เตรียมชามเปลใว้ รึอะไรเห็นเป็นรูปไข่สีขาว พอเขามาให้ถอดเครื่องรางเครื่อง
ประดับทุกอย่างใส่บนนั้น วางใว้ใกล้ๆตัวหน้าพระ แล้วค่อยใหว้ พอใหว้เสร็จจะ
ทำอะไรก็ทำ พอทำแล้วก็ให้ใส่เหมือนเดิมล่ะ แล้วให้เขาไปหาใบบัวบกมากิน
เยอะๆจะกินสดๆก็ได้ต้มกินน้ำเขียวๆก็ได้ แค่นั้นล่ะพอครับ
โดนขังวิญญาณ
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ainteerati, 14 สิงหาคม 2010.
หน้า 148 ของ 218
-
สาธุๆๆๆๆ ขอบพระคุณคุณจิโป มากๆๆเลยค่ะ พรุ่งนี้จะเตรียมตัวตั้งรักอย่างมีสติค่ะ จะระลึกถึงท่านท้าวเวส และคุณจิโป ไว้ตลอดค่ะ (ปล.อย่าหนวกหูนะคะ เผื่อคะรุทาร้องเรียกเสียงหลงเลย)
-
รีบไปหน่อย ตื่นเต้น....ตั้งรับ ค่ะ มิใช่ตั้งรัก..ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ทุกๆท่านค่ะ
-
ขอถามแบบโง่ๆครับตามประสาไม่เข้าใจจริงๆครับ (รู้สึกยังห่างไกลจากเรื่องความดีจังเลย)
จากนิมิตเรื่องแผ่นดินที่แห้งแล้งนั้น หมายถึงให้กรวดน้ำหลังทำบุญหรือให้หมั่นทำบุญ บำเพ็ญเพียรครับ ถ้าไม่กรวดน้ำ บุญจะถูกส่งไปเก็บที่ใดที่หนึ่งไหมครับ จะมีวันได้เรียกใช้กลับมาไหมครับ หรือนานไปหลายๆชาติจะกลายสูญเปล่าไหมครับ -
<TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>โอ๊ตศ์, แม่หมูอ้วน, จิ-โป, อักสรา </TD></TR></TBODY></TABLE>
สวัสดีตอนดึกขอรับทุกท่าน
^^ -
-
นั้นไงต้องกรวดน้ำทุกครั้งหรอกเหรอครับเนี้ย :cool: ลืมตลอดเลยผม
-
-
ขอบคุณครับ ผมเองก็เวลาทำบุญใส่บาตร ก้ไม่ได้ กรวดน้ำเหมือนกัน
-
ขอบคุณนะคะ
-
ผมถวายสังฆทานทุกทีก็ไม่เคยกรวดน้ำเลย มิน่า รับงานนอกทีไรบางครั้งได้ตังมั้ง ไม่ได้มั้ง โดนโกงก็มี ว่าแต่ว่าพักนี้เวลาที่ผมจะนั่งสมาธิทีไรทำไมมันเหนื่อยแรง จนไม่อยากนั่งหรือนั่งไม่ได้เลย ยิ่งมาเจอปัญหาเรื่องรักๆใคร่ๆ ยิ่งเหนื่อยใจจนไม่อยากจะทำอะไรเลยทั้งเหนื่อยใจเหนื่อยกาย ไม่รุ้ชาติก่อนไปทำอะไรใครเค้าไว้มั้ง ทุ่มเทไปให้กับใครก็มีแต่โดนหลอกลวงหักหลังทุกที :'(
-
เวลาเราไปทำบุญ แม้จะตักบาตร ถวายสังฆทาน หรือทุกอย่างที่เป็นการถวายสิ่งของให้พระ เราจะกรวดน้ำหมดเลย ก่อนกรวดก็ต้องอธิษฐานว่าจะอุทิศให้ใคร แล้วก็รินน้ำใต้ต้นไม้นอกบ้าน หรือที่วัด (ปกติเค้าจะมีภาชนะในการกรวดน้ำ) แต่เรามักจะกรวดน้ำแบบนั้น แล้วต้องมีสติในการกรวดน้ำ โดยมองที่น้ำที่เรารินให้จดจ่ออยู่ และมองดูน้ำและพื้นดิน ตั้งนโม 3 จบ อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโยฯ และก็บอกว่า ฝากพระแม่ธรณี พระแม่คงคา ไปให้ผู้ที่ข้าพเจ้าอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล จากการทำ.........อะไรก็ว่าไป ขอให้เค้าจงรับและโมทนาบุญด้วย
ส่วนเวลาแผ่เมตตาเวลานั่งสมาธิเมื่อจิตสงบลงแล้ว พร้อมที่จะแผ่เมตตา ก็จะกล่าวขออานิสงฆ์จากการนั่งสมาธิ เวลานี้ข้าพเจ้ามีความสบายกาย สบายใจแล้ว ขอให้............จงได้รับอานิสงฆ์เช่นเดียวกับข้าพเจ้าด้วยเทอญ
ประมาณนี้
ผิดถูกประการใด หากพี่จิ-โป เข้ามาเห็น ก็ช่วยแนะนำด้วยค่ะ เพราะทำเท่าที่รู้ -
สาธุ จะทำตามนั้นบ้างครับ -
[FONT="]พระเจ้าตากสินจึงบอกว่า[/FONT][FONT="]“[/FONT][FONT="]ด้วง[/FONT][FONT="]จะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน[/FONT][FONT="]” [/FONT][FONT="]แล้วทรงเล่าเรื่องตามความเป็นจริงให้ทราบ[/FONT][FONT="]แล้วบอกว่า[/FONT][FONT="]“[/FONT][FONT="]อีกไม่กี่วัน[/FONT][FONT="]เจ้าสัวเขาจะมาทวงเงินเขา[/FONT][FONT="]ด้วงก็รู้อยู่แล้วนี่ว่า[/FONT][FONT="]ฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนที่สุด[/FONT][FONT="]ฉันไม่มีทรัพย์สินที่ไหนมาเลย[/FONT][FONT="]ต้องกู้เงินเจ้าสัวเขามาจับจ่ายใช้สอย[/FONT][FONT="]เวลานี้ฉันก็เป็นหนี้[/FONT][FONT="]เบี้ยหวัด[/FONT][FONT="]เงินเดือน[/FONT][FONT="]เงินปี[/FONT][FONT="]ของข้าราชการอยู่มาก[/FONT][FONT="]ยังชำระไม่หมด[/FONT][FONT="]การรบทัพจับศึกก็ไม่เสร็จ[/FONT][FONT="]ทำอยู่ตลอดเวลา[/FONT][FONT="]การจับจ่ายใช้สอยมันก็มาก[/FONT][FONT="]ถ้าฉันจะเอาเงินใช้หนี้เขาก็ไม่พอ[/FONT][FONT="]เราก็จะต้องกู้หนี้ยืมสินเขาใหม่อีก[/FONT][FONT="]และเงินเก่าเราก็ไม่มีให้เขาพร้อมทั้งดอกเบี้ย[/FONT][FONT="]ฉันลำบากมาก[/FONT][FONT="]ถ้ากระไรก็ดี[/FONT][FONT="]ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน[/FONT][FONT="]เวลานี้เขมรแข็งเมือง[/FONT][FONT="]ให้ด้วงยกทัพไปตีเขมร[/FONT][FONT="]เอาลูกชาย[/FONT][FONT="]๒[/FONT][FONT="]คน[/FONT][FONT="]ของฉันไปด้วย[/FONT]
[FONT="]และเมื่อตีเขมรได้แล้ว[/FONT][FONT="]ไม่ต้องเอาลูกชายฉันมา[/FONT][FONT="]ให้ครองอยู่ที่นั่น[/FONT][FONT="]ด้วงกลับมา[/FONT][FONT="]ด้วงก็เป็นกษัตริย์[/FONT][FONT="]สำหรับเงินที่จะต้องใช้ให้แก่ข้าราชการ[/FONT][FONT="]เบี้ยหวัด[/FONT][FONT="]เงินปีต่าง[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]ที่คั่งค้างฉันเตรียมไว้แล้ว[/FONT][FONT="]และเงินอีกส่วนหนึ่งสำหรับใช้ภายในประเทศฉันก็เตรียมไว้แล้ว[/FONT][FONT="]และเงินอีกส่วนหนึ่งที่จะใช้เวลาที่ด้วงเป็นกษัตริย์ฉันก็เตรียมไว้แล้ว[/FONT][FONT="]รวมเป็น[/FONT][FONT="]๓[/FONT][FONT="]ส่วนด้วยกัน[/FONT][FONT="]ซึ่งในระยะไม่ช้า[/FONT][FONT="]เจ้าสัวเขาก็จะมาทวงเงินของเขา[/FONT][FONT="]ซึ่งตอนนี้แหละ[/FONT][FONT="]ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน[/FONT][FONT="]และฉันจะต้องพ้นจากตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดิน[/FONT][FONT="]แต่ด้วงทำงานคราวนี้ต้องทำในรูปปฏิวัติหรือทำในรูปขบถยึดอำนาจจากฉัน[/FONT][FONT="]แต่การยึดอำนาจกันเฉย[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]ใคร[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]เขาจะคิดว่าด้วงเป็นคนอกตัญญู[/FONT][FONT="]เห่อเหิมมาก[/FONT][FONT="]ฉันจะทำทีเหมือนว่าเป็นนักบวช[/FONT][FONT="]และ[/FONT]
[FONT="]ทำเป็นสติฟั่นเฟือน[/FONT][FONT="]ในที่สุดกลับมาแล้ว[/FONT][FONT="]ด้วงก็จับฉันประหารชีวิต[/FONT][FONT="]แต่การประหารชีวิตฉันนั้น[/FONT][FONT="]จะประหารจริงหรือหลอกก็ให้เป็นวิธีการของด้วง[/FONT][FONT="]ฉันพร้อมที่จะยอมตายเพื่อชาติ[/FONT]
[FONT="]เห็นไหมลูกหลานที่รัก[/FONT][FONT="]คนดีท่านทำอย่างนี้[/FONT][FONT="]ท่านไม่มานั่งเมามันเพื่อต้องการรัฐธรรมนูญ[/FONT][FONT="]ต้องการรัฐสภา[/FONT][FONT="]เวลาประกาศกับประชาชนก็ว่าต้องการเป็นตัวแทนของประชาชนชาวไทย[/FONT][FONT="]แต่เมื่อเลือกเข้าไปแล้วก็อยากจะเป็นรัฐมนตรีมุ่งความเป็นใหญ่[/FONT]
[FONT="]แต่นี่พระเจ้าตากสินมหาราช[/FONT][FONT="]ท่านไม่ต้องการอย่างนั้น[/FONT][FONT="]เมื่อสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกเวลานั้นได้ทราบความจริง[/FONT][FONT="]และสมเด็จพระเจ้าตากสินก็มีพระทัยมั่นคงต้องการให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน[/FONT][FONT="]ไม่อย่างนั้นประเทศไทยเราจะทรงตัวอยู่ไม่ได้[/FONT][FONT="]เพราะว่าท่านกู้เงินของจีน[/FONT][FONT="]ถ้าไม่มีเงินให้เขา[/FONT][FONT="]ก็อย่าลืมว่าประเทศไทยกับประเทศจีนน่ะกำลังต่างกัน[/FONT][FONT="]เราเองก็เพิ่งจะตั้งตัวได้ใหม่[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]เพียงแต่จีนเขาใช้กำลังใกล้[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]กับเรา[/FONT][FONT="]เราก็สู้เขาไม่ได้[/FONT][FONT="]ถ้าเขาหากว่าเราโกงเขา[/FONT][FONT="]นี่เนื้อแท้ความจริงเป็นอย่างนี้[/FONT]
[FONT="]แต่ทว่าต่อมาภายหลัง[/FONT][FONT="]พระยาสรรค์บุรี[/FONT][FONT="]ทำงานเกินอำนาจที่สั่งไว้[/FONT][FONT="]จับพระเจ้าตากสินเอาเสียจริง[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]จับแบบเอาจริง[/FONT][FONT="]แต่ตอนเข้าไปจับนั้น[/FONT] -
[FONT="]ท่านท้าวผกาพรหมบอกว่า[/FONT][FONT="]ขุนดาบ[/FONT][FONT="]๑๐[/FONT][FONT="]พระยาของพระเจ้าตากสินนี่จะสู้[/FONT][FONT="]เพราะมีกำลังรักษาพระองค์อยู่พอสมควร[/FONT][FONT="]พระยาสรรค์บุรี[/FONT][FONT="]ไปเอากำลังมาจากกรุงศรีอยุธยา[/FONT][FONT="]เนื้อแท้จริง[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]ถ้ารบกันพระยาสวรรค์ก็หัวขาด[/FONT][FONT="]แต่ทว่าพระเจ้าตากสินคิดว่า[/FONT][FONT="]ถ้าเกิดสู้กันจริง[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]งานที่คิดไว้ก็ไม่เป็นผลเพราะว่า[/FONT][FONT="]ขุนดาบ[/FONT][FONT="]๑๐[/FONT][FONT="]พระยานี่ยังไม่รู้เรื่อง[/FONT][FONT="]ถ้ารบก็ต้องรบกันถึงขั้นแตกหักกันจริง[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]พระองค์จึงห้ามปราม[/FONT][FONT="]๑๐[/FONT][FONT="]พระยานั่น[/FONT][FONT="]ปล่อยให้พระยาสวรรค์จับ[/FONT]
[FONT="]เรื่องการลงโทษ[/FONT][FONT="]พระสงฆ์[/FONT][FONT="]ของพระเจ้าตากสินเรื่องนี้ก็หลอกกัน[/FONT][FONT="]เมื่อพระสงฆ์ทำผิดเรียกมาสอบสวน[/FONT][FONT="]เวลาจะลงโทษ[/FONT][FONT="]ก็เอานักโทษมาโกนหัวเอาผ้าเหลืองนุ่งแล้วก็เฆี่ยน[/FONT][FONT="]เขาก็หาว่าท่านบ้าเฆี่ยนพระ[/FONT][FONT="]แต่ความจริงพระไม่ได้ถูกเฆี่ยน[/FONT][FONT="]พระองค์ทำให้คนอื่นเขาเห็นว่าบ้า[/FONT][FONT="]นี่สติฟั่นเฟือน[/FONT][FONT="]การจับให้ออกจากพระมหากษัตริย์ก็เป็นของธรรมดา[/FONT]
[FONT="]เมื่อพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก[/FONT][FONT="]ทราบเรื่องพระยาสวรรค์ทำเกินเหตุ[/FONT][FONT="]จึงยกทัพกลับจับพระยาสวรรค์บุรีประหารชีวิตเสีย[/FONT][FONT="]ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน[/FONT][FONT="]เป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก[/FONT][FONT="]มีคำสั่งให้เอาพระเจ้าตากสินมหาราชมาประหารชีวิต[/FONT][FONT="]โดยการใส่กระสอบแล้วทุบด้วยท่อนจันทน์จนตาย[/FONT][FONT="]แต่คนที่อยู่ในกระสอบไม่ใช่พระเจ้าตากสินครั้งแรกมีราชองครักษ์ของพระองค์มีความจงรักภักดีมาก[/FONT][FONT="]อาสาตายแทนพระเจ้าตากสิน[/FONT][FONT="]แต่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาไม่เอา[/FONT][FONT="]ให้เอานักโทษประหารชีวิตมาใส่กระสอบทุบด้วยท่อนจันทน์ตายแทน[/FONT][FONT="]ราชองค์รักษ์นั่นก็ถูกฆ่าด้วยในฐานะที่รู้เรื่องเข้าเดี๋ยวปากจะมากไป[/FONT][FONT="]และแล้วกลางคืนวันหนึ่งก็ลงเรือจากปากท่อไปยังนครศรีธรรมราช[/FONT][FONT="]บวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแถวนั้นเขาเรียกกันว่า[/FONT][FONT="]หลวงตาพรหมา[/FONT][FONT="]ปัจจุบันเรายังพบซากกุฏิร้างอยู่เชิงเขาแถวนั้นเป็นป่าลึก[/FONT][FONT="]สงัดมาก[/FONT][FONT="]ท่านเจริญพระกรรมฐานอยู่ที่นั้นจนสิ้นชีวิต[/FONT]
[FONT="]หลังจากนั้นไม่นาน[/FONT][FONT="]สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก[/FONT][FONT="]ก็สั่งประหารชีวิตลูกชายพระเจ้าตากสิน[/FONT][FONT="]๒[/FONT][FONT="]คน[/FONT][FONT="]บอกว่า[/FONT][FONT="]ตัดบัวแล้วจงอย่าไว้ใย[/FONT][FONT="]แต่ปรากฏว่าลูกชายคนหนึ่งไปโผล่ที่นครศรีธรรมราช[/FONT]
[FONT="]เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่[/FONT][FONT="]ทำงานที่นั่น[/FONT][FONT="]อีกคนหนึ่งค้าขายเรือสำเภากับต่างประเทศ[/FONT][FONT="]เป็นอันว่า[/FONT][FONT="]พระเจ้าตากสินมหาราชก็ถูกประหารชีวิตตามรับสั่งของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก[/FONT][FONT="]ตามความเป็นจริงท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้[/FONT]
[FONT="]มิช้ามินานเจ้าสัวเขาก็มาทวเงินคืนพร้อมกับเอาถ้วยโถโอชามมาขายด้วย[/FONT][FONT="]พอเรือสำเภาของเจ้าสัวเลี้ยวเข้ามาในเขตจันทบุรีตราดก็ถูกลมสลาตันคือลมหอกลมดาบพัดกระหน่ำจนเรือจมอยู่ที่นั่น[/FONT]
[FONT="]เป็นอันว่า[/FONT][FONT="]ทั้งสองพระองค์ต้องยอมเสียชื่อเสียง[/FONT][FONT="]เสียศักดิ์ศรีทั้งสองฝ่าย[/FONT][FONT="]ก็ต้องขอบคุณท่าน[/FONT][FONT="]สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยอมเสียชื่อเสียงให้คนเขาเข้าใจว่าเป็นบ้า[/FONT][FONT="]และถูกออกจากกษัตริย์[/FONT][FONT="]สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก[/FONT][FONT="]ก็ต้องยอมเสียชื่อในฐานะเป็นขบถ[/FONT][FONT="]แต่ความจริงทั้ง[/FONT][FONT="]๒[/FONT][FONT="]ท่านนี้ทำเพื่อไทยทั้งชาติ[/FONT][FONT="]ให้ชาติไทยทรงอยู่[/FONT][FONT="]ลูกหลานที่รัก[/FONT][FONT="]จงจำปฏิปทานี้ไว้[/FONT][FONT="]“[/FONT][FONT="]ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ[/FONT][FONT="]ศาสนา[/FONT][FONT="]พระมหากษัตริย์[/FONT][FONT="]และปวงชนชาวไทย[/FONT][FONT="]แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม[/FONT][FONT="]” [/FONT]
[FONT="]เท่าที่พ่อนำเอาเรื่องพระเจ้าพรหมมหาราชมาพูดก็ดี[/FONT][FONT="]หรือนำเอาเรื่องของพระราชาองค์เก่า[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]ตั้งแต่พระราชบิดาของพระเจ้าอชุตราชมาพูดก็ดี[/FONT][FONT="]และก็มาพูดถึงการรบก็ดี[/FONT][FONT="]พ่อมีความมุ่งหมายอยู่ว่า[/FONT][FONT="]“[/FONT][FONT="]ต้องการให้[/FONT] -
น้องเขาไม่มาเลยค่ะ โทรไปหาก็ไม่รับ อุตส่าห์ตั้งสติรออยู่
นัดไว้ก่อนเที่ยง จนป่านนี้ 14.36 แล้วยังไม่มา โทรไปหาก็ไม่รับสาย
คะรุทาเลยเฉยๆไว้ก่อนค่ะ -
-
[FONT="]ลูกรักของพ่อทุกคนรู้จักความจริง[/FONT][FONT="]” [/FONT][FONT="]ความจริงที่เราหนีไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า[/FONT][FONT="]“[/FONT][FONT="]สัจธรรม[/FONT][FONT="]” [/FONT][FONT="]คือธรรมะที่พระอริยเจ้าทรงไว้[/FONT][FONT="]คือ[/FONT][FONT="]ธรรมะที่ทำให้คนเป็นพระอริยเจ้า[/FONT][FONT="]พ่อขอเตือนลูกรักทั้งหลาย[/FONT][FONT="]จงจำไว้เสมอว่า[/FONT][FONT="]ขณะที่ฟังพ่อพูดให้ตั้งใจไว้ในสมาธิ[/FONT][FONT="]ศีล[/FONT][FONT="]สมาธิ[/FONT][FONT="]ปัญญา[/FONT][FONT="]ฟังไปด้วย[/FONT][FONT="]ใช้ศีล[/FONT][FONT="]สมาธิ[/FONT][FONT="]ปัญญา[/FONT][FONT="]รวมตัวกันเข้าไว้ในใจจุดเดียวกันจะทำให้สะอาด[/FONT]
[FONT="]ศีล ขัดเกลาภาคพื้นใจให้ดี สมาธิ จับอารมณ์ใจให้นิ่ง ปัญญา ชำระล้างความสกปรกของจิต จิตมีอารมณ์ผ่องใส [/FONT]
[FONT="]เมื่อจิตมีอารมณ์ผ่องใส[/FONT][FONT="]กำลังใจก็เป็นทิพย์[/FONT][FONT="]เมื่อกำลังใจเป็นทิพย์อยากจะรู้อะไรก็รู้ได้ทันทีทันใด[/FONT][FONT="]ที่เราเรียกกันว่า[/FONT][FONT="]ใช้ทิพย์จักขุญาณ[/FONT][FONT="]หรือจุตูปปาตญาณ[/FONT][FONT="]เจโตปริยญาณ[/FONT][FONT="]อตีตังสญญาณ[/FONT][FONT="]อนาคตังสญาน[/FONT][FONT="]ปัจจุบันนังสญาณ[/FONT][FONT="]ปุพเพนิวาสานุสติญาณ[/FONT][FONT="]และยถากรรมมุตาญาณ[/FONT][FONT="]โดยเฉพาะลูกรักของพ่อทุกคนได้อภิญญาเล็ก[/FONT][FONT="]คือ[/FONT][FONT="]มโนมยิทธิ[/FONT][FONT="]หมายถึง[/FONT][FONT="]มีฤทธิ์ทางใจ[/FONT][FONT="]คำว่า[/FONT][FONT="]มีฤทธิ์ทางใจ[/FONT][FONT="]ก็คือ[/FONT][FONT="]ใจมีฤทธิ์[/FONT][FONT="]คำว่าฤทธิ์หมายถึงเก่ง[/FONT][FONT="]คือใจเก่งกว่าใจธรรมดา[/FONT][FONT="]สามารถถอดจิตออกจากร่างไปสู่ภพต่าง[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]ได้[/FONT][FONT="]เราจะไปเที่ยวเมืองสวรรค์ก็ได้[/FONT][FONT="]ไปเที่ยวพรหมโลกก็ได้[/FONT][FONT="]ไปเที่ยวเมืองนิพพานก็ได้[/FONT][FONT="]ไปเที่ยวเมืองนรกก็ได้[/FONT][FONT="]สู่แดนเปรตอสุรกายก็ได้[/FONT][FONT="]และในโลกมนุษย์นี่จะไปมุมไหนก็ได้[/FONT][FONT="]ประเทศไหน[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]ก็ไปได้[/FONT][FONT="]บ้านใครสำนักงานไหนเขาหวงเราก็ไปได้[/FONT][FONT="]นี่การมีฤทธิ์ทางใจเป็นของดี[/FONT]
[FONT="]แต่ทว่ามีบางคน[/FONT][FONT="]ตำหนิพระพุทธเจ้าว่า[/FONT][FONT="]พระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนหลักวิชชาสาม[/FONT][FONT="]อภิญญาหก[/FONT][FONT="]ปฏิสัมภิทาญาณ[/FONT][FONT="]เพียงสอนขั้นสุขวิปัสโกอย่างเดียวก็พอ[/FONT][FONT="]คำว่า[/FONT][FONT="]สุขวิปัสโก[/FONT][FONT="]หมายความว่า[/FONT][FONT="]จิตสะอาดปราศจากกิเลส[/FONT][FONT="]ไม่มีความรักในเพศ[/FONT][FONT="]ไม่มีความโลภ[/FONT][FONT="]ไม่มีความโกรธ[/FONT][FONT="]ไม่มีความหลวง[/FONT][FONT="]จิตมีอารมณ์เป็นสุข[/FONT][FONT="]จิตมีความเยือกเย็น[/FONT][FONT="]ไม่มีทุกข์[/FONT][FONT="]มีอารมณ์สบาย[/FONT][FONT="]นี่ความเป็นพระอรหันต์[/FONT]
[FONT="]เตวิชโช[/FONT][FONT="]([/FONT][FONT="]วิชชาสาม[/FONT][FONT="]) [/FONT][FONT="]สามารถทำทิพย์จักขุญาณให้ปรากฏ[/FONT][FONT="]และหมดกิเลสสามารถระลึกชาติได้[/FONT][FONT="]มีวิชชาแปดอย่างที่เรียกว่า[/FONT][FONT="]ญาณ[/FONT][FONT="]๘[/FONT]
[FONT="]ฉฬภิญโญ[/FONT][FONT="]หมายถึงอภิญญาหก[/FONT][FONT="]สามารถเนรมิตอะไรก็ได้[/FONT][FONT="]มีหูเป็นทิพย์[/FONT][FONT="]มีทิพย์จักขุญาณ[/FONT][FONT="]มีญาณ[/FONT][FONT="]๘[/FONT][FONT="]อย่างครบเช่นเดียวกับ[/FONT][FONT="]เตวิชโช[/FONT][FONT="]และมีอิทธฤทธิ์มีฤทธิ์ทางใจ[/FONT][FONT="]เป็นต้น[/FONT][FONT="]และจิตหมดกิเลส[/FONT]
[FONT="]ปฏิสัมภิทาญาณ[/FONT][FONT="]หมายถึงความรู้พิเศษ[/FONT][FONT="]สามารถรู้ธรรมะทุกอย่างทรงพระไตรปิฏก[/FONT][FONT="]คำว่า[/FONT][FONT="]ไม่รู้[/FONT][FONT="]ไม่มี[/FONT][FONT="]และสามารถรู้ภาษาสัตว์[/FONT][FONT="]และภาษาคนทุกภาษา[/FONT][FONT="]ได้โดยไม่ต้องศึกษา[/FONT][FONT="]แต่ทว่าเนื้อแท้จริง[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]ก็คือ[/FONT][FONT="]ความเป็นพระอรหันต์[/FONT][FONT="]มีความรู้ทั้ง[/FONT][FONT="]เตวิชโช[/FONT][FONT="]และฉฬภิญโญด้วย[/FONT]
[FONT="]เป็นอันว่าบางท่านบอกว่า[/FONT][FONT="]พระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนแบบนี้[/FONT][FONT="]เสี่ยงภัยเกินไป[/FONT][FONT="]แต่พ่อก็ขอเตือนลูก[/FONT][FONT="]ถ้ามีใครเขาถามว่า[/FONT][FONT="]ทำไมจะต้องเรียน[/FONT][FONT="]อภิญญาสมาบัติ[/FONT][FONT="]ทำไมจะต้องมีทิพย์จักขุญาณ[/FONT][FONT="]เห็นผี[/FONT][FONT="]เห็นเทวดา[/FONT][FONT="]เห็นสวรรค์[/FONT][FONT="]เห็นนรกก็ได้[/FONT][FONT="]ทำไมจะต้องมีการยกจิตไปท่องเที่ยวตามภพต่าง[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]ได้[/FONT][FONT="]การรู้ว่าคนและสัตว์นี่[/FONT][FONT="]ก่อนเกิดมาจากไหน[/FONT][FONT="]ตายแล้วไปไหน[/FONT][FONT="]เจโตปริยญาณ[/FONT][FONT="]รู้วาระน้ำจิตของคนและสัตว์ว่า[/FONT][FONT="]มันชอบอะไร[/FONT][FONT="]คิดอะไร[/FONT][FONT="]คิดดี[/FONT][FONT="]คิดชั่ว[/FONT][FONT="]มีกิเลสตัวไหนอยู่บ้าง[/FONT] -
[FONT="]ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ[/FONT][FONT="]สามารถระลึกชาติต่าง[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]ได้[/FONT][FONT="]ถอยหลังไปดูว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ[/FONT][FONT="]เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง[/FONT][FONT="]อตีตังสญาณ[/FONT][FONT="]รู้เหตุการณ์ในอดีต[/FONT][FONT="]อนาคตตังสญาณ[/FONT][FONT="]รู้เหตุการณ์ในอนาคต[/FONT][FONT="]ปัจจุบันนังสญาณ[/FONT][FONT="]รู้ว่าเวลานี้ใครอยู่ที่ไหนใครกำลังทำอะไรอยู่[/FONT][FONT="]ยถากรรมมุตาญาณ[/FONT][FONT="]รู้ว่าเขามีความสุข[/FONT][FONT="]มีทุกข์เพราะผลจากอะไรเป็นสำคัญ[/FONT][FONT="]ความจริงความรู้แบบนี้[/FONT][FONT="]ถึงแม้ว่าเราไม่เป็นพระอรหันต์[/FONT][FONT="]เราก็รู้ได้ถ้าใครเขาถามว่า[/FONT][FONT="]ศึกษาทำไม[/FONT][FONT="]ก็ควรจะตอบว่า[/FONT][FONT="]“[/FONT][FONT="]ศึกษาเพื่อกันความสงสัย[/FONT][FONT="]จะได้ไม่สงสัยคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า[/FONT][FONT="]จะได้ไม่ประมาทในชีวิต[/FONT][FONT="]” [/FONT]
[FONT="]ถ้าใครเขาจะแย้งว่า[/FONT] [FONT="]ดูตัวอย่างพระเทวทัตเพราะอาศัยได้อภิญญาสมาบัติจึงลงอเวจีมหานรก[/FONT][FONT="]อย่างนี้ก็ต้องย้อนถามเขาลงไปว่า[/FONT][FONT="]ท่านที่ได้อภิญญาสมาบัติในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่หรือว่าปรินิพานไปแล้วก็ตาม[/FONT][FONT="]คนที่ได้อภิญญาสมาบัติลงนรกกี่คน[/FONT][FONT="]และคนที่ได้อภิญญาสมาบัติไปนิพพานเท่าไร[/FONT][FONT="]โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเทวทัตถ้าไม่ได้อภิญญาสมาบัติความยับยั้งก็ไม่มี[/FONT][FONT="]ต้องลงอเวจีตามกฎของกรรมคือ[/FONT][FONT="]๑[/FONT][FONT="]กัป[/FONT][FONT="]แต่นี่พระเทวทัตลงอเวจีเพียงแค่ไม่ถึง[/FONT][FONT="]๑[/FONT][FONT="]วันของอเวจี[/FONT][FONT="]เพราะผลความดีที่มีความรู้ด้านอภิญญามีการยับยั้ง[/FONT][FONT="]เหมือนกับคนตาดีเดินไปในกลุ่มหนามหรือเดินไปบนลานแก้วแตก[/FONT][FONT="]จะวางเท้าลงไปก็ค่อย[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]วาง[/FONT][FONT="]เพราะมองเห็นหนามและแก้วแตก[/FONT][FONT="]เกรงว่าจะบาดเท้า[/FONT][FONT="]ตำเท้า[/FONT][FONT="]จะเจ็บบ้าง[/FONT][FONT="]ก็เล็กน้อย[/FONT][FONT="]ไม่เหมือนกับคนตาไม่ดี[/FONT][FONT="]ไม่เห็นว่าที่นั้นมีอันตราย[/FONT][FONT="]เดินสวบ[/FONT][FONT="]ๆ[/FONT][FONT="]เข้าไป[/FONT][FONT="]ผลที่สุดก็โดนทั้งแก้วแตกทั้งหนามตำเต็มกำลัง[/FONT]
[FONT="]ข้อนี้ฉันใด[/FONT] [FONT="]แม้คนที่ได้อภิญญาสมาบัติ[/FONT][FONT="]และวิชชาสามก็เช่นเดียวกัน[/FONT][FONT="]ถึงแม้ว่ากฎของกรรมบางอย่างจะบีบบังคับ[/FONT][FONT="]ก็มีการยับยั้ง[/FONT][FONT="]รู้ผิดรู้ชอบเหมือนคนที่รู้กฎหมายกับคนที่ไม่รู้กฎหมาย[/FONT][FONT="]คนที่เขารู้กฎหมายเขาทำผิดก็จริงแหล่[/FONT][FONT="]แต่ทว่าเขารู้ทางออกจะรับโทษก็รับไม่มาก[/FONT][FONT="]ไม่เหมือนคนที่ไม่รู้กฎหมาย[/FONT][FONT="]อยากจะทำอะไรก็ทำตามชอบใจ[/FONT][FONT="]ดีไม่ดีติดคุกติดตะราง[/FONT][FONT="]คิดว่าของมันเล็กน้อย[/FONT][FONT="]แต่ที่ไหนได้ของมันใหญ่[/FONT][FONT="]เช่น[/FONT][FONT="]คิดจะฆ่าควายตัวมันใหญ่โทษจะมาก[/FONT][FONT="]ฆ่าคนดีกว่าตัวเล็กกว่า[/FONT][FONT="]แต่ที่ไหนได้ฆ่าคนมี[/FONT][FONT="]โทษมากกว่า ฆ่าควายมีโทษน้อย [/FONT][FONT="]([/FONT][FONT="]นี่ในแง่ของกฎหมายน่ะ[/FONT][FONT="]) [/FONT][FONT="]เช่น ฆ่าไม่เอาหนักไป ด่าดีกว่า แอบไปด่าพระมหากษัตริย์เข้า เจ๊งไปเลย ถูกลงโทษหนักฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือด่าศาลว่าศาลคด ศาลโกง ศาลไม่ยุติธรรม นี่ถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีโทษหนัก [/FONT]
[FONT="]เป็นอันว่า คนมีความรู้ แม้จะมีโทษหนัก ก็มีการยับยั้งในการทำความผิด ซึ่งผิดกับคนที่ไม่รู้อะไรเลย ทำก็ทำลงไปเต็มอัตราศึก ไม่รู้บาปบุญ คุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ เป็นอันว่า ที่พ่อให้ลูกศึกษาวิชาความรู้อันนี้ ต้องระมัดระวังรักษาไว้ด้วยดี อย่าไปอวดเขา [/FONT][FONT="]“[/FONT][FONT="]รักษาไว้เพื่อชำระจิตใจของเราให้เป็นสุข[/FONT][FONT="]” [/FONT]
[FONT="]เวลานี้ลูกรักของพ่อกำลังรบกับสงครามสำคัญคือกิเลส สงครามภายนอกน่ะมันเรื่องเล็ก สงครามกิเลสมีความสำคัญมาก เจตนาของพ่อก็มีอยู่ว่า ความเกิดมันเป็นทุกข์ ลูกทุกคนเวลานี้ต่างคนต่างก็มีความทุกข์กันหมด แต่ว่าให้ทุกข์มันมีเฉพาะขันธ์ ๕ จิตเราจงอย่าเป็นทุกข์ บรรดาลูกรักของพ่อทุกคนต่างคนต่างมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา พ่อดีใจเวลาฟังพ่อพูดพยายามใช้สมาธิให้คล่องตัว สำหรับอภิญญาสมาบัติ อิทธิฤทธิ์ ยกจิตไปตามที่ต่าง ๆ ทำให้คล่อง ทิพย์จักขุญาณทำให้แจ่มใส ศีล สมาธิ ปัญญา ดีแล้วจะเห็นชัดเจน จุตูปปาตญาณ มองหน้าคน มองหน้าสัตว์ อยากรู้ว่าก่อนเกิดมาจากไหนจะรู้ได้ทันที ตายแล้วไปไหนก็รู้ได้ทันที [/FONT]
[FONT="]เจโตปริยญาณ ถ้าเราอยากจะรู้วาระน้ำจิตของคนอื่น ให้รู้กระแสจิตของตนเองไว้เสมอก่อน เรารู้ได้ไม่ยาก คนที่มีกิเลสหนามีความชั่ว ใจจะมีสีดำบ้าง แดงบ้าง ขาวบ้าง แต่เป็นเนื้อ ถ้าใจดีปานกลาง ใจจะเป็นแก้ว แต่คนที่ดีจริง ๆ จะเป็นแก้วประกายทั้งดวงเหมือนดาว นี่ไม่ยากแต่รู้แล้วก็นิ่งเสีย ปุพเพนิวาสานุสติญาณฝึกให้คล้อง นึกถอยหลังเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่อย่าไปไล่ทีละชาติเลย เห็นอะไรก็นึกว่าเราเคยเกิดไหม เช่น เห็นสัตว์เราก็นึกว่า เราเคยเกิดเป็นสัตว์ชนิดนี้ไหมกี่ชาติ ภาพจะปรากฏชัด เป็นอันว่า ธรรมะ ส่วนนี้มีความสำคัญ พ่อให้ลูกไว้เพื่อชำระจิตของลูกให้บริสุทธิ์ ถอยหลังไปดูการเกิดแต่ละคราวเต็มไปด้วยความ[/FONT] -
[FONT="]ทุกข์ ดูบรรดาบรรพบุรุษกษัตริย์ทั้งหลาย ที่พ่อพูดมา และคนทั้งหลายที่กล่าวถึง ต่างคนต่างไปหมดแล้ว [/FONT]
[FONT="]ผืนแผ่นดินไทยที่เราเดินอยู่นี่ ถ้าเราใช้อตีตังสญาณ ก็จะรู้ว่าเราเดินอยู่บนร่างกายและเลือดเนื้อของบรรดาบรรพบุรุษของเรา ฉะนั้น ถ้าใครเขาจะมาเชือดเฉือนเอาร่างกายเลือดเนื้อบรรพบุรุษของเราไป เราก็ไม่ควรยอม นี่พูดกันอย่างทางโลก คือ โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย [/FONT]
[FONT="]สำหรับกิเลสที่เราจะชนะได้ ต้องทำกำลังใจตามนี้ ถ้าเรื่องความรักชาติ เรื่องของความสามัคคี จะเกิดขึ้นมาได้ก็ต้องมีสังคหวัตถุ ๔ ได้แก่ ๑[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]ทาน การให้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ๒[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]ปิยวาจา พูดวาจาไพเราะ ๓[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]อัตถจริยา ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น ช่วยกิจการงาน ๔[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]สมานัตตา ไม่ถือตัว ไม่ถือตน นี่แค่ ๔ ประการ ถ้าเราทำกันไม่ได้ เราก็มีความสุขไม่ได้ ฉะนั้น ชาติเราจะมีความสุข จะมีความสามัคคีก็ต้องทำ ๔ ประการนี้ได้ นี่เป็นกิเลสหยาบที่เราต้องละให้ได้จะมีความสุข คำว่า สุข นี่อย่าเอาสุขกายนะ เอาสุขใจก็แล้วกัน [/FONT]
[FONT="]เรื่องของร่างกายเราต้องคิดว่า ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ เป็นอันว่าขันธ์ ๕ มันเป็นทุกข์ แต่ใจของเราจงอย่าทุกข์ ใจเราจงอย่าทุกข์ทำยังไง รักษาอารมณ์ใจไว้ [/FONT][FONT="]10 [/FONT][FONT="]ประการ [/FONT]
[FONT="]๑[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]ทาน การให้ คิดไว้เสมอว่า [/FONT][FONT="]“[/FONT][FONT="]เราจะมีจิตเมตตาสงเคราะห์ผู้อื่นให้มีความสุข โดยการให้ ให้ของ ให้ความคิด ให้กำลังกายช่วยกิจการงาน เป็นเสน่ห์ใหญ่ทำให้มีความสุข ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับ [/FONT]
[FONT="]๒[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]ศีล แปลว่า ปกติ อารมณ์ของเราจะทรงความดี ๕ ประการไว้เสมอ คือไม่ละเมิดศีล ๕ ประการ [/FONT]
[FONT="]๓[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช คือบวชใจ คำว่า บวช นี่ไม่จำเป็นต้องโกนหัว ถ้าโกนหัวแล้วจิตใจไม่ดี ก็ไม่ถือว่าเป็นนักบวช เราบวชใจ คือ ๑[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]ไม่มัวเมาอยู่ในกามคุณ ๕ ให้คิดไว้เสมอว่า ไอ้รูปสวยน่ะประเดี๋ยวทันก็พัง เสียงไพเราะผ่านหูแล้วก็หายไป กลิ่นหอมผ่านจมูกแล้วก็หายไป รสอร่อยกระทบลิ้นแล้วก็หายไป สัมผัสระหว่างเพศจับแล้วพอพ้นแล้วก็หายไป และเป็นปัจจัยนำมาซึ่งความทุกข์ รักมากทุกข์มาก รักน้อยทุกข์น้อย ไม่รักเลยไม่ทุกข์ ๒[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]ไม่ยึดถือความโกรธความพยาบาทมาเป็นบรรทัดฐานตัดกำลังใจให้อภัยอยู่เสมอ ขึ้นชื่อคนเกิดมาในโลกนี้ ไม่ทำความผิดเลยไม่มี ก็น่าเห็นใจ เพราะความพลาดพลั้งของงาน เขาจะด่าจะว่าก็ช่างเขา ไม่ช้าต่างคนก็ต่างตาย ๓[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]ป้องกันการง่วงเหงาหาวนอน ขณะที่จิตใจจะทำความดี ๔[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]ระงับอารมณ์ฟุ้งซ่าน ก็พยายามตั้งใจไว้ในยามปกติ นึกถึงความดีจุดใดจุดหนึ่ง เราจะไม่ยอมให้อารมณ์อื่นเข้ามาแทรก ๕[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]เราจะไม่สงสัยธรรมะปฏิบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน [/FONT]
[FONT="]คนที่บวชห่มผ้าเหลืองน่ะ ถ้าระงับเหตุ ๕ ประการที่ว่ามานี่ไม่ได้ เขาเรียกว่า [/FONT][FONT="]“[/FONT][FONT="]เถนะ[/FONT][FONT="]” [/FONT][FONT="]เถน แปลว่า หัวขโมย ขโมยเอาเพศของสมณมานุ่ง นี่นักบวชจริง ๆ อันดับแรกจะต้องระงับนิวรณ์ ๕ ประการได้ ขอลูกจงระงับใจตามนี้ให้เป็นธรรมดา พิจารณาหาความจริงว่า นี่มันเป็นปัจจัยของความสุขหรือความทุกข์ ทำงานตามหน้าที่ ถือว่าชาตินี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะต้องทำงาน ชาติใหม่ไม่มีสำหรับเรา เราไปนิพพาน ถ้าสงสัยนิพพาน ก็ใช้วิปัสสนาญาณให้เข้มข้น ใช้มโนมยิทธิแป๊บเดียวก็ถึงนิพพาน จับอารมณ์นิพพานได้ว่า มีความสุขขนาดไหน [/FONT]
[FONT="]๔[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]ปัญญา มีความรอบรู้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเป็นโทษ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วใช้ปัญญาหาความจริงว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย จริงไหม ถ้าเรายังเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่อย่างนี้จะไม่หมดทุกข์ เราจะมีความสุขก็คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอีกต่อไป ได้แก่รักษาธรรมะ ๑๐ ประการนี้ให้ครบถ้วน [/FONT]
[FONT="]๕[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]วิริยะ มีความเพียร ทำกิจการงานฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม ต้องอดทนทุกอย่างเพื่อรักษาความดีให้คงอยู่ เรียกว่า เพียร พังให้มันทะลุไปเลย [/FONT]
[FONT="]๖[/FONT][FONT="]. [/FONT][FONT="]ขันติ ความอดใจ อดทนต่อความเหนื่อย อดทนต่อความร้อน อดทนต่อความหนาว อดทนต่อความขัดข้องใจ [/FONT]
หน้า 148 ของ 218