แม่ชีประทุม โชติอนันต์ ท่านผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 20 มกราคม 2018.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    .jpg
    แม่ชีประทุม โชติอนันต์ ท่านผู้ปฎิบัติปฎิบัติชอบ

    PLODLOCK - ปลดล็อค
    Published on Jan 19, 2018
    แม่ชีประทุม โชติอนันต์ ผู้ก่อตั้งสำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม ศิษย์พระราชพรหมยาน จังหวัดนครราชสีมา เกิดเมื่อวันพุธที่ ๕ เมษายน ๒๔๖๙ ที่ตำบลบ้านแพน อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา เป็นบุตรคนที่ ๓ จากพี่น้อง ๖ คน บิดานามว่า นายโหร่ง กิจเหมาะ และมารดาคือ นางส้มจีน กิจเหมาะ ชีวิตในวัยเด็กกำเนิดในครอบครัวที่มีฐานะดี เป็นที่นับถือของผู้คนในหมู่บ้าน ต่อมาเมื่อสิ้นบุญคุณปู่ คุณย่า คุณตาไปแล้ว คุณยายของท่านได้ถูกโกงจากการทำสัญญากู้เงินเพราะความไม่รู้หนังสือ จึงทำให้ชีวิตต้องตกอับยากลำบาก ญาติพี่น้องไม่มีใครเหลียวแล ท่านจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เมื่อเข้ากรุงเทพฯ ท่านได้มีโอกาสถวายงานกับสมเด็จพระนางอินทร์ และต่อมาได้สมรสกับ นายสว่าง โชติอนันต์ ฐานะครอบครัวช่วงนี้เริ่มดีขึ้น มีเงินซื้อที่ดินปลูกบ้านให้พ่อแม่พี่น้อง ชีวิตพอมีความสุขขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่หมดเคราะห์ ถูกโจรขึ้นบ้านถึง ๒ ครั้ง เมื่อบิดามารดาของท่านสิ้นไป ท่านเริ่มรู้สึกปลงกับชีวิต รู้สึกว่าชีวิตมีแต่ทุกข์หนัก ทำอย่างไรจึงจะหมดจากทุกข์ได้ จึงเริ่มต้นแสวงหาธรรม ฝึกฝนตน สวดมนต์และบำเพ็ญภาวนา ท่านได้เดินทางไปทางตะวันออกจังหวัดชลบุรี ระยอง และจันทบุรีเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ชี้แนะ แต่ต้องพบอุปสรรคนานาประการ อย่างไรก็ตามท่านยังคงตั้งมั่นในความเพียรไม่ท้อถอย ท่านได้ประสบนิมิตเห็นพระพุทธรูปมาชี้ทาง ฝันเห็น ท้าวธตรฐ หนึ่งในท้าวจาตุมหาราชประจำทิศตะวันออก และ ท่านปฎาจาราเถรี พระอรหันต์หญิงสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่า เป็นเลิศด้านพระวินัย ปลายปี ๒๕๒๖ ขณะที่ท่านเจริญสมาธิได้นิมิตเห็น " หลวงพ่อฤาษี " แต่ขณะนั้นไม่รู้จักว่าพระรูปนี้เป็นใครอยู่ที่ไหน แต่ท่านมีความรู้สึกว่า ต้องตามหาให้พบ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานออกเดินทางติดตามหา ในที่สุดท่านได้เดินทางจากศรีราชาจนมาถึงวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เมื่อได้พบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านจำได้ว่าเป็นพระสงฆ์รูปที่มาปรากฏในนิมิต จึงได้กราบขออยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเป็นเวลา ๗ วัน เมื่อครบกำหนดจึงกราบลาเดินทางไปยังวัดพระพุทธโคดมต่อไป แต่ท่านก็ยังหาโอกาสกลับมากราบนมัสการหลวงพ่ออีกหลายวาระ และได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ตอบคำถามให้ทางจิตอีกด้วย
    ที่มา:http://forums.apinya.com/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2018
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    เรื่องของแม่ชีปทุม โชติอนันคต์ /ลูกศิษย์บันทึก ๓ / ๓๘๐

    เรื่องของท่านแม่ชีปทุมนี้ค่อนข้างยาว จะคัดลอกบางตอนนำมาลงเฉพาะที่สอดคล้องกับหัวข้อกระทู้หลัก...สำหรับแม่ชีปทุมนี้ส่วนตัวเห็นว่า ท่านมีของเก่าสะสมดีมาก ส่วนใหญ่ท่านก็ปฏิบัติเองและได้ผลคล้ายกับที่หลวงพ่อแน่ะนำบรรดาลูกศิษย์ เพียงแต่ก่อนเจอหลวงพ่อท่านไม่สามารถจัดวิธีการปฏิบัติของท่านให้เป็นระบบตามหลักปริยัติจนกระทั่งท่านเจอหลวงพ่อ

    มีอยู่วันหนึ่งท่านปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้าน แล้วเจอหลวงพ่อมาสอนธรรมะในสมาธิและท่านแม่ชีก็ตามหาหลวงพ่อเป็นเวลานาน จนเจอหลวงพ่อในที่สุด ผมจะขอเริ่มจากที่ท่านทำสมาธิพบหลวงพ่อและตอนที่ตามเจอหลวงพ่อดังนี้ครับ...

    ครั้นอยู่ต่อมาของคืนวันหนึ่ง อยู่อิริยบถท่านอนพอเอนตัวลงนอนไม่ถึง ๑๐ นาที จิตแวบมีแสงสว่างจ้าทั่วบริเวณที่นอนอยู่ เห็นพระภิกขุรูปหนึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ที่หัวนอนรูปร่างสัดทัดไม่สูงไม่ต่ำ ผิวเนื้อ ๒ สี พระภิกขุรูปนั้นได้พูดขึ้นว่า "เมื่ออดีตชาติเธอก็ปรารถนาเช่นนี้ เออ เหลือเพียงชาติเดียว" แต่ที่แปลกก็คือท่านไม่ได้เอาปาก หรืออ้าปากพูดเหมือนเราพูดกัน ท่านเอาจิตส่งเป็นภาษาพูด พอท่านพูดจบข้าพเจ้านึกในใจจิตขึ้นว่า เอ พระองค์นี้เราไม่เคยรู้จักเลย ท่านเป็นพระอยู่ที่ไหนช่างรู้จิตเราว่าเราไม่อยากเกิดอีกต่อไป เข็ดหลายเรื่อง การเกิดเข็ดแล้วจริงๆ เมื่อได้นึกเช่นนี้จบลงพระรูปที่ยืนอยู่ก็ตอบขึ้นว่า "ฉันคือหลวงพ่อฤาษีไงล่ะ" แล้วพร้อมกับออกเดินเมื่อท่านเดินได้ ๒ ก้าว ท่านหยุดยืนเหลียวหน้าแสดงถึงความห่วงใยได้พูดขึ้นว่า "เธอจงอุตสาห์ปฏิบัติ จงอุตส่าห์ปฏิบัติ" พูด ๒ คำ และแล้วท่านก็หายไป ข้าพเจ้าคลายจากสมาธิลุกขึ้นเปิดไฟ คิดว่าท่านมาจริงๆ เพราะชัดเจนมาก

    พอรุ่งขึ้นเช้า ข้าพเจ้าไม่ค่อยสบายใจนัก ถ้าเจริญกรรมฐานครั้งไร เกิดเห็นภาพข้าพเจ้าจะเสียใจมากกลัวว่าการปฏิบัติของตัวเองนั้นผิดทาง ...ความหงุดหงิดใจเกิดขึ้น จึงตัดสินใจบอกเรื่องที่ได้เห็นมา ให้สามีทราบ ทั้งที่ใจไม่อยากบอกถ้าบอกครั้งไรเขาให้หยุดการปฏิบัติ เพราะเขากลัวข้าพเจ้าเสียสติ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันพอเล่าให้เขาฟังจบลง เขาก็ว่าอีกว่า "ฉันบอกแล้วไม่เชื่อฉัน บอกให้หยุดก่อน อย่างเพิ่งปฏิบัติเลยไปเรียนภาบาลี ให้รู้หลักธรรมเสียก่อน แล้วจึงค่อยปฏิบัติ บอกเท่าไร เธอก็ไม่เชื่อฉันเลยเดี๋ยวสติเสียไปจะทำอย่างไรกัน" เอาล่ะ ความเห็นที่ของคนที่เขาแนะนำใหห้ฉันเรียนภาษาลีนั้นก็ดีอยู่แต่คนที่จะเรียนภาษาบาลีนี้ คุณต้องนึกดูซิว่า ปาเข้าไปเท่าไรแล้วอายุ ฉันไม่เรียนภาษาบาลีฉันจะปฏิบัติต่อไป ฉันดูในหนังสือสวดมนต์แล้ว ฉันจะพูดภาษาไทยกับพระองค์และเอาหนังสือสวดมนต์เป็นครูบาอาจารย์ เพราะคำสอนของพระองค์ อยู่ในหนังสือสวดมนต์แปลทั้งหมด ฉันเชื่อหนังสือสวดมนต์ที่พระองค์ทรงสอนไว้ แปลออกมาจากภาษาบาลีนั้นเพราะทราบซึ้งมาก ฉันเข้าใจมากขึ้นและซาบซึ้ง ในพระธรรมของพระองค์ เมื่อจะเสียสติหรือเป็นบ้าก็ช่าง คุณไม่ต้องห่วงฉันฉันเชื่อพระองค์คงไม่สอน หรือประกาศพระสัจธรรม ให้ใครเป็นบ้าคุ้มคลั่ง ที่เป็นบ้านั้นคงบ้าเพราะวิบากกรรมเก่า

    ...ครั้นอยูต่อมา คุณสว่างไปบอกกับข้าพเจ้าว่า เขารู้จักพระอยู่องค์หนึ่งท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ จะพาไปหาจะไปไหม ข้าพเจ้าจึงรีบตอบทันทีว่า ไปซิ มีท่านอยู่ที่ไหนคุณพาฉันไป เผื่อท่านรู้จักหลวงพ่อฤาษีของฉันองค์นั้นบ้าง เมื่อปรึกษากันเป็นที่ตกลงแล้วจึงเดินทางไปวัดทุ่งจันทน์ดำ เมื่อไปถึงเข้าพบ ท่านพระคุณเจ้า อาจารย์มนัส มันตชาโต ข้าพเจ้าได้กราบเรียนถามท่านว่า พระคุณเจ้าพอจะรู้จักหลวงพ่อฤาษีบ้างไหมค่ะ พระคุณท่านตอบว่า "อาตมารู้จักโยม แต่ท่านชื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ ข้าพเจ้าพูดขึ้นว่า "ที่ชื่อหลวงพ่อฤาษี ไม่มีต่อท้ายว่า ลิงดำ พอจะรู้บ้างไหมคะ" พระคุณท่านตอบว่า "ไม่รู้จักจะโยม" ข้าพเจ้าไม่ถามต่อ จึงได้พูดไปถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมเมื่อข้าพเจ้าพูดเรื่องการปฏิบัติธรรมให้ท่านฟัง ท่านนั่งนิ่ง เมื่อข้าพเจ้าพูดจบลงพระคุณท่านได้เอ่ยขึ้นว่า "นี่โยมได้อภิญญาแล้วนี่" ข้าพเจ้านั่งเฉยไม่รู้อะไรเป็นอภิญญาครั้นจะถามต่อก็ใช่ที่ ...นึกในใจว่าเก็บความเอาไว้ก่อน ผู้ที่จะถามนั้นคือ หลวงพ่อฤาษี ให้พบท่านก่อนหลังจากนั้นก็ลาท่านกลับ

    ตั้งแต่นิมิตเห็นหลวงพ่อฤาษี ครั้งนั้นทำให้อยากออกเดินทางเที่ยวหา แต่เก็บความรู้สึกไว้ตั้งใจว่าวันใดวันหนึ่ง มีโอกาสเหมาะแล้ว เราจะต้องเดินทาง ค้นหาหลวงพ่อฤาษีองค์นี้ให้พบให้ได้ ถ้าเราสืบจนทั่วแล้วว่า หลวงพ่อฤาษีองค์นี้ไม่มีจริง นั่นก็หมายความว่า การปฏิบัติของเราไม่มีผล

    ครั้นต่อมา เช้ามืดคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเรีกชื่อขึ้นว่า "แม่ปทุมว่าอย่างไรนี่ได้เวลายาม ๔ แล้วลุกขึ้นได้แล้ว" ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นตามเสียงเรียกทันที มองดูรอบตัวก็ไม่เห็นมีใครเพราะที่บ้านอยู่กันเพียง ๒ คนเท่านั้น ข้าพเจ้ารีบล้างหน้าแปรงฟันเพื่อให้ทันเวลาปฏิบัติล้างหน้าไปใจนึกถึงเหตุการณ์สิ่งที่เกิดขึ้น จุดสำคัญก็มาหยุดลงที่ หลวงพ่อฤาษี ใจนึกไปว่า หลวงพ่อฤาษีองค์นี้ ท่านเป็นพระอยู่วัดอะไร จังหวัดไหน ทำไมถึงจะพบท่าน คิดมาคิดไปก็แปรงฟันถูฟันไปถูฟันมา ใจก็นึกถึงแต่หลวงพ่อฤาษี ทันใดนั้น ระหว่างที่ข้าพเจ้าแปลงฟันอยู่ แปรงสีฟันพูดว่า "ไปเถอะอย่าอยู่เลย" ข้าพเจ้าตกใจกลัวขึ้นมาทันที

    ...อ้าว อะไรมาเกิดขึ้นกับเราอีกแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนี้หนอเรา ข้าพเจ้าหยุดนิ่งเฉยประเดี๋ยวหนึ่งคิดว่าเราจอาจจะง่วงนอนมากไป อาจจะทำให้เราเคลิ้มได้ยินเสียง เพราะความง่วงของเราก็ล้างหน้าขยี้ตาทำความรู้สึกให้กับตัวเอง เพื่อคลายความง่วง แล้วก็เลยแปรงใหม่ ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นที่แปรงใหม่อีกว่า "ไปเถอะอย่าอยู่เลย" แปรงไปทางซ้ายก็พูด "ไปเถอะ" แปรงไปทางขวาก็พูด "อย่าอยู่เลย" ข้าพเจ้าฟังชัดแล้วว่าเกิดจากแปรงนี้เอง ก็เลยลองถูให้เร็วๆ เขาก็พูดเร็วๆ ตามที่ข้าพเจ้าถู ข้าพเจ้าถูช้าแปรงสีฟันก็พูดช้า ข้าพเจ้ากลัวก็กลัว ไม่รู้จะทำประการใดถือแปรงนั่งเฉยอยู่ ครั้นจะปลุกสามีก็กลัวเขาจะว่าเป็นบ้า เพราะเจริญพระกรรมฐานจึงไม่กล้าเรียกเขาเฉยอยู่นี่ เขาจะทำอย่างไรคราวนี้ หรือเราเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ เอามือหยิกหน้าหยิกตัวตัวเอง ก็รู้สึกเจ็บก็รู้ตัว แปรงเล่มนี้ก็เคยใช้อยู่ วันนี้เป็นอะไรเดี๋ยวเราลองดูอีกหนซิว่า จะพูดอีกไหม ตอนนี้ข้าพเจ้านึกถึง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมพระอริยสงฆ์ นึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงเทวดาเจ้าที่...นึกถึงแม่พระธรณี นึกถึงแม่พระพาย ข้าพเจ้าบูชากลางแจ้ง ถือเอากระบองไม้ไผ่ลำใหญ่ตักดินทรายใสกระบอกเพื่อปักธูป ข้าพเจ้าบูชาทุกคืนตอนหัวค่ำ ข้าพเจ้าน้อมจิตนึกถึงขอให้ท่านช่วยด้วยอย่าให้ข้าพเจ้าเสียสติเพราะการปฏิบัติเลย ถ้ามาดแม้นเสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินที่แปรงเล่มนี้จริงโดยข้าพเจ้าเป็นบ้า ก็อย่าได้ยินเสียงอีกเลย ถ้ามาดแม้นมิได้เป็นบ้าหรือเสียสติก็ขอให้แปรงเล่มนี้ของข้าพเจ้า พูดขึ้นอย่างเดิมอีก ทันใดนั้น ข้าพเจ้าหยิบเเปรงสีฟันต่อไปพอแปรงพูดขึ้นที่ว่า "ไปเถอะอย่าอยู่เลย" เป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าพเจ้ามิได้แต่งเรื่องขึ้นเลยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้ ใครจะเชื่อก็เชื่อ เมื่อใครไม่เชื่อก็ตามใจ ที่เขียนลงประวัติมาครั้งนี้ เพื่อบูชาความดีของพระพุทธเจ้า บูชาความดีของพพระธรรม บูชาความดีของพระอริยสงฆ์ และขอบูชาความดีของ พระเดชพพระคุณ พระราชพรหมยานหลวงพ่อผู้เลิสแล้วด้วยประการทั้งปวง
    เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนี้ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจขึ้น ทันทีเลยว่าเอ้าไปเป็นไป...จึงได้เตรียมออกเดินทาง ส่วนสามีตื่นขึ้นมาเห็นข้าพเจ้าเก็บของมีกระเป๋าผ้าเขาถามว่านี่คุณจะไปไหน ข้าพเจ้าตอบว่า ฉันจะไปหาลูกพ่อฤาษี สามีถามว่า คุณรู้จักดีวัดท่านดีแล้วหรือข้าพเจ้ายังไม่รู้ แต่จะเดินทางไปเสาะดูว่าท่านอยู่วัดใหน ถ้าเช่นนั้นฉันจะเอารถไปส่งข้าพเจ้าไม่ต้องฉันไปเอง....ฯลฯ (หลังจากนั้นท่านแม่ชีปทุมก็ได้ไปพักปฏิบัติธรรมที่ วัดพุทธโคดม อยู่ระยะหนึ่งจนในที่สุดได้รู้ที่อยู่หลวงพ่อ)

    เมื่อรถวิ่งเข้ามาจอด ทุกคนลงจากรถ ข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก เมื่อได้เห็นวัดใหญ่โตเช่นนั้นข้าพเจ้าแหงนดูป้ายที่เขียนติดไว้ ใกล้กำแพงด้านหน้าวัดว่า "ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปานวัดบางนมโค" ข้าพเจ้าขนลุกชัน ข้าพเจ้าครางในลำคอขึ้นว่า "ลูกศิย์หลวงพ่อปานวัดบางนใค"

    ... ใจหวนนึกถึงอดีต เคยวิ่งเล่นท่าน้ำ เวลาเขามีงาน เคยเข้าไปกราบหลวงพ่อปาน เคยไปขอยาหม้อมาต้มกิน ในทันใดนั้นข้าพเจ้าก็เดินทางมาทางโบสถ์เห็นมีพระพุทธรูปมากมายดูอยู่ข้างนอก ไม่กล้าเข้าไปในปประตูคิดว่าเขาห้ามจึงไม่กล้าเข้าไป เดินดูนอกกำแพงเรื่อยมา ภาพที่ปรากฏนั้นคือ ภาพหลวงพ่อปาน ข้าพเจ้าจำได้ ข้าพเจ้านั่งกราบกับปูน น้ำตาคลอนึกถึงท่าน เคยไปกินข้าวโรงทานนับครั้งไม่ถ้วน เคยไปขอยาหม้อภายในจิตน้อมนึกถึงหลวงพ่อ หลวงพ่อคะ ลูกเนรคุณหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อมรณะ ลูกไม่รู้ ไม่ได้อยู่บ้านลงมาอยู่กรุงเทพฯ กับคุณย่า ถ้าวิญญาณหลวงพ่ออยู่ที่ใดแล้ว จงโปรดรับทราบ คำพูดของลูกด้วย วันนี้เป็นโชคดีที่ได้มาพบหลวงพ่อ ลูกขอกราบด้วยความเคารพ หลวงพ่อจำลูกได้ไหม ลูกเคยวิ่งเล่นอยู่แถวหน้าวัด และได้กินข้าวที่โรงทานของหลวงพ่อ และยังเคยเข้าไปหาและกราบหลวงพ่อขอยามาต้มกิน หลวงพ่อเคี้ยวหมาก ลูกนั่งดูอยู่ ตอนหลวงพ่อบ้วนน้ำหมากลงกระโถนหลวงพ่อยังชำเลืองตา มายิ้มกับลูกนิดหนึ่ง

    ...เพราะลูกอยากเห็นหลวงพ่อฤาษี ว่าหน้าตาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงองค์นี้จะเหมือนกับหลวงพ่อฤาษีที่ลูกเห็นในนิมิตนั่นไหม และเรื่องการปฏิบัติของลูกก็ยังไม่ได้อะไรเลยมันเห็นภาพอยู่เรื่อยจะแก้ไขอย่างไรดี หลวงพ่อโปรดปรานีและแนะนำลูกบ้าง ลูกดีใจมากที่ได้ที่ได้มาพบรูปหลวงพ่อในครั้งนี้ ลูกโง่มากขอความเมตตาลูกด้วย ข้าพเจ้านั่งอยู่นานจนพวกที่มาด้วยกันมองหน้าข้าพเจ้า แบบอยากจะถามดู แต่ทุกคนเงียบ ข้าพเจ้าก็เฉยไม่บอกให้ใครทราบเรื่อง

    หลังจากนั้นแล้ว ก็พากันไปขึ้น ศาลานวราช ไถ่ถามเรื่องการพบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าไปถามพระคุณเจ้าชัยศรีเรื่องหลวงพ่อลงรับแขกเวลาใด พระคุณเจ้าชัยศรี ก็บอกข้าพเจ้าว่า วันนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อป่วยไม่ลงรับแขกในวันนี้ เมื่อข้าพเจ้าได้ฟัง...ข้าพเจ้าใจหายวาบ เสียใจ ทันใดใจหนึ่งก็คิดขึ้นมาว่าอย่าเห็นแก่ตัวและประโยชน์ให้มากนัก พระท่านป่วย เดี๋ยวจะเป็นบาป ในระหว่างที่กำลังยืนกันอยู่นั้นก็พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พระท่านชัยศรียกหูรับประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็วางหูโทรศัพท์และได้หันหน้ามาบอกกับพวกข้าพเจ้าขึ้นว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อโทรฯ มาบอกว่า เดี๋ยวบ่ายนี้จะลงรับแขกตามปกติจะลงรับแขกบ่ายโมงตรง

    ...ข้าพเจ้าดีใจจะได้ดูหน้า ดูการเดิน ดูการยืน ดูการพูดจะเหมือนกับหลวงพ่อฤาษีที่ได้เห็นนั่นไหม พอไกล้เวลาข้าพเจ้าหาที่นั่งให้ใกล้ท่านที่สุด จะได้ดูให้ละเอียด ถ้าใช่แล้วจะถามเรื่องที่นิมิตเกิดขึ้นจะเป็นจริงหรือไม่จริง ถ้าไม่ใช่ เราก็จะไม่ถามเพราะจดไว้ในกระเป๋าสี่ข้อ

    พอได้เวลา หลวงพ่อก็ลงมาที่ศาลานวราช ข้าพเจ้าจับตาดูหลวงพ่อมาตั้งแต่ท่านพ้นประตู ออกมาดูท่านพอเห็นหน้าก็รู้เลยว่า หลวงพ่อฤาษีองค์นี้ไปหาเราแน่แล้ว แน่แล้ว ใช่แล้ว ใจระรัวเต้นแรงเมื่อหลวงพ่อลงนั่ง ข้าพเจ้าก็มองดูท่านแทบไม่เว้นสายตา เมื่อข้าพเจ้ามองท่านมากๆ เข้าท่านก็มองข้าพเจ้าบ้าง หลวงพ่อคงนึกบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบว่า โยมคนนี้ทำไมดูท่าน มากกว่าคนอื่นๆ พอหลวงพ่อนั่งเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อหันหน้ามาที่ข้าพเจ้าพูดว่า "เอ้า โยมมาจากไหนมาธุระอะไร"

    ข้าพเจ้ากราบเรียน "ฉันมาจากจังหวัดจันทบุรีเจ้าค่ะดิฉันมาวันนี้ต้องการมากราบถาม เรื่องการปฏิบัติของดิฉัน เพราดิฉันปฏิบัติเอง ไม่มีครูอาจารย์ทำไปด้วยรักการปฏิบัติมาก เมื่อนั่งไปนั่งไป เกิดเห็นสิ่งต่างๆ ขึ้นมา โยมไม่ทราบจะทำอย่างไร ...โยมได้เล่าให้กับผู้ปฏิบัติบางคนฟฟัง เขาหาว่าดิฉันกำลังจะเสียสติและกำลังจะเป็นบ้า ให้ดิฉันระวังแต่ดิฉันระวังแล้ว มันเห็นอยู่เรื่อย ไม่ทราบว่า จะดีร้ายประการใดคะหลวงพ่อ"

    เมื่อหลวงพ่อได้ฟังข้าพเจ้าเล่าเหตุการณ์จบลง หลวงพ่อก็เอ่ยขึ้นว่า "เอ่อ เรื่องของโยมมันเยอะเรื่องของโยมมันมาก เอาอย่างนี้นะโยม โยมหยุดก่อนแล้วค่อยเล่าใหม่"

    ข้าพเจ้าหยุดตามคำหลวงพ่อ แต่คิดในใจว่า ทำไมหลวงพ่อจึงพูดเรื่องโยมมันเยอะ เรื่องของโยมมาก เอ หรือเราพูดนอกเรื่องมากไปจึงทำให้หลวงพ่อติเตียนเช่นนี้ แต่เราก็มิได้พูดนอกเรื่องเลย เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจึงหันหน้าไปถาม พวกทีเดินทางร่วมกันไปขึ้นว่า นี่พวกเราเมื่อตะกี้นี้ฉันพูดกับหลวงพ่อเพ้อนอกเรื่องบ้างไหม ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวเลยว่าไม่เห็นพูดอะไรนอกเรื่องเลย

    หลวงพ่อได้ทักญาติโยมที่เดินทางไกลบ้างใกล้บ้างพอสมควรแล้วหลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "เอ่า โยมเรื่องของโยมว่ามา แต่ละข้อนะอย่าให้สับสนกัน"

    พอข้าพเจ้าได้ฟังหลวงพ่อว่า อย่าสับสนกัน ข้าพเจ้าก็นึกแปลบใจขึ้นทันที อ๋อนี่หลวงพ่อรู้เรื่องเราหมดเลย ที่จดมาถามตั้งสี่ข้อ เจอของจริงแล้ววันนี้ อย่าเช่นนั้นเลยเราจะถามเพียงข้อเดียวดีกว่า เมื่อคิดแล้วจึงได้กราบเรียนถามหลวงพ่อขึ้นว่า

    ..."โยมขอประทานโทษ ผิดถูกอย่างไร ขอหลวงพ่อเมตตาโยมด้วยเจ้าค่ะ คือคืนวันหนึ่งโยมปฏิบัติไปพอสมควร เหลือท่านอนเป็นท่าสุดท้าย ที่โยมปฏิบัติมาโยมนอนตะแคงขวา พิจารณารูปไม่เที่ยงเวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง แล้วก็ กำหนดพุทโธ พอกำหนดได้ไม่นาน จิตแวบเห็แสงสว่างจ้า ได้เห็นพระรูปหนึ่งรูปร่างสันทัด ไม่อ้วนไม่ผอมสูงต่ำ เท่าหลวงพ่อผิวเนื้อเหมือนหลวงพ่อ ยืนอยู่ที่หัวนอนโยม มีผ้าคาดอกด้วยเหมือนกันเลยค่ะ พูดกับโยมขึ้นว่า "อดีตชาติเธอก็ปรารนาเช่นนี้ เธอเหลือเพียงชาติเดียว" ดิฉันแปลกใจว่า เอ พระองค์นี้ท่านมาจากไหนเราไม่รู้จัก ทำไมจึงมารู้เรื่องเราหมด ทันใดพระที่ยืนอยู่หัวนอนท่านตอบว่า "ฉันคือหลวงพ่อฤาษีไงล่ะ" ที่พูดกันมิได้คุยด้วยปากนะเจ้านะคะ เอาจิตส่งถึงกันก็รู้กันพอท่านพูดจบท่านก็ออกเดิน พอเดินไปไม่ถึงสามก้าว ท่านก็หยุดเหลียวหน้ามาบอกถึงความห่วงใยและพูดว่า "เธอจงอุตส่าห์ปฏิบัติไป เธอจงอุตส่าห์ปฏิบัติไป" พูดอย่างเดียวเหมือนกันสองครั้ง และท่านก็เดินหายไป หลังจากนั้น โยมก็คลายจากสมาธิ

    จากวันนั้นมา โยมก็สืบหาหลวงพ่อฤาษีมาตลอดวันนี้โยมพบแล้วค่ะ คือหลวงพ่อจริงๆ หลวงพ่อไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ แต่โยมขอถามหลวงพ่อตรงๆ ค่ะว่าหลวงพ่อไปที่บ้านโยมหรือเปล่า ...หรือว่าโยมเพ้อไปเอง เพราะใครๆ ก็หาว่าโยมปฏิบัติผิด การปฏิบัติที่ถูกต้องไม่เห็นเขาว่าโยมเป็นบ้าเพราะการปฏิบัติผิดทาง โยมให้หลวงพ่อดูซิว่า โยมบ้าหรือเปล่าเจ้าค่ะ"

    เมื่อจบคำของข้าพเจ้า หลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "เออ นักปฏิบัติมันต้องเอาจริงๆ อย่างนี้มันต้องคิดบ้านิดๆ มันถึงจะได้กิน มัวแต่อ้อแอยู่ไม่ได้กินหรอก มันต้องอย่างนี้ตายเป็นตาย"

    หลวงพ่อพูต่อไปอีกว่า "นี่ของเก่าเขามาส่งผล ปฏิบัติเองถูลู่ถูกังไปเอาจนได้ ดีแล้วโยมอ้ายที่เขาว่าโยมบ้านั้น โยมมิได้เป็นบ้าหรอกนะ อ้ายคนที่ว่าโยมนั่นแหละมันบ้า และบ้านโยมฉันก็ไป" บ้านปลูกลักษณะไหน ท่านบอกถูกต้องหมด "ทำไมฉันจะไม่ไป เรื่องโยมมีเท่านี้"

    ข้าพเจ้าตอบว่า โยมขอถามเท่านี้ก็พอใจมากแล้วคะ

    หลวงพ่อ "เอาละโยม เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับโยมทั้งหมดเป็นความจริง ทุกประการไม่คลาดเคลื่อน" (มีรายละเอียดการปฏิบัติของท่านแม่ชีมากที่ผมไม่ได้โพสลง) เมื่อหลวงพ่อกล่าวขึ้นเช่นนั้นทุกคนที่อยู่ในศาลานวราชทั้งหมด ยกมืออนุโมทนาพร้อมกันหลังจากนั้นต่อมาอีกไม่นานก็หมดเวลา หลวงพ่อกลับที่พัก ส่วนโยมก็พากันแยกย้ายกันไป

    พอตอนห้าโมงเย็น ลงทำวัตรเย็น เลิกทำวัตรเย็นพากันไปเข้ากรรมฐาน...พอถึงเวลาหลวงพ่อได้แนะนำเรื่องการปฏิบัติหลวงพ่อพูดเรื่องมโนมยิทธิมีฤทธิ์ทางใจเห็นสวรรค์ เห็นนรก จะไปดูอะไรที่ไหนก็ได้เมื่อข้าพเจ้านั่งฟังหลวงพ่อจบลง ข้าพเจ้าก็นั่งหันหน้าไปถามเพื่อนที่มาด้วยกันขึ้นว่า จะฝึกไหม เรื่องฤทธิ์ เพื่อนพูดว่า "ไม่เอา" เมื่อข้าพเจ้าถามเพื่อนแล้ว เพื่อนจึงถามข้าพเจ้าขึ้นว่า "คุณปทุม คุณชอบฝึกฤทธิ์ไหม" ข้าพเจ้าตอบเพื่อนว่า "ไม่เอา ไม่ชอบฤทธิ์"

    พอข้าพเจ้าพูดจบลงเท่านั้น เสียงหลวงพ่อดังขึ้นทันที "ใครก็ตามเมื่อเข้ามาในที่นี้แล้วต้องเชื่อฉัน ถ้าไม่เชื่อ โน่นประตูอยู่ทางโน่นออกไป"

    ข้าพเจ้าและเพื่อนมองตากันเฉย ส่วนข้าพเจ้าก็มองดูตามเสาว่า เขาคงติดเครื่องฟังเอาไว้แน่มิฉะนั้นหลวงพ่อจะได้ยินได้อย่าง เพราะหลวงพ่อท่านนั่งไกลจากข้าพเจ้า และเพื่อนมากตอนนี้นั่งตัวแข็งไม่กล้าพูดอะไรกัน ครั้นต่อมาครูมาฝึก ครูที่ฝึกข้าพเจ้าชื่อ คุณเปี๊ยกชื่อจริงจำไม่ได้ ขอโทษด้วยนะคะ ครูฝึกสอนให้ข้าพเจ้าตัดขันธ์ห้า ข้าพเจ้าเพิ่งรู้จักขันธ์ห้าสะอาดหมดจดวันฝึกนั่นเอง ทำมาเกือบตายรู้ไม่ละเอียด ครูแนะนำดีมากข้าพเจ้าไม่ลืมคุณ เมื่อคครูฝึก ถาม ข้าพเจ้าตอบตามเห็น
    ...เมื่อเลิกฝึก ครูฝึกถามข้าพเจ้าว่า คุณป้า คุณป้าอยู่บ้านคุณป้ารักษาศีลอะไร
    ข้าพเจ้าตอบครูฝึกขึ้นว่า "ป้าอยู่กับบ้าน ป้ารักษาศีลห้า ถ้าวันไหนเป็นวันพระแปดค่ำสิบห้าค่ำป้าไปค้างวัด จึงรักษาอุโบสถ"
    ครูฝึกบอก "หนูนี่ก่อนมาเป็นครูฝึกหนูทำมาเกือบสองเดือนยังไม่เท่าคุณป้าเลย คุณป้าจิตดีจังเลย คุณป้าได้แล้วนะ"
    ข้าพเจ้าได้ฟังครูฝึกพูดจบลง จึงย้อนถามครูฝึกขึ้นว่า "ที่ครูว่าป้าได้แล้วน่ะ ป้าได้อะไร"
    ครูฝึก "อ้าว ก็ป้าเห็นหมด รู้หมด ไม่ติดไม่ค้าง ไปได้ตลอดเช่นนี้ ป้าได้แล้ว"
    ข้าพเจ้าถามว่า "ที่เห็นอะไรต่ออะไรเช่นนี้หรือที่เรียกว่าได้"
    ครูฝึกตอบว่า "ก็ใช่ละซิคุณป้า นี่แหละเขาเรียกว่าได้แล้ว"
    ข้าพเจ้าบอกว่า "อ๋อถ้าเช่นนั้นละป้าก็เห็นมานานแล้ว แต่ป้าไม่เข้าใจคำว่าเห็นนี่ เขาเรียกว่าได้มีคนเขาหาว่าป้าเป็นบ้า"
    ครูฝึกบอกว่า "ป้าอย่าคิดเช่นนั้น"
    จากนั้นต่อมาได้เวลาอุทิศส่วนกุศล คำอุทิศส่วนกุศลของหลวงพ่อถูกใจข้าพเจ้ามาก

    พอกลับมาถึงที่พักสักครู่ ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดมาตามสาย ข้าพเจ้าจึงยกมือกราบหลวงพ่อมีความสบายใจขึ้นมาก

    ...ได้พบหลวงพ่อตามเป็นจริง ข้าพเจ้านึกอยู่ในใจว่า เราไม่เสียทีที่เกิดมาได้พบพระในพระศาสนาเป็นพระแท้ที่หายาก ในระหว่างที่นั่งนึกถึงหลวงพ่ออยู่ พอดีได้ยินเสียงตามสายเครื่องกระจายเสียงตามห้อง หลวงพ่อพูดขึ้นว่า "วันนี้พวกได้ณานสี่ ระวังกามฉันทะจะเกิด" เมื่อข้าพเจ้าฟังว่า กามฉันทะ ไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียวฟังแล้วก็ไม่ได้เก็บมาคิด...พอสมาทานเรียบเร้อยแล้ว พิจารณาขันธ์ห้าย้อนไปมาอยางเคยปฏิบัติมาแล้วนั่นเองพอนั่งไปไม่นานเท่าใด เห็นในวัดแถวโบสถ์สว่างหมด มีผู้ชายเดินเข้ามาห่ข้าพเจ้า พอใกล้จึงรู้ว่าสามีของข้าพเจ้าเอง พอมาถึง เขาคิดมิดีมิร้ายเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า เขาไม่พูดอะไรจะปล้ำอย่างเดียวข้าพเจ้าเสียใจ พยายามไม่ให้เขาถูกตัวและพูดขึ้นว่า "นี่คุณสถานที่นี้เป็นสถานที่สำคัญของพระศาสนา คุณไม่กลัวบาปกรรมบ้างเลยหรืออย่างไรฉันอุส่าหนีมาถึงวัดหลวงพ่อแล้ว คุณยังตามมาทำลายความดีของฉันอีกหรือแม้ก่อนอยู่บ้านฉันก็มิเคยร่วมกับคุณมานานแล้ว ทำไมคุณจึงตามฉัน ข้าพเจ้าเอามือสองมือทำท่ายันไว้กลัวเขาถูกตัว ได้พูดขึ้นว่า คุณจงกลับไปเสียและอย่ามาถุกตัวฉัน ฉันรักษาศีลเพื่อความบริสุทธิ์ไม่ต้องการให้ศีลมัวหมอง

    ...จงกลับไปฉันไม่ยอนดีกับคุณอีกต่อไป ฉันเบื่อและเหม็นคุณ ออกไป ออกไป ในระหว่าที่เกิดนิมิตนี้พักอยู่ห้องเบอร์ ๑ ข้างโบสถ์นั่นเอง ผลที่สุด เขาออกไป ไม่เหลียวมาดูข้าพเจ้าเลยส่วนข้าพเจ้าก็มิได้สนใจแต่อย่างไร เสร็จแล้วจึงคลายจากสมาธิ

    ตอนนี้ห้าทุ่มเห็นจะได้ เมื่อคลายจากสมธิแล้ว เกิดกลัวศีลขาด เพราะต่อสู้กับผู้ชายเพราะตอนนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องศีลกลัวไปหมด คิดมาคิดไป จะปลุกเพื่อนบอกให้รู้ก็อายเขาเพราะเรื่องไมสู้ดี เดี๋ยวเพื่อนคิดว่า น่ากลัวคิดถึงเขามากกระมังถึงกับเห็นเขา พูดตามจริงขอรับรองศีลไม่เคยนึกถึงเลย นิมิตนี้มาเกิดได้อย่างไร ข้าพเจ้านึกเสียใจรำพึงว่า พังแล้วคราวนี้อุตส่าห์ปฏิบัติมาตั้งนาน มาพังลงครั้งนี้เสียแล้ว อุตส่าห์ตามหลวงพ่อมา ก็เพิ่งพบวันนี้ก็ต้องมีมารตามมาทำลายจนได้ นึกไปนึมานานมาก มาคิดอีกที เขามิได้ทำอะไรเรา ศีลของเราจะขาดหรือหรือไม่ขาด ในทันทีนั้นก็นึกขึ้นว่า เอาอย่างนี้ดีกว่าเราจะลองปฏิบัติดูใหม่ซิว่า เราจะเข้าสมาธิดูถ้าศีลของเราขาด ก็คงไม่เกิดสมาธิ เข้าห้องน้ำล้างหน้า..ก็นั่งสมาธิใหม่จิตพร้อมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤาษี

    ...และเทวดาทั้งหมดที่ข้าพเจ้าบูชามา ถ้าข้าพเจ้านี้ศีลยังไม่ขาดขอให้สมาธิจงได้เหมือนเคยปฏิบัติมาด้วยเถิด พอพุทโธไปไม่นานเท่าไร เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นเห็นพระลอยมาสององค์ ตรงเข้ามาหาข้าพเจ้าด้านขวา เมื่อเข้ามาใกล้ก็จำได้ว่า หลวงพ่อปานท่านมองหน้าข้าพเจ้านิดหนึ่ง ท่านยิ้มให้น้อยๆ ท่านลอยเข้ามาใกล้หูขวา ท่านสอนธรรมะให้แล้วก็ลอยหายไปอีกองคืหนึ่งมาติดๆ กัน นั้นคือหลวงพ่อฤาษี ท่านลอยตามหลวงพ่อปานมา แต่ไม่ได้พูดอะไร ท่านลอยมาเฉยๆแล้วก็หายไป ท่านหายไปแล้วข้าพเจ้าคลายสมาธิ นั่งกราบนับไม่ได้ว่ากี่ครั้ง ด้วยความดีใจเป็นที่สุดในที่สุดข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่า นีคือกามฉันทะเล่นงานเราเข้าแล้ว ข้าพเจ้าพักอยู่เจ็ดวัน พอวันที่เจ็ดเข้าไปกราบลาหลวงพ่อ เห็นโอกาสเหมาะ "หลวงพ่อคะ โยมถือโอกาสกราบลาหลวงพ่อวันนี้เลยเพราะรุ่งเช้าโยมจะต้องไปรถเที่ยวเช้าค่ะ หลวงพ่อ "เอ่อ โยมจะกลับแล้วหรือ" เจ้าค่ะหลวงพ่อ "เอ่อ โยมกลับไป ไปแนะนำเขาได้เลยนะโยม เพาะโยมได้แล้ว เด็กๆ นั้นแหละดี ช่วงนี้เทวดามาเกิดเยอะเด็กไปไวกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กจิตสะอาดไปเร็ว ข้อสำคัญ ที่โยมควรจำ ฉันจะบอกให้โยมอย่าไปเป็นขี้ข้าชาวบ้าน เมื่อเขาอยากรู้ ให้เขาฝึกดูเอง ...จำไว้โยม ระวังคนที่มันไม่ได้ มันจะอิจฉาโยม ยิ่งอ้ายหัวโล้นนี่สำคัญนัก โยมจำคำฉันให้ดีเมื่อก่อนฉันมาอยู่วัดนี้ใหม่ๆ ก็ปลูกกระต๊อบอยู่โคนโพธิ์ พวกมันพากันมา จะรื้อหลังคาฉันฉันเป็นพระไม่มีใครใส่บาตร ต้องผูกข้าวกิน เดือนละสามร้อยบาทน่ะโยม โยมจำคำฉันไว้ให้ดี"

    ข้าพเจ้ากราบรับคำ ที่ครูบาอาจารย์สั่งด้วยความเคารพ และเก็บรักษาไว้จนวันตาย ถือคำสั่งของท่านี้เป็นกำลังที่เราจะต้องผจญภัยไปที่ต่างๆ เอาไว้เป็นยารักษาอารมณ์ ยามเราเกิดท้อถอย เราจะได้ไม่ถอยกำลังจะเข้มแข็งขึ้น เมื่อนึกครูบาอาจารย์สั่งเรามาว่าอย่างไรในครั้งแรก ข้าพเจ้าเคารพคำสั่งของพระเดชพระคุณหลวงพ่อตลอดมา ให้ท่านสั่งครั้งเดียว อย่าให้ท่านสั่ง ครั้งสอง คำว่าสองไมมีหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็กราบลาหลังพ่อ ยังพักอีกหนึ่งคืน ในคืนวันนั้นข้าพเจ้าปฏิบัติไปเป็นเวลาดึกมากเมื่อจิตสงบข้าพเจ้าได้พบกับหลวงพ่อ ท่านมาหาและถามว่า "จะกลับแล้วหรือ" ข้าพเจ้าตอบค่ะพรุ่งนี้โยมจะกลับบ้านค่ะหลวงพ่อ "เอ่อ ถ้าโยมจะกลับ อย่าลืมบอกให้ทั่วนะบริเวณวัดเราทั้งหมดนนี้ บอกเขาเสียนะโยม" เจ้าค่ะ

    ...เท่านี้ท่านก็ไป เมื่อคลายจากสมาธิแล้ว นึกถึงหลวงพ่อ โถ ยังห่วงใยเรามาสั่งเสียให้เราบอกให้ทั่วข้าพเจ้ากราบลง ใจนึกถึงหลวงพ่อ ดิฉันกราบหลวงพ่อครั้งนี้ ขอให้หลวงพ่อทราบด้วยนะคะหลวงพ่อผู้มีพระคุณใหญ่ของโยม พอเช้ามืด ข้าพเจ้าเอาจิตส่งไปทั่วบริเวณ บอกคำขอลาทั้งหมดทุกท่านทุกอองค์
    พอสว่างก็ขึ้รถกลับ...

    ครั้นอยู่ต่อมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสขึ้นมากราบหลวงพ่ออีก เป็นครั้งที่สองในปีเดียวกันเพราะข้าพเจ้ามีเรื่องที่อยากรู้แต่ไม่กล้าถาม ยังมีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าเข้าไปนั่งฟังบรรดาญาติโยมที่มาหาหลวงพ่อว่า ใครคนใดคนหนึ่ง อาจจะถามเรื่องเดียวกับเราเราจะได้ไม่ต้องถาม แต่ก็ไม่เห็นมีใครถามเลยสักคนเดียวหลวงพ่อพูดกับญาติโยมที่มาเรื่อยไปเรื่องการปฏิบัติ ในทันทีทันใดนั้น หลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า "ใครก็ตามปฏิบัติไป จิตเป็นสมาธิแก่กล้ามีกำลังมาก มีลมของฌานออกทางจมูก ผู้นั้นมีฌานกล้ามาก"ข้าพเจ้ากราบหลวงพ่อ นึกในใจว่า หลวงพ่อรู้อารมณ์จิตเรา เพราะอยากรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ไม่กล้าถามกลัวว่ามันจะเลยเถิดไป ข้าพเจ้าส่งจิตไปกราบหลวงพ่อ โยมยังมีอีกสองข้อ แต่วันนี้พอก่อนเพราะแขกหลวงพ่อมาก จะเป็นการจุกจิกกับหลวงพ่อเกินไป วันหลังจึงจะขอทราบ

    ครั้นต่อมา ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปใหม่ ข้าพเจ้ากราบหลวงพ่อแล้วก็นั่งเฉย อยู่ฟังคนอื่นๆ ถามหลวงพ่อบ้างหลวงพ่อทักกับโยมบ้าง ครั้นต่อมา หลวงพ่อพูดเรื่องธรรมะเรื่องการเจริญพระกรรมฐาน ข้าพเจ้านั่งฟังนิ่งแต่ภายในจิตนั้นอยากรู้เรื่องตัวเอง หลวงพ่อพูดมากมายหลายอย่าง น่าฟังทุกตอน ฟังแล้วไม่เบื่อในที่สุดหลวงพ่อได้เอ่ยว่า "ใครก็ตามเมื่อปฏิบัติไปในระหว่างเจริญพระกรรมฐานก็ดีจิตมีสมาธิแก่กล้า ถ้าบุคคลนั้น อุทิศส่วนกุศลไปในฌาน ถือว่าผู้นั้นเป็นเลิศมีฌานแก่กล้าดีมาก" ข้าพเจ้ากราบหลวงพ่อ หลวงพ่อมองๆ มาทางข้าพเจ้าบ้างเป็นครั้งคราว ครั้นต่อมาข้าพเจ้าได้มาหาหลวงพ่อเช่นเคย เพราะยังไม่หมดข้อข้องใจ ข้าพเจ้าได้เข้าไปนั่งปะปนกับญาติโยมแต่มิได้ถามอะไร นั่งเฉยเช่นนั้นแหละคือฟังเขาถาม และฟังหลวงพ่อ บางครั้งหลวงพ่อหยุด ให้โอกาสญาติโยมถามครั้นต่อมา หลวงพ่อพูดเรื่องปฏิบัติ เรื่องอภิญญาในที่สุดหลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า "ใครก็ตามที่ปฏิบัติได้แล้ว บางคนหูได้ยินเสียงที่ไกลแสนไกล เขาคุยกันถึงโน้นได้ยินหมดได้ยินถึงพรหมเขาคุยกัน บางทีก็คุยไปด้วย นี่ของเก่าส่งผล" ข้าพเจ้ากราบหลวงพ่อและกำหนดจิตกราบเรียนว่า โยมหายข้องใจทุกประการแล้วค่ะ หลวงพ่อ ผู้รู้จริง ผู้รู้แท้ ผู้รู้แจ้ง

    ...ไปที่ไหน เขาหาว่าเป็นบ้าเสียสติเพราะปฏิบัติ มีหลวงพ่อเท่านั้นที่รับรองข้าพเจ้าและไขความกระจ่างแจ้งให้กับข้าพเจ้าจนหมดทุกอย่าง บางคนติเตียนว่า หลวงพ่อชวนให้เห็นนรก เห็นสวรรค์เป็นทางที่ผิด พากันงมงาย ไม่เป็นเรื่องจริงข้าพเจ้าปฏิบัติมากก่อน ที่จะมารู้จักหลวงพ่อเมื่อได้พบท่านแล้ว ก็ไม่เคยเรียนให้ท่านทราบเรื่องธรรมะสามข้อนี้เพราะกลัวท่านจะหาว่าเอาอะไรมาถามจึงไม่กล้า จึงใช้จิตกราบเรียนเพราะอยากรู้ในที่สุดหลวงพ่อตอบตรงทั้งสามข้อ ที่ข้าพเจ้าใช้จิตเรียนถาม ข้าพเจ้าเคารพหลวงพ่อผู้รู้จริง ผู้รู้แท้ผู้รู้แจ้งนี้เป็นองค์ที่สองรองลงมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนตลอดชีวิตเป็นต้นไป "ของจริงต้องว่ากันให้เห็นจริง เหมือนดังหลวงพ่อ หลวงพ่อมีพระปัญญาแตกฉาน ญาณแตกฉานสมเป็นพระในพระศาสนา"

    จากนั้นข้าพเจ้าได้กราบลาหลวงพ่อกลับบ้านจันทบุรี ในระหว่างนั้นเป็นเวลาบ่ายประมาณสามโมงเย็นข้าพเจ้าเดินออกมาที่ชายคา ทันใด ได้ยินเสียงพูดดังมาจากบนหลังคาว่า "ผมเอาไว้ทำไม" ข้าพเจ้าแหงนหน้าดูตามเสียง ก็ไม่เห็นมีใคร เห็นแต่ท้องฟ้า "ผมเอาไว้ทำไม" ข้าพเจ้าแหงนหน้าดูตามเสียง ก็ไม่เห้นมีใครเห็นแต่ท้องฟ้า..ก็เลยไม่สนใจครั้นอยู่ต่อมา ก็ได้ยินเสียงพุดบนหลังคาอีกว่า "ผมเอาไว้ทำไม" พูดแค่นี้เสียงก็เงียบหายไปข้าพเจ้ารู้ว่าเขาพูดกับข้าพเจ้าๆ ก็นิ่ง จนกระทั่งหนที่สามเขาพูดเช่นเดียวกัน "ผมเอาไว้ทำไม" ข้าพเจ้าเห็นว่าพูดถึงสามครั้งสามหนแล้ว ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า "ใครมาเตือนเราให้เอาผมออก ท่านจงนำคนดีที่มีคุณธรรมสมบูรณ์ มีศีลบริสุทธิ์ไม่บกพร่องมาทำพิธีผมเราก่อน เราจึงจะโกน ถ้าเราไม่พบคนดีตามที่ว่านี้ เราจะไม่โกน แล้วท่านก็ไม่ต้องมาเตือนเราไม่ชอบมือคนสกปรก เราชอบมือผู้บริสุทธิ์" หลังจากนั้น...เสียงที่เคยมาเตือนไม่มีอีกเลยเงียบหายไป

    ครั้นต่อมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางมากราบหลวงพ่ออีก แต่มาถึงวัดเกินเวลาในวันนั้นจึงไม่ได้พบหลวงพ่อ ในระหว่างที่พักอยู่ ข้าพเจ้าได้เจริญพระกรรมฐานในห้อง ..ได้สัมผัสกับหลวงพ่อๆ มาหาได้ถามขึ้นว่า "เออ มาแล้วหรือ" ตอบว่า "ค่ะ โยมมาแล้วแต่ไม่ทันหลวงพ่อลงรับแขก" หลวงพ่อ "เออ เธอสบายดีหรือ" ตอบว่า "ไม่ค่อยสบายป่วยเรื่อยค่ะหลวงพ่อ หลวงพ่อละค่ะสบายดีหรือ" หลวงพ่อ "เออ ฉันก็ป่วยเรื่อยว่ะฉันไปละนะ" ข้าพเจ้ากราบหลวงพ่อ ครั้นรุ่งเช้าตอนบ่ายในวันนั้น ข้าพเจ้าได้กราบหลวงพ่อที่ศาลานวราช...

    ...ได้ถวายสังฆทานแล้วนั่งเฉยอยู่ ในใจนึกถึงเรื่องโกนผม เราเราพบคนดีคราวนี้กลับไปถึงจันทบุรีจะบวชเสียเลย ข้าพเจ้านั่งห่างหลวงพ่อ เพราะคนเยอะวันนี้มากันไกลปล่อยให้คนมาใหม่ได้พุดคุยกับหลวงพ่อบ้างจะได้ชื่นอกชื่นใจกัน จะมากันได้ก็ลำบากครั้งนี้พักอยู่ถึงเจ็ดวัน พอวันที่เจ็ด ข้าพเจ้าพยายามนังใกล้ๆ เพื่อจะถือโอกาสลาสะดวกดีจึงนั่งใกล้หลวงพ่อฟังธรรมะหลวงพ่อๆ ให้ธรรมะเข้าใจง่าย ไม่วกเวียน ในระหว่างหลวงพ่อแสดงธรรมอยู่ข้าพเจ้าอดนึกถึงเรื่องโกนผมไม่ได้ จิตผุดนึกขึ้นว่า ถ้าเป็นไปได้ก็จะดีถ้าได้หลวงพ่อทำพิธีผมให้เราจะดีมาก พลันใจก็นึกถึงเสียงที่มาบอกกับข้าพเจ้า "ผมเอาไว้ทำไม" คนบอกนี้เป็นใคร เทวดาองค์ใดจึงชอบมาเตือนเสียจริงๆ คิดวกไปวกมาแต่เรื่องโกนผมจะทำอย่างไรดีหนอคิดหาใครก็ไม่เหมาะ เพราะไม่มั่นใจ คนที่เรามั่นใจก้ไม่กล้าบอก ครั้นจะเรียนให้หลวงพ่อทราบก็กลัวคนอื่นเขาจะติเตียนเอาว่า ยายคนนี้ยุ่งกับพระกับเจ้า ไม่เข้าเรื่อง เวลาก็ใกล้เข้ามานึกปลงตกจะได้โกนผมหรือไม่ได้โกนก็ช่างเถอะ ถ้าบุญมีจะได้บวชก็คงจะได้พบคนทำพิธีให้ถ้าเราไม่มีบุญมาก็คงไม่พบ อย่าคิดเลยเฉยดีกว่า ข้าพเจ้าดูนาฬิกาเห็นเวลาใกล้จะหมดแล้วเห็นมีโอกาสจึงกราบเรียนหลวงพ่อให้ทราบขึ้นว่า "โยมขอกราบลาหลวงพ่อ พรุ่งนี้โยมจะกลับบ้านค่ะโยมถือโอกาสลาเสียเลยเจ้าค่ะ" หลวงพ่อ "จะกลับแล้วหรือโยม" ตอบ "เจ้าค่ะถ้ามีโอกาสโยมจะมาใหม่เจ้าค่ะ" พอถึงเวลาหลวงพ่อเตรียมจะกลับ

    ...ข้าพเจ้ายกมือพนมอยู่ ทันใดหลวงพ่อลุกขึ้น แต่ไม่หันหน้าไปทางประตูออกย้อนเดินมาที่ข้าพเจ้าและหยุดยืนอยู่ที่ข้าพเจ้า ยกไม้เท้ามาที่ศรีษะข้าพเจ้าเขี่ยผมมาเขี่ยผมไปแล้วหลวงพ่อก็ให้พรพอหลวงพ่อเลิกทำพิธีให้ข้าพเจ้าแล้ว จึงกราบตามหลวงพ่อไป เมื่อข้าพเจ้ามาถึงวัดมะทายในตอนมืด จึงได้เรียนเรื่องทั้งหมดให้ท่านพระครูประสาทพัฒนกิจ เจ้าอาวาสวัดมะทาย (หรือพระครูฝ่าย) ทราบตามเป็นมาทุกประการ เมื่อท่านพระครูทราบเรื่อง...ได้มีเมตาพูดขึ้นว่า "วันพรุ่งนี้เช้าเข้าโบสถ์บวชตอนเช้าเลย นิมนต์พระสวดชยันโตสี่รูปได้ฤกษ์ดีแล้วเพราะหลวงพ่อใหญ่ท่านมีเมตตาและทำพิธีให้โยมแล้ว โยมเอ๋ยหายากที่โยมจะได้พบพระแท้อย่างนี้ โยมมีบุญบารมีมากนะโยม" ท่านพระครูพูดต่อท้ายขึ้นว่า "ถ้าคราวหน้าโยมขึ้นไปนมัสการท่านเมื่อไร โยมอย่าลืมบอกฉันนะ ฉันจะไปกราบท่านด้วย โยมอย่าลืมนะโยม" เจ้าคะ จากนั้นกผู้เตรียมตัวเพื่อบวชในวันรุ่งขึ้น

    พอรุ่งเช้าทุกคนไปรวมกันที่โบสถ์ พอได้เวลา พระเริ่มสวดชยันโต หลวงพ่อพระครูเอากรรไกรขลิบผมให้ข้าพเจ้าหลังจากนั้นจึงได้โกน ในระหว่างที่โกนผม คุณสว่างซึ่งเป็นสามีของข้าพเจ้าในตอนนั้นได้พูดขึ้นว่า "ฉันขอโกนผมให้คุณ" และได้ยกมืออนุโมทนาสาธุในการบวชครั้งนี้ด้วยเมื่อข้าพเจ้าเห็นสามีกำลังมีจิตศรัทธา จึงพูดกับเขาว่า "การบวชของฉันครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายคำว่าสึกนั้นจะไม่มีจากคำของฉัน ฉันอนุญาตให้มีภรรยาใหม่ได้ ฉันอนุญาตล่วงหน้าเสียเลยตั้งแต่วันนี้จะได้ไม่ต้องกังวลใจในภายหน้า"

    เมื่อบวชแล้ว แม่ชีได้อยู่ที่จันทบุรีสองพรรษา เมื่อพรรษาสองเข้าอยู่ในป่าช้าคลองใหญ่ คุยกับผีสนุกดีและมีอะไรดีๆ มากมาย แต่แม่ชีขอเล่าเพียงแค่นี้ ความป่วยเข้ามาเบียดเบียนร่างกาย แว่นตาขาของแว่นหักจะเปลี่ยนขาใหม่ จะออกตลาดก็ลำบาก ที่เขียนมานี่ไม่มีแว่นสะกดผิดสะกดถูกก็อ่านกันไปแต่ขอรับรองว่าที่เขียนทุกคำพูดนี้เป็นความจริงมิได้เสริมเติมแต่งขึ้นเลย ครั้นปฏิบัติอยู่ในป่าช้าวันหนึ่งเกิดได้ยินเสียงเรียกชื่อว่า "อะธิตะกุลบุตร เธอจงเดินทางไปสถานที่ที่คนทั้งหลายต้องการธรรมะอีกมาก" แม่ชีเหลียวดูรอบๆ ตัวเองก็ไม่เห็นมีใครแม่ชีรู้สึกทางจิตขึ้นทันทีว่า เสียงที่พูดนั้น เป็นเสียงที่เขาพูดกับแม่ชี แม่ชีจึงตอบตามเสียงขึ้นว่า "จะให้แม่ชีไป แม่ชียังไม่เก่งในด้านของธรรมะที่จะสอนเขาได้ เพราะยังไม่รู้อะไรมาก" เสียงพูดต่อขึ้นว่า "สิ่งที่เธอรู้แล้วนั้นแหละ เธอจงนำเอาไปสอนเขา สิ่งใดที่เธอยังไม่รู้เธอจะรู้ขึ้น เธอจงไปตามฉันสั่ง" พูดเท่านั้นเสียงก็หายไป แม่ชีคลายจากสมาธินั่งคิดถึงเรื่องเสียงเรียกชื่อตัวแม่ชีไม่ได้ชื่อนี้ ทำไมเขาจึงเรียกชื่อนี้ขึ้นมา แม่ชีพูดกับเสียงที่ได้ยินเขาพูดกับแม่ชีเอ เรานี่มีชื่อนี้ขึ้นตั้งแต่เมื่อไรแปลกจริงๆ อย่าเช่นนั้น เราไม่ได้ชื่อนี้ เราเฉยไว้ก่อนครั้นต่อมาอีกไม่นาน เสียงที่เคยได้ยินมาสั่งอีกว่า "ถึงวาระแล้ว เดินทางได้แล้ว" แม่ชีฟังเฉยอยู่ เจริญกรรมฐานเรื่อยไป ไม่สนใจกับเสียงจนได้เวลาเลิก ครั้นอยู่มาประมาณห่างกันเกือบเดือนแต่ช่วงนี้กำลังจะใกล้เข้าพรรษาอีกไม่กี่วัน แม่ชีได้ยินเสียงขึ้นอีกว่า "ถึงวาระแล้วเธอจงไป" นี่เป็นเสียงครั้งที่สาม
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    (ต่อ)
    .จะให้ไปไหนก็ไม่บอก นี่ก็ใกล้เข้าพรรษาเข้ามาทุกที เหลือเวลาอีกสองวัน นี่จะทำอย่างไรดีถ้าเราขืนไม่ไป ครั้งนี้เห็นท่าจะไม่ดีแน่นอนในระหว่างที่นั่งคิดอยู่ พอดีมีโยมผู้หญิงชื่อคุณประภาเดินเข้ามาหา คนประภาคนนี้ตอนที่แม่ชีอยู่ที่วัดป่าช้านี้ เธอเคยเข้ามาปฏิบัติด้วยตอนแรกตอนครั้งหลังนี้เธอหายหน้าไปนาน วันนี้จึงพบกัน เมื่อแม่ชีพบคุณประภา จึงได้ถามคุณประภาขึ้นว่า "คุณประภาคุณหายไปไหนแม่ชีไม่เห็นคุณมาวัดเลย" คุณประภาตอบว่า "ดิฉันไปบ้านที่ปากช่อง" แม่ชีถามว่า "ปากช่องไปทางไหน" คุณประภาตอบว่า"ปากช่องเป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดนครราชสีมา" ...แม่ชีถามว่า "ที่บ้านคุณอยู่กันมากไหม" คุณประภาตอบว่า "ที่บ้านดิฉันไม่มีใครอยู่บ้าน มีตั้งสองหลังลูกชายดิฉันเขาก็บวชเป็นพระไปแล้ว ส่วนเรื่องอากาศนั้นดีมากนะคุณแม่" แม่ชีได้ฟังก็เริ่มสนใจมาก "ถ้าแม่จะไปจำพรรษาที่บ้านคุณจะได้ไหม แม่อยากหาที่สงบ" คุณประภา "ไปซิคะฉันกลัวคุณแม่ไม่ไป" ...

    หลังจากปรึกษากัน เป็นที่ตกลงก็เตรียมของจะเดินทางในวันรุ่งขึ้น ที่จริงจากวัดคลองใหญ่ครั้งนี้แม่ชีมิได้อยากให้โยมๆ ผู้มาปฏิบัติอยู่ด้วยทราบ กลัวเขาเสียใจ เพราะหลายคนรักนับถือแม่ชีมากตลอดจนชาวบ้านแถวนั้น คิดอยู่ในใจว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะไม่ให้โยมเสียใจได้พอรุ่งเช้าญาติโยมก็มาทำบุญมากหลายท่านด้วยกัน มีโยมพากันเดินหน้าไปหาแม่ชีเพราะทุกคนเข้ามาวัดเขาจะแวะไปหา และมีข้าวของบางอย่างไปถวายแม่ชีเสมอคราวนี้ก็เช่นเดียวกันเมื่อทุกคนถึงที่พัก เห็นแม่ชีเก็บของเตรียมเดินทาง หลายคนไม่พูดอะไร ร้องไห้โอแม่จะไปไหน อย่าไปเลยนะแม่

    แม่ชีตื้นตันใจมาก เมื่อเห็นภาพเขาร้องให้ เขาทุกคนแสดงความรักออกมาให้เห็น แม่ชีพูดปลอบใจ และดึงมือคนเหล่านั้นมาถือไว้ แม่ชีพูดขึ้นว่า ขอให้ลูกทุกคนที่มีความรักแม่จงเข้าใจแม่ แม่มีความจำเป็นนะลูกรัก ทุกคนในที่นี้เห็นใจแม่ด้วย ที่จริงแล้วแม่ไม่อยากจะจากลูกไป แต่มีบางสิ่งเกี่ยวถึงพระศาสนา มีจำเป็นต้องจากลูกๆ แม่บอกรายละเอียดกับลูกไม่ได้ เมื่อเธอเหล่านั้นได้ฟังแม่ชีชี้แจงแล้ว ค่อยหยุดเศร้าโศกลงไป แม่ชีกราบลาเจ้าอาวาส กว่าจะได้เดินทางเกือบบ่ายโมง

    แม่ชีเดินทางมากับรถของแม่ชี พอใกล้เข้าเขตโดราชมืดพอดี เลยแวะนอนที่บ้านลูกในค่ายสุระธรรมหนึ่งคืน เช้าจึงเดินทางมาถึงปากช่องสามโมงเช้า พักบ้านโยมประภา พักอยู่บ้านคุณประภาเก้าวันเห็นท่าไม่ดี จึงย้ายไปอยู่วัดใหม่คลองยาง เพราะที่บ้านคุณประภา พระลูกชายเขามาอยู่ วันหนึ่งพระลูกชายคุณประภา เขาพูดกับแม่ชีขึ้นว่า "เขาไม่ชอบให้ใครสวดมนต์ รูปพระเขาก็ไม่ชอบ" เพราะแม่ชีมีรูปหลวงพ่อปานบานใหญ่ ตั้งอยู่ไว้เป็นที่สวดมนต์ และมีรูปพระเดชพระคุณพระราชพรหมยานหลวงพ่อที่แม่ชีเคารพมากที่สุด พระคนนี้เขาไม่ชอบแม่ชีจึงย้ายไปอยู่วัดดูก่อน ถ้าไม่ดีออกพรรษาค่อยกลับจันทบุรีอีก ก่อนที่จะย้ายออกจากบ้านโยมภา แม่ชีได้ยินเสียงพูดกับแม่ชีว่า "มาอยู่ทำไมที่นี่" คราวนี้แม่ชีไม่เฉยต่อไปแล้ว แม่ชีพูดย้อนตามเสียงขึ้นว่า "จะให้อยู่ที่ไหน ทำไมไม่บอกและนำไปตั้งแต่แรก จะมาถามแม่ชีทำไมอีกว่า ทำไมมาอยู่ที่นี่ พอแม่ชีพูดแบบต่อว่า เสียงก็หายไป"

    ครั้นมาอยู่วัดใหม่คลองยาง แม่ชีขอย้อนสักนิดว่า แม่ชีเดินทางมาด้วยกันสององค์ แม่ชีเข้าไปกราบหลวงพ่อเจ้าอาวาส ผู้ใหญ่บ้านจรูญ อรุณลับ และโยมจาเป็นผู้นำแม่ชีมาฝากกับเจ้าอาวาส แม่ชีบอกกับเจ้าอาวาสขอยู่สักหนึ่งพรรษา แม่ชีจึงจะขอลากลับจันบุรี ในคืนแรกที่พักวัดใหม่คลองยาง ในตอนหัวค่ำ แม่ชีจุดธูปบูชาเจ้าที่บอกกล่าวเทวดาที่รักษาเขต และบอกเล่าดวงวิญญาณทั้งหลายในสถานที่วัด หลังจากนั้น แม่ชีได้เจริญกรรมฐานอยู่ คือเดินจงกรมประมาณสามทุ่ม ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเหมือนถูกทรมาน ด้วยวามเจ็บปวดมาก เมื่อได้ยินเสียง แม่ชีหยุดเดินจงกรม เพ่งกระแสจิตไปตามเสียงที่ร้องโหยหวนอยู่ ได้อุทิศส่วนกุศลให้กับเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นอริยบทนั่งบ้าง ได้พอนั่งไปเห็นภาพสว่าง มีคนพาเข้ามา มีผู้หญิงและผู้ชาย แต่งตัวสวยงามแลดูเรียบร้อยน่ารัก พากันเดินเข้ามาหาแม่ชี แล้วนั่งลงกราบ ไม่พูดอะไร พอกราบเสร็จก็พากันไป ตอนออกนี้ไม่ได้ออกทางประตู พากันออกทางหน้าต่าง แม่ชีมีความรู้สึกว่า เราจะตามดูพวกนี้ซิว่า เขาอยู่ที่ไหน ตามดูไปเรื่อยๆ เห็นพวกเขาหายไปที่ต้นไม้ใหญ่ในลานวัดนั่นเอง จึงได้รู้ว่า เขาอาศัยต้นไม้ต้นนี้เอง ที่จริงประตูเข้าห้องของแม่ชี ปิดลงกลอนเรียบร้อยก่อนนั่งกรรมฐาน มีคนเข้ามาได้อย่างไร

    ครั้นอยู่ต่อมา ก็มีญาติโยม พากันมารักษาศีลหลายคน แต่ว่าโยมรักษาศีลเล่าให้แม่ชีฟังว่า ก่อนๆ นี้มาทำบุญแล้วก็พากันกลับบ้านหมด ไม่มีใครอยู่วัดรักษาอุโบสถกันหรอก โยมคนหนึ่งพูดว่า "ดีแล้วที่แม่ชีมาอยู่ พลอยให้ฉันได้รักษาศีลอุโบสถไปด้วย"

    ครั้นอยู่มาประมาณหนึ่งอาทิตย์ มีโยมผู้ชายท่านหนึ่ง เวลาบ่ายได้ขึ้นบันใดเข้ามาขอพบแม่ชี คุณโยมได้แน่ะนำตัวเองให้แม่ชีทราบว่าเขาคือ คุณวิรัช มั่งเรืองสกุล เคยรับราชการตำรวจด่านศุลกากร ตอนนี้ผมป่วยจึงได้ลาออกจากหน้าที่แล้ว บ้านผมอยู่ไม่ห่างวัดเท่าไร พูดแล้วพร้อมชี้มือให้ดูบ้านเขา ผมมาวัดนี้ ผมได้ทราบข่าวจากพระในวัดบอกผมว่า แม่ชีแนะนำทำสมาธิกรรมฐานได้ ผมฟังแล้วผมสนใจเรื่องนี้นานแล้ว ผมจึงขับรถมาหาแม่ชี ผมอยากเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติ แม่ชีมีอะไรพอที่จะแนะนำผล แล้วช่วยแนะนำในหลักปฏิบัติให้ผมด้วยครับ เมื่อแม่ชีได้ฟังคุณวิรัชพูด และมีความสนใจเรื่องการปฏิบัติ แม่ชีรู้สึกขึ้นในจิตขึ้นว่า นี่คนนี้เป็นคนดี เราควรสงเคราะห์ แม่ชีพูดต่อไปว่า "คุณวิรัช ของดีที่คุณเคยได้มา คุณทิ้งของดีเสียทำไม ถ้าคุณรักษาไว้ได้ตลอด คุณเก่งมากแล้วคุณวิรัช" เมื่อคุณวิรัชฟังแม่ชีพูด คุณวิรัชทำตาโพลง แม่ชีรู้ได้อย่างไรครับ ผมแปลกใจมาก คุณวิรัชได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหลายให้ฟังว่า "เมื่อก่อนผมรู้จักกับหลวงพ่อรูปหนึ่ง (เขาบอกชื่อเหมือนกัน แต่แม่ชีลืมชื่อพระองค์นั้น) หลวงพ่อแนะนำผมจนกระทั่ง ผมได้สัมผัสสิ่งต่างๆ ได้ ผลที่สุดผมมาป่วย โรคร้ายเกิดเกาะกินผมมากขึ้น ทำให้ผมจิตตกลงไป เลยสัมผัสอะไรไม่ได้เลยครับแม่ชี แม่ชีครับผมจะมีโอกาสได้เหมือนเก่าไหมครับ "แม่ชี" ได้ซิคุณ"..." แม่ชีจะให้ผมทำอะไรบ้าง "แม่ชี" ทำอย่างนี้คุณวิรัช คุณอย่าไปติดในกายคุณ..พยายามพิจารณาขันธ์ห้าให้มาก ดูตัวทุกข์ให้มาก ให้เห็นทุกข์ให้มาก ให้เห็นทุกข์คุณป่วยอยู่เวลานี้ คุณทุกข์ไหมคุณวิรัช ให้ทำจิตเพียงเข้าไปรู้ ในกายสังขารตามเป็นจริง เอาจิตเข้าไปรู้ แต่เราไม่ติด ปล่อยวางให้เห็นว่าทุกข์ทั้งหมดเป็นอนิจจัง ทุกข์ อ นัตต า ไม่เอาจิตไปยึดถือ ให้เห็นให้รู้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้เป็นของสมมุติขึ้นทั้งนั้น ไม่จีรังยั่งยืนแม้แต่ร่างกายเรา กายคือกาย จิตคือจิต คนเราเกิดมาเพราะตัวตัณหาความทะยานอยากจึงทำให้เกิด อยากได้ของคนอื่น อยากรัก อยากขโมย พูดปดมดเท็จ พูดจาล่อลวง ทั้งๆ ที่รู้ว่า มันไม่ไดยังขืนทำ ไม่กลัวเกรงต่อความชั่ว ไม่กลัวบาป อยากจะฆ่าเขา อยากจะตีเขา อยากจะแย่งของคนอื่น มาเป็นของตน นี่ตัวนี้ตัวอยากนี่ ทำให้มีกำลังการเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นธาตุสี่ จึงรวมตัว ธาตุดิน ธาตุลม...ฯลฯ เมื่อแม่ชีได้พูดจบลงแล้ว คุณวิรัช ได้ยกมือสาธุและได้พูดขึ้นว่า "ในระหว่างแม่ชีบรรยายธรรมให้ผมฟัง ผมเอาจิตตามคำพูดของแมชีไปจนตลอด เวลานี้จิตผมดีขึ้นกว่าปกติ ผมอยากฟังอย่างนี้มานานแล้วครับ แต่ผมยังไม่พบ วันนี้ผมพบแล้ว วันนี้ผมดีใจมากครับแม่ชี"...คุณวิรัชลากลับ

    พอวันรุ่งขึ้นของวันใหม่ หลังจากเพลแล้วคุณวิรัชได้มาหาแม่ชีเป็นครั้งที่สอง...แม่ชีได้แนะนำให้คุณวิรัชร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกัน ก่อนนั่งปฏิบัติแม่ชีเปิดเทปเสียงหลวงพ่อเพื่อเป็นสิริมงคล แม่ชีมิได้ใช้คำสมาทานตามที่แม่ชีเคยใช้มาแต่ก่อน เพราะต้องการให้ทุกคนที่ยังไม่รู้จักหลวงพ่อ ให้เขาได้รู้จัก เพราะแม่ชีเคารพหลวงพ่อมากที่สุดแต่พอเทปสมาทานของหลวงพ่อจบแล้ว แม่ชีจึงนำทุกคนแผ่เมตตาไปในทิศทั้งปวงทั่วโลกธาตุไม่มีที่สื้นสุดที่ประมาณ....แม่ชีได้นำให้ทุกคนทุกท่านเข้าใจในเรื่องของศีลแต่ละข้อ มีความสำคัญอย่างไรบ้าง ตั้งแต่ข้อที่หนึ่งเว้นอะไรบ้างจนถึงข้อที่ห้า ให้ความเคารพในพระรัตนตรัยตลอดชีวิต ไม่ประมาทในความตาย ให้รู้อยู่เสมอว่า ทุกคนต้องตายเวลานี้อยู่เสมอ อย่าไปคิดปีหน้า วันหน้า เดือนหน้า แม่ชีแนะนำเรื่องการตัดขันธ์จห้าไปตลอดจนเสร็จแล้วให้ทุกคนภาวนา นะมะพะทะ พอได้เวลาแม่ชีเข้าไปในวง สั่งให้ทุกคนหยุดภาวนา แม่ชีเริ่มสอบอารมณ์ คุณวิรัชไปได้ตลอด จิตคุณวิรัชแจ่มใสดีมาก สัมผัสได้ตลอดทุกข้อทุกตอนไม่ติดขัดเลย ส่วนคนอื่นได้เป็นส่วนน้อย หลังจากได้เวลาแล้วนั่งพักคุยกัน คุณวิรัชดีใจจนบอกไม่ถูก และตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด คุณวิรัชกล่าวขึ้นว่า "วันี้ผมสมความปรารถนาแล้ว ผมบอกแม่ชีตรงๆ เลยว่า ผมอธิษฐานจิตผมมาตั้งหกเจ็ดปีแล้วว่า ขอให้ผมได้พบคนดีมีคุณธรรม ก่อนที่ผมจะตายจากโลกนี้ไป เมื่อพบแล้วผมจะยกที่ดินของผมนี้ให้เป้นสำนักปฏิบัติ ผมขอบอกอีกครั้งหนึ่งว่า ผมอธิษฐานไว้เช่นนี้จริงๆ แม่ชีวันนี้ผมได้พบแล้ว ผมดีใจมาก คำอธิษฐานของผมเป็นจริงเกิดขึ้น ผมได้ทราบจากแม่ชีบุญช่วยว่า คุณแม่ชีจะจำพรรษาที่วัดนี้เพียงพรรษาเดียว คุณแม่จะกลับจันทบุรี วันนี้ผมขอนิมนต์ให้แม่ชีอยู่อย่ากลับจันทบุรีเลยครับ ผมจะถวายที่ดินของผม ให้เป็นที่ปฏิบัติธรรม เพราะหัวใจผมอยู่กับการปฏิบัติ คุณแม่ชีรับที่ดินของผมเถอะครับ" เมื่อแม่ชีได้ฟังคุณวิรัชกล่าวจบลงจึงกล่าวขึ้นว่า "คุณวิรัชมั่นใจแล้วหรือว่าแม่ชีดีตามที่คุณคิดนึก เรื่องถวายที่ดิน นี่เป็นเรื่องสำคัญนะคุณ คนเดี๋ยวนี้เชื่อกันยาก ดูยากเดี๋ยวคุณจะเสียดายภายหน้า "คุณวิรัช" ผมมั่นใจว่าผมได้พบแล้วตามคำอธิษฐานของผม "แม่ชี" เอาล่ะ เมื่อคุณมั่นใจจริง แม่ชีขออนุโมทนาในส่วนความดีที่คุณมีจิตเคารพในพระพุทธศาสนามั่นคง แต่ว่า แม่ชียังรับที่ดินของคุณไม่ได้ในตอนนี้ เพราะแม่ชียังมีครูบาอาจารย์ จำเป็นต้องไปกราบเรียนให้ท่านทราบก่อน "คุณวิรัช" ครูบาอาจารย์ของแม่ชีคือใครเล่าครับ "แม่ชี" ครูบาอาจารย์ของแม่ชีคือ หลวงพ่อฤาษี ที่อยู่ที่จังหวัดอุทัยธานีนั่นแหละ เป็นครูบาอาจารย์ของแม่ชี" "คุณวิรัช" หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นองค์เดียวกันใช่ไหมครับ "แม่ชี" ใช่แล้ว คุณวิรัช ต้องอยู่ให้ออกพรรษาก่อนนะ แม่ชีจึงจะขึ้นไปกราบเรียนท่านให้ทราบ ก่อนที่คุณวิรัชจะลากลับแม่ชีได้บอกกำชับกับคุณวิรัชอีกว่า "ขอให้คุณวิรัชรักษาศีลให้บริสุทธิ์ตลอดไป ให้รักตัวของตัวให้มากๆ ให้นึกถึงความตายตลอดไป นั่งอยู่ยืนอยู่ นอนอยู่ อย่าประมาทรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนิจจัง ทุกขัง เป็นอนัตตา หมั่นพิจาณาเอาไว้นะคุณ" คุณวิรัชรับคำด้วยความเคารพแล้วลาจากไป หลังจากนั้นต่อมาคุณวิรัชมาหาบ่อยสนิทสนมขึ้น

    อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากแมชีฉันอาหารเรียบร้อย คุณวิรัชขับรถมาหาและรีบร้อนอย่างผิดปกติ พอนั่งลงคุณวิรัชรายงานให้แม่ชีทราบว่า เมื่อตอนเที่ยง ใกล้เที่ยงนี่แหละครับ ผมเห็นแม่ชีเหาะลอยอยู่ในอากาศ ร่างกายแม่ชีสวยงามมาก ลอยอยู่ตั้งนาน ผมเห็นผมยังเรียกให้แม่ครัวของผมออกมาดู แต่ว่าแม่ครัวของผมเขาไม่เห็น แม่ชีฟังคุณวิรัชเล่าจบลง แม่ชีถามคุณวิรัชขึ้นว่า คุณวิรัชคุณทำอะไรผิดวันนี้ คุณวิรัชใบหน้าซีดเผือดลงทันที จึงตอบว่า ผมเห็นตัวต่อ ไปกัดผึ้งที่ผมเลี้ยงไว้หลายตัว ผมตีหัวต่อตายไปสองตัว แล้วพอดีผมกำลังจะตีหังตัวที่สาม ผมมัวแต่ดูแม่ชีว่ามาหาผมทำไม มีธุระอะไร ทำไมแม่ชีเหาะได้ ผมเห็นเต็มตาเลยครับ ภาพชัดเจนและเห็นอยู่นาน แม่ชี คุณวิรัชแม่สั่งคุณแล้วใช่ไหมให้คุณรักษาศีลไว้ให้บริสุทธิ์ คุณทำไมชอบทำลายความดีของตัวเองเช่นนี้ คนเราจะได้ดีก็ด้วยองค์ศีลถ้าเราเป็นคนที่รักษาศีลไม่ได้แล้ว ความดีทั้งหลายเหล่านั้นจะอยู่กับเราไหม จะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม เราต้องเป็นผู้มั่นคงในศีลตลอดชีวิต อย่าถือศีลแบบลูบคลำ วางบ้างถือบ้างจะไม่พ้นนรก คุณวิรัชนั่ง แม่ชีพูดจบลง คุณวิรัชพูดขึ้นว่า ตอนนั้นผมลืมตัวไป กำลังโมโหตัวต่อไม่ทันนึก ยั้งสติไม่ทันความเคืองตัวต่อที่มากินผึ้งผมตายไปหลายตัว ผมเคืองตัวต่อมากเลยเผลอขาดสติไป แม่ชี นี่แหละความโกรธ ทำให้เราขาดสติ ความโกรธทำให้เราเกิดมามีทุกข์ โกรธตัวนี้ร้ายแรงนัก ดับกันยากเหลือเกิน ถ้าดับความโกรธเสียได้ ดับความโลภ ดับความรักสามตัวนี้ได้ เราก็ไม่ต้องมาเกิดให้ทุกข์กัน เหมือนทุกวันนี้ เมื่อคุณวิรัชฟังแม่ชีพูดจบ คุณวิรัช ต่อไปนี้ผมจะต้องตั้งสติใหม่ครับแม่ชี แม่ชี ดีแล้วคุณวิรัช เราต้องหมั่นชำระตัวเอง จะให้ใครที่ไหนฟอกให้เราเล่า ต่อจากนั้นแล้วคุณวิรัชก็ลากลับ

    ครั้นต่อมาถึงวันออกพรรษา แม่ชีเดินทางไปที่วัดหลวงพ่อ เมื่อพบหลวงพ่อจึงได้กราบเรียนให้หลวงพ่อทราบเรื่องทั้งหมดที่เป็นมา เมื่อหลวงพ่อได้ฟังแม่ชีเล่าเรื่องทั้งหมดจบลง หลวงพ่อมีเมตตาได้เอ่ยถามขึ้นว่า "ที่โยมเล่ามานี่ มันอยู่แถวไหนโยม" แม่ชี ที่ที่โยมกราบเรียนหลวงพ่อนี้ อยู่อำเภอปากช่อง ตำบลหลองสาหร่ายทางที่จะเข้าเขาเรียกกันว่า ปากทางหนองสาหร่าย หรือทางเข้านิคมลำตะคอง วิ่งรถไปประมาณสิบกิโล จะมีสะพานปูน สะพานแรกจะเห็นวัดใหม่คลองยางอยู่ด้านซ้ายมือ เลี้ยวเข้าไปตามประตูวัด เมื่อหลวงพ่อได้ฟังแม่ชีกราบเรียนจบลง หลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า "เออ ที่ตรงนั้นดี โยมรับไว้นะ เดี๋ยวฉันช่วย" นี่เป็นคำที่หลวงพ่อได้เมตตา ให้จัดการรับที่ดินของคุณวิรัช ในวันนั้นเมื่อกราบเรียนเป็นที่เรียบร้อย แม่ชีได้กราบหลวงพ่อ และได้ถือโอกาสลาหลวงพ่อในเวลาต่อมา เดินทางกลับปากช่อง

    ครั้นต่อมาแม่ชีได้จัดรวบรวมเงินที่มีอยู่และญาติพี่น้องบ้านคลองยาง ซื้อหญ้าคา ซื้อไม้สิ่งต่างๆ หมดไปในการก่อสร้างสองหมื่นเศษ มีศาลาสวดมนต์หนึ่งหลัง ห้องครัวหนึ่งหลัง ที่พักแม่ชีสี่หลัง ห้องน้ำสองห้อง ส่วนกระดานพื้นห้องไม้ เสาและสิ่งอื่นมีโยมนำมาช่วยกัน ในคืนหนึ่งของการปฏิบัติแม่ชีเกิดนิมิตขึ้น เห็นหนทางสว่างมากและสะอาด แม่ชีเดินอยู่ผู้คนมากมาย เห็นพระภิกษุสามเณร แม่ชีและญาติผู้ใจบุญกุศลทั้งนั้น แม่เดินถือกระเป๋าผ้าใบหนึ่งใบ ในกระเป๋ามีแต่ผ้าใหม่ๆ เพื่อเตรียมผลัดเปลี่ยน เวลาที่ถือกระเป๋าเดินอยู่ มีผู้คนมาแห่ห้อมล้อมแม่ชีเต็มถนน และพากันมองดูแม่ชีกันทั้งหมด ทั้งพระทั้งเณร ในทันใดก็มีพระรูปหนึ่ง เดินเข้ามาหาแม่ชีด้วยความเรียบร้อย พอถึงตัวแม่ชีท่านมิได้หยุด และพูดขึ้นว่า "ขอจงยื่นกระเป๋าผ้ามาให้อาตมาจะเป็นผู้ถือให้เอง" แม่ชีเฉยอยู่ พลางคิดขึ้นมา ท่านเป็นพระ ตัวเรานี่เป็นเพียงชี จะเอากระผ้าของเราให้ท่านถือจะบาป ในระหว่างที่ยืนตรึกตรองอยู่ว่า จะให้ดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ให้ พระติเตียนว่าได้และจะให้ท่านยืนอยู่เช่นนี้มันไม่ดี พอว่าตกลงให้ดีกว่า ยังมิทันจะยื่น ทันใดนั้น กระเป๋าที่แม่ชีถืออยู่ในมือ ไปอยู่ในมือพระรูปนั้นได้อย่างไร แม่ชีคิดว่าพระท่านคงถือกระเป๋าเดินตามมาข้างหลัง แม่ชีเดินเรื่อยๆ ไปก็เห็นมีวัดอยู่ข้างหน้า วัดนั้นใหญ่โตใหฬารมากสวยงามไม่เคยเห็นมาก่อน ต้นไม้ปลูกมีระเบียบเรียบร้อย และดูตรงไหนสวยหมดแม่ชีเดินไปในวัดคิดว่า เดินมานานแล้วเหน็ดเหนื่อยมาก จะเดินเข้าไปหาพระองค์ที่ถือกระเป๋าผ้าของแม่ชี พระองค์นั้นคงจะอยู่ในวัดนี้แน่ แม่ชีเดินไปนึกถึงพระถือกระเป๋าผ้าไปว่า ท่านเอาผ้าเรามาถือให้เวลานี้พระองค์นั้นหายไปไหน ในระหว่างเดินไปคิดไป ทันทีก็เห็นพระรูปที่ถือกระเป๋าผ้าให้นั้น เดินสวนออกมาแม่ชียังมิได้ถามท่าน พระท่านพูดขึ้นว่า ถ้าโยมจะเปลี่ยนผ้าใหม่ กระเป๋าผ้าของโยม เวลานี้อาตมาได้นำไปไว้กับพระใหญ่ที่วิหารโน้น เวลานี้พระใหญ่กำลังรอจะเปลี่ยนผ้าให้โยม เดินเข้าไปหาท่านได้เลย พูดพร้อมกับชี้มือไป แม่ชีดูตามมือที่ท่านชี้ เห็นวิหารหลังใหญ่ตระการตา มีลวดลายสวยงามมาก ระยิบระยับแพรวพราว แม่ชียืนชมวิหารภายในจิตคิดว่า ผ้าหรือกระเป๋าของเรา ที่จะเปลี่ยนอยู่ในวิหารหลังงามนี้แล้ว จะเปลี่ยนเมื่อเมื่อไรก็ได้ เรายังไม่ต้องรีบร้อนเข้าไป เราจะยืนชมวิหารหลังงามสุดจะบรรยายได้นี้ก่อนในที่สุด ยังมิทันจะเข้าวิหารเปลี่ยนผ้า คลายสมาธิออกมา คราวนี้นานพอดู
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    (ต่อ)
    ครั้นอยู่ต่อมา แม่ชีถูกมารคือกรรมเก่า ตอนนี้หนักมาก รู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างมันมารวมอยู่ที่แม่ชีทั้งหมด ป่วยก็ป่วย เอี้ยวตัวไม่ได้ ตัวแข็งหมด ก่อนที่แม่ชีจะป่วยนั้น แม่ชีเห็นคนมากันเยอะมาก เดินตรงมาหา หนึ่งในจำนวนนั้นพูดขึ้นว่า "มาอยู่นี่เอง ตามหาเสียตั้งนาน" อีกคนหนึ่งในจำนวนนั้นได้พูดขึ้น "เอาเลยพวกเรา" คนทางด้านซ้ายเป็นคนสั่ง คนทางขาวบอกว่า "เอา เข้าไม่ได้เมเสียแล้ว" แม่ชีรู้ว่าเขาจะทำลำใส้ และกระเพาะ แม่ชีนั่งเฉย ทางด้ายซ้ายพูดขึ้นอีก "เมื่อเต็มแล้วก็เอาเข้าผิวก็แล้วกัน" พอเขาพูดจบ คนด้านขวาเขาจัดการเอาเข้าตามผิวหนังแม่ชี แม่ชีนั่งดูตามตัวแม่ชี เห็นเส้นตามตัวทั้งหมดพองโป่งขึ้น แม่ชีไม่วิตกกรือสดุ้งต่อเหตุการณ์เหล่านั้นเลย พอเขาจัดการกับแม่ชีแล้ว เขาก็พากันไป แม่ชีคลายจากสมาธิ นึกถึงเหตุการณ์ตามภาพนิมิต รู้ว่ากรรมเก่ากำลังมา เราจะต้องป่วย พอรุ่งเช้า แม่ชีจึงบอกกับแม่ชีบุญช่วยว่า "อีกไม่เกินสสามวัน แม่ชีจะป่วย" แม่ชีบุญช่วยเธอได้พูดขึ้นว่า "จะป่วยอะไรกันค่ะแม่ แม่แข็งแรงดีออกเช่นนี้" ..." แม่ชีคอยดู ถ้าไม่จริงตามคำพูดของแม่ชีละก็ ทีหลังแม่ชีพูดอะไรแล้ว เธอไม่ต้องเชื่อแม่" อยู่มาไม่เกินสามวัน แม่ชีป่วย อยู่ดีๆ ตัวแข็งนอนไม่ได้ ได้แต่นั่ง เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องหรือก็แทรกซ้อนเข้ามา เมื่อโรคภัยเบียดเบียน เรื่องที่ไม่น่าจะเกิดมันก็เกิดขึ้น จึงทำให้แม่ชีเจริญกรรมฐานหนักขึ้น อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย วันนี้เตรียมตัวตายไม่อยู่แล้ว เข้าห้องสั่งแม่ชีว่า "ถ้าแม่ชีนั่งเฉย นอนเฉย ห้ามเรียกเด็ดขาด วันนี้ขอลาแล้ว อยู่ไปเป็นทุกข์หนักนัก" น้อมใจถึงศีลที่เคยรักษามา ความดีทั้งหมดที่ได้เคยสั่งสมบารมีมา น้อมถึงบารมี ๑๐ เพื่อให้เป็นกำลังใจ นึกถึงทานที่บริจาคไปใส่มา จนข้อสุดท้านอุเบกขา พิจารณากองอสุภะ พอจารณาเห็นเป้นของสกปรก พิจารณาข้างหน้าเห็น การเกิดเป็นทุกข์ไม่ขอเกิดอีกต่อไป ชื่อว่า เกิดนิดหนึ่งไม่ต้องการ เข้าสมาธิเรียบร้อย ไปถึงรูปฌาน อรูปฌาน ยังไม่ถึงความพ้นทุกข์ ที่จริงแล้วพิจารณามากว่านี้ แต่ขอย่อไว้แค่นี้ แม่ชีพิจารณาย้อนมาย้อนไป อยู่เช่นนี้นานมาก จนกระทั่งจิตเหมือนหรี่ลง หรี่ลงน้อยเต็มที....จิตออกจากร่าง พอดีได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดขึ้นว่า "เธอจงหยุด อย่าเพิ่งไป ยังไปไม่ได้ ต้องอยู่ช่วยกันก่อน" แม่ช่ได้ยินเสียงดังมาก เลยตกใจ

    ครั้นต่อมาในคืนวันหนึ่ง หลังจากปฏิบัติแล้ว ต่างคนต่างก็พักผ่อนกันตามสบาย แม่ชีนอนหลับไปตั้งแต่สี่ทุ่มกว่า มารู้สึกตัวตอนตีหนึ่ง พอรู้สึกก็รู้ว่าร่างกายนี่ผิดไป ทำไมมีอุจจาระเปื้อนผ้านุ่ง โดยที่ไม่รู้สึกตัวว่ามันปวดท้องถ่ายเลย แม่ชีลุกขึ้น รู้อาการว่าอาการแบบนี้ของคนใกล้ตาย คือทวารเปิดคงใกล้ตายเป็นแน่ เพราะอาการมันบอกแต่มิได้ตกใจเลย เพราะเตรียมตัวอยู่เสมอเรื่องตายนี่ ลุกขึ้นเปลี่ยนผ้า พอดีแม่ชีพิศมัยตื่นขึ้น เธอเดินเข้ามาถามว่า "คุณแม่เป็นอะไรคะ" แม่ชีบอกขึ้นว่า "แม่ถ่ายออกมาไม่รู้ตัวเลยแหละลูก" แม่ชีพิสมัยเธอก็ดีใจหายเธอเข้ามาจัดการชำระให้เรียบร้อย โดยที่มิให้แม่ชีต้องทำเลย เธอจัดจัดการให้หมดทุกอย่างสำหรับตัวแม่ชี ไม่บอกอาการกับแม่ชีพิสมัยว่าอาการอย่างนี้คือ อาการของคนใกล้ตาย คือ ทวารเปิด แต่แม่ชีเลี่ยงพูดขึ้นว่า "พิสมัย ถ้าแม่ชีนอนหลับหรือนั่งอยู่เงียบๆ เธอไม่ต้องปลุกหรือเรียกแม่ชีนะ แม่ชีจะนอนให้สบาย" ว่าแล้วแม่ชีก็นอนต่อ แต่ภายในจิตพิจารณาธรรมที่เคยทำมา ตัดทำจิตมิให้ติดใดๆ เลย คิดอย่างเดียวว่า เรามาคนเดียว เราก็ต้องไปคนเดียว นอนอนุโลมธรรมะอยู่ พอจิตสะอาดไม่ติดเกาะใดๆ จิตโปร่ง ทันใด ได้ยินเสียงคนมาพูดอยู่ไม่ห่างกับแม่ชีเท่าใรนัก เสียงพูดว่า "เธอยังไม่ตายดอก นาน " พูดเท่านี้เสียงที่พูดหายไปสักประเดี๋ยว เสียงพูดต่อขึ้นคำท้ายว่า "ตาย" จับได้ใจความว่า "นานตาย" แล้วท่านพูดทิ้งระยะไว้ พอท่านพูด จิตรู้สึกทันทีว่า เสียงที่พูดนี้เป็นเสียงขององค์ที่สิบ พอแม่ชีรู้เท่านั้น ท่านก็หายไป

    ครั้นต่อมา เป็นฤดูฝนหลังคาที่มุงด้วยหญ้าคาผุเก่า ฝนตกครั้งไรทำให้แม่ชีมีความสลดใจมาก เพราะพระพุทธรูปทั้งหมดสามสิบสองรูป มีรูปหลวงพ่อปาน และรูปหลวงพระพ่อพระราชพรหมยานเปียกฝน แม่ชีเห็นสิ่งที่เคารพบูชาสูงสุด เป็นเช่นนี้จึงได้คิดแก้ไขว่า เราควรทำอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นในกาลครั้งนี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น อยู่มาในค่ำคืนนั้น แม่ชีจึงได้จัดเตรียมการขึ้นในค่ำคืนนั้นเอง จะลองว่า ตั้งแต่เราได้ปฏิบัติมาจนถึงขณะนี้จะมีบารมีมากน้อยแค่ไหน ถ้าบารมีของลูกสูงคงสมปรารถนา ถ้าบารมีของเราน้อยยังไม่ถึง คงจะไม่ได้สมความตั้งใจในครั้งนี้ แม่ชีนั่งบริกรรมเอาจิตน้องถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม แลพระอริยสงฆ์ พระอรหันตสาวกทั้งหมด ครูบาอาจารย์มีหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อ และทั้งหมดซึ่งทรงด้วยคุณธรรม นึกถึงท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่า ท่านแม่ และท่านท้าวมหาราชทั้งสี่พระองค์ และเทวดาทั้งหมดโลกธาตุ นึกถึงทานศีลบารมีสิบที่ได้บำเพ็ญเพียรมา นึกถึงเทวดาองค์ที่ท่านมาบอกชื่อไว้ว่า ถ้ามีอะไรที่จะให้ท่านช่วยละก็ให้นึกถึงชื่อท่าน แล้วท่านจะมาสงเคราะห์ และได้เล่าความเป็นมาขึ้นในจิตว่า "การขอของข้าพเจ้าครั้งนี้ ข้าพเจ้ามิได้มีความโลภเกิดขึ้นเฉพาะตัวเอง การขอครั้งนี้ เป็นไปเพื่อต้องการให้พระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองถวารสืบไปในภายภาคหน้า และขอได้มีวิหารถาวรสักหลังหนึ่ง ถ้าการขอของข้าพเจ้าครั้งนี้ ยังมีปัญหาเจือปนอยู่แล้วไซร้ ขอท่านทั้งหลายที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้ จงอย่าได้สงเคราะห์ข้าพเจ้าเลย ถ้ามาตรแม้นข้าพเจ้าบริสุทธิใจจริง สะอาดจริงแล้ว ขอท่านทั้งหลายที่กล่าวนามมาก็ดี ที่มิได้กล่าวนามมาก็ดี จงได้โปรดรีบมาช่วยข้าพเจ้าโดยด่วน ตามคำปรารถนาของข้าพเจ้าครั้งนี้ด้วยเถิด" นั่งไปทำไปตามเรื่องตามราวตลอดมา

    จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง หลังจากที่ได้นั่งทำมาประมาณ สิบหรือยี่สิบวันดูจะไม่ถึงนี่แหละ ในเวลาบ่ายมีแม่ชีองค์หนึ่ง เดินเข้ามาในสำนัก แม่ชีเหลียวหน้าดูว่าเป็นใครก็รู้ทันทีว่า แม่ชีองค์นี้เราได้ไล่ให้เธอออกไปจากสำนัก เพราะมีความประพฤติไม่ค่อยดี ชอบเล่นหวย กินข้าวเย็น พอแม่ชีมาถึงก็ตรงลงกราบ แม่ชีจึงถามเธอว่า "เธอมีธุระอะไรกับแม่หรือ" แม่ชีเอตอบว่า "มีค่ะแม่ (เธอพูดแล้วพร้อมกับหยิบของวางไว้ข้างหน้า) ของสิ่งนี้นะค่ะ มีคนฝากมาให้แม่เพื่อร่วมสร้างวิมาน" แม่ชีได้ฟังตามที่แม่ชีเธอเล่าบอก จึงได้ถามแม่ชีขึ้นว่า "ใครเป็นผู้ฝากของสิ่งนี้มาให้ ผู้ฝากเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย" เมื่อแม่ชีได้ฟังจึงตอบขึ้นว่า "เป็นผู้ชาย คืออย่างนี้นะคะคุณแม่ ในค่ำคืนหนึ่งดิฉันได้นั่งปฏิบัติอยู่ในถ้ำ คืนนั้นอยู่ในราวประมาณห้าทุ่มเห็นจะได้ เกิดนิมิตเห้นผู้ชายแต่งตัวสวยงาม อร่ามด้วยเครื่องทองมายืนอยู่ข้างหน้า และชายนั้นได้พูดขึ้นว่า "พรุ่งนี้ตอนสองโมงเช้า เธอจงแต่งขันธ์ห้าขึ้น และจงมานั่งที่ตรงนี้ใหม่ ฉันจะฝากของสิ่งหนึ่งให้เธอ เอาไปให้แม่ชีประทุม เพื่อร่วมสร้างวิหาร" ดิฉันรับคำท่านแล้ว ท่านก็หายไป พอรุ่งเช้าดิฉันได้จัดแต่งเครื่องขันธ์ห้า พอได้เวลาก็ไปนั่งตามเดิม ดิฉันนั่งสมาธิจนถึงสิบโมงกว่า จึงคลายออกมา พอลืมตาก็เห็นของสิ่งนี้วางอยู่ ดิฉันนึกได้ทันทีเลยว่าของวางข้างหน้านี้ เป็นของที่ฝากมาให้แม่ ฉันจึงนำมา เพราะที่ตรงที่ฉันนั่งปฏิบัตมา ฉันกวาดเตียนไม่เคยมีอะไร ฉันนั่งปฏิบัติมาสองเดือนกว่าแล้วค่ะคุณแม่ ฉันไม่เห็นมีก้อนอะไรเลย" แม่ชีแก้ห่อดูของ เห็นเหมือนก้อนหิน แต่มีร่องรอยถูกตัดแหว่งไป แม่ชีเห็นของมีรอยถูกตัดไป จึงถามแม่ชีเธอว่า "ของทำไมมีรอยถูกตัดเช่นนี้" แม่ชีมีสีหน้าไม่ค่อยดีตอบว่า เธอได้ของแล้ว เธอห่อของ ตั้งใจเดินทางเอาของมาให้คุณแม่ ตามคำสั่ง เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง ได้พบชายคนหนึ่ง เขาทำงานอยู่แถวนั้น เขาขอดู เธอให้เขาดู เมื่อเขาดูแล้ว เขาขอฉัน ฉันให้เขาคะ แม่ชีฟังเธอเล่าจบลง แม่ชีพูดว่า "เธอนี่ผิดอย่างหนักรู้ไหม เธอกล้าเอาของซึ่งเจ้าของไม่มีตัว ฝากมาให้ฉัน เอาแบ่งให้กับผู้อื่น ซึ่งของนี่มิใช่ของเธอ ทำผิดมาก เดี๋ยวเธอจะเดือดร้อน" ครั้นอยู่ต่อมาแม่ชีได้เดินทางมาหา แม่ชีเธอเล่าว่า "แม่ค่ะเดี๋ยวนี้ฉันทำสมาธิไม่ได้เลย ฌานที่เคยเห็นมาแต่ก่อนนั้น มันไม่เห็นเสียแล้ว" อยู่ต่อมาทราบว่าสึกไปแล้ว

    ครั้นต่อมา หลังจากที่ได้รับของแล้ว ในวันนั้น แม่ชีเอาผ้าขาวปูใส่พานบูชาไว้ตรงหน้าหลวงพ่อปาน พอตอนกลางคืนในเวลาเช้ามืด ตีห้าครึ่งออกจากสมาธิ แต่ยังนั่งเฉยอยู่ แม่ชีมีความรู้สึกว่า มีคนมายืนอยู่ใกล้ทางด้านซ้ายมือ แม่ชีเหหลียวดูเห็นขาโต วัดดูคงได้ประมาณยี่สิบนิ้วเศษ ไม่เห็นเข่า คือ มองดูไม่มีเข่า เข่ามองไม่เห็น...แม่ชี..เห็นเช่นนั้น ท่านมายืนชะโงกดูของอยู่ แม่ชียกมือขึ้นพนม และพูดกับท่านว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านมาดูของท่านหรือคะ เวลานี้แม่ชีได้รับของที่ท่านส่งมา ช่วยร่วมสร้างวิหารแล้ว เวลานี้ของใส่พานไว้ตรงหน้าหลวงพ่อปานนั่นแหละคะ ขอท่านจงช่วยดูแลรักษาของไว้ด้วย อย่าใด้มีอันตราย เพราะสำนักนี้มีแต่ผู้หญิง ขอให้ท่านดูแลไว้ให้ดีด้วย จะได้สร้างวิมานแล้วคราวนี้ ท่านโปรดโมทนาแม่ชีนะคะ" แม่ชีพูดจบท่านเดินหายออกไป

    ครั้นต่อมา แม่ชีหยิบของมาดูนึกได้ว่า เราควรจะเอาของนี้ไปให้หลวงพ่อ เพื่อกราบเรียนให้ท่านทราบ แม่ชีเดินทางไปหาหลวงพ่อที่ซอยสายลม เมื่อเข้าพบเอาของให้หลวงพ่อดู หลวงพ่อถามแม่ชีว่า "นั่นอะไร ของเป็นมันวับเช่นนั้น หรือโยมจะเอาของมาทำอะไรฉัน" แม่ชีกราบเรียนไปว่า "ของนี้ โยมได้มาจากการปฏิบัติ มันวาวเองคะหลวงพ่อ "เออ ดีนะโยม" แม่ชีเห็นคนเอาเครื่องสังฆทาน เข้าไปถวายหลวงพ่อกันมาก จึงลาออกมาก่อน เมื่อนั่งแล้ว หลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า "โยมที่เอาของมาให้ดูนั้นน่ะ เก็บของไว้ให้ดีนะ พันปีมีค่ามหาศาล โยมรักษาไว้นะ" หลังจากนั้นแล้ว จึงได้ลาหลวงพ่อกลับ และเดิทางกลับปากช่อง

    ครั้นต่อมาในวันหนึ่ง แม่ชีช่วงนี้ป่วยบ่อยๆ ไม่ค่อยสบาย นอนป่วย แต่เอาของมานอนดู คิดจะทำอะไรดี เพราะของนี้เราไม่เคยเห็น คิดมาคิดไป แหม น่าจะให้เป็นทองคำเราจะได้รู้จัก นี่เป็นของที่เราไม่รู้จัก จะเอาไปทำเป็นอะไรก็ไม่รู้จะทำอะไรดี นึกเช่นนี้ น่ากลัวจะไม่ได้สร้างเสียแล้ววิหหาร ใครเขาก็ไม่รู้จะไปซื้อขายก็ไม่กล้า เพราะกลัวคนเขาไม่รู้จักเขาจะมองหน้าเอา เมื่อไม่ได้สร้าง ก็ไม่สร้าง ตัดขันธ์ห้าดีกว่า ขืนคิดถึงของไม่มีประโยชน์ ของสิ่งนี้พาไปนิพพานไม่ได้ ว่าแล้วก็นอนหลับปลดขันธ์ห้า แต่ของนั้นยังอยู่ข้างตัวแม่ชี พอพิจารณาขันธ์ห้า ย้อนมาย้อนไปอยู่เช่นนั้น จับพุทโธบ้าง จับอานาปานุสติบ้าง ได้ยินเสียงพูดขึ้นข้างหูขวาว่า "ของในห่อนั้นมีค่ามหาศาลนัก" พูดเน้นเสียงหนักมาก น่ากลัวท่านเคืองแม่ชีที่ว่า "ท่านว่าน่าจะให้ทองคำ ให้อะไรมาไม่รู้จัก" น่ากลัวท่านคงเคืองจึงพูดเน้นเสียงหนักเช่นนี้ คงเห็นว่าให้มาแล้ว ยังแสดงความโง่มากนัก เมื่อแม่ชีได้ยินเสียงพูดอยู่ที่หู ตกใจลุกขึ้นเรียกแม่ชีเล็กให้เธอเข้ามาใกล้ๆ ฉันจะทดลองดู ให้แม่ชีตัด แต่ก่อนตัดใด้ขอขมาโทษก่อน จึงตัดออกมาก้อนหนึ่ง เอาขึ้นตั้งไฟ กว่าจะละลายนานมาก พอละลายออกมาทั้งหมดเท่านั้น คือทองคำขาวไม่ผิด เนื้อสะอาดใสแจ๋ว เป็นรัศมีแวววาว หลา ยสีหลายแสง น่าอัศจรรย์จริง เมื่อแม่ชีเห็นแสงวาววับจับตา จิตก็น้อมไปว่า จะให้ทำเป็นสิ่งใดจงบอกมา พอดีจิตมีความรู้สึกว่าไปทำพระขึ้น พอดีโยมมาจากจันทบุรี แม่ชีเห็นมีโอกาส จึงให้โยมขับรถไปส่งกรุงเทพฯ ทันที เมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้วบอกให้หาตามร้านที่เขาทำพิมพ์พระ เมื่อติดต่อว่าจ้าง เขาทำพิมพ์พระเสร็จ จึงนำของไปเข้าที่โรงรีด เมื่อรีดเสร็จจะนำแผ่นของไปเข้าพิมพ์ ในระหว่างที่รีดอยู่นั้น แม่ชีเฝ้าอยู่ตลอด ได้ยินคนที่รีดพูดขึ้นว่า "เอ นี่มันมันอะไรเนื้อสวยจัง ทีแรกนึกว่าเป็นตะกั่วเสียอีก" แม่ชีเลยทำเป็นไม่ได้ยินเขาคุยกัน ในระหว่างที่เข้าเครื่องพิมพ์อยู่นั้น แม่ชีเอาจิตอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ครูอาจารย์ทั้งหมด มีปู่พระอินทร์ แม่ย่า แม่ศรี ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ มี้วธตรฐ เทวดาทั้งหมดเชิญมาร่วมในการทำพระในครั้งนี้ ครั้งนี้ได้ทำขึ้น ๒๘๕ องค์

    เมื่อทำเสร็จ แม่ชีก็นำพระเครื่อง ๒๘๕ องค์ขึ้นไปกราบเรียนหลวงพ่อ ไปถึงวัดหลวงพ่อเย็นแล้วได้ขอพักห้องเบอร์สิบ ภายในใจของแม่ชีคิดว่าจะทำอย่างไรดี เรื่องนี้ยังไม่อยากให้ทราบเรื่อง และอีกอย่างหนึ่ง ตั้งแต่หลวงพ่อเอาไม้เท้าเขี่ยศรีษะให้ จนกระทั้งบวชคราวนั้น ไม่เคยเข้าใกล้หลวงพ่อพูดกันเหมือนแต่ก่อนเลย คราวนี้มีเรื่องสำคัญที่กราบเรียน ถ้าคนมีมากการพูดกับหลวงพ่อก็มีโอกาสน้อย อย่าเช่นนั้นเลยเราจะหาเวลาพบหลวงพ่อ โดยที่ไม่ให้มีใครรบกวน เพราะเรื่องสำคัญของเราในครั้งนี้ ครั้นพอเห็นว่า ได้เวลาที่เหมาะสมแล้วจึงได้ตั้งจิต น้อมไปทั่ว กราบหลวงพ่อทุกๆ องค์ ในอารามวัดทั้งหมด บอกไปตามต้องการ และน้อมจิตกราบหลวงพ่อเรียนให้ท่านทราบว่า พรุ่งนี้ในช่วงบ่าย โยมจะขอพบหลวงพ่อลำพัง เพราะโยมมีเรื่องสำคัญจะกราบเรียนหลวงพ่อเจ้าคะ พอได้เวลา แม่ชีได้พากันขึ้นที่ศาลารับแขก แม่ชีถึงศาลาแล้ว แม่ชีได้พากันไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องสังฆทาน แม่ชีได้จัดชุดสังฆทานขึ้นสามชุด สามคน และมีญาตโยมมาจากที่ใดไม่ทราบ อีกสี่คนเป็นผู้หญิงทั้งหมด เธอเหล่านั้นได้จักสังฆทานขึ้นสี่ชุด รวมเป็นเจ็ดชุดด้วยกัน ในวันนั้น พอได้เวลาหลวงพ่อลงศาลา แม่ชีได้นำสังฆทานเข้าไปถวาย แล้วทุกคนก็ถอยออกมานั่งตามปกติ หลวงพ่อทักทายทุกคนที่นั่งอยู่และได้ทักทายแม่ชีด้วย เธอทั้งสี่คนคุยอยู่พักหนึ่ง เธอลาหลวงพ่อไปหมดเลยคงเหลือคณะแม่ชีสามท่านเท่านั้น ครั้นต่อมอีกไม่นาน พอดีมีคนอีกสามท่านเป็นชายทั้งนั้นเดินตรงมาที่หลวง พ่อ แล้วนั่งลงกราบหลวงพ่อ หลวงพ่อทักทายโยมทั้งสามท่านขึ้นว่า "โยมมาจากที่ไหนกันละโยม" หนึ่งในจำนวนสามคนตอบว่า "ผมมาจากจังหวัดนครสวรรค์นี่เองครับ" หลวงพ่อ "มีธุระจุคุยอะไรกับฉันไหมโยม" หนึ่งในจำนวนสามคนตอบกับหลวงพ่อว่า "ผมไม่มีอะไรจะคุยหรอกครับวันนี้ ผมต้องการจะมาฝึกกรรมฐานครับ" หลวงพ่อ "เอ่อ ถ้าเช่นนั้นโยมไปขอที่พักเขาก่อน อาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว บ่ายนี่ไม่ทันเขา โยมต้องคอยถึงค่ำนะโยม" ทั้สามท่านก็รับคำ แล้วกราบหลวงพ่อจึงเดินออกไป ตอนนี้เหลือแต่คณะแม่ชีเท่านั้นประเดี๋ยวหนึ่ง หลวงพ่อหันมาทางแม่ชี กล่าวกับแม่ชีขึ้นว่า "เอ้าโยม วันนี้มีเรื่องอะไรจะคุยกับหลวงพ่อหรือ" แม่ชียกมือพนม "เจ้าคะหลวงพ่อ" หลวงพ่อ "เออ มีอะไรว่ามาโยม" แม่ชี "คือว่าอย่างนี้ค่ะหลวงพ่อ โยมเคยไปกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบ ที่ซอยสายลมแล้วครั้งแล้วคะ คือเรื่องของที่โยมได้มา แต่เวลานี้ ของสิ่งนั้น โยมได้จัดทำเป็นองค์พระแล้วคะ แต่ว่าพระของโยมที่ทำขึ้นในครั้งนี้นั้น ไม่เหมือนกับของใครๆ เขา โยมทำเป็นสองหน้าคือ หน้าหนึ่งเป็นพพระทุ่งเศรษฐี อีกหน้าหนึ่งเป็นสิวลี โยมทำมาครั้งนี้ได้ ๒๘๕ องค์คะหลวงพ่อ" เมื่อหลวงพ่อได้ฟังแม่ชีพูดจบลงแล้ว หลวงพ่อได้เอ่ยขึ้นว่า "นั่นอะไร ที่ตั้งอยู่ที่ข้างหน้าโยม" แม่ชีตอบว่า "พานใส่พระ ๒๘๕ องค์คะหลวงพ่อ" หลวงพ่อ "เออ ถ้าเช่นนั้นเอามาให้ฉันดูทีซิ ที่โยมว่ามันไม่เหมือนของใคร" แม่ชีรีบยกพานคลานเข้าไปเอาพานยกถวายให้หลวงพ่อดู หลวงพ่อหยิบขึ้นดู ด้านหน้า ด้านหลัง แล้วพูดขึ้นว่า "เออ ดีนะโยม โยมเข้าใจดีนี่ เข้าใจ เข้าใจ ข้างหนึ่งทุ่งเศรษฐี ข้างหนึ่งพระสิวลี เข้าใจจริงๆ โยมนี่ นี่นะโยม พระของโยมนี่นะ ถ้าใครได้ไปบูชา เป็นโคตรเศรษฐี จนไม่เป็น ดีมากโยม โยมนี้มีปัญญาดีนี่ เอาล่ะฉันจะบอกให้นะโยม พระของโยมที่ทำมาทั้งหมดนี้ ถึงแม้จะไม่ต้องมีรูปพระเลย ของโยมก็ขลัง เขาสำเร็จอยู่ในตัวเขาแล้วนะโยม ให้ใครเอาไปทำอะไร ให้ยิ่งกว่าทำ คำว่าเสื่อมไม่มี ของของโยมนี้ใช้ทุกอย่างได้หมดเลยนะโยม เนื้อเกลี้ยงก็ขลัง" หลวงพ่อถามต่อไปอีกว่า "เมื่อเวลาเขาทำใครเป็นผู้คุมดูอยู่ละ" แม่ชีตอบหลวงพ่อ "แม่ชีได้อาราธนามาคุมทั้งหมด และแม่ชีคุมอยู่ตลอดเลยค่ะหลวงพ่อ" หลวงพ่อ "เออ มันต้องฉลาดอย่างนี้"..."เอาล่ะ ต่อไปนี้ฉันจะถามโยมว่า ก่อนที่โยมจะได้ของนี้มา โยมทำอย่างไรถึงได้ของ" แม่ชีกราบหลวงพ่อก่อนจึงเอ่ยขึ้นว่า "โยมขอกราบเรียนหลวงพ่อที่เป็นครูบาอาจารย์ของโยม ด้วยความจริง คือว่า หลังจากที่โยมมากราบเรียนเรื่องที่ดินที่เจ้าของที่ เขาถวายให้เป้นสำนักปฏิบัติธรรม หลวงพ่ออนญาตใหเยมรับไว้ โยมก็รับตามคำสั่งหลวงพ่อ จึงได้จัดการก่อสร้างขึ้นเมื่อต้นปี ๒๕๒๐ มุงด้วยหญ้าคา ครั้นต่อมาหลังคาเริ่มผุ ฝนหยดรดพระพุทธรูปทั้งหมดสามสิบองค์ มีหลวงพ่อปานหนึ่ง และรูปหลวงพ่อนี่แหละคะอีกหนึ่ง จึงรวมได้เป็นสามสิบสององค์ โยมเห็นแล้วเกิดความสลดใจ ไม่อยากให้สิ่งที่เคารพบูชาอยู่ ต้องเปียกปอน เห็นแล้วสะเทือนจิตใจมาก อยู่มาวันหนึ่งวันนั้น มีทั้งฝนและลม เพราะฝากั้นไม่มี เอาผ้าเหลืองพระ ที่ท่านไม่ได้ใช้เอาทำกั้นเป็นฝา ลมมา ตีผ้าผ่อนขาดลงบ้างแลทุลักทุเล เหตุจึงทำให้แม่ชีตัดสินใจขึ้นว่า จะต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้น ถ้าขืนปล่อยไว้ท่าจะไม่เหมาะ ในคืนนั้นเองแม่ชีได้ตั้งใจเต็มกำลัง การปฏิบัติจะได้ขั้นตอนไหน ก็ช่างไม่คำนึงถึง ตั้งใจอย่างมั่นคงอย่างเดียว... (ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น)...นี่แหละคะหลวงพ่อ โยมปฏิบัติมาอย่างนี้...

    หลวงพ่อเมื่อได้ฟังแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า "โยมรู้ไหมว่า ของที่โยมได้มานั้นเป็นของของใคร ฉันบอกโยมให้ ของที่โยมได้มานั้น เป็นของผู้สำเร็จท่านทำไว้ แล้วท่านก็ฝากกับเทวดา เมื่อฝากกับเทวดา ท่านได้สั่งเทวดาไว้ว่า ถ้าผู้ใดมีบุญบารมีเห็นสมควรให้ ขอให้เทวดาให้สิ่งนี้เถิด นี่โยมจึงได้มายังไงล่ะโยม" แม่ชีกราบเรียนหลวงพ่อ โยมอยากให้หลวงพ่อช่วยเมตตาโยม ช่วยปลุกเสกพระที่โยมทำขึ้นมาครั้งนี้ด้วยเจ้าคะ เพื่อเป็นศิริมงคล" หลวงพ่อ "ปลุกเสกทำไมอีกโยม ของเขาดีอยู่แล้ว ถ้าโยจะให้ฉันปลุกเสกละก็ เอาอย่างนี้ดีกว่า โยมนั่นแหละไปทำขึ้น เพราะอะไร อะไร โยมทำได้แล้วนะโยม ถ้าโยมไม่มีดี โยมจะได้ของสิ่งนี้มาหรือโยม เขาจะให้โยมมาทำไม อะไร อะไร โยมก็ได้หมดแล้ว จะเอาอะไรอีกละ" พอดีหมดเวลา ตกลงวันนั้นหลวงพ่อได้สังฆทานเจ็ดคน ไม่มีแขกเลย เงียบสงบในศาลา "เห็นความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อของเราทั้งหลายไหมคะ ญาติโยมที่รัก หลวงพ่อรู้หมด หลวงพ่อรู้แจ้งบริสุทธิ์ โดยพวกเราไม่ต้องสงสัย หลวงพ่อเป็นพระสมควรแก่การกราบ สมควรแก่การไหว้ สมควรแก่การบูชา หลวงพ่อเป็นเนื้อนาบุญของโลก"

    ต่อมาเมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๔ แม่ชีจัดงานวางศิลาฤกษ์ขึ้นเมื่อ ก่อนวางศิลาฤกษ์ แม่ชีได้ไปกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบ และได้เอาแผ่นศิลาฤกษ์ให้หลวงพ่อปลุกเสกให้ หลวงพ่อมีเมตตาทำให้ เวลานี้การก่อสร้างกำลังจะดำเนินงานอยู่ แต่ยังขาดปัจจัยยังไม่พอแก่การก่อสร้าง พระเครื่องโคตรเศรษฐีที่ออกให้ญาติโยมเช่าบูชาไป ได้ปัจจัยมาเพียงหนึ่งล้านเศษ ยังไม่พอแก่การก่อสร้าง พระเครื่องรุ่นแรกเวลานี้ยีงมีเหลืออีกไม่มาก ท่านใดที่สั่งจองไว้หรือยังมิได้สั่งจอง โปรดมาสั่งจอง เพราะพระเหลือน้อยองค์แล้ว ถ้าท่านผู้ใดมีความประสงค์ จะร่วมบริจาคสร้างมหาวิหาร ยาวสี่สิบเมตรกว้างสิบสองเมตร กับสำนักส่งเสริมปฏิบัติ ก็ขอเชิญตามศรัทธา ถ้าท่านผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ต้องการที่จะที่สำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม ขอให้มาตามนี้ วิ่งรถมาถึงตลาดปากช่องก่อน นี่พูดถึงผู้ที่จะมาทางที่ท่านอยู่กรุงเทพฯ เมื่อถึงตลาดปากช่องให้วิ่งรถเลยไปอีก ประมาณไม่ถึงสองกิโลเมตร ก็จะเห็นปากทางเข้าหนองสาหร่าย อญึ่ด้านขวามือของถนน เมื่อเข้าปากทางหนองสาหร่ายแล้ว ให้ขับรถวิ่งเรื่อยไป สังเกตุด้านซ้ายมือวิ่งเรื่อยไม่ต้องเลี้ยว พอวิ่งมาประมาณสิบกิโลเมตร จะถึงสะพานปูน พอถึงสะพานปูนเตรียมชะลอรถ มองดูด้านซ้ายมือ จะพบวัดใหม่คลองยาง และจะเห็นป้ายสำนักปฏิบัติธรรม ตอนนี้จะพูดถึง...เดินทางโดยสารสายกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ขึ้นรถที่หมอชิต บอกคนขับหรือกระเป๋าว่า ต้องการลงที่ปากทางหนองสาหร่าย เมื่อลงแล้ว มองตรงข้ามจะเห็นป้อมตำรวจ แล้วให้ข้ามถนนตรงไปทีป้อมตำรวจ ถามตำรวจว่าคิวรถโดยสารที่จะเข้านิคมจอดอยู่ที่ไหน เมื่อขึ้นรถแล้วให้บอกคนขับว่าลงที่วัดใหม่คลองยาง ค่าโดยสารเจ็ดบาท

    ต่อนี้ไป แม่ชีขอย้อนความเดิมสักเล็กน้อย เพื่อความเข้าใจของผู้อ่านประวัติความเป็นมาว่า แม่ช่ได้พบกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วยเหตุใด และสำนักปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใครเป็นผู้อนุญาตให้ตั้งขึ้น เมื่อตั้งแล้วใครเป็นผู้ตั้งชื่อสำนักให้ เหตุไรพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จึงได้มีเมตตาทำพิธีบวชให้กับแม่ชี พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีพระคุณกับแม่ชีมากมาย จะเปรียบปประมาณมิได้ ถ้าแม่ชีมิได้พบพระเดชพพระคุณหลวงพ่อ ผู้มีคุณใหญ่หาประมาณมิได้นี้ แม่ชีคงเลิกปฏิบัติไปแล้ว เพราะทุกคนไม่ยอม ตัวรับแม่ชีเองก็เป็นคนโง่ มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อเท่านั้น ที่รับรองว่าเป็นของจริง เป็นของบุญเก่าที่ติดตามแม่ชี มาแต่ชาติอดีต แม่ชีได้ฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อ กล่าวกับแม่ชี ทำให้แม่ชีมีกำลังใจปฏิบัติยิ่งๆ ขึ้นไปโดยไม่ท้อถอย

    การเริ่มการปกิบัติของแม่ชี ปฏิบัติแบบโง่ๆ ท่านท้าวธตรฐ มาปรากฏองค์ได้บอกว่า ถ้าเธอมีอะไรจะให้ฉันช่วยเหลือละก็ให้นึกถึงชื่อท่านๆ จะมาสงเคราะห์

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อไปหา แม่ชีพบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ในฌาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำชับแม่ชีในณานว่า "จงอุตส่าห์ปฏิบัติไปนะ"

    แม่ชี ตามหาพระเดชพระคุณหลวงพ่อ มีผรั่งลูกครึ่งสองสามีภรรยาเป็นผู้นำไปพบ เมื่อพบแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อแสดงธรรม ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อ มีเมตตาเอาไม้เท้าเขี่ยหัวให้ ในระหว่างที่แม่ชีกำลังนึกอยากจะโกนผม เป็นสิริมงคลให้กับแม่ชี

    พระเดชพระคุณหลวงพ่ออนุญาตให้ตั้งสำนักปฏิบัติ เมื่อแม่ชีได้กราบเรียนให้พระคุณท่านทราบว่า คุณวิรัช มั่งเรืองสกุล มีความประสงค์ถวายที่ดิน ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติ เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อทราบเรื่องแล้ว มีเมตตาให้แม่ชีรับที่ดินไว้ และได้กล่าวขึ้นกับแม่ชีว่า "ที่ตรงนั้นดี โยมไปจัดทำขึ้น เดี๋ยวฉันช่วย" พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ชื่อสำนัก "ส่งเสริมปฏิบัติธรรม" แม่ชีกราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ทราบ เรื่องการก่อสร้างตลอดมา หลังคามุงด้วยหญ้าคา

    เพราะเหตุหลังคารั่ว จึงได้ของมา เมื่อได้มา จึงนำสิ่งนี้ไปกราบเรียนให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อทราบ เมื่อพระเดชพระคุณได้หยิบพระเครื่องที่แม่ชีได้สร้างขึ้นมาด้วยของที่ได้ มาขึ้นดู พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้กล่าวขึ้นว่า "ของสิ่งนี้เป็นของผู้สำเร็จทำไว้ แล้วฝากไว้กับเทวดา ของสิ่งนี้ถ้าผู้ใดได้นำไปบูชา หรือรักษาไว้ จนไม่เป็น เรียกว่าโคตรเศรษฐี"

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อ มีเมตตาเมื่อแม่ชีได้กราบเรียน เรื่องการก่อสร้างมหาวิหารยาว ๔๐ เมตร กว้าง ๑๒ เมตร บัดนี้ได้นำพระโคตรเศรษฐีให้สาธุชนคนใจบุญทั้งหลายนำไปบูชา เพื่อเป็นศิริมงคล ได้ปัจจัยมาเป็นจำนวน ๑ ล้านบาทเศษ แต่ยังไม่พอแก่ การก่อสร้างมหาวิหารในครั้งนี้

    สำหรับเรื่องทั้งหมด ที่เขียนมานี้ แม่ชีมิได้ต่อเติมเสริมเรื่องขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย เป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับแม่ชีทุกประการ ที่เขียนเรื่องราวมานี้เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และเพื่อกราบบูชาคุณความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผู้มีพระคุณกับแม่ชีสุดที่หาประมาณมิได้ ที่จริงแล้วเรื่องที่จะเขียนยังมีอีกมากนัก แต่เขียนมานี้หลายหน้ากระดาษ ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสมหรือมากเกินพอดีไป ขอให้ตัดทอนเอาตามความเหมาะสม

    บัดนี้ ขอยุติเรื่องความเป็นมาที่ได้รู้จักพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้จบลงแล้ว (แม่ชีอวยพรยาวมาก สาธุ สาธุ สาธุ)
    ................................ RoseUnderline.gif
    ขอบคุณที่มา :- https://sites.google.com/site/sphrathewtheph/Home-9-1
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017

แชร์หน้านี้

Loading...