แสงสีต่างๆ ขณะนั่งสมาธิ บ่งบอกอะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย odanhi, 7 กรกฎาคม 2012.

  1. ลูกบัวผัน

    ลูกบัวผัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +295
    (๑๙) วิมุตติมรรค:ทางแห่งความหลุดพ้น(ภาคปัญญา)(ที่มา)


    [๔๐] (วิปัสสนูปกิเลส)

    โอภาส (แสงสว่าง) ญาณ (ความรู้) ปีติ ปัสสัทธิ (ความสงบ) สุข อธิโมกข์ (ศรัทธา) ปัคคาหะ (ความเพียร การประคองจิต) อุปัฏฐานะ (สติ) อุเบกขา และนิกันติ (ความยินดี) เหล่านี้ เกิดขึ้นเมื่อใด ถ้าโยคีไม่ฉลาดจะทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน และเกิดมานะในสภาวะอันนี้

    [๔๑] (ถาม) จะละความฟุ้งซ่านได้อย่างไร?
    (ตอบ) โยคีนั้นจะต้องเร้าปีติในธรรม (รู้ว่านั่นเป็นวิปัสสนูปกิเลส ผู้ที่ปฏิบัติมาถูกทางของวิปัสสนาวิถีแล้ว จึงอาจเกิดอุปกิเลสเหล่านี้ได้ แต่อุปกิเลสเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในธรรม เธอก็ละความยินดีในอุปกิเลสนั้นเสีย แล้วเข้าสู่วิปัสสนาวิถีต่อไป) ปีติในธรรมนั้นจะช่วยให้จิตของเธอสงบ แล้วเธอก็ภาวนาต่อไป เธอสงบจิต และทำให้จิตคล้อยไปตามธรรมที่กำลังเจริญวิปัสสนานั้น เธอละความคิดว่าเที่ยง (มรรค ผล นิพพาน) (ความคิดว่า เที่ยงจะเกิดในวิปัสสนูปกิเลส) ได้ ด้วยวิธีกำหนดจิตให้เป็นสมาธิในภังคญาณ เมื่อพ้นจากนิจสัญญาได้แล้วก็เป็นอันว่าเธอชำนาญในวิธีแก้ความฟุ้งซ่าน
    *
    <!-- google_ad_section_end -->

    เครดิต คุณ anand สมาชิก
     
  2. odanhi

    odanhi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +398
    ไม่ว่าอย่างไรคะ ก็ขอบคุณคะที่หวังดี ดิฉันก็จะนำไปปรับปรุงแก้ไขที่ตัวเอง ถ้าดิฉันหลงทางอย่างหนักก็จะน้อมจิตรับและก็จะพยายามหันดูที่ตัวเอง ว่าตัวเองปฏิบัติไปแบบไหนก็คงต้องฝึกต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2012
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    จริงป่าว ชอบพระสายพระป่า
    งั้นก็ลองอ่าน คำแนะนำหลวงปู่พุธ ฐานิโย

    เอาไว้เป็นเครื่องสังเกตุดูครับ

    ตัวอย่างที่ 1



    เกร็ดธรรม


    หลวงปู่พุธ ฐานิโย


    วัดป่าสาละวัน
    อ.เมือง จ.นครราชสีมา



    เมื่อมีโอปะปาติกะ


    อาจารย์ที่สอนกรรมฐาน ที่ล่วงลับไปแล้ว มา เรียก
    โดยเห็นในสมาธิ
    ได้สัมผัสรับรู้ ได้กลิ่นหอม ตลอดเวลาที่ทำสมาธิ
    การที่จะติดต่อพูดคุยกับท่าน ควรปฏิบัติอย่างไร ??




    อันนี้ไม่มีทางที่จะควรปฏิบัติอย่างไร
    และก็ไม่ควรคิดที่จะไปพูดคุยกับท่าน


    เพราะสิ่งเหล่านี้


    จิตของท่านปรุงแต่งขึ้นมาเอง
    อย่าไปเข้าใจว่าสิ่งอื่นมาแสดงให้ปรากฎ


    ถ้าหากว่า ท่านภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ


    ท่านนึกอย่างเห็นพระพุทธเจ้า
    หรือจิตของท่านผูกพันอยู่ที่พระพุทธเจ้า


    จิตสงบสว่างลงไปแล้ว จะเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จ ดำเนินมา


    ถ้าหากท่านยึดอยู่ที่ครูบาอาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว


    พอจิตสงบลงเป็นสมาธิ ระหว่าง อุปจาระสมาธิ สว่างขึ้นมา
    กระแสจิตส่งออกไปข้างนอก
    จิต ยึดมั่นอยู่ในสิ่งใด
    สิ่งนั้นจะปรากฎเป็นตัวขึ้นมาให้ท่านเห็น
    จงทำความเข้าใจว่านิมิตทั้งหลายแหล่ ที่ปรากฎนั้น
    มันเป็นเพียงมโนภาพที่จิตของท่านสร้างขึ้นมาเอง


    อย่าไปเข้าใจว่าเป็นสิ่งอื่น


    หลวงพ่อนี่นั่งภาวนาจนมองเห็นกายของตัวเองนี่แหลกเป็นผงไปแล้ว
    ลืมตาขึ้นมา กายก็ยังอยู่
    ถ้ามันเป็นจริงแล้วก็
    ทำไม ถึงจะมานั่งเทศน์ ให้โยมฟังอยู่ได้


    อันนี้คือข้อเท็จจริง


    เราอย่าไปหลงว่าเป็นสิ่งอื่นมา


    ถ้าหากว่าเป็นสิ่งอื่น
    มาแสดงตัวให้ปรากฎกันจริงๆ นี่


    ไม่จำเป็นจะต้องนั่งอยู่ในสมาธิ
    บางครั้งนี่ อาตมานั่งอยู่เฉยๆ นี่
    ผีมันวิ่งผ่านไปอย่างงี้

    อันนี้มันถึงเป็นของจริง


    ในสมาธินี่มันเป็นของหลอก


    อ่า ในเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ แม้ว่าเวลาจะยืดยาวหน่อยก็
    ต้องขอ อภัยท่านผู้ฟัง


    จะนำตัวอย่างมาเล่าให้ฟัง
    ท่านอาจารย์ของอาตมานี่ ท่านหนึ่ง


    ชื่อ อาจารย์ ทอง อโศโก


    ถ้ายังมีชีวิตอยู่เวลานี้
    ก็อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน กับ
    ท่านหลวงพ่อเทสก์ ท่านอาจารย์เทสก์


    ท่านผู้นี้ ไปนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิเล็กๆ
    ในสำนักอาจารย์มั่น


    เวลาเข้าไปก็ปิดประตูลงกลอนอย่างดี
    พอภาวนาแล้วก็
    พอจิตสงบนิ่งสว่างลงไป
    แล้วก็มีผู้หญิงสาวๆคนหนึ่งมานั่งอยู่ข้างๆ
    แล้วก็มา พูด จา หลวงพี่มาทนทุกข์ทรมานทำไม
    สึกไปอยู่ด้วยกัน จะมีความสุข


    ในตอนนี้ ท่านมีสติอยู่
    ท่านก็กำหนดว่า รู้ จิต เฉยๆ อยู่
    เสียงนี่มันก็ดังออด ออดออด อยู่อย่างนั้นล่ะไม่หยุด
    ลองผลสุดท้าย อีนางผู้หญิงในนิมิตในฝันนั้นก็บอกว่า


    อืม มาพูดจาด้วยก็ไม่อยากพูด ไม่พูดก็อย่าพูด
    เสร็จแล้วมันก็ลุกปุ๊บปั่บไป
    ท่านอาจารย์ทอง ก็ มองเห็น ผู้หญิงคนนั้นเดินออกประตูไป
    เดินด่อม ด่อมด่อมๆ ออกประตูไปจนลับสายตา
    พอมันลับสายตาไปแล้ว


    สมาธิแตก อึ๊ม พูดกับเค้าซะก็ดีเน๊อะ (ฮาๆๆ)


    ทีนี้ ทั้งๆที่ อ่า เค้าเรียกว่า พูดกับเค้าซะก็ดี
    เลยลุกปุ๊ปปั๊บ ออกจากที่นั่งสมาธิ
    พอไปถึงประตูทั้งๆที่ตัวเองเนี๊ยะ


    เมื่อนั่งอยู่ในสมาธินี่
    เห็นผู้หญิงนี่เดินลอดประตูออกไป
    แต่เมื่อตัวไปถึงแล้วต้องถอดกลอนเปิดประตูออกเอง


    ยังไม่ได้ สติ
    อ่า ..วิ่งลงไปยืนๆวนรอบหาอยู่รอบๆกุฏิ
    ส่องมุมโน้นส่องมุมนี้


    ท่านอาจารย์มั่น ท่านอยู่กุฏิ ท่านตะโกนร้องมา


    ทองเอ้ย วัวหายเห็นแล้วหรือยัง (ฮาๆๆ) ได้สติคืนมา


    เนี๊ยะ ข้อเท็จจริง ที่นำมาเล่าให้ฟังเนี๊ยะ
    มันเป็นประสบประการณ์ของนักปฏิบัติจะต้องเจอกันทั้งนั้นแหล่ะ


    เพราะฉะนั้น ให้ระวังเอาไว้


    นิมิตในขั้นนี้ อย่าเพิ่งเข้าใจว่า มันเป็นของเป็นจริงเป็นจัง


    เนี๊ยะ เพราะไปหลงนิมิต ที่มโนภาพของตัวเอง
    จิตของตัวเองสร้างมโนภาพขึ้นมาเนี๊ยะ
    ไปถือว่าเป็นจริงเป็นจังแล้ว
    อย่างสมมุติว่า
    มองเห็น พระ ผู้วิเศษ หรือ อะไรก็ตามเดินเข้ามาหา
    นึกว่ามันเป็นจริง เลยน้อมจิตรับ พอน้อมจิตรับแล้ว
    ไอ้นั่น มันก็เข้ามากลายเป็น เป็นเรื่องทรงไป


    เนี๊ยะ มันเป็นทางที่เขวได้ง่ายที่สุด
    เพราะฉะนั้น
    ควรทำความเข้าใจว่า


    นิมิต หรือสิ่งที่รู้ทั้งหลายนี่


    เป็นจิตของเราปรุงแต่งขึ้นมาเองเท่านั้น


    ไม่ใช่สิ่งอื่นมาแสดงให้เห็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2012
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ตัวอย่างที่ 2



    เกร็ดธรรม
    หลวงปู่พุธ ฐานิโย
    วัดป่าสาละวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา


    จุดอันตราเนี๊ยะนะ ถ้าเห็น นิมิตรต่างๆแล้วนี่
    จุดอันตราย มันอันตรายอย่างไร

    ประเดี๋ยวก็ไปเห็นนิมิตร
    เห็นอาจารย์เสาร์ เห็นอาจารย์มั่น

    เห็นพระสาวก โมคคัลลา ฯ สารีบุตรฯ เห็นพระพุทธเจ้า
    เห็นพระอินทร์ พระพรหม เห็นพระอิศวร นารายณ์เป็นเจ้า

    พอเห็นแล้วก็ดี๊ อกดีใจ ไปเข้าใจว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะมาช่วยสมาธิ
    ช่วยญานของเราให้แก่กล้า แล้วก็อุส่าห์ น้อม น้อมเข้ามา น้อมเข้ามา
    น้อมเข้ามาในตัว

    พอภาพนิมิตรนั้นกลับอ่า เข้ามาถึงตัวปั๊ป
    สมาธิที่มี ปิติ มีความสุข ปลอดโปร่ง รู้ ตื่น เบิกบาน
    จะกลายเป็น สมาธิมืด นอกจากจะมืดแล้ว
    หัวใจเหมือนถูกบีบ จิตซึ่งเป็นอิสระ รู้ตื่นเบิกบานอยู่นั้น
    จะหมดสมรรถภาพในการในความเป็นตัวของตัว
    เพราะถูกอำนาจของสิ่งที่เราน้อมเข้ามานั้นมากดขี่ข่มเหงจิตของเรา
    ต่อไปก็ภูตผีปีศาจทั้งหลายเหล่านั้นแหล่ะ
    มันจะชักจูงจิตไปรู้โน้นเห็นนี่
    บางทีมันก็จะบอกว่า นี่ตั้งแต่ก่อนเจ้าเป็น เกิดอยู่ที่ตรงนู้น
    เป็นลูกผู้นั้นหลานผู้นี้ เป็นลูกศิษย์ผู้นั้น ลูกศิษย์ผู้นี้
    แล้วก็ไปหลงตายว่าตัวเองนี่ รู้จริงเห็นจริง แท้ที่จริง ผีมันหลอก
    อืม อันนี่แหล่ะ ระวังให้ดี จุดนี่แหล่ะท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
    ที่มันทำให้นักปฏิบัติเกิดทิฐิมานะ
    เกิดหลงตัวลืมตัว นอกจะยืน เกิดทิฐิมานะหลงตัวหลงลืมตัวแล้ว
    มันยังจะสำคัญผิด
    แล้วก็ไปเปลี่ยนพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ

    ถ้าวิญญาณมาทรงก็เป็นศาสนาวิญญาณ
    เอ้าถ้าใครเคยผ่านสิ่งเหล่านี้ไปเผลอและเป็นอย่างนี้มาแล้ว
    อ่า ตอนแรกสมาธิจิต สงบ สว่าง รู้ตื่น เบิกบาน มีความสุข
    พอสิ่งเหล่านั้น เข้ามาถึงตัวปั๊ป หนักตัว จิตมืด
    แล้วถ้ามีการแสดงอาการไป
    หัวใจตีบเหมือนถูกบีบ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเมื่อยแทบเป็นแทบตาย
    ถ้าฝันว่าไปดูนรก ดูสวรรค์
    พอกลับมาแล้วเมื่อย ต้องนอนพัก ที่เค้าเป็นๆหลงๆกันอยู่ทั้งหลายเหล่านั้น
    ถ้าอย่างนั้นเราจะเอาอย่างไร หึ เอาอย่างไร

    กำหนดจิตตัวเองอยู่ เมื่อเหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น
    กำหนดรู้จิต รู้อยู่ที่จิตเท่านั้น

    ถ้ามันจะหลงก็นึกว่า

    อืม มันเป็นอารมณ์ที่จิตของเราปรุงแต่งขึ้น
    มันเป็นแต่เพียงอารมณ์จิตเท่านั้นไม่ใช่ของจริงของจังอะไร
    สิ่งเหล่านั้น ถ้าเราไปยึดแล้วมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
    นอกจากจะทำให้เราหลงทาง

    ผู้ที่ภาวนาไม่หลงทาง รู้อะไร เห็นอะไร จิตของเค้าจะรู้อยู่ที่จิต
    สติจะรู้อยู่ที่จิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    ในเมื่อรู้เห็นอะไรขึ้นมาแล้ว ก็ สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น
    รู้แล้วก็ปล่อยวางไม่ไปยึดมั่นถือมั่น เอาไว้ให้สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน

    นี่แหล่ะคือภูมิจิตภูมิใจ ที่เราจะต้องทำความเข้าใจ

    ในเมื่อภาวนาเก่งแล้วเป็นแล้ว

    ๑. เราจะมีศรัทธาเชื่อมั่นใน คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างยิ่ง
    มี วิริยะ ความแกล้วกล้าอาจหาญคือความเพียร กล้าสละชีวิต
    เพื่อบูชาการปฏิบัติโดยไม่กลัวตาย
    มีสติ ความระลึกชอบ ระลึกในสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นคุณงามความดี

    มีสมาธิ จิตตั้งมั่น ต่อการบำเพ็ญความดีนั้นๆ
    มีปัญญารอบรู้อยู่ที่จิต

    มีสติเป็นอัตโนมัติ รู้เท่าทันเหตุการณ์ ซึ่งเกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายใน

    เวลากำหนดจิตสมาธิ สติจะอยู่ที่จิตรู้อยู่ที่จิต

    เวลาออกมาข้างนอก
    คือเลิกสมาธิแล้ว ยืน เดิน นั่ง นอน รับทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
    จิต จะมี สติสัมปชัญญะ รู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่ตลอดเวลา

    แล้วจะไม่ไปสนใจกับเรื่องของคนอื่น

    จะรู้อยู่ที่ตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมิใช่ว่าทอดอาลัยตายอยาก

    จิตมัน คล้ายๆกับว่า มันจะนึกรู้ว่า ใครควรสอนหรือไม่ควรสอน
    ใครควรเทศน์ให้ฟังหรือไม่ควรเทศน์ให้ฟัง
    คนที่เอาจริงแล้วเจอกัน มันใจมันดูดดื่มอยากจะเว้าอะไรให้ฟัง
    แต่ถ้าคนมันไม่เอาจริงและคนมันไม่เคารพเลื่อมใส
    ใจมันไม่อยากพูด มันขี้เกียจ

    เพราะฉนั้น เราทั้งหลายในฐานะที่เราเป็น สหธรรมมิกอยู่ร่วมกัน
    ก็ควรจะได้ ตั้งอก ตั้งใจ เอาใจใสซึ่งกันและกัน
    ทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ เคารพนับถือกันตามอันดับตามอายุพรรษา
    มีอะไรก็ช่วยเกื้อกูลอุดหนุดซึ่งกันและกันทั้งอามิสและธรรม

    มันจึงจะเป็น สหธรรมมิกที่ดีต่อกัน ถ้าเราทำอย่างนี้ไม่ได้แล้วก็
    มันก็ไม่มีอะไรหรอก นอกจากว่าเราจะเป็นเสี่ยวกันเท่านั้น หึ มันเป็นเสี่ยวกัน

    ถ้าเป็นเสี่ยวแล้วมันก็เที่ยว เที่ยวไปแล้วมันก็ออกนอกลู่นอกทาง
    เพราะขาดความเอาใจใส่ซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง
    หืม ลองเอาไปพิจารณาดูให้มันดีเด๊ะ

    ทีนี้ ถ้าผู้มีคุณธรรมที่เกิดขึ้นในจิตในใจนั้น
    ๑ มันมี หิริ ความละอายบาป มีโอตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาป
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ตัวอย่างที่ 3




    เกร็ดธรรม

    หลวงปู่พุธ ฐานิโย

    วัดป่าสาละวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา


    ข้อ ๔ คำว่าเทวบุตรมารเป็นอย่างไร ?

    มีบางท่านว่าเป็นเทวดาที่คอยแกล้งผู้ที่ทำความดีจริงหรือไม่ ?

    เอ่อใครจะว่ากันโดยบุคคลาธิฐานแล้วก็

    เทวบุตรมารก็หมายถึง เทวดาที่คอยมาหลอกหลอน
    เอาในปัจจุบันนี้แหล่ะ เทวบุตรมารเนี๊ยะมีเยอะ

    เช่น อย่างนักภาวนาไปแล้วพอจิตจะเข้าที่ รวมเป็นสมาธิที่ถูกต้องแล้ว

    ประเดี๋ยวก็มีพระบ้างล่ะ

    มีผู้ยิ่งใหญ่บ้างล่ะ

    มีเจ้านี่ เจ้าโน้นบ้างละ เป็น วิญญาณมาบอก

    การทำอย่างนั้น ไม่ถูกไม่ถูกไม่ถูก อย่าทำเลย อะไรทำนองเนี๊ยะ

    อันนี่แหล่ะคือเทวบุตรมาร


    ที่นี้ ถ้าจะว่า

    โดยกิเลส ที่มันมีอยู่ในตัวของเราเนี๊ยะ
    เช่นเราตั้งใจว่า จะทำสมาธิภาวนาในวันนี้แหล่ะ
    อ้าวพอทำไปทำไปพอจะได้สะบาย
    แล้วความคิดอันหนึ่งมันเกิดขึ้นมาว่า อึ้ย หยุดดีกว่า
    ไม่ต้องทำ อะไรทำนองนี่

    หมายถึงความคิดที่คอยกระตุ้นเตือน ให้เราหยุดพักการกระทำนั้น
    ในลักษณะ แห่งความขี้เกียจท้อแท้ เป็นเรื่องของเทวบุตรมาร
     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ตัวอย่างที่ 4

    เกร็ดธรรม หลวงปู่พุธ ฐานิโย
    (ถอดเทปโดย เพื่อน สมาชิก พลูโตจัง)

    ท่านชายสิทธิทัตถะ ที่เรายอมรับว่าท่านเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพราะท่านได้บรรลุคุณธรรม คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนั้นเอง

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี จึงเป็นคุณธรรมซึ่งเกิดขึ้นภายในจิตของผู้บำเพ็ญธรรม
    คือผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช่สิ่งที่มีตัวมีตนมาปรากฏ

    ดังนั้น ในขณะใดที่นักภาวนา หรือนักบำเพ็ญสมถกรรมฐาน...วิปัสสนากรรมฐาน ได้ตั้งใจแน่วแน่ต่อการปฏิบัติ

    ถ้าท่านตั้งความรู้สึกเบื้องต้นว่า...
    พระพุทธเจ้า..คือคุณธรรม พระธรรม..ก็คือคุณธรรม พระอริยสงฆ์..ก็คือคุณธรรม

    แล้วท่านก็บำเพ็ญปฏิบัติไป ตามวิถีทางแห่งการบำเพ็ญจิต เมื่อจิตท่านสงบลงไปแล้ว
    ท่านจะรู้..ท่านก็จะรู้สัมผัสถึงคุณธรรมของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น

    แต่ถ้าท่านตั้งปณิธานเอาไว้ว่า...เมื่อข้าพเจ้าบำเพ็ญแล้ว ขอให้พระพุทธเจ้าเสด็จมาหาข้าพเจ้า

    ให้ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้า เมื่อปฏิบัติจิตสงบสว่างลงไปแล้ว กระแสจิตส่งออกไปข้างนอก
    ท่านจะมองเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาหาท่าน เมื่อท่านเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาหาท่าน
    ความรู้สึกว่าพระพุทธเจ้ามีรูปร่างเป็นตัวเป็นตน เพราะอาศัยกิเลสเป็นตัวอุปทาน ยึดว่าพระพุทธเจ้าเป็นตัวเป็นตนนั้นเอง

    เมื่อพระพุทธเจ้าเข้ามาประทับในจิตใจของท่าน บางทีท่านจะพบกับพระพุทธเจ้าปลอม คือปลอมกายเป็นพระพุทธเจ้า
    เข้ามาทรงภายในจิต แล้วก็จะแสดงอาการไปต่างๆ นานา ซึ่งสุดแท้แต่วิถีจิตของท่านจะปรุงไปตามอำนาจแห่งโมหะ
    คือความหลง เพราะท่านหลงว่าพระพุทธเจ้ามีตัวมีตน จิตของท่านเป็นผู้หลง

    ในเมื่อจิตของท่านหลง จิตของท่านก็ต้องสร้างพระพุทธเจ้าเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ทั้ง 2 อย่างนี้อะไรผิด อะไรถูก
    การนึกสร้างพระพุทธเจ้าเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเป็นสิ่งที่ผิด ผิดแล้วเคลื่อนคลาดจากพุทธพจน์อย่างให้อภัยไม่ได้
    เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติทั้งหลายพึงสังวรณ์ระวังเกี่ยวกับเรื่องนิมิตต่างๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กรกฎาคม 2012
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ตัวอย่างที่ 5

    เกล็ดธรรม...หลวงปู่พุธ ฐานิโย





    การภาวนาเห็นภาพนิมิตต่างๆ นี่ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เพียงพอ หรือรู้ไม่ทัน..อันตราย

    เมื่อเราไปเข้าใจผิด ว่านิมิตนั้นๆ..ภาพนั้นๆ เป็นภาพท่านผู้วิเศษ หรือเป็นผู้วิเศษทั้งหลาย เสด็จมาจะมาช่วยสมาธิ ช่วยญานของเรา..ช่วยฌานของเรา ให้ดีวิเศษยิ่งขึ้น

    แล้ว เราเผลอไปน้อมเอาสิ่งเหล่านั้น เข้ามาในจิตในใจของเรา ถ้าหากสิ่งเหล่านั้นเข้ามาแล้ว เราจะกลายเป็นคนทรง ถ้าใครเคยเป็น เคยปฏิบัติอย่างนั้น ลองสังเกตุดูทีซิว่า ขณะจิตสงบลงไปสว่างมีปีติ มีความสุข และมีความสงบ แต่ยังบริกรรมภาวนา กายยังปรากฏอยู่ แสงสว่างยังทอดออกไปข้างนอก มองเห็นภาพนิมิตต่างๆ เพียงแต่เห็น รู้สึกกายเบา..จิตเบา กายสงบ..จิตสงบ

    นอก จากนั้น ยังมีปีติ มีความสุข จิตปลอดโปร่งเบิกบานอย่างเต็มที่

    จริงมั๊ย..สังเกตุดูให้ดี…

    จิตสงบนิ่ง สว่าง มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง สบายมั้ย..กายเบา จิตเบา กายสงบ..จิตสงบ รู้ ตื่น เบิกบาน ปลอดโปร่งดี หายใจก็คล่อง บางทีรู้สึกว่าไม่หายใจแต่อยู่ได้ ใจไม่ขาด

    แต่ เมื่อมีภาพนิมิตขึ้นมาในอันดับต่อไปนั้น ถ้าจิตกำหนดรู้ภาพนิมิตอยู่เฉยๆ
    ปลอด โปร่ง สบายมั๊ย...ยังปลอดโปร่ง สบาย จิตรู้ตื่น เบิกบาน สบายมาก

    เอ้า..ถ้าเผลอ ไปนึกว่า..ภาพนิมิตนั้นจะเป็นรูปพระ พุทธเจ้าก็ตาม พระสาวกก็ตาม ใครก็ตาม ตอนที่เรารู้ ดู เห็นอยู่เฉยๆ เขายังไม่ก้าวเข้ามาเหยียบในหัวใจเรา พอเรารู้สึกเบา สบาย ปรอดโปร่ง เบิกบาน มีปีติ มีความสุข

    ถ้าเรานึกว่า อ้อ..ผู้วิเศษจะมาช่วยจิต ช่วยใจของเรา ให้ได้สมาธิ ให้ได้ฌาน..ให้ได้ญานอันวิเศษ..ให้ได้ความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ จะมานำเราไปสู่พระนิพพานได้ง่ายๆ

    พอ เราน้อมเอาสิ่งเหล่านั้นเข้ามา ภาพนิมิตที่มองเห็นอยู่ต่อหน้า จะเคลื่อนย้ายดำเนินเข้ามา ..เข้ามาประชิดตัวเรา ทำให้เรารู้สึกชาตามตัว พอหายชานิดหน่อย ก็รู้สึกว่า จิตของเราเปลี่ยนสภาพไปทันที

    รู้ ตื่น เบิกบาน ปลอดโปร่งของในตน หายไปหมด มีแต่ความอึดอัด ความแน่น ในจิตในใจ ความหนักหน่วงในร่างกายเข้ามาแทนที่

    ต่อนั้น เราไม่เป็นตัวของตัวแล้ว จิตไม่ได้เป็นไปตามอำนาจของตัวเอง แต่มีอำนาจของสิ่งหนึ่งเข้ามาแทรกสิง คอยบีบบังคับ ให้เป็นไป ..เป็นไปด้วยความแสนยากลำบาก ..เป็นไปด้วยความหนักหน่วงเหน็ดเหนื่อยอย่างเต็มที่ ความรู้สึกในกายในใจ หัวใจเหมือนกับถูกบีบ ร่างกายหนักหน่วงเปรียบเหมือนมีสิ่งมาทับให้หนัก ที่เป็นเช่นนั้น..ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า มีสิ่งมาประทับทรงที่กายที่ใจของเรา จึงทำให้เราหมดสมรรถภาพที่จะเป็นตัวของตัวเอง...

    ถ้าสิ่งนั้น เป็นรูปภาพเทวดา เข้ามาสิงสู่ในตัวของเรา เราก็ไปรับเอาศาสนาเทพเจ้าเข้ามาแล้ว
    ถ้านิมิตที่มองเห็นเราสำคัญว่าเป็นพระพรหม เมื่อพระพรหมเข้ามาอยู่ในตัวเรา ก็กลายเป็นศาสนาพระพรหม
    ถ้าหากเป็นภูติผีปีศาจ หรือผู้ยิ่งใหญ่พญามารทั้งหลาย เช่นอย่าง มารมารังควาญพระพุทธเจ้าเมื่อพระองค์จะตรัสรู้ ถ้าเรารับเอาสิ่งนั้นเข้ามา เราก็เอาศาสนามารมาไว้ที่หัวใจของเรา

    นี่ตรงนี้ ..ตรงเรื่องนิมิตๆ นี่ ระวังๆ ให้ดี ถ้าเราเข้าใจผิดในนิมิตต่างๆ ที่เรามองเห็นนั้น แล้วไปยึดเอานิมิตเป็นสาระสำคัญ เราจะกลายเป็นผู้เปลี่ยนศาสนาพุทธ ให้ เป็นศานาอื่นทันที นี่คืออันตรายของนักปฏิบัติที่เราควรระมัดระวังอย่างยิ่ง >>

    ถอดเทปโดย เพื่อนสมาชิก พลูโตจัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กรกฎาคม 2012
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ตัวอย่างที่ 6





    เกร็ดธรรม


    หลวงปู่ พุธ ฐานิโย


    วัดป่าสาละวัน
    อ.เมือง จ.นครราชสีมา



    ในการศึกษาและการเรียนรู้พระพุทธศาสนาเนี๊ยะ
    เราจะต้องพยายามศึกษาเรียนรู้กันโดยเหตุผล
    สิ่งที่แทรกแทรงเข้ามาในวิธีการปฏิบัติพระศาสนาเนี๊ยะ
    มันมีมากมายเหลือเกิน


    ดังนั้น
    นอกจากที่เราจะมาฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนาแล้ว
    เราก็ควรจะได้ศึกษา
    ควรจะได้เรียนรู้คัมภีร์ศาสนาในทางปริยัติธรรมด้วย


    คนในสมัยปัจจุบันนี้เปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาอื่น
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักภาวนาทั้งหลายนั่นแหล่ะ


    นักภาวนาเปลี่ยนศานาพุทธให้เป็นศาสนาอื่นได้อย่างไร
    อันนี้ก็เคยพูดบ่อยๆ
    ดูเหมือนวันเริ่มเปิดนั้นก็เคยพูดมาแล้ว
    แต่จะขอย้ำอีกทีหนึ่งเพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง
    นักภาวนาเมื่อทำจิตให้สงบสว่างลงเป็นอุปจาระสมาธิแล้ว
    ย่อมเกิดมีนิมิตภาพต่างๆปรากฎขึ้นมา


    ถ้าช่วงใดจิตส่งกระแสออกไปข้างนอก
    ในเมื่อจิตของเราไปมองเห็นภาพนิมิตนั้น
    ถ้าเราไปสำคัญว่าเป็นผู้วิเศษที่จะมา
    ช่วยญาณ
    ช่วยสมาธิ
    ช่วยปัญญาของเราให้ปราญเปรื่อง
    เราน้อมจิต เอา ภาพนิมิตนั้น เข้ามาในตน
    จะกลายเป็นการทรง วิญญาณ


    ทีนี้ถ้าหากว่า
    เป็นเทวดาเข้ามาทรงก็กลายเป็นศาสนาเทวดา
    พระเจ้าเข้ามาทรงก็กลายเป็นศาสนาพระเจ้า
    พระอินทร์มาทรงก็กลายเป็นศาสนาพระอินทร์
    พระอิศวร นารายณ์มาเข้าทรงก็เป็นศาสนาพระอิศวรนารายณ์


    ทีนี้เมื่อปรากฎการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นมา
    ทางป้องกันสำหรับผู้ภาวนานั้นควรจะทำอย่างไร


    ควรจะทำจิตทำใจของเราเองว่า
    เราได้ปฏิณญาณตนถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็น สรณะ ที่พึ่ง
    ที่ระลึกแล้ว
    และ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นั้น
    เป็นคุณธรรม เป็นสิ่งที่ไม่มีตัว มีตน
    แต่ภาพนิมิตที่เรามองเห็นจะเป็น พระพุทธเจ้า เป็น พระสงฆ์
    อันนั้นเป็นแต่เพียงมโนภาพ ไม่ใช่ของจริง
    แต่ของจริงที่แน่ๆ ก็คือ
    พระพุทธเจ้า พระธรรม อันเป็นคุณธรรมที่มีอยู่ในจิตของเราในขณะนี้


    จิตของเรา รู้ ตื่น เบิกบาน มีความรู้สึก สำนึก ผิด ชอบ ชั่ว ดี
    ในจิต ของเรามีคุณธรรมที่ทำคนให้เป็นพระพุทธเจ้าสมบูรณ์แล้ว
    สิ่งอื่น จะเข้ามาแทรกแทรงไม่ได้


    แล้วก็กำหนดจิต มีสติ สัมปชัญญะ ดูภาพนิมิตนั้นเฉยอยู่
    ขอได้โปรดอย่าได้น้อมเอาเข้ามาในตัวเองเป็นอันขาด


    เมื่อเรามี สติ สัมปชัญญะ กำหนดหมายรู้อยู่
    นึกว่าเป็นแต่เพียงมโนภาพ เป็นแต่เพียงอารมณ์จิต
    เป็นแต่เพียงเป็นที่ระลึกของจิต เป็นที่ตั้งของสติ
    เมื่อเราเพ่งมองดูอยู่ สมาธิของเรามีพลังแก่กล้าขึ้น
    สามารถที่จะทำลายร่างภาพนิมิต ที่เรามองเห็นนั้น
    กลายเป็น โครงกระดูกเนื้อหนัง ผุพังไปหมด


    แล้วในที่สุดโครงกระดูก
    ก็จะทรุดฮวบลงแล้วแหลก ละเอียด สลายตัวไปไม่มีอะไรเหลือ
    ในจิตของเราก็จะยังเหลือแต่ สภาวะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    อันเป็นคุณธรรมที่ทำคนให้เป็นพระพุทธเจ้าปรากฎขึ้นแล้ว


    จิตของเราจะเป็นอัตตาทีปะ มีตนเป็นเกราะ


    อัตตะสรณา มีตนเป็นที่ระลึก


    อัตตาหิอัตโนนาโถ มีตนเป็นที่พึ่งของตน



    สิ่งที่เรามองเห็นนั้น ก็จะหายสาปสูนย์ไป
    ไม่สามารถที่จะเข้ามาแทรกสิงภายในจิตของเราได้


    นี่คือวิธีการปฏิบัติ เพื่อป้องกันสิ่งเหล่านั้น ไม่ให้แทรกแทรงเข้ามา


    ยกตัวอย่างมีบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเค้าริเป็นคนทรง วิญญาณ
    ในเมื่อเค้าทำการทรงวิญญาณ จนชำนิชำนาญแล้ว เค้าเกิดเบื่อ
    เค้าไม่อยากจะเล่นทรงวิญญาณ ภายหลัง เค้าก็มาพยายามแก้จิตของเค้าเอง
    โดยเมื่อเค้าทำวิธีการทรงวิญญาณแล้ว ก่อนที่วิญญาณจะเข้ามาประทับทรง
    จิตก็สงบลงเป็น สมาธิ มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง
    เช่นเดียวกันกับที่เราภาวนาโดยทั่วๆไป


    เพราะเค้าประกอบพิธีกรรมการทรงวิญญาณ เมื่อจิตเค้าเป็นเช่นนั้น
    ภาพนิมิตของวิญญาณก็มาปรากฎ
    พอภาพนิมิตวิญญาณมาปรากฎ เค้าก็น้อมจิตเอาภาพนิมิตนั้นเข้าไปในตัว
    แล้วก็เป็นการประทับทรง
    เบื่องต้น จิตของเค้ามี ปีติ มีความสุข
    มีความสบายเบา กายก็เบา กายก็เบา กายก็สงบ จิตก็สงบ
    เมื่อวิญญาณเข้ามาประทับทรงแล้ว
    ความเบากาย เบาจิต เปลี่ยนเป็นความหนักกายหนักจิต
    กายเปรียบเหมือนถูกบีบ
    จิตก็เปรียบเหมือนถูกบีบ
    เพราะมีอำนาจอื่นเข้ามาบีบ มาควบคุม
    หลังจากนั้นเค้าก็ไม่เป็นตัวของตัว
    ตกอยู่ในอำนาจของวิญญาณที่เข้ามาประทับทรง


    หลังจากนั้นจะทำอะไรแสดงกิริยาอาการคำพูดอะไรออกมา
    เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของวิญญาณไปหมด
    ทีนี้ในเมื่อเค้ามาเห็นว่า
    การทรงวิญญาณไม่ทำให้เค้าเป็นที่สบายไม่ให้มีความสุข
    มีแต่ความอึดอัด รำคาญ


    ภายหลังเค้าก็ตั้งใจว่า ต่อไปนี้จะไม่ทรงวิญญาณ
    แล้วเค้าก็มาภาวนาตามแบบฉบับ ในวิธีทรงวิญญาณที่เค้าเรียนมา
    พอทำจิตให้สงบลงไป มีสมาธิลงไป
    มีปีติ มีความสุข มีความสว่าง
    ภาพวิญญาณ ก็ปรากฎขึ้นมา
    วิญญาณที่เคยเข้ามาประทับทรงนั้นเอง
    ในตอนนี้จิตของเค้าก็นึกต่อต้าน


    วันนี้ไม่ให้วิญญาณเข้ามาทรงแน่
    เพราะในจิตของเรามี แต่
    พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ประทับอยู่แล้ว
    จิตของเรา รู้ ตื่น เบิกบาน ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ
    เสร็จแล้ว เค้าก็กำหนดจิตเพ่งดู ภาพ วิญญาณที่มองเห็นอยู่นั้น
    เจ้าวิญญาณนี้ ก็เดินถอยหน้าถอยหลัง
    จะเข้ามาบ้างไม่เข้ามาบ้าง
    ในที่สุดร่างของวิญญาณ
    เนื้อหนังถูกพลังจิตของเค้าทำลายไปหมด
    ยังเหลือแต่โครงกระดูก


    ในที่สุดโครงกระดูกก็ถูกพลังจิตของเค้าทำลายให้แหลกละเอียดไป
    จนไม่มีอะไรเหลือ


    หลังจากนั้น ภาพนิมิตที่เป็นการทรงวิญญาณ
    ไม่เคยมาปรากฎกับเค้าอีก เค้าภาวนาทีไร
    จิตสงบลง แล้ว ก็มี ปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง
    ถูกต้องตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสอน


    อันนี้เป็นประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิภาวนา
    ทั้งในส่วนที่ตัวเองเคยประสบมาและได้ข้อมูลจากผู้ภาวนาทั้งหลาย​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กรกฎาคม 2012
  9. odanhi

    odanhi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +398
    อนุโมทนาสาธุคะ นอกจากจะอ่านแล้วยังคงต้องปฏิบัติด้วย ^-^ ดิฉันจะน้อมนำคำสอนสั่งและคำชี้แนะคะ
     
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ส่วนตัวผมแล้ว ผมเชื่อว่า แสงสีทอง จะเป็นบารมีจากครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้า ที่เกี่ยวข้องกับเรา

    สำหรับสีอื่นๆ เดี๋ยวจะมีผู้มาตอบให้ :)
     
  11. tanathummakit

    tanathummakit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +66
    ขออนุโมทนาบุญ กับผู้ปฎิบัติธรรมทุกๆท่านครับ
    ผมจะขอเล่าเรื่องเรื่องต่อไปนี้ให้นักปฎิบัติธรรมที่พึ่งปฎิบัติ ได้มีกำลังใจในการจะยึดมั่นกับกรรมฐาณแต่เพียงเป็นประการสำคัญ หากคำกล่าวใดที่ทำให้ผู้ปฎิบัติธรรมที่ชำนิชำนาญไม่ถูกใจ ผมขอกราบขออภัยไว้ในโอกาสนี้ด้วยนะครับ

    ผมมีความมุ่งมั่นในการทำกรรมฐาณ ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการสวดมนต์ นั่งสมาธิ รักษาศีล 5 อยู่เป็นนิจ ถึงแม้ว่าผมจะประกอบธุรกิจประเภทผับ บาร์แต่ผมก็ไม่เคยแม้แต่จะดื่มของมึมเมาพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ถึงบางครั้งจะถูกบังคับจากลูกค้า ผมก็จะปฎิเสิธการดื่มมาตลอด ซึ่งถ้าผมเลือกได้ผมจะไม่เลือกประกอบอาชีพนี้ แต่ผมไม่สามารถเลือกหนทางชีวิตได้ ทุนรอนทั้งหมดที่มีก็ลงทุนกับร้านไปทั้งหมด การจะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นก็ดูจะเป็นเรื่องยุ่งยากและต้องใช้เวลาเตรียมและวางแผนกันหลายปีต่อจากนี้ ในเรื่องชีวิตก็มีความไม่พอดีหลายเรื่อง ความไม่สมหวัง ความไม่สำเร็จในชีวิตดั่งควรจะเป็น ทุกวันต้องพบเจอประสพกับปัญหา เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ตลอดเวลาต้องเจอกับคนที่หวังเอารัดเอาเปรียบ หรือต้องการผลประโยชน์แต่เพียงอย่างเดียว หรืออื่นๆอีกมากมายที่เซซัดเข้ามา แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หรือถ้อถอยแม้แต่น้อย ถือเสียว่ามีกรรมต้องชดใช้ผมมองกรรมเป็นเรื่องธรรมดาในความรู้สึกไปเสีย ผมยังยึดมั่นในพระรัตนตรัยอันเป็นที่พึ่งสูงสุดของผมอยู่เสมอ ไม่ว่าผมจะต้องเจอกับอะไรในวันข้างหน้า แม้แต่ความตายจะมารออยู่เบื้องหน้า ที่พึ่งสูงสุดของผมก็ยังเป็นพระรัตนตรัยไม่เสื่อมคลาย เฉกเช่นเดียวกับการปฎิบัติธรรมของผม ใครต่อใครก็ว่าผมทำสวนกับอาชีพของผมซึ่งมันเป็นไปได้ยาก ใครจะว่าผมอย่างไรก็ไม่มีใครเปลี่ยนความรู้สึกผมได้ และถึงแม้ว่ามันจะยากเย็นหรือสวนทางแค่ไหน ผมก็มองแค่ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ผมยังตระเวณล่าบุญไปทุกทีเท่าที่ปัจจัยผมจะหามาได้ มากบ้าง น้อยบาง ยังรักษาศีล ปฎิบัติกรรมฐาณ สวดมนต์ภาวนา ถึงจะต้องสวมชุดขาวเกือบทุกวัน แล้วนั่งทำงานอยู่ในร้าน ผมก็ต้องทำใครจะมองยังไงก็ช่าง ห้องพระของผมอยู่ข้างบนตึกนี้ อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนและถึงผมจะเป็นคนเดียวที่สวดมนต์ เจริญกรรมฐาณ ในที่ๆผู้คนต่างออกมาหาความสำราญด้วยการดื่มกิน หาความสนุกสนานจากเสียงเพลงอันครึมโครม ดังไปทั่ว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจังทั้งสิ้น นั่งสมาธิเสร็จก็จะแผ่เฆตตาด้วย บทเฆตตาใหญ่ให้กับผู้คนข้างล่าง ให้สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ จนพนักงานที่ร้านฝันเห็นเจ้าที่เจ้าทางมาบอกให้ผมมาอุทิศบุญให้ตัวเองบ้าง ทำแบบนี้มันเหนื่อย ซึ่งผมก็รับฟัง แต่ผมก็พูดลอยๆว่าเหนื่อยก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงก็ทำทุกวันอยู่แล้ว บุญมันต่อยอดขึ้นไปทุกวันยังไงก็มีเหลือเฝือเผื่อให้ทุกสรรพสิ่งอย่างไม่มีวันหมดบุญ ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องของการปฎิบัติธรรม นั่งสมาธิของผมผมขอบอกเลยว่าผมไม่ได้อะไร ทั้งสีต่างๆ หลุมดำ หรือนิมิตต่างๆ แม้กระทั่งปิติ ขนลุกขนพอง หรืออะไรทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้ผมก็ได้ประสพการณ์มาเหมือนกับทุกท่านทั้งหลาย แต่ผมก็มองและปลงทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ เวลานี้ผมนั่งสมาธิจิตสงบมันเหมือนกับเวลาฟ้าย่ำรุ่งเช้าเท่านั้น สงบ ปลอดโปร่ง มีสติอยู่กับการเดินจิตอยู่ภายใน เสียงครึมโครมภายนอกไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกรำคราญ เหมือนในห้องกระจกกันเสียงอย่างดี เขียนมายืดยาวคนอ่านคงจะเบื่อแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็อยากให้นักปฎิบัติธรรมทั้งหลายที่พึ่งเริ่มปฎิบัติ อย่าย่อถ้อต่อชะตาชีวิต หรือยอมแพ้ต่อความไม่ก้าวหน้าในการนั่งสมาธิ ทำต่อไปเถอะครับ อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการสะสมบุญ หลับตาใจสงบแม้ 1นาทีพลังบุญนี้ก็แผ่รัศมีไปทั้งสามโลกแล้วครับ อย่างผมบอกกับพระพุทธองค์ไว้ว่าจะขอจบนิพานในชาติปัจจุบัน อยากบวชพระเผ่ยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ แต่หากไม่ได้บวชก็ขอเป็นฆารวาสที่จะทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปจวบจน 5000ปี สิ่งที่พระพุทธองค์ตอบกลับมา เป็นความสว่างเหนือความสว่างทั้งปวงห่อหุ้มกายของผมไว้ในสมาธิเท่านั้น ความสว่างนั้นไม่เหมือนแดดที่ร้อนแผดเผากาย ถึงจะสว่างแต่ก็ไม่จ้าจนแสบตา และสว่างอยู่แบบนั้นจนถอยออกจากสมาธิ แสงสว่างนั้นเหมือนเรากินอาหารที่ไม่มีรสชาด แต่ก็ปลอดโปร่งดี เมื่อจับความรู้สึกได้อย่างที่บอกแล้วก็ปลงทันที ถอยออกจากสมาธิแล้วก็ลงไปทำงานตามปกติโดยไม่เอาความรู้สึกนั้้นกับมายึดมาติดอีกเลย แต่ผมรูู้ว่าพระพุทธองค์ท่านหมายถึงอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อยู่กับโลก แต่ไม่ยึดติดในโลก
    กายและขันธ์ 5 ทำงานตามปกติทางโลก
    จิตทำงานอยู่กับธรรมะ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  13. แสงเทียนทอง

    แสงเทียนทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +126
    ไม่เคยเห็น...แสงสี
    ไม่เคยเห็น...สีแสง
    ไม่สนใจ...แสงสีและสีแสงเลย
     
  14. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    กะทู้นี้ น่าสนใจ คะ ให้ความรู้ หลากหลาย สไตล์เลย
    ขอบคุณคะ
     
  15. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    แสงสว่างสีนวลๆๆ ที่ดูแล้วสบายตา ปรากฏอย่ในข้อแรก เปนแสงนิมิตร ที่ดีสุด ในทุกๆสีที่กล่าวมา เปนแสงที่ส่องสว่างถึงปัญญาโดยตรง เปนประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติมากๆ แต่คงต้อง
    ปฏิบัติให้ถึงนั่นแหละ จึงจะมีโอกาสได้เหน ตอนนี้ก้คงให้เหนสีอื่นๆไปพลางๆก่อนก้แระกัน
     
  16. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    สีแสดงถึงความขุ่มมัวของจิต(ไม่ได้อ่านไหนมาหรอก ปัจจัตตัง ครับ ถ้าเป็นคนช่างสังเกตุ)
    ยังไม่เริ่มทำสมาธิ ปนกันมั่ว คือมันมืด นั่งไปๆจะสว่างขึ้น น้ำตาล แดง ส้ม เหลือง ทอง ขาว ตามระดับสมาธิ(สีพื้นหลังนะครับ) ส่วนสีที่เข้ามาปนลดลงเหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2012
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ที่พูดถูกครับ..นั่นคือสีที่เกี่ยวข้องกับกิริยาในขณะที่ทำสมาธิ..แต่สีที่ได้กล่าวก่อน
    หน้านั่นคือ..ผลจากการทำสมาธิและอุทิศส่วนกุศลเป็นประจำในระดับหนึ่งลักษณะ
    เป็นวงกลมเล็กบ้างใหญ่บ้าง..


    เป็นดวงจิตของภพภูมิที่ผู้ปฏิบัติ.มาในระดับหนึ่งจะ
    ต้องเห็นได้ทุกคน..ซึ่งตำแหน่งที่ปรากฏจะสามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นใครแวะมานอกจากการเห็นในสมาธิและตาเปล่าครับ.
    .ต้องแยกประเด็นจุดนี้ให้ดีๆนะคับ..เดี๋ยวจะลงประเด็นกัน.
     
  18. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    ช่วยลงรายละเอียดให้หน่อยได้ไหมครับ ปกติผมไม่รู้ในส่วนนี้เลยไม่สงสัย เวลามีอะไรแปลกผมนึกว่าเป็นอาการสมาธิครับ เมื่อคืนเห็นยวงขาวออกเงิน โผล่มาแล้วสลาย หลายจุดครับ เป็นตอนทรงฌาณ หลังจากออกฌาน๔แบบกายหายเติมตัวครั้งแรกครับ ขอบคุณครับ

    ไม่ใช่ดวงกลมนะครับเป็นริ้วๆเหมือนออร่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2012
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    มาด้านซ้ายหรือขวาครับ..ถ้ามาด้านขวาแล้วสว่างๆได้และถ้าลองเอาจิตไปเพ่ง
    แล้วสามารถขยับได้.ไหลไปได้ตามบริเวณใบหน้าด้านขวา.เป็นปัญญาทางโลกที่เรามี...ที่แสดงออกในแบบนามธรรม
    .ในอนาคตมีโอกาสเจออีกแต่จะสว่างมากกว่าเดิม.
    จุดนี้หลายคนติดเป็นสิบปีก็มีเพราะนึกว่าเป็นอะไรที่พิเศษ.
    ถ้าในนองเดียวกัน..ถ้าอยู่ด้านซ้ายนิ่งๆเอาจิตไปเพ่งก็ไม่ขยับเป็นอาจารย์ทาง
    ภพภูมิที่จะมาคอยช่วยส่งเสริมการปฏิบัติครับ..​


    แต่ถ้ารูปร่างคล้ายๆหนอนจะสี
    อะไรก็ตามไม่ต้องสนใจเป็นนิมิตรที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือส่งผลอะไรส่วน
    มากจะมากจากทางด้านขวาแล้วก็สลายไปเอง..ยกเว้นกรณีที่เกิดขึ้นตรงกลาง
    หน้าผากเราแล้วพุ่งออกไปข้างหน้าไม่เป็นไรครับ.
    ส่วนนิมิตรที่แสดงให้เห็นผลการปฎิบัติ ลักษณะการปรากฏจะเป็นแบบ..โผ่ลแว๊ปให้เห็น คม.เด่น.ชัด เร็วและหายแว๊ป ไม่มีการค่อยๆสลายๆ.หรือแตกตัวครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2012
  20. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    คือดวงกสิณ(เก่า)จะอยู่กลาง และไอ้ขอบม่านออร่า มันโผล่มาปะปาย รอบๆดวงกสิณ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...