แม้แต่สัตว์เขายังไม่ลืมพระคุณเลย แล้วคนอย่างเราล่ะ

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย kengloveyou, 12 ตุลาคม 2014.

  1. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ขอเล่าเรื่องความดีของสัตว์สักหน่อยครับสั้นๆ

    วันนี้ตอนเช้าได้มีโอกาสไปตลาด เลยแวะไปซื้อปลาดุกที่เขาเตรียมฆ่าขายไป
    ปล่อยที่ท่าน้ำ 2 ตัวครับ ส่วนตัวผมว่าสัตว์นี่มันก็รับรู้ถึงจิตใจของคนเราได้เหมือน
    กันนะ คือตอนแรกที่แม่ค้าเอาปลาดุก2ตัวใส่ถุงหิ้วให้ ดูมันดิ้นมากๆ เหมือนกับมัน
    รู้ตัวว่าจะต้องตายยังไงยังงั้นเลย แต่เมื่อผมนำถุงปลาดุกมาใส่ตะกร้าหน้ารถมอ
    ไซด์แล้ว ผมก็ท่องคาถา เมตตัญจะ แบบย่อๆ แล้วผมก็เพ่งกระแสจิตไปยังปลา
    ดุก2ตัวนั้นว่า "เจ้าไม่ต้องกลัวนะเราไม่ได้เอาเจ้าไปฆ่า เราจะเอาเจ้าไปปล่อยให้
    เจ้าเป็นอิสระ(ประมาณนี้ครับ)" จากนั้นผมก็ท่องคาถา ไปเรื่อยๆ สักพักจาก
    ปลาดุกที่กำลังดิ้นขลุกขลักๆในถุงอยู่ก็ ค่อยสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ อันนี้เรื่องจริง
    เลย ผมก็คิดในใจว่าเอะไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละ เมตตาจิตมีจริงแฮะ

    จากนั้นพอถึงท่าน้ำผมก็เอาปลาทั้งสองตัวปล่อยลงน้ำโดยก่อนปล่อย ก็อธิษฐาน
    สักหน่อยเพื่อสร้างบารมีโดยขึ้นต้น ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วก็พูดออกมาเบาๆว่า ด้วย
    ความดีเมตตาบารมีที่ข้าพเจ้าปล่อยปลานี้ ขอให้ช่วยให้ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรมะ
    เพื่อพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ สาธุ แล้วผมก็ค่อยๆปล่อยปลาไป

    เรื่องอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ดูเหมือนว่ามีปลาตัวหนึ่งที่ไม่ค่อยจะยอมไปสักเท่าไร
    คือปรกติ สัญชาติญาณของสัตว์มักจะกลัวคนเป็นที่สุดใช่ไหมครับ แต่เจ้าปลา
    ตัวนี้กลับไม่ยอมกลัวเราแฮะ กลับว่ายวนไปเวียนมาตรงหน้าเรานั้นแหละ ผมก็
    ยังไม่ลุกไปไหน นั่งมองมันอยู่ตรงนั้นว่ามันจะไปเมื่อไร จากนั้นสักพักปลาตัวนั้น
    ก็ชูหัวชูปากขึ้นมาพ้นน้ำ แล้วก็อ้าปากค้างพงาบๆ ตอนแรกผมก็ตกใจว่าเอ๊ะ
    ปลาจะตายไหมเนี่ยะ ปลานั้นค้างอยู่นานสักแป๊บแล้วก็ว่ายวนไปเวียนมาอีกรอบ
    แล้วก็ชูหัวชูปากโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำแล้วทำพงาบๆใส่ผมอีกรอบเป็นครั้งที่สองแล้ว
    ตอนนี้ใจผมรู้สึกขึ้นมาเองได้เลยว่า โอ้หนอ ขนาดสัตว์แท้ๆเขายังมีความกตัญญู
    รู้คุณไม่ลืมพระคุณของเรา ที่เราได้ช่วยเหลือชีวิตเขาไว้ ไอ้ที่พงาบๆนั้นคงจะ
    เป็นการขอบคุณของสัตว์เขาละมั้ง พอจิตปิ๊งขึ้นมาอย่างนี้ปีติความดีใจก็ผุดขึ้น
    มา แล้วปลาตัวนั้นก็ว่ายจากไปตามทางของมัน

    ผมมานึกย้อนดูแล้วว่าแม้แต่สัตว์เขายังไม่ลืมพระคุณของผู้ที่ช่วยเหลือชีวิตเขา
    เลย แล้วเรานี่เป็นคนที่เกิดมาในพระพุทธศาสนาแท้ๆ พระพุทธเจ้ามีเมตตากับ
    เราจนหาประมาณค่ามิได้ ที่ท่านทรงสอนให้เรา หัดให้ทาน รักษาศีล เจริญ
    ภาวนา เพื่อความหมดทุกข์ เพื่อความพ้นทุกข์ ดังนั้นแล้วเราจะลืมพระคุณของ
    พระพุทธเจ้าโดยการไม่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของท่านที่เป็นไปเพื่อ
    การนำเราออกจากกิเลสความทุกข์ด้วยดีแล้ว ก็เห็นว่าชีวิตนี้จะมีค่าน้อยกว่าสัตว์
    ไปซะแล้ว ดังนั้นแล้วจงหมั่นทำความดีตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    เข้าไว้ เราจะได้ไม่ต้องอายสัตว์ที่เกิดมาแล้วเป็นผู้ไม่อกตัญญูรู้คุณของพระรัตนตรัย สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2014
  2. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    ในกรณีของสัตว์ผมว่ายังแปลกเท่ากรณีต้นไม้ เพราะสัตว์มีชีวิต มีความรู้สึกนึกคิด
    แต่ต้นไม้เป็นรูปไม่มีใจครอง แต่สามารถรับรู้ได้ถึงกระแสของความเมตตา



    พลังแห่งการแผ่เมตตา ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

    การทดสอบทางวิทยาศาสตร์เรื่อง "ความเมตตา"
    ผลทดสอบทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันคำสอนเรื่อง "ความเมตตา" ของพระพุทธเจ้า นิสิตจุฬา ฯ ทดลองแผ่เมตตาให้ต้นไม้ ใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการทดลองโดยการแยกแปลงดอกดาวกระจายออกเป็น 2 แปลง แปลงหนึ่งได้แผ่เมตตาอีกแปลงหนึ่งไม่แผ่เมตตา เปรียบเทียบกัน ทั้งนี้เราได้ให้ น้ำ ปุ๋ย อากาศ เท่ากัน (เงื่อนไขเหมือนกัน ต่างกันแค่ ความเมตตา)
    ปรากฏว่าต้นไม้ที่แผ่เมตตาให้นั้นเจริญเติบโตงอกงาม สวยงามอย่างรวดเร็วในขณะที่อีกแปลงหนึ่งที่ไม่ได้แผ่เมตตาก็เจริญตามปกติของมันแต่มีความแตกต่างในเรื่องดอกไม้ คือ แปลงที่แผ่เมตตาให้มีดอกสวยงามส่วนแปลงที่ไม่ได้แผ่เมตตาให้ปรากฏว่าไม่มีดอกไม้เลย และยังมีความสูงแตกต่างกัน 42.9 % ความงามก็ต่างกันแปลงที่แผ่เมตตาให้มีความเจริญงอกงามดีกว่าแปลงที่ไม่ได้แผ่เมตตาให้อย่างเห็นได้ชัด

    ในส่วนสิ่งตรงกันข้าม คือ ความเกลียดชัง ความโกรธแค้นพยาบาท การแช่ง มีนิสิตอีกคน คณะวิทยาศาสตร์ จุฬา ฯ เช่นกัน ใช้เวลาลงเรื่องดังกล่าว (ตรงข้ามกับความเมตตา) ที่ต้นไม้ 3 ชั่วโมง ปรากฏว่าต้นไม้มันก็เหี่ยวแห้งไป เมื่อเห็นแล้วก็อดสงสารต้นไม้ไม่ได้

    การแผ่เมตตา เป็นการปฏิบัติที่สำคัญมาก ถ้าเราแผ่เมตตาบ่อยๆจะช่วยให้จิตใจเราสงบลง ทำให้เราสบายใจและหายกังวลในเรื่องต่างๆ เราจะกลายเป็นคนที่มีอารมณ์ดี ไม่โกรธใครง่ายๆ เราจะมีความเมตตากรุณาต่อทุกส่งในโลกนี้ ทำให้เราอยากจะช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น และเราเองก็จะเป็นที่รักใคร่ของทุกคน
    ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการแผ่เมตตาที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่ได้กล่าวมา แล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นผลประโยชน์ที่จะได้กับตัวผู้แผ่เมตตาเอง แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือผลประโยชน์ที่ผู้อื่นจะได้รับจากการแผ่เมตตาของเรา นอกจากตัวเราเองจะมีความสงบสุขแล้ว จิตใจของผู้อื่นที่อยู่รอบๆตัวเรา หรือของผู้ที่เราเจาะจงแผ่เมตตาไปให้ก็จะสงบสุขตามไปด้วย เราอาจจะเคยสังเกตเห็นว่า พอเราเข้าไปอยู่ใกล้ๆ นักบุญหรือนักบวช จิตใจของเราก็จะสงบลงทันที ความคิดต่างๆที่ไม่ดีก็จะค่อยๆหายไป ทั้งนี้เพราะมีกระแสจิตพุ่งออกไปจากผู้แผ่เมตตา จริงๆแล้วไม่ว่าเราจะคิดอะไรก็ตามจะมีกระแสหรือพลังส่งออกมาจากตัวเรา ซึ่งผู้อื่นสามรถที่จะรับความคิดนั้นได้ ด้วยเหตุนี้บางคนที่มีสมาธิดีสามารถที่จะอ่านความคิดของผู้อื่นได้ หรือสามารถที่จะติดต่อกันได้โดยใช้กระแสจิต(โทรจิต) นักวิทยาศาสตร์หลายคน เช่น ศาสตราจารย์ฟูคะราย ในประเทศญี่ปุ่น และเดอลาวาร์ในประเทศอังกฤษ ได้ทดลองถ่ายรูปของความนึกคิดออกมาได้ แสดงให้เห็นว่าความคิดของเรามีคลื่นพุ่งออกไปจากตัวเราจริงๆ เพราะฉะนั้น เราจะต้องระมัดระวังมากในเรื่องของความคิดของเรา ถ้าเราคิดสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นประโยชน์ คนอื่นก็อาจจะได้รับความคิดดีๆ และได้ประโยชน์จากความคิดของเรา แต่ถ้าจิตใจของเราเต็มไปด้วยความคิดที่ไม่ดี หรือกิเลสต่างๆจะทำให้คนอื่นมีความคิดที่ไม่ดีตามไปด้วย ถ้ามีใครที่โกรธเรา อยากจะทะเลาะกับเรา หรืออยากจะทำร้ายเรา จงอย่าไปทะเลาะกับเขาหรือทำร้ายเขา แต่จงทำจิตใจของเราให้สงบ แผ่เมตตาให้เขา ถ้าเราเคยแผ่เมตตาอยู่เป็นประจำ คนที่โกรธก็จะได้รับกระแสความเมตตาจากเราไปบ้าง ทำให้จิตใจเขาสงบลง แล้วเขาก็จะหายโกรธเลิกทะเลาะกับเรา หรือเลิกคิดที่จะมาทำร้ายเราสัตว์ที่ดุร้าย เราก็ปฏิบัติได้เช่นเดียวกัน คืออย่าวิ่งหนีหรือแสดงตวามกลัว แต่ให้เราอยู่นิ่งๆแล้วแผ่เมตตาไปให้สัตวร้ายตัวนั้น สักครู่หนึ่งสัตว์ร้ายนั้นก็จะวิ่งหนีไป และไม่มาทำร้ายเรา นอกจากนี้การแผ่เมตตายังมีผลดีต่อพืชผักต้นไม้อีกด้วย ดังเช่นที่ได้ยกตัวอย่างการทดลองปลูกต้นดาวกระจายของนิสิจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปก่อนหน้านี้แล้วด้วยเหตุผลต่างๆดังกล่าว การแผ่เมตตาจึงสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้มาก และสามารถที่จะช่วยทำให้สงครามและความทุกข์ทรมานลดน้อยลงทำให้โลกของเรามีความสุขและสงบ

    .....................................................
     
  3. ข้าวราดแกง

    ข้าวราดแกง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2013
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +55
    สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...