คุณย่าชีนารี การุณ อายุ 123 ปี แม่ชีอรหันต์
คุณย่าชีนารีได้สมรสกับนายวันดี ซึ่งมีลูกด้วยกัน 6 คน เป็นหญิง 4 ชาย 2 พอคุณย่าชีนารีอายุครบ 40 ปี ก็มีอารมณ์อยากจะบวชโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนหน้านั้นท่านได้พบองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ
องค์หลวงปู่มั่นได้เดินธุดงค์ไปพักอยู่ใกล้บ้านๆและได้สอบถามถึงครอบครัวแล้วท่านก็จากไป
คุณย่าจึงขออนุญาตนายวันดีออกบวช นายวันดีให้ข้อแม้ว่าคุณย่าต้องหาภรรยาให้ซัก 3 คน เมื่อถึงวันบวชนายวันดีก็อนุญาตให้ออกบวช หลวงปู่มั่นท่านทราบด้วยญาณจึงส่งพระมา 3 รูป
คือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงพ่อสมบูรณ์ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก พร้อมด้วยบริขารมาทำการบวชให้ คุณย่าหลังจากบวชชีแล้ว ได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น โดยท่านให้อุบาย ให้คุณย่าภาวนา นะโมและพุทโธ
ท่านภาวนาท่านเห็นอดีตชาติขององค์ท่านเองว่าเคยเกิดเป็นชาวรัฐเซีย ไต้หวัน กษัตริย์ ทหาร แต่ไม่เคยเกิดเป็น 3 อย่างคือ เสือ ไส้เดือน กิ้งกือ
หลังจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ นิพพาน ได้มีการจัดงานประชุมเพลิงที่วัดป่าสุทธาวาส
คุณย่าเล่าให้ฟังว่าในงานประชุมเพลิงมีเทพธิดามาร่วมถวายเพลิง 30,000 องค์ ท้าวมหาพรหม 6 องค์ เทพบุตรมา 2 องค์ เกือบทุกชั้นมีเทพประธานมากำกับด้วย ท่านเห็นแล้วชื่นใจ
หลังจากประชุมเพลิงเสร็จ ศิษยานุศิษย์องค์หลวงปู่ได้เข้าไปแย่งขี้เถ้า อัฐิ ตัวคุณย่าเองก็เข้าไปล้วงกับเค้า ได้อัฐิส่วนซี่โครง เศษอัฐิ และอังคาร มา เมื่อคุณย่าเก็บรักษาต่อมาได้แปรสภาพเป็นพระธาตุแก้วใสหมด
หลังจากนั้นท่านก็อยู่วัดป่าสุทราวาสเรื่อยมา เมื่อปีพ.ศ. 2520 สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชนีนาถ มีศรัทธาสร้างกุฏิ ถวายใหม่
สมเด็จพระเทพมาครั้งใดจับแขน จับขาคุณย่า เห็นคุณย่านุ่งห่มผ้าขาวแทบจะเป็นดำ ก็เข้าไปจัดแจงจะให้คุณย่าเปลี่ยนชุดใหม่
ถึงกับทรงจะผลัดให้เอง คุณย่าต้องห้ามไว้ ท่านเล่าด้วยความปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณ หลังจากท่านอยู่วัดป่าสุทธาวาสมานาน ท่านก็ย้ายไปจำพรรษาหลายที่ เช่น วัดป่าวังน้ำทิพย์
จนองค์ท่านได้มาหยุดที่สำนักชีบ้านหนองยาง จ.สกลนคร โดยมีคุณยายสมรและคุณตาเพลินเป็นผู้ดูแล หลวงปู่คำคะนิงในอดีตชาติเป็นพี่ชายขององค์ท่าน ในชาติปัจจุบันนึ้ท่านก็มาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ และได้นำประคำที่อยู่กับองค์ท่านมาตั้่งแต่สมัยออกปฏิบัติธรรมใหม่ๆให้แด่คุณย่า หลวงปู่หลุย จันทาสาโร นับถือคุณย่าเป็นแม่
เพราะในอดีตชาติคุณย่าเป็นแม่ขององค์หลวงปู่ หลวงปู่จะกล่าวชมให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านเป็นแม่ขาวแม่ออกที่ปฏิบัติธรรมจนเห็นธรรม
หลวงปู่หลุยท่านรักและเคารพคุณย่ามากถึงขนาดทำที่ครอบฟันปลอมให้และส่งปัจจัยจำนวน 10,000 บาท ให้คุณย่าทุกเดือน หลวงปู่หลอด ปโมทิโต เคารพในคุณธรรมคุณย่าและมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ตอนที่คุณย่าจะนิพพาน หลวงปู่ถวายปัจจัยให้คุณย่า 20,000 บาท หลวงปู่หลุยและหลวงปู่หลอดกล่าวว่าที่ท่านมีทุกวันนึ้ได้ก็เพราะขี้มือคุณแม่นั้นแหละ
ก่อนวันที่ท่านจะนิพพาน ท่านมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สติแจ่มใสมาก ท่านบอกให้คุณยายสมรเตรียมน้ำมารับพระเถระบนกุฏิ คุณยายสมรเตรียมน้ำมาแล้วไม่เห็นใคร ท่านก็บอกให้เอาขึ้นมา พระเถระมาเต็มกุฏิแล้ว หลังจากนั้นวันต่อมา
คุณย่าได้จับมือคุณยายสมรและคุณตาเพลินได้สั่งเสียไว้ว่า ถ้าท่านนิพพานแล้วอย่าทิ้ฃ คุณย่าเขียนน่ะ(ผู้ดูแลคุณย่าตั้่งแต่สมัยวัดป่าสุทธาวาส)
คุณยายสมรและคุณตาเพลินรับคำ ท่านทรงสติมาก แล้วท่านก็ยิ้มงามมาก ยิ้มอย่างไม่อาไรอาวรณ์ไม่สนแก่การตาย พอท่านยิ้ม ลมหายใจและหัวใจก็หยุดเต้น ท่านเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานเมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ. 2542 เวลา 20.25
สิริอายุขัย 123 ปี อยู่ในเพศแม่ชี 83 ปีพอดี
ในวันประชุมเพลิงมี หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป เป็นประธานในฝ่ายบรรพชิต ถวายเพลิง เมื่อไฟไกล้จะมอดเห็นดวงไฟสีเขียว พุ่งออกมา เมื่อเก็บอัฐิพบว่า อัฐิคุณย่าแปรสภาพเป็นพระธาตุทันทีหลังจากประชุมเพลิงเสร็จ
ธรรมโอวาท
"ศีลนั้นแสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจอันสูงเพราะหากทำลายศีลเสียก็เท่ากับว่าทำลายความเป็นมนุษย์ ที่ปราศจากความดีทั้งหลาย"
"เมื่อจิตเป็นสมาธิ จิตหยุดนิ่ง อารมณ์มันน้อย ปัญญาจึงมีโอกาศเกิดขึ้นได้"
"ให้มีสติรู้เท่าทัน(อุปาทาน)หยุดมันเสียมันก็จะนิ่งสนิทอย่างเดิม เป็นอารมณ์เดียว"
เครดิต เฟสบุ้ค เด็กวัด จัดให้
แม่ชีอรหันต์ คุณย่าชี นารี การุณ อายุ 123 ปี อัฐิคุณย่าแปรสภาพเป็นพระธาตุทันทีหลังจากประชุมเพลิงเสร็จ
ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 31 มกราคม 2017.
-
-
สาธุครับ
-
สมัยที่คุณย่านารียังมีชีวิตอยู่ ลุงกับป้าของเราได้ไปรับท่านมาพักและโปรดบรรยายธรรมให้เพื่อนพี่น้องที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นหลายครั้งค่ะ เราก็เคยได้บีบได้นวดท่าน สมัยนั้นเรายังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย
-
-
แม่ชีนารีมาสอนให้ฝึกสติ พุท-โธ
แม่ชีนารีมาสอนให้ฝึกสติ พุท-โธ
แม่ทาเมื่อเห็นดังนั้นก็วิตกเกิดความกลัวตายขึ้น จึงได้เรียกลูกเข้ามาใกล้ๆแล้วร้องบอกว่า "อย่าไปเล่นไกลนะ" ดังนั้นลูกที่ยังเด็กเล็กก็มานอนข้างๆแม่ทา นอนเล่นหนุนตักคลอเคลียอยู่กับแม่ทา แล้วแม่ทาก็ได้เห็นแม่ชีรูปหนึ่งหน้ามนใสมาปรากฏรูปกายให้เห็นอย่างเด่นชัดในนิมิต แม่ทาก็ได้พูดสนทนากับแม่ชีผู้นั้นก็แนะนำชื่อ "แม่ชื่อแม่ชีนารีเด้อ" แม่ทาจึงถามแม่ชีต่อไป "คุณแม่อยู่วัดไหนคะ" แม่ชีนารี "โอ๋ แม่ก็อยู่วัดสุทธาวาสนั่นแหละลูก ลูกจะนอนทำไป เอาพุทโธไม่ดีหรือลูกหล่า (หมายถึงสรรพนามผู้ใหญ่เรียกผู้น้อยลูกหล่าคือลูกคนสุดท้าย) จิตใจจะได้ดีขึ้น แม่ก็หายจากโรคภัยก็จากตัวนี้แหละ" ลูกถามต่อ "แม่ๆ ตะกี้พูดอะไร?" แม่ทาลืมตาตอบลูก "แม่บ่ได้ฝันน่ะยังมีสติรู้ตัวอยู่" ลูกถามต่อ "แม่ๆ ตะกี้พูดอะไร?" แม่ทาก็ตอบลูกออกไปว่า "พูดอะไรก็ให้ได้พูดกับท่านก่อน" ลูกก็ได้ออกไปเล่นอยู่ไกลๆ ออกไป แม่ชีนารีจึงถามต่อว่า "เจ้าเป็นอะไรล่ะจึงมานอน" แม่ทาตอบ "โอย ! ไปไหนก็ไม่ได้ป่วยใจ" แม่ชีนารีก็บอกว่า "โอ๊ย ! ป่วยใจมันไม่ยากนะลูกหล่า มันไม่ยากหรอกแม่ก็เคยป่วยใจนะ" แม่ทาก็ถามว่า "ป่วยใจทำอย่างไรคุณแม่ มันทำไมป่วยหลายแท้" แม่ชีนารีก็ตอบให้กำลังใจว่า "ไม่ตาย ยังไงลูกก็ไม่ตาย" แม่ทาตอบ "โอย ! คุณแม่ถ้าลูกไม่ตายบุญผลานิสงส์มากนะ" แม่ชีนารี "แม่ไม่ให้เจ้าตาย แม่จะให้เจ้านี้เหยียบฟ้าได้ เหยียบดินได้" แม่ทาร้องทัก "โอย ! คุณแม่อย่ามาพูดสูงเช่นนั้น ฟ้าก็เป็นฟ้า ดินก็เป็นดิน ดินเราก็ไต่ตลอดแต่ว่าฟ้าเราจะไต่ไม่ได้" แม่ชีแย้ง "ไต่ได้นะลูก ต้องไต่ได้นะ แม้แต่แม่ยังไต่ได้ลูกก็ต้องไต่ได้" แม่ทาร้องตอบ "ไม่ใช่หรอกคุณแม่เอ๊ย คุณแม่มีอะไรจะสอนดิฉันก็สอนมาซะ ถ้าความที่จะไปไต่ฟ้านี้มันไต่ไม่ได้หรอก" แม่ชีนารี "ลูกหล่าเอาอย่างนี้ซะ ให้เจ้าเอาพุท-โธไปจนกว่าจะครบ 7 ปี เพราะว่านามชิน(บุญกุศลวาสนา) ของเจ้านี้มีเวลาอีก 7 ปี"แม่ทารับคำแนะนำจากแม่ชีนารีแต่ก็คิดถึงอายุขัยของตนว่าในอีก 7 ปีต้องตายแน่นอน ต่อมาแม่ทาจึงได้สั่งเสียเพื่อนบ้านว่า "ภายใน 7 ปีนี้ถ้าเราตายนี้เอาเชือกผูกคอไล่ลากไปเลยนะ ไม่ต้องหามมันเพราะมันไม่มีพี่น้องตายแล้วให้นำไปที่หัวนาอย่าไปเรียกหาใคร ถ้าจะฝังก็ฝังถ้าไม่ฝังก็เอาฟืนไปเผา แต่ว่าห้ามหาม (ศพ) เป็นเด็ดขาด" เหตุที่กล่าวเช่นนั้นด้วยกลัวเขาจะรังเกียจตัวเอง เพื่อนบ้านก็ร้องบอก "โอ๊ย ! ถ้าเป็นอะไรพวกข่อยจะจัดการเอาดอก" หลังจากสั่งเสียเพื่อนบ้านแล้วแม่ทาก็นึกถึงคำของแม่ชีนารีที่มาบอกทางนิมิต "ท่านมาบอกเราเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ไม่ได้ล่ะต้องเอาคำของแม่ชีนารีที่มาบอกทางนิมิต "ท่านมาบอกเราเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ไม่ได้ล่ะต้องเอาคำของแม่ชีนารีมาใช้ ท่านมาบอกเราก็ไม่ได้วิ่งทำ ไม่ได้ตากฝนทำ เราทำอยู่ที่บ้านเป็นอย่างไร? ทำไมเราจะทำไม่ได้" ดังนั้นแม่ทาจึงได้น้อมนำเอาคำบริกรรมพุท-โธ มาภาวนานอนอยู่เฉยๆ สติก็ระลึกอยู่กับ พุท-โธ นั่งก็มีสติอยู่กับ พุท-โธ ข้าวอาหารก็ยังกินไม่ได้แต่ก็มีเพียงคำว่า พุท-โธ เพียงอย่างเดียวเอาจิตจดจ่อเพียงอย่างเดียวมีสติอยู่ที่ พุท-โธ ฝึกสติจิตอยู่ในองค์บริกรรมอย่างนี้มาได้ 2 วันเพราะมั่นใจในคุณวิเศษของคำว่าพุท-โธต้องมีแน่นอน เช้าวันนั้นได้มีแม่ชีรูปหนึ่งชื่อแม่ชีใสมาจากวัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู มาเห็นสภาพที่แม่ทานอนซมคล้ายคนใกล้จะตายก็มาพูดให้กำลังใจแล้วแนะนำให้แม่ทาฝึกสติโดยเอาคำบริกรรมพุท-โธเป็นสติ ก็ยิ่งทำให้แม่ทาเกิดความเชื่อมั่นว่าคำว่า พุท-โธ นี้ต้องดีต้องวิเศษแน่นอนแม่ชีใสถึงได้แนะนำตรงกับที่ได้รับคำแนะนำทางนิมิตจากแม่ชีนารี มั่นใจในคำแนะนำเช่นนี้เพราะต้องดีแน่ๆ ท่านคงไม่แนะนำสิ่งที่ไม่ดีให้ตนแน่ พุท-โธนี้ต้องดีแท้แน่นอนอยู่ก็มีสติ อยู่กับพุท-โธ นั่งอยู่ก็ฝึกพุท-โธ ไปอย่างนี้ตลอดเพียงลำดับผู้เดียว ฝึกนานวันต่อมาแม่ทาก็คิดอยากจะดื่มน้ำ สามีคือพ่อบุญเหลือก็ได้ไปตักน้ำมาให้ดื่ม พอแม่ทาดื่มน้ำลงสู่ลำคอปรากฏว่าน้ำก็ไหลลื่นลงไปสู่กระเพาะโดยไม่กระฉอกออกมาเหมือนครั้งก่อนๆ แม่ทานึกในใจ "โอย กูกลืนน้ำลายได้แล้ว ชะตาเรายังไม่ถึงที่ตายหรือเปล่าหนอ? แต่ว่าท่านแม่ชีนารีท่านว่า 7 ปีนี้เราต้องตาย ถ้าจะตายก็ขอให้ได้รู้จักกับพุท-โธเสียก่อน" แม่ทาก็มุ่งมั่นจิตเพียงอย่างเดียวกับคำว่า พุท-โธๆๆ อยู่ตลอดเวลา โดยไม่ยอมให้ขาดสติด้วยความรักสงเคราะห์ต่อผู้เป็นภรรยาของพ่อบุญเหลือ ไม่ทอดทิ้งยามทุกข์ยามยากไม่ว่าจะไปไหนก็จะพาแม่ทาไปด้วย ครั้งหนึ่งพ่อบุญเหลือได้อุ้มแม่ทาไปนั่งบนแผ่นไม้เพื่อนั่งขับถ่ายปลดทุกข์ สมัยนั้นส้วมหลุมดังเช่นในปัจจุบันก็ยังไม่มี มีแต่ส้วมหลุมที่ขุดดินลึกลงไปแล้วนำไม้ไปวางพาดแล้วก็นั่งปลดทุกข์ลงในหลุม ในขณะนั้นแม่ทาก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เดินก็ยังไม่ได้ ได้แต่นั่งภาวนา พุท-โธ พ่อบุญเหลือก็อุ้มแม่ทาไปปลดทุกข์ในระหว่างรอแม่ทา พ่อบุญเหลือก็ออกไปทอดแหหาปลาจนเพลินกับการหาปลา จนลืมเวลาไปว่าภรรยาของตนนั่งปลดทุกข์อยู่ แม่ทานั่งอดทนอยู่อย่างนั้น หลังจากปลดทุกข์ขับถ่ายแล้วเพราะเดินไปไหนไม่ได้ นั่งฝึกสติอยู่กับพุท-โธ ตลอดอารมณ์ กลางแดดที่ร้อนจัดในเวลากลางวัน นั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเกือบค่อนวัน เมื่อพ่อบุญเหลือนึกได้จึงได้รีบกลับมาอุ้มเอาภรรยากลับบ้าน ตลอดเวลาที่นั่งกลางแดดเปรี้ยงๆ แม่ทาก็มิยอมปริปากบ่นอะไรสักคำ นั่งสู้ด้วยขันตินิ่งอยู่อย่างนั้น เมื่อแม่ทาได้ฝึกสติอยู่กับ พุท-โธ อาการป่วยใจก็เริ่มดีขึ้น อาการทางกายก็ดีขึ้นตามไปด้วย พอที่จะมีเรียวแรงที่จะพยุงตัว สามารถช่วยตัวเองได้ เริ่มขยับตัวได้ ต่อมาพ่อบุญเหลือมีธุระที่จะต้องไปที่กรุงเทพ 1 คืน จึงได้ฝากให้หลานมาช่วยดูแลแทนหลังจากที่พ่อบุญเหลือกลับมาบ้านก็ได้มาเล่าให้แม่ทาฟังว่า "ข่อยไปอยู่น้น ก็ได้ฝันว่าแม่ชีมาบอกว่าเมียมึงไม่ตายหรอกนะลูกเอ๊ย" แม่ทาได้ฟังความจากสามีก็ไม่กล้าเล่าเรื่องที่แม่ชีมาหาเช่นกัน เพราะรู้ว่าเป็นแม่ชีผู้เดียวกันกับที่ได้มาแนะนำให้ฝึกสติอยู่กับพุท-โธ แม่ทาได้แต่นิ่งเฉย พ่อบุญเหลือจึงได้ถามแม่ทาว่า "เจ้าทำอะไร ทำไมเจ้าไม่ผอมเหมือนเมื่อก่อน ทำไมสีผิวดูสดใสขึ้น" แม่ทาจะเล่าถึงเหตุผลก็ไม่กล้าบอกสามีว่าแม่ชีมาบอกว่าให้เอาพุท-โธ ก็กลัวว่าสามีจะว่าเป็นประสาทกลัวว่าจะถูกตำหนิว่าเป็นพวกภูตผีวิญญาณมาหา ไม่ใช่แม่ชีมาหา เมื่อแม่ทาฝึกสติอยู่กับพุท-โธได้ 3 เดือน ก็เกิดความอยากเดินจึงบอกกับสามีว่า "พ่อไปเอาเชื่อกมาขึงกับต้นเสาให้หน่อย ข่อยไม่ให้เจ้าจับหรอกข่อยจะเดินเอง" พ่อบุญเหลือจึงได้ไปหาซื้อเชือกมาแล้วนำมาขึงรอบเอว บ้านแม่ทาก็ค่อยๆ พยุงกายเดินจับเชือกไปแต่ก็เซไปเซมา ใครผ่านมาเห็นก็ถามว่า "เอ้า ! ทำไมเจ้าเดินได้ เจ้ากินยาอะไร? ถึงได้เดินได้" แม่ทาก็ไม่กล้าบอกเขาว่ามีพุท-โธ เป็นยาดี "ไม่มียากินแล้วแต่มันจะตายแล้วแต่มันจะเป็นตายวันไหนก็ดีไม่ตายก็ดี"เมื่อแม่ทาได้ฝึกเดินอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ ร่างกายก็แข็งแรงมีเรี่ยวมีแรงดีขึ้น จิตใจก็ไม่ได้หวั่นไหวอะไรเหมือนดั่งว่าใจนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นใจใหม่ที่หนักแน่นมั่นคงมาแทนที่ ลูกๆ ก็เริ่มโต เมื่อพอที่จะมีเรี่ยวแรงก็มาทำงานช่วยสามี ทำไร่ทำนา เลี้ยงควาย ซักผ้า เผาถ่าน ทำกับข้าว ปูผ้านอน ทำงานบ้านสารพัดอย่างชนิดที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเดินไปนาก็ท่องพุท-โธไปตลอดทาง พอหว่านข้าวก็มีสติท่องพุท-โธในใจจนเสร็จ เดินกลับบ้านก็ท่อง พุท-โธๆๆๆ ตลอด ไม่ว่าจะทำกิจการงานใดก็แล้วแต่ก็ไม่ลืมสติอยู่กับพุท-โธเป็นอารมณ์อยู่ทุกขณะจิตรู้ลมหายใจเข้าออก หายใจก็อยู่กับพุท-โธ ทุกอิริยาบถจิตก็ไม่ส่งส่ายออกไป นอกจากอารมณ์พุท-โธอยู่อย่างนั้นยกเว้นเพียงแต่เวลานอนเท่านั้นที่ขาดสติอยู่กับพุท-โธ เมื่อตื่นมารู้สึกตัวสติก็อยู่กับพุท-โธ หมั่นเพียรด้วยความมีสติอยู่กับพุท-โธ ของแม่ทานี้ปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เอาเพียงจิตเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นกับคำว่าพุท-โธ ความรู้ใดๆ ด้านธรรมะก็ไม่รู้เพราะอ่านหนังสือไม่ได้เขียนไม่ได้ มีสติรู้อยู่เพียงอย่างเดียวขณะหายใจเข้า-พุท หายใจออก-โธ อยู่ในอารมณ์เดียวกับจิตเพียงอย่างเดียวพ่อแม่ครูบาอาจารย์เคยอบรมสั่งสอนว่า ไม่มีแรงอันใดเท่าแรงของกฎแห่งกรรมและการที่จะชดใช้กรรมที่ดีนั่นให้นั่งภาวนาชดใช้กรรม จึงจะถึงเจ้ากรรมนายเวรอุทิศให้ถึงจะง่ายจึงตั้งจิตใจอย่างแน่วแน่เอาจริงเอาจังต่อการปฏิบัติธรรมเมื่อมีสิ่งมากระทบให้คิดปลง อีกอย่างจึงน้อมเอาธรรมที่ได้รับฟังจากครูบาอาจารย์ที่เคยได้รับปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังในการกำหนดจิตจะต้อง มีเจตจำนงแน่วแน่ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการเจตจำนงคือตัวศีล การบริกรรมพุทโธเปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงจะไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย กลับจะเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียรทำลายกำลังใจในคราวเจริญจิตครั้งต่อไปๆ ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้งไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน เจตจำนงต้องตั้งอยู่ไม่ลดละ เปรียบได้ดั่งบุรุษผู้หน฿งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขนพร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่าคมดาบนั้นฟาดลงมา ตนจะหลดหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย เจตจำนงต้องแน่วแน่จึงจะยังสมาธิให้เกิดขึ้นได้ แม้เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาเลย จะบั่นทอนความศรัทธาของตนเองเสียเปล่า เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอกก็ค่อยลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุท-โธ ก็จะขาดไปเองเพราะ คำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบและคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ (จิตมั่นคง)บริกรรมให้จิตเป็นหนึ่งพึงสังเกตว่าใครบริกรรมพุท-โธ ดูจิตเมื่อสงบแล้วให้จิตจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิม เช่นนั้นเมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีกไม่ตั้งกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอ สติคอยกำกับอยู่อย่างเงียบ(รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาใดๆที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาแห่งจิตได้เองเมื่อแม่ทาได้ฝึกปฏิบัติมาเช่นนี้จวบจนเวลาผ่านไป 1 ปี 2 ปี 3 ปีช่วงที่ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 นี้ แม่ทาก็เริ่มที่จะได้ยินเสียงต่างๆ แต่ก็ไม่ใส่ใจ จิตจดจ่ออยู่กับพุท-โธเพียงอย่างเดียวในทุกอิริยาบถต่างๆ พอฝึกได้ 4 ปี จิตของแม่ทาก็เริ่มเป็นทิพย์จิตใจสงบส่งกระแสจิตออกไปก็จะเห็นนิมิตต่างๆ มากมายคล้ายดั่งกับเรานั่งดูจอทีวี ดูภาพยนตร์เป็นฉากๆ เข้ามาให้จิตได้รู้ แม่ทาก็แปลกใจในความอัศจรรย์ของจิต อัศจรรย์ในอำนาจของสติที่มีเป็นหนึ่ง อารมณ์เดียวอยู่กับพุท-โธ พอฝึกสติย่างเข้าสู่ปีที่ 5 จิตของแม่ทาก็ยิ่งรู้เห็นในสิ่งเร้นลับต่างๆ บ้างก็มีนิมิต (มารจิต) เข้ามาหาปรากฏเป็นรูปกายให้เห็น
เครดิต http://phuritatta.blogspot.com/2008/07/blog-post_5698.html -
-
แม่ชีนารีอดีตเป็นช้าง
แม่ชีนารี อดีตชาติเป็นช้าง
บุคคลที่ระลึกชาติในอดีตได้นั้น คือข้อพิสูจน์ยืนยันการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก ดังที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงไว้
ผู้ระลึกชาติได้ในประเทศไทยมีอยู่จำนวนมาก น่าเสียดายที่บางท่านไม่ยอมเปิดเผยเรื่องราวการระลึกชาติได้ต่อสาธารณชน หรือบางท่านอาจยินดีจะเสนอเรื่องราวการระลึกชาติของตนให้แพร่หลาย ทว่าไม่มีสื่อมวลชนไปติดต่อสัมภาษณ์แล้วจดบันทึกไว้ ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ดังกล่าวจึงเท่ากับเลือนหายไปอย่างน่าเสียดาย
แม้จะมีการบันทึกเรื่องราวของผู้ระลึกชาติได้ในเมืองไทยจำนวนหนึ่ง โดยท่านผู้สนใจและศึกษาติดตามกรณีนี้อย่างจริงจัง ก็ยังนับว่ามีจำนวนน้อยมาก แม้กระนั้นเรื่องราวรายละเอียดการระลึกชาติที่ปรากฎจึงเป็นประโยชน์อันกว้างไกลสำหรับบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะในข้อพิจารณาเรื่องกฎแห่งกรรมซึ่งเป็นสิ่งชี้นำทำให้บุคคลที่เกิดมาแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างลักษณะ อุปนิสัยสันดาน ฐานะ ชาติกำเนิด และภาวะความเป็นอยู่การดำเนินชีวิตซึ่งเป็นไปตามภาวะแห่งกรรมของตนตลอดชั่วชีวิต
บุคคลผู้ระลึกชาติได้ที่จะนำเสนอในโอกาสนี้ ออกจะแปลกเอาการทีเดียว เพราะอดีตชาติของท่านที่ผ่านมาท่านเกิดเป็นช้าง หลังจากช้างถึงแก่ความตายไปแล้วจึงมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบัน ผู้ซึ่งลิขิตบันทึกเรื่องนี้ไว้คือ ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) อดีตเจ้าสำนักสงฆ์สวนกวาง (ต่อมาท่านได้อาพาธด้วยโรคกระเพาะอาหารอย่างรุนแรง จำเป็นต้องลาสิกขามาเป็นฆราวาสและได้ปฏิบัติธรรมตลอดชั่วชีวิตจนกระทั่งถึงแก่กรรม ณ วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา)
กองบรรณาธิการกราบขออนุญาตนำเรื่อง “อดีตชาติเป็นช้าง” มาถ่ายทอดเผยแพร่สืบต่อไปอีกวาระ โดยหวังว่าควรจะเกิดสารประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านตามสมควร ดังข้อความที่ พระอริยคุณาธาร (เส็ง) ท่านลิขิตเอาไว้ต่อไปนี้………
“มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ นารี อายุประมาณห้าสิบปี เวลานี้แกบวชชีได้มาหาข้าพเจ้าเมื่อต้นปีนี้เอง แกได้เล่าอดีตชาติของแกให้ฟังอย่างละเอียดลออว่า ชาติก่อนนี้แกเป็นช้าง เกิดอยู่ที่สวนกวาง ซึ่งเป็นที่ที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งเขียนเรื่อง “ทิพยอำนาจ” อยู่นี้”
“แกเล่าว่าที่เขาสวนกวางมีพญาช้างตัวหนึ่ง เป็นนายของช้างทั้งหมดในเทือกเขาภูพาน ทุก ๆ สิบห้าวัน ช้างทั้งหลายตลอดจนถึงหมู่นกจะมาประชุมฟังโอวาทของพญาช้าง ณ ที่ก้อนหินใกล้ฝั่งลำธารบนหลังเขา สัตว์ทั้งหลายฟังภาษาใจกันออก ส่วนภาษาปากนั้นเขาจะใช้ในกรณีพิเศษ เช่น บอกเหตุอันตราย ร้องเรียกหากัน และร้องด้วยความคึกคะนองเท่านั้น ตามปกติพูดกันทางใจ”
แกเล่าว่า ในคราวประชุมทุก ๆ ครั้ง แกก็ได้เข้าประชุม แต่เป็นเวลายังเด็กเกินไป ไม่ได้ใส่ใจ จึงจดจำไม่ได้ ช้างที่เข้าประชุมทุกตัวอยู่ในระเบียบสงบเรียบร้อยและเคารพพญาช้างอย่างยิ่ง เมื่อฟังโอวาทจบแล้วก็จะพากันเดินผ่านหน้าพญาช้าง เรียงกันไปทีละตัวเป็นการแสดงคารวะคล้ายการเดินสวนสนามของทหารฉะนั้น
“พญาช้างนั้นไปอยู่ตัวเดียวในที่เงียบ ช้างทั้งหลายปันวาระกันไปปรนนิบัติคราวละสี่ห้าวัน พอถึงกำหนดสิบวัน พญาช้างจึงจะมาปรากฎตัวในทีประชุมให้โอวาทแก่ช้างและนกทั้งหลาย”
“แกเล่าเรื่องเฉพาะของแกต่อไปว่า เมื่อแกเกิดมาทีแรก แม่พามาอาบน้ำที่ลำธารตรงข้ามตอนเหนือที่ข้าพเจ้าอยู่ รู้สึกหนาวมาก แกมีพี่ชายหนึ่งตัวกำลังรุ่น ส่วนพ่อไม่ปรากฎ การปรนนิบัติเลี้ยงดูมีแต่แม่เท่านั้นซึ่งเป็นธรรมเนียมสัตว์ประเภทนี้”
“เมื่อแกอายุได้ประมาณสามเดือน มีนายพรานช้างมาคล้องเอาแกไปได้ เขาผูกติดกับคอช้างต่อนำไปบ้านนาแอ่งในเขตหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี เขาเลี้ยงดูแกอย่างลูก ตั้งชื่อให้รู้ว่า อีตุ้ม ชอบเล่นกับเด็ก ๆ และสามารถไปส่งอาหารที่วัดแทนพ่อแม่ได้ คงจะด้วยอานิสงส์ไปส่งอาหารได้นี้เองทำให้แกได้เกิดเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบัน”
“แกเล่าต่อว่า ต่อมามีเหตุบังเอิญทำให้ลูกชายของพ่อเกิดบาดเจ็บคือแกพาลอดเฟือยหนาม สำคัญว่าพ้นแล้วจึงลุกขึ้น ทำให้หนามครูดศีรษะของเขาเลือดไหล ถึงกับพลัดจากคอแก เขาโกรธมาก ได้ใช้ขอสับแกอย่างไม่ปรานีปราศรัย แต่แกว่าไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไรนัก ถ้าเขาสับและงัดด้วยจึงจะเจ็บมาก ไม่กี่วันแผลที่ถูกสับก็หาย พอมาถึงบ้านเขาก็บอกพ่อ จะขายช้างอีตุ้มทันที พ่อแม่และย่าก็ห้ามปรามว่า ไม่ใช่ความผิดของอีตุ้ม มันเป็นความผิดของตนเองที่ไม่ระมัดระวังต่างหาก เจ้าลูกชายก็ดันทุรังแต่จะขายท่าเดียว”
“อยู่มาไม่นาน มีชาวหล่มสักมาขอซื้อ เขาตกลงขาย ย่ามีความอาลัยสงสารมาก ได้ไปขอถอนขนตาไว้เป็นที่ระลึก และรำพันสั่งเสียด้วยประการต่าง ๆ ตัวแกเองก็รู้สึกอาลัยมากเหมือนกัน ครั้นออกเดินทางไปสิบห้าวันถึงจังหวัดเลย เกิดความคิดถึงพ่อแม่เป็นกำลังเลยตาย”
“พอร่างนั้นล้ม จิตก็ออก รู้สึกตัวเป็นมนุษย์ผู้หญิงทันที จึงดึงเอาไส้ช้างมาเป็นผ้าสไบ ส่วนซิ่นสำหรับนุ่งมีแล้ว ไม่ทราบได้มาอย่างไร พอออกจากตัวช้างก็รู้สึกว่านุ่งซิ่นอยู่แล้ว”
“แกเล่าว่า พอได้สไบถือแล้วก็รีบออกเดินทางกลับตามทางไปในเวลาประมาณห้าโมงเช้า มาถึงบ้านเก่าเป็นเวลาห้าโมงเช้าเหมือนกัน ไปถามเขาทราบว่าพ่อย้ายไปอยู่บ้านใหม่ คือบ้านสามพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี แกก็ติดตามไป ผ่านตัวเมืองอุดร ฯ เห็นพระกำลังฉันเพลอยู่ พวกสุนัขเห่าหอนกระโชกไล่ขบกัดแกอย่างชุลมุน แกพยายามหลบพ้นไปได้”
“ไปถึงบ้านสามพร้าวเป็นเวลาห้าโมงเช้า พระกำลังฉันเพลอยู่เหมือนกัน ได้เห็นพ่อและแม่ใหม่ คือเมียคนใหม่ของพ่อ ไต่ถามเขาก็ไม่พูดด้วย แกมีต้นไม้ต้นหนึ่งเป็นเครื่องหมาย คิดว่าเกิดแล้วจะมาขุดเอา ในระหว่างที่ยังไม่ได้เกิดนั้นแกเล่าว่าไปอาศัยอยู่ในวัด ถ้าพ่อแม่ไปวัดก็ติดตามพ่อแม่มาบ้านแต่ขึ้นเรือนไม่ได้ ไปยืนอยู่หน้าเรือนนั่นเอง”
“วันหนึ่งเวลาค่ำ พ่อกินข้าวแล้วลูกออกมาที่นอกชานกำลังยืนดื่มน้ำ แกเลยตามน้ำเข้าไปอยู่กับพ่อ ต่อมาถูกจัดให้อยู่ในห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง ชั้นแรก ๆ ก็รู้สึกสบายดี ครั้นต่อมาห้าหกเดือน รู้สึกว่าห้องนอนนั้นคับแคบ รู้สึกอึดอัดอยากออกแต่ก็ออกไม่ได้ พอครบสิบเดือนก็คลานออกจากห้องได้ แล้วลืมภาวะเก่าไปพักหนึ่ง”
“มารู้สึกตัวถึงภาวะเก่าก็ต่อเมื่ออายุได้สองสามรอบ พอพูดจาได้แล้วครั้นอายุได้สิบสี่สิบห้าปีได้ไปดูที่ซ่อนซิ่นกับสไบ เห็นเครื่องหมายตามที่ทำไว้ แกพยายามขุดหาเท่าไรก็ไม่พบสิ่งที่ซ่อนไว้ เห็นแต่ใบตองกล้วยที่ใช้ห่อซึ่งผุแล้ว จับเข้าก็เปื่อยหมด”
“เมื่อใหญ่โตพอมีเหย้ามีเรือน แกก็มีเหย้าเรือนตามประเพณี บัดนี้ได้สละเหย้าเรือนมาบวชเป็นชีอยู่สำนักชีวัดบ้านสามพร้าว อำเภอเมืองจังหวัดอุดรธานี จนถึงเดี๋ยวนี้”
“แกว่าเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตช้างชั่วเวลาไม่ถึงปี ยังจำได้ดีหมดทุกอย่างไม่ลืมเลือน เรื่องขบขันตอนเป็นช้างแกก็เล่าให้ฟังหมดทุกเรื่อง”
“ก่อนแกจะเล่าได้ให้แกปฏิญาณว่าจะไม่โกหกแล้วจึงให้เล่าให้ฟังฉะนั้นจึงเป็นเรื่องระลึกชาติได้จริงมิใช่เรื่องที่คิดประดิษฐ์ขึ้นมาเอง”
นี่คือเรื่องราวของเเม่ชีนารีระลึกชาติได้ ซึ่งท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) ได้บันทึกไว้ในหนังสือ “ทิพยอำนาจ” ซึ่งมีจำหน่ายที่มหามกุฎวิทยาลัย
การระลึกชาติได้ของแม่ชีนารีนี้ มีข้อที่ทำให้มองเห็นสัจจะความจริงของสัตว์โลกได้ชัดเจนหลายประการ…….
ประการแรก……..มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเมื่อตายแล้วต้องเกิดใหม่อีกและวนเวียนวุ่นวายอยู่เช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่บำเพ็ญธรรมกระทำความเพียรให้บรรลุสู่อรหัตผลยังไม่ได้ ก็ต้องเวียนว่ายสืบภพสืบชาติต่อไปอีก
ประการที่สอง…….หลังจากตายแล้วไปเกิดใหม่นั้น มิใช่ว่าจะย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์เสมอไป บางชาติต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่ำต้อย ได้รับความทุกข์ในอัตภาพนั้นโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงหลบหนีให้พ้นจากความทุกข์ซึ่งบีบคั้นบังคับอยู่ตลอดเวลา
ประการที่สาม…….วิบากกรรมในแตละภพแต่ละชาติที่เกิดมานั้นซับซ้อนทับถมจนยากจะจำแนกแจกแจงออกมาได้ หากกระทำกรรมดีไว้เป็นส่วนใหญ่ ก็ยังพอหวังได้ว่าภพชาติที่จะไปเกิดใหม่คงไม่ลำบากทุกข์เข็ญอย่างแน่นอน แต่ถ้ามัวเมาหลงผิดในกรรมชั่ว ตั้งหน้าก่อบาปสร้างเวรไม่ยอมหยุด ตายไปเมื่อใดและไปเกิดในภพชาติต่อไปอีก เห็นทีจะเผชิญกับสภาพสยดสยองของความทุกข์อันแสนสาหัสสุดบรรยายได้ถูกถ้วนทีเดียว
อ่านเรื่องแม่ชีนารีระลึกชาติได้เช่นนี้แล้ว ท่านผู้อ่านคงจะมองเห็นแล้วว่าวิถีทางในการดำเนินชีวิตต่อไปตราบสิ้นลมหายใจนั้นพึงควรกระทำสิ่งใดและควรละเว้นสิ่งใด จึงจะเกิดประโยชน์แก่ตนทั้งในชาติปัจจุบันและชาติต่อ ๆ ไป ซึ่งท่านต้องไปเกิดใหม่อย่างแน่นอน….
เครดิตhttp://www.dhammadelivery.com/webboard.php?action=show&id=17480 -
-
-
-
พระเครื่องคุณแม่ชีนารี เคยมีอยู่ 1 องค์ หาไม่ค่อยเจอ ไม่รู้ไปเก็บไว้ที่ไหน จำไม่ได้แล้ว รู้สึกจะมีเส้นเกศาแม่ชีนารีด้วย
-
ท่านผู้มีอภิญญากล่าวยกย่องแม่ชีนารีมาก รายละเอียดจำไม่ค่อยได้แล้ว เพราะนาน
ส่วนคุณแม่จันทา ฤกษ์ยาม เคยได้ยินท่านผู้มีอภิญญาบอกว่า เห็นกายของคุณแม่จันทาสว่างมาก เป็นลักษณะแบบไหน อย่าไปรู้เลยครับ ถ้ามีโอกาสก็ไปกราบไปทำบุญกับท่านนะครับ -
สาธุ -/\-
-
ยอดคนดูใน Fanpage พลังจิต
เข้าถึงแล้ว 127,920 คน -
ผมได้ไปกราบย่าเป็นครั้งแรกในงานทอดกฐินที่วัดใกล้ๆ ที่พำนักของย่า รู้สึกจะชื่อวัดพังขว้าง ซึ่งย่าบอกลูกศิษย์ที่กรุงเทพฯ ว่า "ย่าจะทอดกฐิน ให้ไปบอกลูกหลานของย่ามาร่วมกัน" ลูกศิษย์ก็แย้งว่าจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นลูกหลานของย่า ย่าบอกว่าไปเถอะ แล้วเขาจะมากันเอง ซึ่งปรากฏว่าเมื่อลูกศิษย์นำลงโพสต์ในหนังสือโลกทิพย์ ก็มีคนสนใจร่วมเดินทางไปทอดกฐินเป็นจำนวนมากทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้ประวัติของย่ามาก่อน ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่นึกอยากไปร่วมด้วย ครั้งนั้นผมได้ซื้อชุดบูชาเบญจรงค์ไปถวายท่าน วันนั้นมีคณะที่ไปทอดกฐินพากันไปไหว้ย่าจนล้นที่พัก พอถึงจังหวะที่ผมได้กราบท่านที่เท้าพร้อมถวายของให้ท่าน ท่านพูดว่าของที่ลูกคนนี้ถวายถูกใจย่ามาก ท่านสั่งให้คนดูแลเอาไปจัดที่โต๊ะหมู่ในห้องท่าน และท่านได้ให้พรว่าขอให้ลูกมีจิตใสแจ่มในเหมือนดั่งดวงแก้ว ซึ่งเป็นคำที่แปลกกว่าคนอื่นๆ ซึ่งท่านจะให้พรแบบทั่ว ๆ ไป เช่น ขอให้มีความสุขความเจริญ อย่าเจ็บอย่าไข้ เป็นต้น
-
หลังจากนั้นผมก็รู้สึกผูกพันกับย่ามาก หาโอกาสชวนหมู่คณะขับรถส่วนตัวไปไหว้ท่านอีกหลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายในปีที่ท่านจะละสังขาร ผมและคณะก็ได้ไปกราบท่าน ครั้งนี้เป็นโอกาสเหมาะหมาก ไม่มีคณะอื่นเลย มีแต่ย่าเขียนที่อยู่ปนนิบัติมาตั้งแต่อยู่วัดป่าสุทธาวาสอยู่ด้วยเท่านั้น ท่านสั่งให้ย่าเขียนนำรูปเหมือนของท่านเป็นเนื้อผงสี่เหลี่ยมสี่ขาวมาพร้อมทั้งเส้นเกศาของท่านมาแจกพวกเราสี่คน พร้อมทั้งบอกว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านแล้วให้จัดขันธ์ห้าบูชา อยู่ๆ ท่านก็เอื้มไปคว้าขวดยาหม่องที่อยู่หัวนอนของท่านมายื่นให้ผม แล้วบอกว่านวดให้ย่าหน่อย แรกๆ ผมก็ไม่ค่อยกล้าที่จะถูกตัวท่านเกรงจะเป็นบาป แต่ย่าเขียนบอกว่าไม่เป็นไรหรอกนวดให้ท่านซะ คณะที่ไปด้วยก็ช่วยกันนวดให้ท่านโดยให้ยาหม่องช่วยทาให้ท่านด้วย ส่วนตัวผมสมัครใจที่จะนวดที่เท้าทั้งสองข้าง แล้วท่านก็เล่าเรื่องของท่านให้ฟัง แต่ท่านพูดเป็นภาษาผู้ไทประกอบกับท่านอายุมากเกินร้อยแล้ว เลยฟังไม่ค่อยชัด แต่ก็นวดไปฟังท่านพูดไปด้วยอาการสำรวม สักพักท่านก็หยุดเล่า แล้วพูดขึ้นลอยๆ ว่า อันคนเรานี้ถ้าไม่ใช่ลูกหลานอยากจะเจอก็ไม่ได้เจอ ผมเลยทำเป็นใจกล้าถามท่านว่า ผมนี้เป็นลูกหลานของย่าหรือเปล่าครับ ท่านตอบสั้นๆ ว่า "แม่นแล้ว" ผมงี้ขนลุกปิติน้ำตาไหลเลย แล้วท่านยังเบือนหน้ามาทางผมยิ้มๆ แล้วพูดว่า "อย่าขี้น้อยใจนัก ให้ทำใจให้แข็งๆ" พวกผมนวดท่านอยู่สักพักจนเห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว เกรงจะรบกวนท่านมากไป จึงได้กราบลาท่านกลับที่พัก
-
ผมไม่นึกเลยว่าครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มีโอกาสได้กราบท่าน เพราะหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ก็มีข่าวลงในหนังสือโลกทิพย์ว่าท่านละสังขารแล้ว และทำพิธีเผาศพในเวลาต่อมา โดยที่ผมไม่มีจังหวะว่างจากงานไปร่วมงานเผาศพท่าน เมื่อหวนไปนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้คิดว่าท่านคงอยากจะโปรดเราเป็นครั้งสุดท้าย จึงให้ของไว้เป็นเครื่องบูชาระลึกถึง มิหนำซ้ำยังเมตตาบอกเป็นความนัยว่าเราเกี่ยวข้องกับท่าน และพิเศษที่สุดที่ท่านบอกให้นวดให้ท่าน ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าท่านจะให้โอกาสผมเพื่อเป็นเป็นเนื้อนาบุญที่ได้นวดให้แก่องค์ท่านผู้พ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้ว หรือจะเป็นการปนนิบัติท่านเพื่อไถ่ถอนหนี้เวรกรรมที่เราเคยล่วงเกินต่อท่านในอดึตชาติที่เราเคยเป็นลูกหลานของท่านเป็นครั้งสุดท้าย เพราะต่อแต่นี้ไปท่านจะไม่กลับมาเวียนเกิดเวียนตายในโลกนี้อีกแล้ว แต่ลูกหลานย่าคนนี้ไม่รู้ว่าจะต้องเวียนเกิดเวียนตายอีกกี่ภพกี่ชาติ จึงจะสิ้นภพสิ้นชาติตามย่าไป......
-
สาธุ คิดถึงแม่ย่านารี ครับ