โค้งมฤตยู

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 7 กันยายน 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    [​IMG]

    คอลัมน์ ขนหัวลุก

    ใบหนาด



    "นายบอย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นวิญญาณมาส่งถึงบ้าน

    คนส่วนมากเชื่อว่า เมื่อใครต้องเสียชีวิตไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม วิญญาณที่ออกจากร่างจะรู้ทันทีว่าตนเองตายไปแล้ว ไม่ว่าอาลัยอาวรณ์เพียงใดก็ตามวิญญาณนั้นก็จะล่องลอยไปสู่ปรโลก หรือไม่ก็วนเวียนอยู่ที่แดนตายของตนต่อไป

    ความเชื่อดังกล่าวมีสาเหตุมาจาก "ผู้ที่ตายแล้วฟื้น" ซึ่งมักจะเล่าประสบการณ์ตรงกันทั้งสิ้น

    เช่น เมื่อสติดับวูบก็มองเห็นร่างตัวเองนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล หรือไม่ก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณลอยขึ้นสูง มองเห็นร่างอาบเลือดของตัวเอง อยู่ในซากรถบ้าง กระเด็นออกมาฟุบอยู่ข้างถนนบ้าง ...แต่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว วิญญาณนั้นก็จะถูกพลังลึกลับดึงดูดกลับเข้าสู่ร่างตามเดิม จึงเรียกว่าตายแล้วฟื้น

    คนที่ไม่เชื่อเรื่องทำนองนี้ก็มักจะแย้งว่า อาการที่ว่าควรจะเรียกว่า "สลบ" มากกว่า "ตาย" เพราะถ้าตายแล้วคงจะไม่มีโอกาสได้กลับมาเล่าเรื่องราวแปลกประหลาดเหล่านี้ให้ใครๆ ฟังอย่างแน่นอน!

    หลายๆ คนยังมีความเชื่อตามแบบเก่าๆ นั่นคือวิญญาณที่เพิ่งออกจากร่างใหม่ๆ จะไม่รู้ตัวว่าตายไปแล้ว โดยยกตัวอย่างว่าคนที่ประสบอุบัติเหตุตาย หรือถูกฆ่าอย่างกะทันหัน ก็เหมือนกับคนที่ไฟไหม้บ้าน ตกตะลึงจนกระโจนหนีเพราะความตกใจสุดขีดโดยไม่รู้ตัว

    โบราณจึงมีคำบอกกล่าวไว้ว่า "ผีจะกลับมาเก็บรอยตีนภายใน 3 วัน 7 วัน"

    ผมมีประสบการณ์เรื่องนี้มาแล้ว ขอนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อให้ท่านผู้อ่านช่วยพิจารณาดูว่าความเชื่อถือของใครน่าจะถูกต้อง หรือใกล้เคียงกว่ากัน

    เมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง เพื่อนๆ ที่ทำงานชวนผมแวะดื่มเหล้าฉลองวันออกพรรษา เราตั้งวงกันแถวถนนรัชดาฯ ใกล้ๆ บริษัท "พี่โหน่ง" เป็นเจ้ามือเพราะเป็นคนเดียวที่ยึดถือ "หยุดเหล้าเข้าพรรษา" มาหลายปีแล้ว

    ก่อนกับหลังก็จะดื่มเหล้าหนักเป็นพิเศษ เรียกว่า "ปิดก๊อก" กับ "เปิดก๊อก"

    เพื่อนๆ ไม่ขัดใจแถมสนับสนุน เพราะคนอื่นๆ ไม่ได้หยุดเหล้าเข้าพรรษากัน พี่โหน่งยังเป็นคนน่ารัก นิสัยดี แม้ว่าตอนเข้าพรรษาตัวเองจะไม่ดื่มเลย แต่ก็มาร่วมวงกับพวกเราบ่อยๆ แถมจ่ายเงินอีกต่างหาก

    เรื่องที่น่ากลัวก็คือพี่โหน่งจะกินเหล้าดุก่อนเข้าพรรษา อ้างว่าเป็นวันสุดท้ายก่อน "บวชเหล้า" กับตอนออกพรรษาที่บอกว่าหยุดมาตั้ง 3 เดือน ต้องฉลองกันให้เต็มคราบ

    น่ากลัวเพราะพี่โหน่งขับรถเองน่ะซีครับ!

    พวกเราห่วงเรื่องนี้ทุกคน พี่โหน่งยืนยันว่าไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเพราะมึนเมาเลยสักครั้งเดียว ผมสนิทกับแกเป็นพิเศษยังเคยเตือนแบบทีเล่นทีจริงว่า ...ระวังหน่อยนะพี่...ของทุกอย่างย่อมมี "ครั้งแรก" ทั้งนั้นแหละ!

    วันนั้นฝนหลงฤดูตกมาตอนค่ำ เราพูดคุยกันสนุกสนานอยู่ราว 4-5 คน เจ้าโชคถามว่าหยุดไป 3 เดือน นึกอยากเหล้ามั่งไหม? พี่โหน่งยืนยันว่าไม่อยากเลย แต่พอออกพรรษาแล้วอยากทันที

    เจ้ามินเปรยว่า พี่หยุดได้ตั้ง 3 เดือนโดยไม่อยาก แล้วทำไมไม่หยุดตลอดไปเลยล่ะ? พี่โหน่งหัวเราะ บอกว่ากลัวพวกลื้อจะเหงาน่ะซี!

    คืนนั้นเราออกจากร้านราวห้าทุ่มเศษ ฝนหยุดแล้ว แต่อากาศยามดึกในฤดูหนาวเย็นยะเยือกจับใจ เจ้าโชคกับเจ้ามินไปรถเจ้าโอ่งที่อยู่แถวสุขุมวิทด้วยกัน พี่โหน่งอยู่ลาดพร้าว ทางผ่านบ้านผมที่สุทธิสารพอดี

    พี่โหน่งขับรถมาแวะส่งผมที่ปากซอยแทบทุกครั้ง คืนนี้ก็เช่นกัน!

    เรานั่งกันมาเงียบๆ พี่โหน่งบอกแต่ว่าคืนนี้สนุกมาก ขอหนักๆ ให้สะใจอีกสัก 2-3 คืนแล้วค่อยดื่มตามปกติ...จนกระทั่งถึงปากซอยบ้านผมที่มีร้านสะดวกซื้อ ผมขอบใจกับเตือนพี่โหน่งให้ระวังหน่อย เพราะฝนตกถนนลื่น แถวรัชดาฯก็ขับรถกันเร็วด้วย

    "เออน่า! พรุ่งนี้พบกันโว้ย" พี่โหน่งยิ้มฟันขาวก่อนออกรถไป ผมแวะเข้าไปซื้อเบียร์กระป๋องกับมันทอด ดูนั่นดูนี่อยู่พักใหญ่ก็ออกจากร้านเดินเข้าซอยค่อนข้างเงียบและร่มครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ ที่แผ่กิ่งก้านออกมานอกรั้ว

    พักเดียวผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมา หันขวับไปมองก็เห็นร่างสูงๆของชายคนหนึ่ง ไฟแสงจันทร์ดูเยือกเย็นน่าวังเวงใจพิกล...ผมออกเดินก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามหลังมาเร็วๆ คล้ายจะวิ่ง...หันขวับไปอีกครั้งก็ใจหายวูบ หยุดชะงักด้วยความงุนงง

    ผู้ชายคนนั้นหายไปแล้ว!

    ซอยทั้งซอยเปลี่ยวครึ้ม เสียงยอดไม้คร่ำครวญกับสายลม ปากคอผมแห้งผากไปหมด...แถวนั้นไม่มีซอกซอยให้เลี้ยวไปได้เลย บ้านช่องติดๆกันก็ปิดประตูรั้วเงียบ...เขาหายไปไหนรวดเร็วปานนั้น?

    เลี้ยวขวับทางซ้ายมือเพื่อจะรีบเข้าบ้าน แต่แล้วก็แทบจะช็อกตายคาที่

    พี่โหน่งยืนยิ้มอยู่ตรงหน้านั่นเอง!

    "พี่โหน่ง!!" ผมร้องลั่น อ้าปากค้าง มือไม้อ่อนจนแทบจะปล่อยถุงลงพื้น ม่านตาลายพร่า...จ้องมองให้แน่ใจก็เห็นพี่โหน่งจริงๆ ที่ยืนมองผมอยู่ตรงหน้า

    "เอ้า! รีบเข้าบ้านซีบอย...พี่ขอกินเบียร์ด้วยคน" แล้วพี่โหน่งก็ออกเดินคู่ไปกับผมที่ใจเต้นโครมๆ หน้าชาเห่อ ร้อนวูบวาบสลับกับเย็นเฉียบ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่เดินขาสั่นไปช้าๆ พี่โหน่งขับรถไปแล้วนี่นา...แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? รถไปไหน?

    จนกระทั่งถึงหน้าบ้าน ผมล้วงกุญแจมาไขประตูรั้วมือสั่นเทา ไขผิดๆ ถูกๆ ได้ยินเสียงพี่โหน่งหัวเราะเบาๆ อย่างขบขัน ผมผลักประตูงกๆ เงิ่นๆ หันไปหาก็ไม่เห็นใครเลย...ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ผมปิดประตูโครม เผ่นพรวดเข้าบ้านทันใด

    พอตั้งสติได้ก็โทร.เข้ามือถือ...คนรับสายคือตำรวจ! พี่โหน่งพุ่งรถแหกโค้งขึ้นบนเกาะกลางถนนหน้าศาลอาญา เสียชีวิตคาที่...วิญญาณโลดลิ่วมาหาผมทันทีเลยครับ!




    ที่มา:ข่าวสด
    http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03col18070949&day=2006/09/07

     

แชร์หน้านี้

Loading...