งห้าไปเรื่อยก่อน ^_^ -
ถามไถ่พอให้ใจได้พละ
มีแรงจักได้บรรยาขยายผล
กระแสจิตแสดงเจตจำนงค์
ส่งแรงตรงดลขมับขับเรื่องราว ^_^
หากร้างลาใจนี้คงห่อเหี่ยว
เหมียวซีดเซียวเรืองราวพลันสลาย
ด้วยเห็นว่าไม่นิยมจึงขอบาย
หลบเร้นหายนานขยับกว่าจะมา :'( -
ให้ขยับมาล้อมวงตรงใจจ่อ
ตั้งใจฟังเรื่องเหมียวเล่าอย่ารั้งรอ
เหมียวหน้างอพ้อว่าหายคลายพลัง
มะมาให้กำลังใจใคร่เล่าต่อ
เหมียวตัดพ้อซีดเซียวเหลียวหน้าหลัง
โอมเพี้ยง!แควนรึแฟนคลับขยับฟัง
เพิ่มพลังให้เหมียวหน่อล้อนิทาน
จะไปตามแควนคลับมาอ่านนะคะ ที่จริงมีคนอ่านเยอะอยู่นะคะเพียงแต่ไม่แสดงตัว(f)(f)(f)(y)(y)(y) -
โอมมมม..จะเป่าคาถา มหาจังงัง
ดลหัวใจ คนฟัง ให้หันมองเหมียว
แต่ตอนนี้ มีเพียง หน้าเหี่ยวเหี่ยว
ตัวคนเดียว โด่เด่ บ่มีไผ๋เอา (เข้าแก๊ง) :':)':)'(
ดึกสงัด รัตติกาล มาเยือนแล้ว
ขอเจ้าแมว เหมียวน้อย อย่าเพิ่งเศร้า
ออกเดินทาง ยามใด อย่าลืมเรา
สู่ลำเนา ลับแล เอราวัณ..(นะจ๊ะ) (f) -
เมื่อเดินผ่านประตูโขดหินงามเข้าไปตามซอกเหลี่ยมหินซึ่ง มีลักษณะเป็นช่องบังคับแคบๆพอดีตัว หันรีหันขวางหลายรอบจนหัวหมุนมึนงง มีอาการหูอื้อคล้ายนั่งรถขึ้นที่สูง ตรงไปจนสุดทางเดิน ปรากฎหมู่บ้านเล็กๆกลางไพรพรรณา
"เอ๋! เมื่อสักครู่ยังไม่เห็นมีหมู่บ้านนิ!บรรยากาศช่างบางเบาปลอดโปร่งโล่งเย็นเหมือนอยู่บนยอดเขา นี่เราอยู่ที่ไหนกันแน่!"
ชายหนุ่มผู้มีลายสักเต็มตัวอุทานกับตนเอง ตั้งแต่เขาร่ำเรียนวิชาจากสำนักอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองกาจญ์ในยุคนั้น ครั้งนี้เพิ่งออกเดินป่าเป็นครั้งแรก เขากำลังแสวงหา"ว่านไพรดำ"สุดยอดของขลังขมังเวทย์ตามที่ได้รับมอบหมายจากครูอาจารย์
เมื่อคืนก่อนเป็นช่วงขึ้นสิบห้าค่ำ เขาเฝ้าสังเกตุตามพื้นดิน อย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอคอยว่านอภินิหารย์ปรากฎตัวผุดรับแสงจันทร์เพ็ญ ทันใดนั้นหูพลันได้ยินเสียงหญิงสาววัยดรุณี กำลังสงสนานเล่นน้ำกลางสายธารา เลือดหนุ่มเต็มวัยสูบฉีดพุ่งพร่าน จิตใจถูกเสียงแห่งนางเข้าตรึงรั้งมิอาจข่มอารมณ์ให้เป็นปกติได้
รัศมีแสงจันทร์ส่องกระทบผิวน้ำ เผยให้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่า กวักวิดน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนาน หนุ่มน้อยแอบซอกหินจ้องมองด้วยจิตนาการอันเตลิดไปไกลลิบ ^_^
"นี่เราตาฝาดไปหรือเปล่าว๊ะ จ้องมองเพ่งกสิณดินอยู่ดีๆ ไหง๋กลายมาเป็น ขาวหนอ อวบหนอไปได้!"
ขยี้ตาแล้วมองอีกที องค์แห่งกสิณดินสลายหายไปสิ้น เขาพึมพำขอขมาครูอาจารย์ ด้วยว่าขณะนี้ มิอาจใช้วิชากสิณเพ่งนำว่านไพรดำกลับไปได้เสียแล้ว ภาพอันรันจวญชวนให้หลงใหลนั้นตามมาหลอกหลอน ทำให้สักเริ่มขยับตัวเข้าไปใกล้ทุกทีๆ
สายลมแห่งรักพัดต้องสัมผัสนาง หอบเอากลิ่นไอสิเน่ห์หาแทรกซึมลึกทุกห้วงอณูจิต ทันใดนั้นเอง! ใบหน้ารูปไข่หันมาประสานตา สักเหมือนต้องมนต์สะกด เพื่อนหญิงทั้งหลายของนางกำลังแตกตื่นวิ่งหนีหายลับไปหลังโขดหินขนาดเขื่องนั้นเอง
"อย่า อย่าเพิ่งไป นางผู้ขโมยเอาหัวใจข้า จงกลับมาก่อน"
สักเริ่มรำพันเพ้อแสดงอาการยกมือไขว่ขว้าอากาศ นางเหมือนจะเข้าใจเจตนาที่ซ้อนเร้นของชายหนุ่ม ส่งยิ้มเอียงอายให้เขาพร้อมเอื้อนเอ่ยวจีสานสัมพันรักตอบ
"หากเราและท่านมีบุพเพต่อกันแล้วไซร้ ไว้เจอกันอีกเมื่อไหร่ เราจักตอบรับไมตรีจากท่าน...กรุ้มกริ่ม!!"
"ด เด๋ว เดี๋ยวก่อนนนนน!!"
สัก สดุ้งตื่นขึ้นเมื่อยินเสียงไก่ขันยามเช้า "โธ่ บ้าชิบ นี้เราฝันไปดอกหรือ! เมื่อคืนคงใช้สมาธิเพ่งมากไปหน่อยเลยหลอน" ^_^
แต่เมื่อเขาเดินสำรวจตรงที่เหล่าคุณเธอหายวับไปหลังโขดหินนั้น มันช่างเหมือนกับความฝันอะไรเช่นนี้ จึงตัดสินใจเดินตามเสียงเพรียกแห่งหัวใจไปโดยไม่รั้งรอ
"กรุ้มกริ่ม นางผู้ขโมยหัวใจข้าไป เจ้าจะมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่หนอ?"
แบบนี้ไม่ติดตามตอนต่อไปไม่ได้แล้วววววววว...:cool: -
-
ที่น่าสังเกตุอีกอย่างคือเวลาเดินทางไปสถานที่ต่างๆทางธรรมชาติ มีใครเคยเป็นมั้ยนะ? บางทีรู้สึกหูอื้อขึ้นมาเฉยๆ บางทีรู้สึกเหมือนบรรยากาศบางเบา เย็นสบายๆแบบมีพลังงานบางอย่างไหลเข้ามาหาเรา! บางทีเหมือนเวลามันผ่านไปเร็วจังทั้งที่ความจริงผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว! ฯลฯ
อ่า! หรือขณะนั้นเราอาจกำลังอยู่ในอาณาเขตเร้นลับทับซ้อนที่มองไม่เห็นก็เป็นได้!
(สร้างความลุ้นระทึกนิด ^_^) -
เอาภาพประกอบมาเสริมบรรยากาศให้นะจ๊ะ อิอิ :boo:
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
โหออดอ้อน ค้อนพา หาแควนคลับ
แสนตกอับ ไม่ขยับ จับขีดเขียน
มาซุกอุ่น ใกล้เตา คลอเคล้าเนียน
เผลอหน่อเอียน เวียนวัด จัดหายนาน...... -
ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการซ้อนทับมิติหรือเปล่า
คือ จะรู้สึกว่าวันจันทร์-ศุกร์ ทำไมมันผ่านไปช้าาาาา เหลือเกิน
แต่วันเสาร์-อาทิตย์ ผ่านไปเร้ว เร็ว ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย จะวันจันทร์อีกแล้ว
(eek)
เข้ามาให้กำลังใจจ๊า -
ชายผู้มีรอยสักนั้นไม่รู้ชื่อไร ขอเรียกพี่แกไปตามริ้วรอยที่ปรากฎเต็มตัวว่า "สัก"แล้วกัน...
นี่แหละหนออานุภาพแห่งความรักที่มีกามตัณหาเป็นเหตุ แม้แต่พญาช้างหัถสดินทร์ผู้ฝึกดีแล้ว ยังตกมันคลุ้มคลั่งไล่ฆ่าผู้ขวางทางรักได้อย่างง่ายดาย! หนุ่มสักผู้นี้ก็ดุจเดียวกัน ทำนองว่า "ข้าก็ศิษย์มีอาจารย์ดี" จักเกรงกลัวสิ่งใด ขอเพียงได้พิสูจน์ให้รู้ดำรู้แดง จริงหรือฝันไปได้รู้กัน
เขาก้าวเดินไปตามเสียงหัวใจเรียกหา แล้วความหวังก็เปล่งประกายฉายแสงขึ้นมาในบัดดล เมื่อเหลือบไปเห็นผ้าผืนน้อยติดอยู่ซอกโขดหิน
"ใช่แล้วนี่เราไม่ได้ฝันไป เหมือนว่านางจงใจทิ้งร่องรอยให้เราสังเกตุเห็นได้ชัด"
หยิบขึ้นมาแล้วสูดดมซักหน่อย แหมช่างหอมชื่นใจอะไรเช่นนี้ ได้ทีแระพอให้มีข้ออ้างว่ามาตามหาสาวเจ้าเพื่อส่งคืนของให้!
สักตัดสินใจเดินตรงไปที่หมู่บ้านแห่งนั้นทันที เพราะเมื่อหันกลับไปดูไม่รู้ทางออกมันหายไปไหนแล้ว เห็นมีแต่ธารน้ำโล่งๆ ก้อนหินมันไม่มี!
เอาว๊ะเป็นไงเป็นกันไหนๆก็มาแล้ว เดินไปสักพักเห็นป้ายหมู่บ้านสลักหินเขียนว่า "หมู่บ้านเอราวัณ" นั่นไงเห็นคนเดินไปเดินมาหลังไวไว รีบตะโกนแหกปากทักทายตามประสาผู้มีมารยาทดี
"สวัสดีครับไม่ทราบว่าที่นี่..."
ทันใดนั้นเองผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาอยู่ก็แตกกระจาย วิ่งหนีชายหนุ่มไปคนละทิศละทางปานได้พบเห็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวสุดชีวิต!
"ไรว๊ะ ผู้หญิงบ้านนี้มันตกใจง่ายขนาดนั้นเลยรึ ทำยังกะว่าไม่เคยพบเห็นผู้ชาย...แต่เอ๋ ที่วิ่งๆอยู่ก็มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้นเลยนี่หว่า"
้เดินไปเดินมามองซ้ายแลขวานี่มันเกิดอะไรขึ้น ผู้คนปิดประตูบ้านกันเงียบกริบเชียว เขาเป็นคนน่ารังเกลียดขนาดนั้นเลยหรือ? สักรำพันบ่นพ้อกับตนเอง พลันสายตาเหลือบไปเห็นรูปสลักช้างที่แกละด้วยหินทรายเขียวตัวมหึมา มันดูสมจริงมากๆ สักยืนมองอย่างพินิจทันทีที่สายตาสบประสานกัน สิ่งที่ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิดขึ้น!
แววตาสีแดงฉานของพญาช้างหินเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วมันก็ขยับตัวขยับงวงแผดเสียงร้องโกนจนาใส่ชายหนุ่นทันที!!!..
ยังไม่ทันได้วิ่งหนี ศิษย์มีอาจารย์ดีอย่างสักก็มีอันล้มลงด้วยเสียงแผดกังวานของช้างหัวใจแทบช็อค วายตายอยู่ตรงนั้นเอง...
"เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่?"
หัวใจแทบหยุดเต้นเป็นคำรบสอง ให้ตายเหอะ ช้างพูดได้! สองมือยกผ้าผืนน้อยขึ้นป้องปิดแทนคำตอบ เพราะยังช็อคไม่หาย ช้างหินเหมือนมันจะเข้าใจ ใช้งวงยาวใหญ่หยิบผ้าผืนนั้นไว้แล้วบอกกับชายหนุ่มว่า
"เจ้าไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานที่มนุษย์อย่างเจ้าจะเข้ามา"
"ได้ไง ข้ายังไม่ได้พบเจอแม่กรุ้มกริ่มเลย ยังไปไม่ได้หรอก"
สักเพียงแค่นึกในใจยังไม่ทันได้พูดออกมาเลย แต่พี่ช้างแกดันรู้วาระจิตเสียอีกแหน่ะ!...
"เจ้านี่มันอยากตายชัดๆ เหยียบสะให้ตายไปเลยก็แล้วกัน"
พี่ช้างโกรธจัดเงื้อเท้าอันทรงพลังหมายเหยียบชายหนุ่มให้เละแหลกคาพื้นธรณีดิน แต่เสียงอ่อนหวานล่องลอยมาตามสายลมทัดทานไว้
"ช้าก่อน ท่านเอราวัณ ชายผู้นี้เป็นศิษย์พระธุดงค์รูปนั้นที่เราเคยได้ฟังธรรมจากท่าน!"... -
หน้า 51 ของ 64