แม้บำเพ็ญเพียรเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ก็ยังชดใช้กรรม!! หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่า เคยเกิดเป็น"พราน" ในสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า จนเมื่อฟังธรรม จึงกลับใจ!

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 14 มิถุนายน 2017.

  1. ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,209
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,711
    แม้บำเพ็ญเพียรเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ก็ยังชดใช้กรรม!! หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่า เคยเกิดเป็น"พราน" ในสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า จนเมื่อฟังธรรม จึงกลับใจ!



    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    ๐๐ หลวงพ่อฤๅษี เคยเกิดเป็นนายพรานต่อมาได้เป็นกษัตริย์ ในสมัยสมเด็จพระพุทธทีปังกร๐๐

    มีเรื่องที่น่าสนใจมากจากพระดำรัสของสมเด็จพระพุทธทีปังกร เรื่อง เวรและกรรม การฆ่ากันด้วยการจองเวรไม่เป็นเหตุให้ลงนรก แต่ก็ต้องชดใช้เวรที่ทำด้วยการถูกฆ่า หมุนเวียนกันไปมาถึง ๕๐๐ ชาติ



    วันนี้นอนๆ ก็ภาวนาไปเรื่อยๆ (พักอยู่ที่เมืองโอ๊คแลนด์ เดือนมีนาคม ๒๕๒๙) ถ้าอยู่คนเดียวไม่ได้ละ ภาวนาไม่ขาด พอจิตสบายก็ขึ้นไปหาสมเด็จองค์ปัจจุบัน ที่พระจุฬามณี ท่านคุยประเดี๋ยว ก็บอกไปนิพพานเถอะ พอไปถึงนิพพาน ท่านก็คุย

    ท่านถามว่า “นึกออกไหม เธอเคยเกิดสมัยสมเด็จพระพุทธทีปังกรนะ”

    ก็บอกว่า “นึกไม่ออก ไม่เคยคิด พระพุทธเจ้าข้า”

    ท่านบอกว่า “ดินแดนนี้ สมัยนั้นเธอเคยเกิดเป็นนายพรานอยู่”

    สมเด็จพระพุทธทีปังกรองค์นี้ ท่านบอกว่า ถอยหลังจากสมเด็จพระปุทุมมุตตระไป ๓ สมัย หลายอสงไขยกัป ไม่ใช่เล่นๆ นะ

    ท่านบอกว่า สถานที่นี้มีภูเขาไฟเยอะ ท่านเปรียบเหมือนตะเกียง แต่ขอบเขตของแผ่นดินมันไม่ได้อยู่แค่นี้มันยาวไปอีกหน่อย อีตอนนั้นก็เป็นป่าบ้าง ไม่ใช่ป่าบ้าง ถามท่านเรื่องพาหนะ ท่านบอกว่า สมัยนั้นมีธนูยนต์ ธนูยนต์ คือเครื่องบินหรือจรวด

    ตอนนั้นพรานก็ไม่ใช่แต่งตัวนุ่งผ้าเตียว แต่งตัวสวยมีบริวารเป็นแสนเป็นหัวหน้าคน มีคนเคารพนับถือมาก แต่ไม่ใช่เป็นพรานอย่างเดียวนะ ก็ทำการเกษตร มีการทำนาด้วย แต่ว่าการฆ่าสัตว์ ก็เลือกเฉพาะสัตว์แก่ คือ หมายความว่าสัตว์ยังหนุ่มสาวไม่ฆ่า ถ้าสัตว์แก่แล้วมันใช้งานไม่ได้ ไม่เป็นประโยชน์จึงฆ่า

    ต่อมาเขาประกาศว่า เวลานี้พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านเป็นดาบส เป็นนักบวช ก็พบกับท่านอยู่เสมอ อยู่แดนเดียวกัน และท่านก็สอน แต่ว่าเรื่องการฆ่าสัตว์ท่านไม่สอน เพราะอะไรรู้ไหม ขัดคอกัน

    ท่านก็บอกว่า “นายพรานใหญ่ วันนี้พระพุทธเจ้าเสด็จแล้ว”

    ถามว่า “พระพุทธเจ้าเป็นใคร..?”

    ท่านก็คุยบอกว่า

    “พระพุทธเจ้ามีความวิเศษมาก เหาะเหินเดินอากาศได้ นึกยังไง เป็นยังงั้น มีความศักดิ์สิทธิ์ พูดจาไพเราะ”

    ก็ตกลงไปกับท่าน เมื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอกราบท่าน ๓ ครั้ง พอเงยหน้าขึ้นมา ท่านถามว่า “สัตว์แก่ไม่มีประโยชน์รึ ?”

    ตกใจเลย ก็กราบทูลว่า

    “ที่ฆ่าสัตว์แก่เพราะสงสารมัน เห็นว่ากินไม่ทันเขา สัตว์แก่ใช้งานไม่ได้แล้ว อยู่ก็ลำบาก ถูกสัตว์หนุ่มสัตว์สาวรังแก แย่งที่ทำมาหากิน”

    ท่านก็ถามว่า

    “สัตว์แก่นี่พอใจในชีวิตไหม และสัตว์แก่ตัวไหนต้องการตายบ้าง หันไปถามคนข้างๆ ซิ ถามญาติผู้ใหญ่ของเธอว่าอยากตายหรือยัง”

    ก็หันไปถามลุง เห็นหน้าชัดๆ ท่านแก่มาก เวลานั้นอายุตั้งแสนปีนะ เป็นเด็กเท่าไร ๒ หมื่น ๕ พันปี ถามผู้ใหญ่ท่านก็บอกว่า ท่านไม่อยากตาย เมื่อแก่แล้ว ท่านก็มีชีวิตอยู่กับลูกหลาน

    พระพุทธเจ้าหันมาบอก

    “ไม่มีใครเขาอยากตายหรอก การที่เธอทำแบบนี้ ถึงว่าเธอทำตามความจำเป็นก็แล้วแต่ แต่ว่าเขายังไม่พอใจในการตาย”

    พูดตามภาษา เราก็ทำไม่ถูก แต่ท่านไม่หักโหม พระพุทธเจ้าไม่หักโหม ยังพูดแนะนำต่างๆ ว่าการประกอบอาชีพ ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าสัตว์ ผักหญ้าเราหากินเองได้

    แล้วท่านก็ถามว่า

    “เธอนึกออกไหม เธอเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนนะ”

    มาแล้ว หมัดหนักเข้ามาแล้ว ทีนี้ต่อยหนัก ท่านบอกว่า

    “ยังอยู่แค่อสงไขยเศษ บารมีเธอก็จะเต็มพุทธภูมิ เขาไม่ฆ่าสัตว์กันนะ”

    ก็กราบทูลท่านว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบ”

    แล้วท่านก็ตรัสว่า

    “ถ้าไม่ทราบก็จงทราบเสีย เวลานี้พระพุทธเจ้าบอกเธอนะ เธอเคยเป็นลูกตถาคตมาก่อน เธอเป็นลูกตั้งแต่สมัยเป็นช้าง แล้วตอนเป็นคนก็หลายสมัย ลูกพระพุทธเจ้าเขาไม่ฆ่าสัตว์กันนะ”

    โดนอย่างหนักเชียวนะ ท่านว่าตามตำรับนะ ลูกพระพุทธเจ้าไม่ฆ่าสัตว์ แล้วท่านก็ตรัสต่อว่า

    “พระโพธิสัตว์ย่อมไม่ทำบาป ถ้าหากว่าจะทำบาปก็เพื่อความอยู่เป็นสุขของคนส่วนมาก คนส่วนน้อยรังแกอย่างนี้อาจจะทำเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ทีนี้พระโพธิสัตว์ฆ่าสัตว์แก่ที่ไม่อยากตาย สัตว์แก่ตายไป ๑ ตัว สัตว์หนุ่มสัตว์สาวที่เป็นลูกหลานมันก็จะเสียใจมาก กำลังใจจะเสีย”

    แล้วท่านก็ตรัสต่อว่า

    “วาสนาบารมีเธอมีมาก ที่ฆ่ามาแล้วเป็นสัตว์ที่เนื่องถึงกัน สัตว์ที่เธอเคยฆ่าเขา เขาเคยฆ่าเธอ แลกกันไปแลกกันมา เวลานี้ สัตว์ประเภทนั้นมันหมดแล้ว ถ้าทำต่อไปมันไม่ใช่เวร แต่เป็นกรรม เวรนั้นไม่ลงนรก เกิดมาเพื่อฆ่ากัน ชาตินี้เราฆ่าเขา ชาติหน้าเขาฆ่าเรา เปลี่ยนกันแบบนั้น ต่อไปนี้มันเป็นกฎของกรรมไม่ใช่เวร มันต้องลงนรก”



    ท่านอธิบายเรื่องนรกเสียละเอียดลออเลย ขณะท่านพูดไป ท่านพูดช้าๆ เสียงเพราะมาก ท่านยิ้มตลอด สมเด็จพระสมณโคดม ท่านบอกว่า ท่านยิ้มกับเธอเท่านั้นนะ กับฉันไม่ค่อยยิ้มหรอก (สมัยเป็นดาบส) ท่านบอกว่า

    “ที่ท่านยิ้มมากๆ ก็เพื่อจะเอาชนะพรานแก่ เพราะนิสัยของเธอชอบคนยิ้ม”

    ท่านรู้นิสัย พอท่านพูดจบก็กราบ สั่งลูกน้องเอาธนู หอก ดาบ แร้ว เอามาถวายพระพุทธเจ้าหมด แล้วท่านก็รับประเคน ท่านรับประเคนแล้วถามว่า

    “เครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือฆ่าสัตว์ใช่ไหม” ก็บอกว่าใช่

    “เธอถวายตถาคตหรือ” ก็บอกว่าใช่

    ท่านบอก “ตถาคตเป็นพระพุทธเจ้านะ แต่ตถาคตจะรับ” แล้วท่านก็สั่งเผาเดี่ยวนั้น

    ท่านตรัสต่อไปว่า

    “วาสนาบารมีของเธอก็ดี เวลานี้ในเขตนี้ไม่มีกษัตริย์ แต่ว่าเธอก็สามารถคุมคนได้เป็นแสน ควรจะประกาศตนเป็นกษัตริย์เสีย”

    ทุกคนที่นั่งป๋ออยู่นี่ พูดเก่งยกมือถามพระพุทธเจ้าว่า

    “กษัตริย์ต้องเป็นยังไง พระพุทธเจ้าข้า”

    เวลาพูดท่านยิ้มตลอดเวลา ท่านก็อธิบายถึงเรื่องการเป็นกษัตริย์ว่า ต้องปกครองคนโดยธรรม แนะนำลีลาของการเป็นกษัตริย์ และแนะนำว่ากษัตริย์ต้องทรงศีล ๕ มีทศพิธราชธรรม มีทาน มีศีล เป็นองค์ประกอบ ไม่มีการโกรธละทีนี้

    ที่ท่านพูดแบบนั้นนะ ที่แรกก็ไม่เข้าใจ องค์ปัจจุบันท่านอธิบายเมื่อตอนบ่าย ค่อยเข้าใจ ท่านบอกว่าให้ช่วยประกาศพระศาสนา ลูกน้องของเราทั้งหมดก็อยู่ในเขต ต้องช่วยกัน

    ถามว่าเครื่องแต่งกษัตริย์มีอะไรบ้าง ท่านบอกไม่มีความสำคัญ เวลานี้ไม่จำเป็น ไม่มีก็ไม่เป็นไร และท่านก็บอกว่าลีลาของการเป็นกษัตริย์ ต้องมีอะไรบ้าง กษัตริย์ถือว่าเป็นหัวหน้าคน และการเป็นหัวหน้าคนต้องป้องกันมิให้คนเบียดเบียนกัน ให้ตั้งอุดมการณ์ให้ดี

    ต่อมาก็ยอมรับเป็นกษัตริย์ ท่านตั้งชื่อให้ยาวเลย ปัญจสีลาบรมราชา ก็ว่าเรื่อย ทศพิธราชธรรม และลงท้ายว่า ธรรมราชา แปลว่า พระราชา ผู้ทรงธรรมอย่างยิ่ง เสร็จเลย ท่านมุ่งห้ามฆ่าสัตว์กัน ต่อจากนั้นก็ให้พระอรหันต์ ๕ องค์ แต่มีหัวหน้า ๑ องค์อยู่แนะนำกษัตริย์ในการปกครอง มีอะไรก็ถามพระอรหันต์องค์นั้น เป็นอัครสาวก

    เมื่อเป็นกษัตริย์ขึ้นมาแล้ว ก็ต้องสร้างบ้านสร้างเมือง ก็ถามท่านว่าการสร้างบ้านสร้างเมืองทำอย่างไร ที่ไหนจึงจะดี

    ท่านก็บอกหิมวันตประเทศ น่ะดีที่สุด ให้ตั้งพระราชฐานที่นั่น หิมวันตประเทศอย่านึกว่าเป็นป่าซะหมด มันเป็นป่าเขียวชะอุ่มมีต้นไม้มากเป็นป่าที่มีหมอก มีที่ทำมาหากิน หิมวันตประเทศตอนนั้น อยู่ห่างจากที่นี่ให้ล่องใต้ไป ๓๐ กม.

    ทีนี้มาว่ากันถึงคน ผิวพรรณของคนเป็นคนขาวเหลืองหมด และทรวดทรงดี จากนั้นก็ครองราชสมบัติอยู่ ๕ หมื่นปี สมเด็จองค์ปัจจุบันท่านบอกจริงๆ ตั้ง ๕ หมื่น ๕ พันปี

    การปกครองก็มีความเป็นสุข เพราะกษัตริย์ไม่ใช่นายคน มี อปจายนกรรม คือการอ่อนน้อม เมื่อเจอคนที่มีอายุแก่กว่า ต้องยกมือไหว้ ท่านบอกว่าการแก่กว่าต้องยกมือไหว้ ท่านบอกว่าการเป็นกษัตริย์ต้องทำแบบนั้น จึงจะชนะคนทุกชั้น ทุกประเภท เราชนะด้วยความดี

    พูดถึงอาชีพเวลานั้น ก็ต้องเลิกการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ท่านก็สั่งไว้ว่า ถ้าต้องการกินเนื้อสัตว์ ก็ให้ไปซื้อจากเขา เราจะไม่บาป เพราะเราไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า ไม่ได้ผลัดกันสั่ง

    และท่านก็บอกว่า การเป็นกษัตริย์สมัยนั้น ดินแดนกว้างขวางมาก มีคนเคารพนบนอบมาก การรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันไม่มี รวมความว่ากษัตริย์ในสมัยนั้นไม่รู้จักคำว่า “รบ” รู้จักอย่างเดียวว่า ที่ไหนมีความทุกข์ ทำอย่างไรจะมีความสุข ต่างคนต่างช่วยกัน

    ถามท่านว่าคนจนมีไหม ท่านตอบว่าคนจนไม่มี นอกจากจะมีความเป็นอยู่เป็นสุข ไอ้สิ่งที่เราต้องการ แก้วและทองมีก็มาก ท่านบอกว่า แก้วก็คือเพชรและพลอย เราก็นำไปแลกเป็นสิ่งของ กับชาติอื่น จากเมืองอื่น เมืองอื่นเขามีความสมบูรณ์ แต่ว่าขาดบางอย่าง เขาขาดของที่เรามี ก็เอาไปแลกกับเขา ของที่เราขาดเขามี ก็เอามาแลกกันไปแลกกันมา

    ฉะนั้น คนจนไม่มี มีแต่คนสวย คนสวยนี่ไม่สวยแต่รูปร่าง เห็นหน้ากันมีแต่คนยิ้ม เห็นหน้าก็ยิ้มกันแต่ไกล ยังไม่ทันเห็นยิ้มแล้ว ยังไม่ทันเห็นหน้ายิ้มไว้ก่อน หน้าบึ้งไม่มี

    (แล้วหลวงพ่อก็สรุปว่า)

    จำได้ไหมว่าถอยหลังจากนี้ไป ๑ อสงไขยกับแสนกัปเศษๆ พวกเราเคยเกิด ณ ที่นี้ (เมืองโอ๊คแลนด์ นิวซีแลนด์) สมัยสมเด็จพระพุทธทีปังกร ท่านบอกว่าต้องการให้ทราบเรื่องนี้ ต้องการให้ทุกคนทราบว่า

    เกิดมาแล้วกี่เที่ยว เกิดมาแล้วเท่าไร จงอย่าลืมว่าเกิดมาแล้วมีตาย ทรัพย์สมบัติที่เราสร้างไว้นี่ เมื่อตายแล้วเราก็หมดสิทธิ์ เกิดมาใหม่ทรัพย์สมบัติมันก็ยังอยู่ แต่เราไม่มีสิทธิ์จะเข้าไป มีหลายแห่งโผล่ไม่ได้ โผล่ถูกผลักใช่ไหม

    ลงท้าย ท่านก็สรุป อริยสัจ แบบง่ายๆ

    การเกิดจะมีฐานะเป็นยังไงก็ตาม ก็ต้องมีทุกข์ หิวข้าวก็ทุกข์ การประกอบอาชีพก็ทุกข์ ถึงแม้จะมีเครื่องบินขี่ก็ทุกข์ จะมีรถนั่งก็เป็นทุกข์ มันอยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ในร่างกายของเราเอง คือ ความหิว ความต้องการของจิตใจ ถ้าไม่ได้สมความปรารถนาก็เป็นทุกข์

    และเวลาที่ทุกคนจะตาย เมื่อตายแล้วทุกคนก็กลับไปสวรรค์และพรหมกันหมด ไม่ไปนรก ท่านบอกว่าที่ไม่ไปนรกเพราะการฆ่าสัตว์ มีเหตุ ๒ ประการ

    ๑.สัตว์ประเภทนั้นเป็นศัตรูกันมาก่อน และก็จองล้างจองผลาญกันมาก่อน เธอฆ่าฉันได้ ชาติต่อไปถ้ามี ฉันจะฆ่าเธอบ้าง อย่างนี้ต้องแลกกัน ๕๐๐ ชาติ จึงจะหมดเวรนะ

    และคราวนั้นไม่ถึง ๕๐๐ ชาติ แค่เพียง ๓๐ ชาติเศษๆ เพราะเดิมที่พบพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ก็ระงับได้ ถ้าไม่พบพระอรหันต์หรือไม่พบพระพุทธเจ้าระงับ ก็ไม่มีทางระงับได้

    อย่างเวร ต้องระงับด้วยการไม่จองเวร แต่ท่านบอกสัตว์ที่จะพึงฆ่าประเภทนั้น มันหมดไปแล้ว และก็หมดตัวจริงๆ ต่อไปถ้าเราไม่ทำเวรไม่ทำกรรม กรรมที่เป็นอกุศลต่างคนต่างระงับ

    ๒.ช่วงหลังทำบุญอย่างเดียว อันนี้เป็นฌาน ในเมื่อเป็นฌาน เวลาตาย ก็นึกถึงบุญอย่างเดียว ก็ไปสวรรค์บ้าง ไปพรหมบ้าง

    สวัสดี แล้วหลวงพ่อกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “แล้วชาตินี้พวกเราจะไปไหนกันละ….?”





    จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๒๒ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี

    ที่มา : บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน


    เรียบเรียงโดย

    จินต์จุฑา เจนสระคู : สำนักข่าวทีนิวส์



    ------------------------
    http://www.tnews.co.th/index.php/contents/327353
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. mrmos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +1,101
  3. Dhamma2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2017
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +121

แชร์หน้านี้