โดนขังวิญญาณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ainteerati, 14 สิงหาคม 2010.

  1. ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    รูปพญานาคครับ................
     
  2. ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
  3. ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    มื่อคืนพอเอนตัวลงนอนก็เจอรูปที่มียันต์ ดูอยู่ตั้งนานไม่เข้าใจ พอวันนี้เปิดเวปเข้าไปเจอก็เลยเอามาให้ชมกันครับ
     
  4. ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    อืมร์... สงสัยคุณ ainteerati จะโชคดีอยู่ๆก็มีภาพแปลกๆมาให้ดู...ยันต์ที่เขียนนั้นมีความหมายว่าอะไรก็ไม่ทราบนิ.. ภาพแปลกดีนะคะ ......ขอบคุณที่เอามาให้ชมนะคะ
     
  5. จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196

    พระกะถาวัตถุแปลมาผิดครับ ไม่ตอบ ไปแปลมาใหม่
    ส่วนพระยมกดูเข้าท่า

    ท่านว่า"ธรรมบางเหล่าเป็นกุศล" ธรรมเหล่านั้นมีกุศลเป็นมูล
    เวลาเราสวดเราต้องรู้ว่า เราสวดส่งอะไร ธรรมบทนี้ท่านจำแนกใว้ว่า

    กุศลนั้นจำแนกใว้ 4 ภูมิคือ กามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล
    อรูปาวจรกุศล โลกุตตรกุศล

    1.กามาวจรกุศลคือ ความดีของผู้ที่ยินดีในกาม
    2.รูปาวจรกุศลคือ ความดีของผู้ยึดมั่นในรูปนิมิต ที่ตัวเองทำได้เพื่อสงบระงับ
    ความฟุ้งซ่านในจิตใจได้
    3.อรูปาวจรกุศลคือ ความดีที่ใครๆก็ดี ทำให้เกิดขึ้นด้วยเพ่งอรูปธรรม จนจิต
    ใจแน่วแน่ มั่นคง ยึดมั่นอย่างสูงในอรูปธรรม อันคือธรรมที่ไม่มีรูป
    4.โลกุตระกุศลคือความดีที่เห็นตามเป็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางความ
    ยึดมั่นถือมั่นในกายตนเองและผู้อื่น จนเป็นผู้รู้ ผู้พ้น

    กุศลนั้น เวลาเราสวด ใจเราต้องจำแนกธรรรมออกเป็น 4 อย่าง ตามกุศลนี้
    เพื่อส่งวิญญาณทั้งหลายไปสู่ภพภูมิทั้ง 4 ด้วยมูลกุศล ที่ท่านทั้งหลายทำมา
    เวลาท่องถึงกุศลให้จำแนก(ผล)ธรรม เวลาสวดถึงมูลกุศล (มูลา)ให้นึกถึงสิ่งที่เราเคยทำก็ดี คนอื่นเคยทำก็ดี เช่นนั่งสมาธิ กำหนดรูป อรูป จนถึงโลกุตตระ
    (มรรค)
    เหล่านี้เป็นธรรมที่กล่าวยกมาเพียงกุศลเพราะในพุทธกาล เมื่อเราเอ่ยว่า
    กุศล คนทั้งหลายย่อมนึกได้ถึงภูมิทั้ง 4 เป็นธรรมดา จึงไม่กล่าวโดยอรรถอื่นอีก เพียงกล่าวว่า กุศลก็พอแล้ว

    ใจผู้สวดย่อมเปรียบดังลมที่พยุง "พัดเอาหมอกควัน" ไปสู่ภพภูมินั้นๆตาม
    กุศลมูลที่"หมอกควัน"นั้นๆทำมา ลมนั้นคือกุศล

    เอ..แล้วทำไมเขาตายแล้วไม่ไปเอง ทำไมต้องมีบทกุสะลาให้เราสวดส่ง
    ตอบว่า.."บางคนเวลาตายมันไม่มีสติ"...เลยต้องส่ง.
     
  6. จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    ขอบคุณคุณ ainteerati ที่หารูปพญานาคมาให้ดูครับ ผมก็มีรูปนึง
    คนรู้จักถ่ายมาด้วยมือถือ เพราะพญานาคขึ้นมาให้เห็นจะๆ แต่จะเป็นผีแปลง
    เป็นพญานาครึเปล่า ไม่รู้ครับ ดูเอง ภาพไม่ชัดเท่าไหร่
     
  7. ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ขยายให้ครับ


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1016.JPG
      ขนาดไฟล์:
      68.2 KB
      เปิดดู:
      2,118
  8. ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ยายชีนวล วัดภูฆ้องคำ อายุ 100 ปี อดีตเพื่อนสำเร็จต้น (ศิษย์สำเร็จลุน) ได้ย้ำพยากรณ์นี้ในปี 2549 ว่า 'เริ่มแล้วนะ เค้าของความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนอีก 5 ปีข้างหน้า, ถ้าเป็นผู้อยู่ในศีลธรรมจะปลอดภัย' http://www.ainews1.com/article286.html
    <table width="600" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td style="width: 150px;" width="150">
    </td> <td> เท้าไม่ติดพื้น
    แม้น ว่าภูฆ้องคำจะอยู่ไกล กันดาร แต่สานุศิษย์ ผู้เลื่อมใสศรัทธา ก็หลั่งไหลมาไม่ได้ขาด ทั้งทหาร ตำรวจ ชาวบ้านหรือแม้แต่พระเณร ต่างก็มาด้วยเชื่อมั่นในวัตรปฏิบัติของยายชีว่าควรค่าแก่การมาสักการะและ ปรึกษาข้อธรรม
    พระอาจารย์หน่อย(ไม่ทราบชื่อ ฉายา)เจ้าอาวาสวัดบ้านยาง อ.ดอนมดแดง จ.อุบลฯ เล่าว่า เคยเห็นยายชีเดินจงกรมโดยที่เท้าไม่ติดพื้น
    เกิดความอัศจรรย์ใจอย่างบอกไม่ถูก

    มาเพื่อชดใช้หนี้
    พูดถึงกำลังสำคัญในการพัฒนาวัด ต้องกล่าวถึงพระอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งมาสู่ภูฆ้องคำยุคแรก ท่านคือ พระอาจารย์อ้อด(อริศร ปญฺโญ)ที่อยู่ๆก็มาปรากฏตัวที่วัดภูฆ้องคำโดยไม่มีผู้ใดรู้ล่วงหน้า ท่านบอกแปลกๆว่าตั้งใจมาหายายชีเพื่อใช้หนี้

    </td></tr></tbody></table>​
    <table width="600" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td> ท่าน ได้กรุณาเล่าว่า สมัยภูหินร่องกล้ายังรบราฆ่าฟันกัน ระหว่างรัฐบาลกับคอมมิวนิสต์ ท่านและพระอีก 2รูปธุดงค์ไปพำนักอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่งบนภูหินร่องกล้า เกิดการรบอยู่บริเวณถ้ำนั้นพอดี ต้องหลบซ่อนอยู่ในถ้ำหลายวัน อดอาหารและน้ำอยู่ 9วัน ออกจากถ้ำไม่ได้ มีเสียงระเบิด เสียงปืนดังอยู่ตลอดเวลา ควันจากอาวุธพวยพุ่งเข้าถ้ำจนหายใจแทบไม่ออก นึกว่าคงไม่รอดกันแล้ว
    </td></tr> <tr> <td colspan="2"> ในขณะที่ตาพร่ามัวด้วยควันเข้าตา เห็นยายชีลอยเข้ามาตามกลุ่มควันนั้นแล้วพูดว่า
    'ข้าน้อยขอโอกาส..ถ้าหากจะออกจากถ้ำนี้โดยปลอดภัยขอให้พระอาจารย์ภาวนาคาถานี้'
    ยายชีบอกคาถาแล้วก็หายไป

    หลัง จากท่องคาถาแล้วพวกท่านสามารถออกจากถ้ำ ผ่านดงปืนและระเบิดมาได้อย่างปลอดภัย ภายหลังทราบว่ายายชีมาอยู่ที่ภูฆ้องคำ กำลังบุกเบิกสถานที่ เห็นเป็นโอกาสจะมาใช้หนี้ชีวิตจึงมาช่วยเป็นกำลังก่อสร้างให้

    ยายชีเป็นกำลังเงิน ด้วยว่าเงินจากญาติโยมจะตรงมาที่ยาย ท่านเป็นกำลังงาน ลงมือทำงานก่อสร้างอย่างเดียว
    ยาย ชีไม่ถือเงินหรือเก็บเงิน เมื่อมีศรัทธามาถวายก็มอบเงินให้พระอาจารย์อ้อดเป็นผู้เก็บรักษา ไม่ว่าจะ10บาท 20บาทก็ตาม พระอาจารย์ก็จะเก็บเงินรวบรวมไว้จนครบค่าวัสดุ เช่นครบค่าปูน1กระสอบก็ให้ชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อปูนมา การก่อสร้างที่สำคัญที่ท่านลงแรงไว้คือบันไดขึ้นภูเขา ทำทีละขั้นไปเรื่อยๆจนแล้วเสร็จ

    (ขอร่วมโมทนาบุญด้วยกับท่าน อดิศร ปุญโญ อย่างยิ่ง)
    กำลังจะทำฐานพระประธานบนเขาต่อ ยายชีก็มานิมนต์ให้พระอาจารย์อ้อดกลับไป 'ฐานพระประธานยังไม่เสร็จ องค์พระประธานยังไม่สร้างจะให้กลับทำไม'
    'บ้านเมืองกำลังจะวุ่นวายเดือดร้อน อาจารย์กลับไปเถอะ ไปหาที่บำเพ็ญภาวนาตามป่าตามเขาช่วยบ้านเมือง'
    'อาตมาเป็นพระผู้น้อย ไม่เก่งกล้าสามารถขนาดนั้น'
    'ไปเถอะไปภาวนาช่วยกัน'
    พระอาจารย์อ้อดเล่าว่า ยายชีวนเวียนนิมนต์ให้ท่านไปหลายรอบหลายครั้ง จนในที่สุดท่านจึงรับนิมนต์เดินทางกลับนครพนม

    เรื่อง นี้น่าคิดไม่น้อย เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2551 ยายชีทำพิธีบังสุกุลประเทศ ทำให้ทุกคนทุกฝ่าย ไม่ว่าเหลืองหรือแดงหรือประชาชนทั่วไป ท่านว่าพิธีนี้จะช่วยบรรเทาความวุ่นวายบ้านเมืองได้ระดับหนึ่ง ผู้ที่ตายไปแล้วก็จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศล ผู้ที่ยังไม่ตายก็จะปลอดภัยเป็นสุข มีที่น่าสนใจอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง ส่วนตัวของยายชีนั้น ท่านได้จดรายละเอียดของสัตว์ทุกชนิดที่ตายอยู่ในวัดตลอดมาจนถึงวันพิธี ไม่ว่าจะเป็นงู ตะขาบ กิ้งก่า มด ปลวก จิ้งจก หรือแม้แต่ไส้เดือน ท่านจดไว้หมด แล้วนำเข้าพิธีด้วย

    มาเอาวิชากับคาถาอาคม
    เท่า ที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสยายชีในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่ปีมานี้ เห็นว่าผู้ที่มาหายายชีถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไปมักมาพึ่งพาอาศัยขอให้ช่วย เรื่องนั้นเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องต้องใช้ศาสตร์วิชา ยายชีก็สงเคราะห์ให้เป็นรายๆ อีกส่วนหนึ่งมาเพื่ออยากได้วิชา ซึ่งส่วนนี้มักไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม

    แต่เป็นพวกที่หวังได้คาถาศักดิ์สิทธิ์ไปทำประโยชน์ตน ยายชีมักปฏิเสธไปว่า
    “ข้อยบ่ฮู้บ่จักอีหยังสักอย่าง หนังสือก็ไม่ได้เรียน เรื่องนี้ถ้าบุญของพวกเจ้าเคยสร้าง มันจะมาเองรู้เองดอก”

    เรื่อง ศาสตร์วิชาแปลกๆของยายชี เคยได้ยินผู้ใกล้ชิดยายชีเล่าว่า สมัยก่อนท่านมีวิชาหนูกับแมว ทำเป็นน้ำมันขึ้นมา เอาไปป้ายหนูกับแมวแล้วมันจะไม่กัดกัน ขังไว้ในกรงเดียวกันก็ไม่ทำร้ายกัน คงจะคล้ายๆกับที่อาจารย์ชุม ไชยคีรีเคยทำไว้แต่ต้นเค้าวิชาไม่ทราบมาทางเดียวกันหรือเปล่า

    เดี๋ยว นี้ยายชีเลิกไม่ทำอีกแล้ว เข้าใจว่าตั้งแต่รู้จักกราบไหว้หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง เรื่องวิชาคาถาอาคมจึงเพลาๆลงไป หันมาตั้งใจปฏิบัติจิตทำเพียรภาวนาแทน

    ถ้าเอ่ยชื่อหลวงพ่อชาให้ยายชีได้ยินเมื่อไหร่ยกมือไหว้ท่วมหัวเมื่อนั้น ยึดถือว่าเป็นครูบาอาจารย์สำคัญอีกองค์หนึ่ง

    ใน ส่วนที่เป็นของขลังเท่าที่เห็นยายชีทำแจกให้ญาติโยมนั้นเป็นรังไหม ข้าพเจ้าเคยได้รับและยังเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ไม่ทราบว่ารังไหมนั้นมีคุณอย่างไร ด้วยไม่เคยถาม แว่วๆเป็นเลาๆว่าเอาไว้คุ้มตัว รักษาตน เหมือนตัวไหมมีรังเป็นเปลือกหุ้มคุ้มภัย
    อีกอย่างหนึ่งที่ท่านชอบแจกให้ ผู้ใกล้ชิด คือแป้งหอม และ น้ำอบไทย แล้วให้คาถาไปสวดภาวนากำกับ ข้าพเจ้าเคยได้รับแต่จำคาถาไม่ได้จึงไม่เคยใช้
    แต่รับรองได้ว่ายายชีนี้ไม่ธรรมดา

    เหมือนที่หลวงปู่คำพันธ์ได้อุทานขึ้นเมื่อเห็นยายชีครั้งแรกที่วัดธาตุมหาชัย นครพนม
    'ยายชีนี่ไม่ธรรมดา วิชามีอยู่เต็มตัว'

    ปัจจุบันกาล
    ขณะ นี้(ธค.2551)ยายชีนวลอายุได้98ปี สังขารเสื่อมโทรมตามกาลเวลา เรี่ยวแรงหดหายไปสิ้น จะลุกนั่งเดินเหินลำบาก ความป่วยไข้รุมเร้าอย่างแสนสาหัส
    บางครั้งคล้ายหมดลมหายใจไป แต่ก็ยังกลับคืนมาหายใจได้

    ยายชีบอกว่า
    'นักปฏิบัติมักเป็นเช่นนี้ เรื่องของกรรมของแต่ละคน'

    ยาย ชีนวลไม่เคยแสดงอาการหวั่นไหวอ่อนแอให้ผู้ใดเห็น ที่ได้เห็นกันคือความองอาจกล้าหาญ ไม่สร้างความหนักใจแก่ผู้ปรนนิบัติดูแล นั่งนอนยืนเดินอยู่ในองค์ภาวนาตลอดเวลา

    นั่นคือการสอนศิษย์เทอมสุดท้าย สอนให้ทุกคนเห็นกับตาด้วยบทแห่งอนิจจัง.

    <sup>ยายชีนวล แสงทอง วัดภูฆ้องคำ บ้านดงตาหวาน อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันอายุประมาณ 93-94 ปี ยายชีนวลค่อนข้างจะมีความพิสดารอยู่ในตัวไม่น้อย จนแม้หลวงปู่คำพันธ์ได้เห็น ยายชีนวลครั้งแรก ยังแสดงอาการผงะและออกปากว่า 'ยายชีผู้นี้ไม่ใช่เล่น เป็นคนมีวิชาเต็มตัว' ซึ่งก็จริงตามนั้น เพราะว่ายายชีนวลมีลูกศิษย์ ลูกหา ทั้งโยมทั้งพระมากมาย ทั้งยังเป็นที่พึ่งคนทุกข์ใจทุกข์กายมาโดยตลอด
    </sup>

    <!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--fontc--><!--/fontc-->


    • [*] <!--fonto:Tahoma--><!--/fonto--><!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--coloro:#8b0000--><!--/coloro--><sup>ใน สมัยยายชีนวลเป็นสาวก็เป็นผู้ใฝ่ใน ธรรม ถือศีล ออกปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มากมายหลายสำนัก ทั้งยังเป็นสหายกับสำเร็จตัน ผู้ศิษย์สำเร็จลุนอีกด้วย สำเร็จตันจะไปไหนมักเรียกยายชีนวลไปด้วยกันเสมอพอถึงห้วงเวลาหนึ่ง ยายชีนวลก็แต่งงานมีครอบครัว โดยมีชายหนุ่มมาหลงรักและขอแต่งงาน ยายชีนวลได้กำหนดข้อแม้ว่า ถ้าจะแต่งงานกับฉันก็ได้ แต่ต้องรับว่ามี 2 ข้อที่ฉันจะขอเอาไว้คือ หนึ่ง ฉันจะไม่เข้าครัวทำอาหารให้กิน สองฉันจะไปจากบ้านกับพระกับเจ้าเมื่อไหร่ก็ไม่จำเป็นต้องบอก ชายหนุ่มผู้นั้นก็ยอมรับยายชีนวลใช้ชีวิตแต่งงานอยู่นานพอสมควรก็ขอลาสามี ออกบวชชี และบวชเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้</sup>
      [*] <sup>ประสบการณ์ในการพบเห็นพญานาคของยายชีนวลเกิด ขึ้นขณะยายชีนวลมีอายุประมาณ 16-17 ปี ได้บวชเป็นชีแล้ว และด้วยความที่เป็นผู้อุปนิสัยเป็นอิสระในทุกๆ อย่าง นึกจะไปไหนก็ไป ไม่เคยกลัวอะไร จึงออกธุดงค์ไปถ้ำแกลบ ซึ่งชาวบ้านร่ำลือว่ามีอาถรรพณ์และความน่ากลัวแอบแฝงอยู่ถ้ำแกลบอยู่ใน พื้นที่ของอำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร </sup><!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--fontc--><!--/fontc-->
      [*] <!--fonto:Tahoma--><!--/fonto--><!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--coloro:#8b0000--><!--/coloro--><sup>ใน สมัยปี 2472 นั้น บริเวณถ้ำแกลบคือ ป่าดงดิบรกทึบน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด ชาวบ้านละแวกนี้นไม่กล้าออกไปหาของป่า หรือไปทำอะไรอยู่แถวๆ นั้น ด้วยมีคนเคยเห็นงูขนาดยักษ์ เลื้อยเข้าอออกถ้ำแกลบบ่อย ๆ เมื่อชาวบ้านเห็นแม่ชีสาวเดินธุดงค์มา และบอกความประสงค์จะขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำแกลบ ชาวบ้านก็ตกใจพากันห้ามปรามทัดทานเอาไว้ แต่ไม่สำเร็จ ไม่สามารถเปลี่ยนใจแม่ชีสาวได้ แม้แต่จะเดินทางไปส่งแม่ชีสาวถึงถ้ำแกลบก็ยังไม่มีใครยอมไป คงเพียงแต่อธิบายบอกทางและวิธีไปถึงถ้ำแกลบเท่านั้น</sup>




    • [*] <sup>หลัง จากแม่ชีสาวเดินขึ้นถ้ำแกลบเล้วก็หายเงียบไปเป็นเวลาแรมเดือน โดยไม่เคยมีใครได้ข่าว หรือเห็นแม่ชีสาวกลับลงมาหมู่บ้านเพื่อหาเสบียงอาหารชาวบ้านทั้งหลายเริ่ม วิพากษ์วิจารณ์ด้วยความรู้สึกนึกคิดไปประการต่าง ๆ ทั้งประหลาดใจ และห่วงใยแม่ชีสาว ซึ่งอายุก็ยังน้อยอยู่ จนที่สุดชาวบ้านประมาณ 10 คน รวมกลุ่มคนใจกล้าแล้วก็ตัดสินเดินกันขึ้นถ้ำแกลบเพื่อดูแม่ชีสาวว่าอยู่ อย่างไรเมื่อไปถึงถ้ำแกลบ ทุกคนก็ตกตะลึงพรึงเพริด ขนลุกขนชันแทบคุมสติไม่อยู่ตรงปากถ้ำนั้นมีงูหนอนแดง ลำตัวขาวขนาดใหญ่พันรัดลำตัวของแม่ชีสาวเอาไว้ จนเห็นแค่ใบหน้าและศีรษะของแม่ชีสาวเท่านัน</sup>
      [*] <sup>ชาว บ้านทุกคนเชื่อว่าขณะนั้นแม่ชีสาวคงจะเสียชีวิตไปแล้ว ก็พากันเผ่นหนีกลับลงมาหมู่บ้าน และเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นให้คนทั้งหมู่บ้านฟัง แล้วสรุปว่าแม่ชีสาวตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
      หลังจากนั้นอีก 2 วัน ชาวบ้านทั้งหลายก็มีอันต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อได้เห็นแม่ชีสาวเดินกลับลงมาจากถ้ำแกลบถึงหมู่บ้านโดยปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งยังบอกแก่ชาวบ้านว่า
      “ไม่ต้องกลัวท่านพญานาค นั้นหรอก เพราะว่าท่านเป็นพญานาคมีศีลและปฏิบัติธรรมด้วย ขอเพียงให้ชาวบ้านเราทุกคนเมื่อจะขึ้นเขาหาของป่า หรือเข้าใกล้บริเวณนั้น ให้พากันบอกกล่าวท่านก่อน ให้เรียกชื่อท่านว่า พญานาคคำขาว แล้วทุกคนจะปลอดภัย ไม่มีอันตราย หากินก็จะง่าย”
      ชาวบ้านทุกคนก้มกราบแม่ชีสาวด้วยความศรัทธาเลื่อมใส และยังกล่าวขวัญถึงเรื่องนี้สืบต่อมาจนทุกวันนี้
      ปัจจุบันแม่ชีสาวนั้นกลายเป็นยายชีอายุเกือบ 100 ปี พำนักอยู่เพียงลำพังองค์เดียวในวัดภูฆ้องคำที่ไม่มีแม้แต่พระหรือเณรอยู่ อาศัย
      เมื่อ กลางปีที่แล้วยายชีนวลถูกงูกัด (เขาลือว่าเป็นงูจงอาง) คิดว่าตนเองจะต้องตายแน่แล้ว จึงกระเสือกกระสนขึ้นกุฏิเข้าพักในนั้น ปิดประตูเงียบจนตลอดคืน พอรุ่งเช้าก็ออกมา ไม่ตาย แถมยังแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เดินเหินคล่องแคล่วกว่าเดิมอีกด้วย
      ยายชี นวลมีวิชาความรู้ดีจริง สมคำหลวงปู่คำพันธ์ว่าไว้ได้ช่วยเหลือญาติโยมมามาก แต่เป็นคนไม่ใคร่พูดเรื่องความหลัง หรืออวดวิชา ใครสนทนาซักถาม มักจะตอบว่า
      “บ่อู้ บ่จัก” (ไม่รู้ ไม่เป็น)
      แต่ ถ้าสนิทชิดเชื้อแล้ว จะทราบเองว่ายายชีเก่ง และมีเรื่องราวพิสดารแต่หนหลังมากมาย ไว้มีโอกาสอาจจะเขียนถึงยายชีเป็นการเฉพาะโดยละเอียดทีหลัง...ที่</sup>
    http://www.suankhlang.com/ipb//index.php?showtopic=77

    ปัจจุบันกาล
    ขณะ นี้(ธค.2551)ยายชีนวลอายุได้98ปี สังขารเสื่อมโทรมตามกาลเวลา เรี่ยวแรงหดหายไปสิ้น จะลุกนั่งเดินเหินลำบาก ความป่วยไข้รุมเร้าอย่างแสนสาหัส
    บางครั้งคล้ายหมดลมหายใจไป แต่ก็ยังกลับคืนมาหายใจได้

    ยายชีบอกว่า 'นักปฏิบัติมักเป็นเช่นนี้ เรื่องของกรรมของแต่ละคน'

    ยาย ชีนวลไม่เคยแสดงอาการหวั่นไหวอ่อนแอให้ผู้ใดเห็น ที่ได้เห็นกันคือความองอาจกล้าหาญ ไม่สร้างความหนักใจแก่ผู้ปรนนิบัติดูแล นั่งนอนยืนเดินอยู่ในองค์ภาวนาตลอดเวลา

    นั่นคือการสอนศิษย์เทอมสุดท้าย สอนให้ทุกคนเห็นกับตาด้วยบทแห่งอนิจจัง.

    <sup>ยายชีนวล แสงทอง วัดภูฆ้องคำ บ้านดงตาหวาน อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันอายุประมาณ 93-94 ปี
    ยายชีนวลค่อนข้างจะมีความพิสดารอยู่ในตัวไม่น้อย จนแม้หลวงปู่คำพันธ์ได้เห็นยายชีนวลครั้งแรก ยังแสดงอาการผงะและออกปากว่า 'ยายชีผู้นี้ไม่ใช่เล่น เป็นคนมีวิชาเต็มตัว' ซึ่งก็จริงตามนั้น เพราะว่ายายชีนวลมีลูกศิษ์ลูกหา ทั้งโยมทั้งพระมากมาย ทั้งยังเป็นที่พึ่งคนทุกข์ใจทุกข์กายมาโดยตลอด
    </sup><!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--fontc-->
    <!--/fontc--> <!--fonto:Tahoma--><!--/fonto--><!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--coloro:#8b0000--><!--/coloro--><sup>ใน สมัยยายชีนวลเป็นสาวก็เป็นผู้ใฝ่ใน ธรรม ถือศีล ออกปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มากมายหลายสำนัก ทั้งยังเป็นสหายกับสำเร็จตัน ผู้ศิษย์สำเร็จลุนอีกด้วย สำเร็จตันจะไปไหนมักเรียกยายชีนวลไปด้วยกันเสมอ
    พอ ถึงห้วงเวลาหนึ่ง ยายชีนวลก็แต่งงานมีครอบครัว โดยมีชายหนุ่มมาหลงรักและขอแต่งงาน ยายชีนวลได้กำหนดข้อแม้ว่า ถ้าจะแต่งงานกับฉันก็ได้ แต่ต้องรับว่ามี 2 ข้อที่ฉันจะขอเอาไว้คือ หนึ่ง ฉันจะไม่เข้าครัวทำอาหารให้กิน สองฉันจะไปจากบ้านกับพระกับเจ้าเมื่อไหร่ก็ไม่จำเป็นต้องบอก ชายหนุ่มผู้นั้นก็ยอมรับ
    ยายชีนวลใช้ชีวิตแต่งงานอยู่นานพอสมควรก็ขอลาสามีออกบวชชี และบวชเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้
    ประสบการณ์ ในการพบเห็นพญานาคของยายชีนวลเกิดขึ้นขณะยายชีนวลมีอายุประมาณ 16-17 ปี ได้บวชเป็นชีแล้ว และด้วยความที่เป็นผู้อุปนิสัยเป็นอิสระในทุกๆ อย่าง นึกจะไปไหนก็ไป ไม่เคยกลัวอะไร จึงออกธุดงค์ไปถ้ำแกลบ ซึ่งชาวบ้านร่ำลือว่ามีอาถรรพณ์และความน่ากลัวแอบแฝงอยู่
    ถ้ำแกลบอยู่ในพื้นที่ของอำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร </sup><!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--fontc-->
    <!--/fontc--> <!--fonto:Tahoma--><!--/fonto--><!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--coloro:#8b0000--><!--/coloro--><sup>ใน สมัยปี 2472 นั้น บริเวณถ้ำแกลบคือ ป่าดงดิบรกทึบน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด ชาวบ้านละแวกนี้นไม่กล้าออกไปหาของป่า หรือไปทำอะไรอยู่แถวๆ นั้น ด้วยมีคนเคยเห็นงูขนาดยักษ์เลื้อยเข้าอออกถ้ำแกลบบ่อย ๆ
    เมื่อชาวบ้าน เห็นแม่ชีสาวเดินธุดงค์มา และบอกความประสงค์จะขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำแกลบ ชาวบ้านก็ตกใจพากันห้ามปรามทัดทานเอาไว้ แต่ไม่สำเร็จ ไม่สามารถเปลี่ยนใจแม่ชีสาวได้ แม้แต่จะเดินทางไปส่งแม่ชีสาวถึงถ้ำแกลบก็ยังไม่มีใครยอมไป คงเพียงแต่อธิบายบอกทางและวิธีไปถึงถ้ำแกลบเท่านั้น
    หลังจากแม่ชีสาวเดิน ขึ้นถ้ำแกลบเล้วก็หายเงียบไปเป็นเวลาแรมเดือน โดยไม่เคยมีใครได้ข่าว หรือเห็นแม่ชีสาวกลับลงมาหมู่บ้านเพื่อหาเสบียงอาหาร
    ชาวบ้านทั้งหลาย เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความรู้สึกนึกคิดไปประการต่าง ๆ ทั้งประหลาดใจ และห่วงใยแม่ชีสาว ซึ่งอายุก็ยังน้อยอยู่ จนที่สุดชาวบ้านประมาณ 10 คน รวมกลุ่มคนใจกล้าแล้วก็ตัดสินเดินกันขึ้นถ้ำแกลบเพื่อดูแม่ชีสาวว่าอยู่ อย่างไร
    เมื่อไปถึงถ้ำแกลบ ทุกคนก็ตกตะลึงพรึงเพริด ขนลุกขนชันแทบคุมสติไม่อยู่
    ตรงปากถ้ำนั้นมีงูหนอนแดง ลำตัวขาวขนาดใหญ่พันรัดลำตัวของแม่ชีสาวเอาไว้ จนเห็นแค่ใบหน้าและศีรษะของแม่ชีสาวเท่านัน
    ชาว บ้านทุกคนเชื่อว่าขณะนั้นแม่ชีสาวคงจะเสียชีวิตไปแล้ว ก็พากันเผ่นหนีกลับลงมาหมู่บ้าน และเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นให้คนทั้งหมู่บ้านฟัง แล้วสรุปว่าแม่ชีสาวตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
    หลังจากนั้นอีก 2 วัน ชาวบ้านทั้งหลายก็มีอันต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อได้เห็นแม่ชีสาวเดินกลับลงมาจากถ้ำแกลบถึงหมู่บ้านโดยปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งยังบอกแก่ชาวบ้านว่า
    “ไม่ต้องกลัวท่านพญานาค นั้นหรอก เพราะว่าท่านเป็นพญานาคมีศีลและปฏิบัติธรรมด้วย ขอเพียงให้ชาวบ้านเราทุกคนเมื่อจะขึ้นเขาหาของป่า หรือเข้าใกล้บริเวณนั้น ให้พากันบอกกล่าวท่านก่อน ให้เรียกชื่อท่านว่า พญานาคคำขาว แล้วทุกคนจะปลอดภัย ไม่มีอันตราย หากินก็จะง่าย”
    ชาวบ้านทุกคนก้มกราบแม่ชีสาวด้วยความศรัทธาเลื่อมใส และยังกล่าวขวัญถึงเรื่องนี้สืบต่อมาจนทุกวันนี้
    ปัจจุบันแม่ชีสาวนั้นกลายเป็นยายชีอายุเกือบ 100 ปี พำนักอยู่เพียงลำพังองค์เดียวในวัดภูฆ้องคำที่ไม่มีแม้แต่พระหรือเณรอยู่ อาศัย
    เมื่อ กลางปีที่แล้วยายชีนวลถูกงูกัด (เขาลือว่าเป็นงูจงอาง) คิดว่าตนเองจะต้องตายแน่แล้ว จึงกระเสือกกระสนขึ้นกุฏิเข้าพักในนั้น ปิดประตูเงียบจนตลอดคืน พอรุ่งเช้าก็ออกมา ไม่ตาย แถมยังแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เดินเหินคล่องแคล่วกว่าเดิมอีกด้วย
    ยายชี นวลมีวิชาความรู้ดีจริง สมคำหลวงปู่คำพันธ์ว่าไว้ได้ช่วยเหลือญาติโยมมามาก แต่เป็นคนไม่ใคร่พูดเรื่องความหลัง หรืออวดวิชา ใครสนทนาซักถาม มักจะตอบว่า 'บ่อู้ บ่จัก' (ไม่รู้ ไม่เป็น)
    แต่ ถ้าสนิทชิดเชื้อแล้ว จะทราบเองว่ายายชีเก่ง และมีเรื่องราวพิสดารแต่หนหลังมากมาย ไว้มีโอกาสอาจจะเขียนถึงยายชีเป็นการเฉพาะโดยละเอียดทีหลัง...ที่</sup>
    http://www.suankhlang.com/ipb//index.php?showtopic=77

    </td></tr></tbody></table>​
     
  9. ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ขันติปรมัตถบารมี
    เกิดเป็น ขันติวาทีดาบส ที่มา : ขันติวาทิชาดก

    นอดีตกาล พระเจ้ากาสีพระนามว่า กลาปุ ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูล
    พราหมณ์มหาศาล มีนามว่า กุณฑลกุมาร เล่าเรียนสรรพวิชาจากสำนักตักศิลา เมื่อบิดามารดาล่วงลับไป กุณฑลมาณพ
    ก็พิจารณาว่าทรัพย์ทั้งหลายตายแล้วไม่สามารถนำติดตัวไปได้ จึงได้นำทรัพย์ทั้งหมดออกบริจาคเป็นทาน แล้วออกบวช
    เป็นดาบส บำเพ็ญพรตในป่าหิมพานต์
    พระดาบสอยู่ในป่า มีผลไม้เป็นอาหาร นานวันเข้าก็ต้องการเสพรสเค็มและรสเปรี้ยวบ้าง จึงได้จาริกออกจากป่ามายังนคร
    พาราณสี แล้วเข้าไปอยู่ในราชอุทยาน วันรุ่งขึ้น พระดาบสเที่ยวภิกขาจารไปในนคร เสนาบดีเลื่อมใสในอิริยาบถของพระ
    ฤาษีจึงเชิญให้มาฉันในเรือน และให้พักอยู่ในราชอุทยานนั้น วันหนึ่ง พระเจ้ากลาปุทรงมึนเมาน้ำจัณฑ์ เสด็จไปราช
    อุทยานห้อมล้อมด้วยสนมนางใน พระองค์ให้ปูที่บรรทมบนแผ่นหิน แล้วบรรทมเหนือตักนางสนมคนโปรด ให้สนมนางอื่น
    ขับร้องและฟ้อนรำจนบรรทมหลับไป ลำดับนั้น เหล่านางสนมก็พากันกล่าวว่า พระราชาหลับแล้ว พวกเราขับร้องและฟ้อน
    รำเพื่อประโยชน์อะไร จึงทิ้งเครื่องดนตรีแล้วหลีกไปเที่ยวชมราชอุทยาน พวกนางสนมไปพบพระดาบสนั่งบำเพ็พรตอยู่
    โคนไม้ จึงเข้าไปกราบไหว้ขอฟังธรรม พระดาบสจึงแสดงธรรมแก่หญิงเหล่านั้น ฝ่ายพระราชา ตื่นบรรทมขึ้นมาไม่เห็น
    พระสนมนางอื่น จึงตรัสว่า พวกหญิงถ่อยไปไหน พระสนมคนโปรดกราบทูลว่า หญิงเหล่านั้นไปนั่งล้อมดาบสรูปหนึ่ง พระ
    ราชาทรงกริ้ว ถือพระขรรค์รีบเสด็จไปด้วยตั้งพระทัยว่าจักตัดหัวของพระดาบสนั้น ฝ่ายพระสนมคนโปรดก็ไปแย่งเอา
    พระแสงดาบจากพระหัตถ์ของพระราชาไปเสีย และกล่าววาจาให้พระราชาสงบพระทัย พระราชาเสด็จไปยืนหน้าพระ
    ดาบส ตรัสถามว่า สมณะ แกมีวาทะว่ากระไร พระดาบสทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีขันติวาทะ กล่าวยกย่องขันติ
    พระราชาตรัสว่า ที่ชื่อว่าขันตินั้น คืออะไร พระดาบสทูลว่า คือความไม่โกรธในเมื่อเขาด่าอยู่ ประหารอยู่ เย้ยหยันอยู่
    พระราชาตรัสว่า ประเดี๋ยว เราจักเห็นความมีขันติของแก แล้วพระราชาก็รับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตมาจับพระดาบส เฆี่ยน
    ด้วยแซ่หนามสองพันครั้ง ทั้งข้างหน้า ข้างหลัง และด้านข้างทั้งสอง จนผิวพระฤาษีขาด พระโลหิตไหลนอง พระราชา
    ตรัสถามอีกว่า เจ้ามีวาทะว่ากระไร

    พระดาบสทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีวาทะยกย่องขันติ ก็พระองค์สำคัญว่า ขันติมีในระหว่างหนังของอาตมา ขันติไม่ได้มี
    ในระหว่างหนังของอาตมา มหาบพิตร ก็ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัย ซึ่งพระองค์ไม่อาจแลเห็น

    พระราชาได้ฟัง จึงตรัสสั่งให้เพชฌฆาตตัดมือและเท้าทั้งสองข้างของพระดาบส จนโลหิตของพระดาบสไหลพุ่งออกมา
    เหมือนน้ำไหลออกจากหม้อทะลุ พระราชาตรัสถามอีกว่า เจ้ามีวาทะว่ากระไร พระดาบสทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีวาทะ
    ยกย่องขันติ ก็พระองค์สำคัญว่า ขันติมีอยู่ที่ปลายมือปลายเท้าของอาตมา ขันตินั่นไม่มีอยู่ที่นี้ เพราะขันติของอาตมาตั้ง
    อยู่เฉพาะภายในหทัย อันสถานที่ลึกซึ้ง พระราชาจึงสั่งให้เพชฌฆาตตัดหูและจมูกพระดาบสอีก พระราชาตรัสถามอีกว่า
    เจ้ามีวาทะกระไร พระโพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีวาทะยกย่องขันติ แต่พระองค์ได้สำคัญว่า ขันติตั้งอยู่เฉพาะที่
    ปลายหู ปลายจมูก ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัยอันลึก พระราชาตรัสว่า เจ้าดาบสโกง เจ้าจงนั่งเชิดชูขันติ
    ของเจ้าอยู่ที่นี้เถิด แล้วพระองค์ก็กระทืบยอดอกพระดาบส แล้วเสด็จจากไป

    เมื่อพระราชาเสด็จไปแล้ว เสนาบดีเช็ดโลหิตจากร่างกายของพระดาบส เก็บรวบรวมปลายมือ ปลายเท้า ปลายหู และ
    ปลายจมูกไว้ที่ชายผ้า ค่อยๆ ประคองให้พระดาบสนั่ง กราบไหว้แล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าท่านจะโกรธ ควรโกรธพระ
    ราชาผู้ทำผิดในท่านนั้นเถิด อย่าได้ทำรัฐนี้ให้พินาศเสียเลย

    พระดาบสจึงกล่าวว่า พระราชาพระองค์ใดรับสั่งให้ตัดมือ เท้า หู และจมูกของอาตมภาพ ขอพระราชาพระองค์นั้นจงทรง
    พระชนม์ยืนนาน บัณฑิตทั้งหลายเช่นกับอาตมภาพ ย่อมไม่โกรธเคือง

    แล้วพระดาบสก็สิ้นชีวิตลงในวันนั้น

    ฝ่ายพระราชา เมื่อเสด็จออกจากพระราชอุทยาน ลับคลองจักษุของดาบสเท่านั้น มหาปฐพีหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็
    แยกออก มีเปลวไฟจากนรกแลบออกมา กระชากจับพระราชาเข้าสู่อเวจีนรกที่หน้าประตูพระราชอุทยานนั่นเอง

    (พระเจ้ากลาปุ มาเกิดเป็น พระเทวทัต
    เสนาบดี มาเกิดเป็น พระสารีบุตร
    พระดาบส มาเกิดเป็น พระสมณโคตมพุทธเจ้า)




    <input name="Itemid" value="0" type="hidden"> <input name="yvCommentID" value="0" type="hidden"> <input name="ArticleID" value="1912" type="hidden"> <input name="task" value="add" type="hidden"> <input name="view" value="comment" type="hidden"> <input name="url" value="aHR0cDovL3d3dy53YXRwYW5vbnZpdmVrLmNvbS9pbmRleC5waHA/b3B0aW9uPWNvbV9jb250ZW50JnZpZXc9YXJ0aWNsZSZpZD0xOTEyOjIwMTAtMDQtMDYtMDMtMDQtNDgmY2F0aWQ9NDQ6MjAxMC0wMy0wMi0wMy01MC0xMSN5dkNvbW1lbnQxOTEy" type="hidden"> <input name="button" value="" type="hidden"> <script language="javascript" type="text/javascript"> <!-- function submitbuttonyvCommentForm8459_4080(pressbutton) { var form = document.yvCommentForm8459_4080; switch (pressbutton) { case "post": case "preview": // do field validation // TODO break; default: } form.button.value = pressbutton; form.submit(); } //--> </script> <table width="100%"><tbody><tr><td class="LeftColumn" title="YOURALIAS_TIP">
    </td> <td>
    </td></tr></tbody></table>
     
  10. ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    ขอบคุณนะคะ คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ainteerati<!-- google_ad_section_end --> ที่นำเรื่องดีๆมาให้อ่าน......ครูบาอาจารย์ ของ ศิลามณี ท่านเคยสอน ท่านว่าเวลาทำบุญทำกุศล หรือ หลังใส่บาตแล้ว.........อย่าลืมแผ่ผลบุญที่ทำมาอุทิศให้... .... พระเทวทัตด้วย ..

    ท่านว่าพอ พระเทวทัต ใช้กรรมแล้ว พ้นจากนรก....จะได้รับผลบุญ และ อาหารที่ใส่บาตไป....อืมร์ ท่านคงแปลกประหลาดใจนิ....ว่าใครส่งมา ดูไปดูมา อ้อ ยัยคนนี้นี่เอง...ที่ส่งมาให้ เออขอบใจๆๆ คิกๆๆประมาณนี้มังคะ ..แต่จริงๆแล้ว ศิลามณี เ ข้าใจเอาเองว่า ครูบาอาจารย์ ท่านคงต้องการสอน ให้มีความเมตตา กรุณา..แม้ผู้นั่นจะเป็นคนไม่ดี ....

    ศิลามณี เคยอ่านในหนังสือ เห็นมีพยากรณ์ไว้ว่า ภายหลังพระเทวทัต จะสำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า....พระปัจเจกพระพุทธเจ้า ..นี่เหมือนกับ พระพุทธเจ้า หรือเปล่านี่ ศิลามณี ก็ไม่ทราบ.. คะ



     
  11. ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1169695/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • popup-27.html
      ขนาดไฟล์:
      2.5 KB
      เปิดดู:
      977
  12. ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275


    • พระพุทธเจ้าเคยกำเนิดเป็นพญานาค

    พระพุทธเจ้าทรงแสดงอดีตนิทานว่า
    พระองค์เคยเกิดเป็นพญานาค


    ดังที่ปรากฏใน

    • อรรถกถาจัมเปยยชาดก ขุททกนิกาย ชาดก
    เล่ม ๓ ภาค ๗ หน้า ๑๘๕


    พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
    ทรงปรารภอุโบสถกรรม ความว่า
    ดูก่อนอุบาสกบาสิกาทั้งหลาย
    การที่ท่านทั้งหลายอยู่รักษาอุโบสถกรรมเป็นความดี
    โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ละนาคสมบัติแล้ว
    อยู่รักษาอุโบสถกรรมเหมือนกัน
    อุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้นทูลอาราธนา
    จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้

    ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า
    พระเจ้าอังคติราช เสวยราชสมบัติอยู่ในอังครัฐราชธานี
    ในระหว่างแคว้นอังคะและมคธะต่อกันมีแม่น้ำชื่อจัมปานที

    ได้มีนาคพิภพอยู่ใต้แม่น้ำจัมปานทีนั้น
    พระยานาคราชชื่อว่า จัมเปยยะ
    ครองราชสมบัติในนาคพิภพนั้น
    (โดยปกติ พระราชาแห่งแคว้นทั้งสอง
    เป็นศัตรูกระทำยุทธชิงชัยแก่กันและกันเนือง ๆ
    ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ)

    บางครั้งพระเจ้ามคธราช ยึดแคว้นอังคะได้
    บางครั้งพระเจ้าอังคราชยึดแคว้นมคธได้.

    อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ามคธราช
    กระทำยุทธนาการกับพระเจ้าอังคราชทรงปราชัยต่อยุทธสงคราม
    เสด็จขึ้นม้าพระที่นั่งหลบหนีไป
    ถึงฝั่งจัมปานทีพวกทหารพระเจ้าอังคราช
    ติดตามไปทันเข้า
    จึงทรงพระดำริว่าเราโดดน้ำตายเสีย
    ดีกว่าตายในเงื้อมมือของข้าศึก
    ดังนี้แล้วจึงโจนลงสู่แม่น้ำพร้อมทั้งม้าพระที่นั่ง

    ครั้งนั้น จัมเปยยนาคราช เนรมิตมณฑปแก้วไว้ภายในห้วงน้ำ
    แวดล้อมด้วยบริวารเป็นอันมากดื่มมหาปานะอยู่
    ม้าพระที่นั่งกับพระเจ้ามคธราช จมน้ำดิ่งลงไป
    เฉพาะพระพักตร์แห่งพระยานาคราช
    พระยานาคราชเห็นพระราชาทรงเครื่องประดับตกแต่ง
    ก็บังเกิดความสิเนหา จึงลุกจากอาสนะทูลว่า

    ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย
    แล้วอัญเชิญให้พระราชาประทับนั่งบนบัลลังก์ของตน
    ทูลถามถึงเหตุที่ดำน้ำลงมา
    พระเจ้ามคธราชตรัสเล่าความตามเป็นจริง
    <table class="forumline" width="100%" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1"><tbody><tr><td class="row1" valign="top"><table width="94%" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="postbody" valign="top">ลำดับนั้น จัมเปยยนาคราช
    ปลอบโยนพระเจ้ามคธราชให้เบาพระทัยว่า

    ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย
    ข้าพระพุทธเจ้าจักช่วยจัดการให้พระองค์เป็นเจ้าของทั้งสองรัฐ

    ดังนี้แล้วเสวยยศอันยิ่งใหญ่อยู่ ๗ วัน
    ในวันที่ ๘ จึงออกจากนาคพิภพพร้อมด้วยพระเจ้ามคธราช

    พระเจ้ามคธราชทรงจับพระเจ้าอังคราชได้
    ด้วยอานุภาพของพระยานาคราช
    แล้วตรัสสั่งให้สำเร็จโทษเสีย
    เสวยราชสมบัติในสองรัฐสีมามณฑล

    นับแต่นั้นมาความวิสาสะคุ้นเคยระหว่างพระเจ้ามคธราช
    กับพระยานาคราชก็ได้กระชับมั่นคงยิ่งขึ้น

    พระเจ้ามคธราชให้สร้างรัตนมณฑปขึ้นที่ฝั่งจัมปานที
    แล้วเสด็จออกกระทำพลีกรรมแก่พระยานาคราช
    ด้วยมหาบริจาคทุก ๆ ปี

    แม้พระยานาคราชก็ออกจากนาคพิภพมารับพลีกรรม
    พร้อมด้วยมหาบริวาร
    มหาชนพากันมาเฝ้าดูสมบัติของพระยานาคราช

    ในกาลนั้นพระบรมโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเข็ญใจ
    ไปที่ฝั่งน้ำพร้อมด้วยราชบริษัท
    เห็นสมบัติของพระยานาคราชนั้นแล้ว
    ก็เกิดโลภเจตนาปรารถนาจะได้สมบัตินั้น
    จึงทำบุญให้ทานรักษาศีล

    พอ จัมเปยยนาคราช ทำกาลกิริยาไปได้ ๗ วัน
    ก็จุติไปบังเกิดเหนือสิริไสยาสน์
    ณ ห้องอันมีสิริในปราสาทที่อยู่ของจัมเปยยนาคราชนั้น

    สรีระร่างกายของพระบรมโพธิสัตว์ได้ปรากฏใหญ่โต
    มีวรรณะขาวราวกะพวงดอกมะลิสด
    พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น ก็เกิดวิปฏิสาร
    คิดไปว่า อิสริยยศในฉกามาวจรสวรรค์
    เป็นเสมือนข้าวเปลือกที่เขาโกยกองเก็บไว้ในฉาง
    ได้มีแก่เรา ด้วยผลแห่งกุศลที่เราทำไว้

    เราสิกลับมาถือปฏิสนธิในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนี้
    ประโยชน์อะไรที่เราจะมีชีวิตอยู่ดังนี้แล้วเกิดความคิดที่จะตาย

    ลำดับนั้นนางนาคมาณวิกา ชื่อว่า สุมนา
    เห็นพระมหาสัตว์นั้นแล้วดำริว่า
    ชะรอยจักเป็นสัตว์ผู้มีอานุภาพมากมาเกิดแน่
    ดังนี้แล้วจึงให้สัญญาแก่นางนาคมาณวิกาทั้งหลาย

    นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นทั้งหมดต่างถือนานาดุริยสังคีต
    มากระทำการบำเรอขับกล่อมพระมหาสัตว์
    นาคพิภพที่สถิตของพระมหาสัตว์นั้น
    ได้ปรากฏเสมือนพิภพแห่งท้าวสักกเทวราช
    มรณจิต (คือจิตที่คิดอยากตาย) ของพระมหาสัตว์ก็ดับหายไป

    พระมหาสัตว์เจ้าละเสียซึ่งสรีระของงู
    ทรงประดับเครื่องสรรพาลังการประทับเหนือพระแท่นบรรทม
    นับจำเดิมแต่นั้นมา พระอิสริยยศก็ปรากฏแก่พระมหาสัตว์เจ้ามาก
    • เมื่อนาคอยากเป็นมนุษย์จึงรักษาอุโบสถศีล

    เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าเสวยนาคราชสมบัติอยู่ในนาคพิภพนั้น
    ในเวลาต่อมาก็เกิดวิปฏิสาร
    คิดว่าประโยชน์อะไรด้วยกำเนิดดิรัจฉานนี้แก่เรา
    เราจักอยู่รักษาอุโบสถกรรม
    พ้นจากอัตภาพนี้ไปสู่ดินแดนมนุษย์
    จักได้แทงตลอดสัจธรรม กระทำที่สุดแห่งทุกข์ดังนี้

    นับจำเดิมแต่นั้น ก็ทรงรักษาอุโบสถกรรม
    อยู่ในปราสาทนั้นทีเดียว


    พวกนางมาณวิกาตกแต่งกายงดงาม
    พากันไปยังสำนักของพระมหาสัตว์นั้น
    ศีลของพระมหาสัตว์ก็วิบัติทำลายอยู่เนือง ๆ

    จำเดิมแต่นั้นพระมหาสัตว์เจ้า
    จึงออกจากปราสาทไปสู่พระอุทยาน
    นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นก็ติดตามไปแม้ในพระอุทยาน
    อุโบสถศีลของพระมหาสัตว์ก็แตกทำลายอยู่ร่ำไป

    ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าทรงจินตนาการว่า
    ควรที่เราจะออกจากนาคพิภพนี้
    ไปยังมนุษยโลกอยู่รักษาอุโบสถ


    นับแต่นั้นมาเมื่อถึงวันอุโบสถ
    พระองค์ก็ออกจากนาคพิภพไปยังมนุษยโลก
    ทรงประกาศสละร่างกาย ในทานว่า

    “ใครจะมีความต้องการอวัยวะของเรามีหนังเป็นต้นจงถือเอาเถิด
    ใครต้องการจะทำให้เราเล่นกีฬางูก็จงกระทำเถิด”


    แล้วคู้ขดขนดกายนอนรักษาอุโบสถอยู่ที่ยอดจอมปลวก
    ใกล้มรรคาแถบปัจจันตชนบทแห่งหนึ่ง
    ชนทั้งหลายเดินผ่านไปมา
    ในหนทางใหญ่เห็นพระโพธิสัตว์เจ้า
    แล้วพากันบูชาด้วยเครื่องสักการะมีของหอมเป็นต้นแล้วหลีกไป

    ชาวปัจจันตชนบทไปพบแล้วคิดว่า
    คงจักเป็นนาคราชผู้มีมหิทธานุภาพ
    จึงจัดทำมณฑปขึ้นเบื้องบน
    ช่วยกันเกลี่ยทรายรอบบริเวณ
    แล้วบูชาด้วยสักการะมีของหอมเป็นต้นจำเดิมแต่นั้นมา
    มนุษย์ทั้งหลายก็เลื่อมใสในพระมหาสัตว์เจ้า
    ทำการบูชาปรารถนาบุตรบ้าง ปรารถนาธิดาบ้าง

    แม้พระมหาสัตว์เจ้าทรงรักษาอุโบสถกรรม
    ถึงวันจาตุททสีและปัณณรสี ดิถี ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ
    ก็มานอนอยู่เหนือจอมปลวก


    ต่อในวันปาฏิบทแรมค่ำหนึ่ง จึงกลับไปสู่นาคพิภพ
    เมื่อพระมหาสัตว์เจ้ารักษาอุโบสถอยู่อย่างนี้เวลาล่วงไปเนิ่นนาน

    อยู่มาวันหนึ่ง นางสุมนาอัครมเหสี ทูลถามพระมหาสัตว์ว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
    พระองค์เสด็จไปยังมนุษยโลกเข้าอยู่รักษาอุโบสถศีลนั้น
    ความจริง มนุษยโลกน่ารังเกียจ มีภัยรอบด้าน

    หากว่าภัยจะพึงบังเกิดแก่พระองค์
    เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกหม่อมฉันจะพึงรู้ได้ด้วยนิมิตอย่างไร

    ขอพระองค์จงตรัสบอกนิมิตอย่างนั้นแก่พวกหม่อมฉันด้วยเถิด
    พระมหาสัตว์จึงนำ นางสุมนาเทวี
    ไปยังขอบสระมงคลโบกขรณีแล้วตรัสว่า
    "ดูก่อนพระนางผู้เจริญ
    ถ้าหากใคร ๆ จักประหารทำให้เราลำบากไซร้
    น้ำในสระโบกขรณีนี้จักขุ่นมัว

    ถ้าพญาครุฑจับเอาไปน้ำจักเดือดพลุ่งขึ้นมา
    ถ้าหมองูจับเอาไปน้ำจักมีสีแดงเหมือนโลหิต"


    พระโพธิสัตว์ตรัสบอกนิมิต ๓ ประการ
    แก่นางสุมนาเทวีอย่างนี้แล้ว

    ทรงอธิษฐานจาตุททสีอุโบสถ
    เสด็จออกจากนาคพิภพไปมนุษยโลก
    นอนเหนือจอมปลวก
    ยังจอมปลวกให้งดงามด้วยรัศมีแห่งสรีรกาย

    แม้สรีรกายของพระมหาสัตว์นั้น
    ก็ปรากฏขาวสะอาดผุดผาดดังพวงเงิน
    ท่อนพระเศียรเบื้องบนคล้ายคลุมไว้ด้วยผ้ากัมพลแดง

    อนึ่งในชาดกนี้สรีรกายของพระโพธิสัตว์มีขนาดเท่าศีรษะคันไถ
    ในภูริทัตตชาดก มีขนาดเท่าลำขา
    ในสังขปาลชาดก มีขนาดเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง

    ในกาลครั้งนั้น มีมาณพชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง
    ไปเมืองตักกศิลาเรียนอาลัมภายนมนต์
    ในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์
    เดินทางกลับบ้านของตนโดยผ่านมรรคานั้น
    เห็นพระมหาสัตว์เจ้าแล้วคิดว่า

    เราจักจับงูนี้บังคับให้เล่นกีฬาในคามนิคมราชธานีทั้งหลาย
    ยังทรัพย์ให้เกิดขึ้น จึงหยิบทิพโอสถ ร่ายทิพมนต์
    ไปยังสำนักของพระมหาสัตว์เจ้า

    จำเดิมแต่พระมหาสัตว์เจ้าสดับทิพมนต์
    แล้วเกิดอาการเหมือนซี่เหล็กร้อนยอนเข้าไปในพระกรรณทั้งสอง
    เบื้องพระเศียรปวดร้าวราวกะถูกเหล็กสว่านไช

    พระมหาสัตว์เจ้าทรงรำพึงว่านี่อย่างไรกันหนอ
    จึงยกพระเศียรขึ้นจากวงภายในขนดแลไป
    ได้เห็นหมองูแล้วดำริว่าพิษของเรามากมาย

    ถ้าเราโกรธแล้วพ่นลมจมูกออกไป
    สรีระของหมองูนี้จักย่อยแหลกไปเหมือนกองเถ้า
    แต่เมื่อทำเช่นนั้นศีลของเราก็จักด่างพร้อย
    เราจักไม่แลดูหมองูนั้น
    ท้าวเธอจึงหลับพระเนตรทั้งสอง
    ทอดพระเศียรไว้ภายในขนด

    พราหมณ์หมองูเคี้ยวโอสถแล้วร่ายมนต์พ่นน้ำลาย
    ลงที่สรีรกายของพระมหาสัตว์ด้วยอานุภาพแห่งโอสถและมนต์
    เรือนร่างของพระมหาสัตว์ในที่ซึ่งถูกน้ำลายรดแล้ว ๆ
    ปรากฏเป็นเสมือนพองบวมขึ้น

    ครั้งนั้นพราหมณ์หมองู
    จึงฉุดหางพระมหาสัตว์ลากลงมาให้นอนเหยียดยาว
    บีบตัวด้วยไม้กีบแพะทำให้ทุพพลภาพ
    จับศีรษะให้มั่นแล้วบีบเค้น

    พระมหาสัตว์จึงอ้าปากออก
    ทีนั้นพราหมณ์หมองู
    จึงพ่นน้ำลายเข้าไปในปากของพระมหาสัตว์
    แล้วจัดการพ่นโอสถและมนต์
    ทำลายพระทนต์จนหลุดถอน
    ปากของมหาสัตว์เต็มไปด้วยโลหิต

    พระมหาสัตว์สู้อดกลั้นทุกขเวทนาเห็นปานนี้
    เพราะกลัวศีลของตัวจะแตกทำลาย
    ทรงหลับพระเนตรนิ่งมิได้ทำการเหลียวมองดู
    พราหมณ์หมองูคิดว่าเราจักทํานาคราชให้ทุพพลภาพ
    จึงขึ้นเหยียบย่ำร่างกายของพระมหาสัตว์ตั้งแต่หางขึ้นไป
    คล้ายกับจะทำให้กระดูกแหลกละเอียดไป

    แล้วม้วนพับอย่างผืนผ้า
    ขยี้กระดูกให้ขยายเช่นอย่างกลายเส้นด้ายให้กระจาย
    จับหางทบทุบเช่นอย่างทุบผ้า
    สกลสรีรกายของพระมหาสัตว์แปดเปื้อนไปด้วยโลหิต

    พระมหาสัตว์นั้นสู้อดกลั้นมหาทุกขเวทนาไว้
    ครั้นพราหมณ์หมองูรู้ว่าพระมหาสัตว์อ่อนกำลังลงแล้ว
    จึงเอาเถาวัลย์มาถักทำเป็นกระโปรง
    ใส่พระมหาสัตว์ลงไปในกระโปรงนั้น
    แล้วนำไปสู่ปัจจันตคามให้เล่นท่ามกลางมหาชน

    พราหมณ์หมองูปรารถนาจะให้แสดงท่วงทีอย่างใด ๆ
    ในประเภทสีมีสีเขียวเป็นต้น
    และสัณฐานทรวดทรงกลมหรือสี่เหลี่ยมเป็นต้น
    หรือขนาดเล็กใหญ่เป็นต้น
    พระมหาสัตว์เจ้าก็กระทำท่วงทีนั้น ๆ ทุกอย่าง

    ฟ้อนรำทำพังพานได้ตั้งร้อยอย่างพันอย่าง
    มหาชนดูแล้วชอบใจ ให้ทรัพย์แก่พราหมณ์เป็นอันมาก
    เพียงวันเดียวเท่านั้นได้ทรัพย์ตั้งพัน
    และเครื่องบริขารราคานับเป็นพัน

    แต่ชั้นแรกพราหมณ์หมองูคิดไว้ว่า
    เราได้ทรัพย์สักพันหนึ่งแล้วก็จักปล่อยไป

    แต่ครั้นได้ทรัพย์จำนวนเท่านั้นแล้วคิดเสียว่า
    ในปัจจันตคามแห่งเดียวเรายังได้ทรัพย์ถึงขนาดนี้
    ในสำนักพระราชาและมหาอำมาตย์
    คงจักได้ทรัพย์มากมาย

    จึงซื้อเกวียนเล่มหนึ่งกับยานสำหรับนั่งสบายเล่มหนึ่ง
    บรรทุกของลงในเกวียนแล้วนั่งบนยานน้อย
    พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก
    บังคับพระมหาสัตว์ให้เล่นในบ้าน
    และนิคมเป็นต้นโดยลำดับไป

    แล้วคิดว่าเราจักให้นาคราชเล่นถวาย
    ในสำนักของพระเจ้าอุคคเสน
    แล้วก็จักปล่อยดังนี้ แล้วก็เดินทางต่อไป

    พราหมณ์หมองูฆ่ากบนำมาให้นาคราชกินเป็นอาหาร

    นาคราชรำพึงว่าพราหมณ์หมองูนี้ฆ่ากบอยู่บ่อย ๆ
    เพราะอาศัยเราเป็นเหตุ
    เราจักไม่บริโภคกบนั้น แล้วไม่ยอมบริโภค

    เมื่อพราหมณ์หมอดูรู้ดังนั้น
    ได้ให้ข้าวตอกเคล้าน้ำผึ้งแก่พระมหาสัตว์
    พระมหาสัตว์คิดว่าถ้าหากเราจักถือเอาอาหารนี้ไซร้
    เราคงจักตายภายในกระโปรงเป็นมั่นคง
    จึงมิได้บริโภคอาหารแม้เหล่านั้น

    พราหมณ์หมองูไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว
    ให้พระมหาสัตว์เล่นให้คนดู
    ที่ใกล้ประตูเมืองได้ทรัพย์สินอีกเป็นจำนวนมาก

    แม้พระราชาก็ตรัสสั่งให้พราหมณ์หมองูเข้าเฝ้า
    แล้วตรัสว่าเจ้าจงให้งูเล่นให้เราดูบ้าง

    เขาทูลสนองพระราชโองการว่าได้พะย่ะค่ะ
    ข้าพระพุทธเจ้าจักให้เล่นถวายพระองค์
    ในวันปัณณรสี พรุ่งนี้

    พระราชาตรัสสั่งให้พนักงานเภรีตีกลองประกาศว่า

    พรุ่งนี้นาคราชจักฟ้อนรำที่หน้าชานชาลาหลวง
    มหาชนจงมาประชุมกันดูเถิด

    แล้วในวันรุ่งขึ้น
    ตรัสสั่งให้ประดับตกแต่งชานชาลาหลวง
    และตรัสสั่งให้พราหมณ์หมองูมาเฝ้า
    พราหมณ์หมองู นำพระมหาสัตว์มาด้วยกระโปรงแก้ว
    ตั้งกระโปรงไว้ที่พื้นลาดอันวิจิตรนั่งคอยอยู่

    ฝ่ายพระราชาเสด็จลงจากปราสาทแวดล้อมด้วยหมู่มหาชน
    ประทับนั่งเหนือพระราชอาสน์

    พราหมณ์หมองูนำพระมหาสัตว์ออกมาแล้วให้ฟ้อนรำถวาย
    มหาชนพากันดีใจไม่อาจดำรงตนอยู่ได้ตามปกติ
    พากันปรบมือ โบกธงโบกผ้า
    แสดงความรื่นเริงนับด้วยหมื่นแสน

    ฝนรัตนะเจ็ดประการก็ตกลงมาตรงเบื้องบนพระโพธิสัตว์
    เมื่อพระมหาสัตว์ถูกจับมานั้นครบหนึ่งเดือนเต็มบริบูรณ์
    ตลอดเวลาเหล่านี้พระมหาสัตว์สู้ทนมิได้บริโภคอาหารเลย

    • นาคเทวีตามหาพระสวามี

    ฝ่าย นางสุมนา เทวีระลึกถึงว่า
    สามีที่รักของเราเสด็จไปนานนักหนา
    จนป่านนี้ยังไม่เสด็จมาที่นี่เลย
    ครบหนึ่งเดือนพอดี

    จักมีเหตุเภทภัยอะไรหนอ
    ดังนี้แล้วจึงไปตรวจดูสระโบกขรณี
    เห็นมีน้ำสีแดงดังโลหิตก็ทราบว่า
    ชะรอยสามีของตนจักถูกหมองูจับเอาไป
    จึงออกจากนาคพิภพไปตรวจดูใกล้จอมปลวก
    เห็นร่องรอยที่พระมหาสัตว์ถูกหมองูจับ และทำให้ลำบาก

    แล้วทรงกันแสงร่ำไห้คร่ำครวญ
    ดำเนินไปยังปัจจันตคามสอบถามดูสดับข่าวความเป็นไปนั้น
    แล้วติดตามไปจนถึงเมืองพาราณสี
    ยืนกันแสงอยู่ที่กลางอากาศ
    ในท่ามกลางบริษัท ณ ประตูพระราชวัง

    พระมหาสัตว์กำลังฟ้อนรำถวายพระราชา
    เหลือบแลดูอากาศเห็นนางสุมนาเทวี
    แล้วละอายพระทัยเลื้อยเข้าไปนอนขดในกระโปรงเสีย
    ในเวลาที่พระมหาสัตว์เลื้อยเข้าไปสู่กระโปรงแล้ว

    พระราชาทรงพระดำริว่า นี่เหตุอะไรกันเล่าหนอ
    จึงทอดพระเนตรแลดูทางโน้นทางนี้
    เห็นนางสุมนาเทวียืนอยู่บนอากาศจึงตรัสว่า

    “ท่านเป็นใคร งามผ่องใสดุจสายฟ้า
    และอุปมาเหมือนดาวประจำรุ่ง
    เราไม่รู้จักท่านว่าเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์หรือเป็นหญิงมนุษย์”


    นางสุมนา ทูลว่า

    “ข้าแต่พระมหาราชา
    หม่อมฉันหาใช่เทพธิดาหรือคนธรรพ์หรือหญิงมนุษย์ไม่
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    หม่อมฉันเป็นนางนาคกัญญาอาศัยเหตุอย่างหนึ่ง
    จึงได้มาในพระนครนี้


    “ดูก่อนนางนาคกัญญา
    ท่านมีอาการเหมือนคนมีจิตฟั่นเฟือน
    มีอินทรีย์อันเศร้าหมองดวงเนตรของท่าน
    ไหลนองไปด้วยหยาดน้ำตา

    อะไรของท่านหาย
    หรือว่าท่านปรารถนาอะไรจึงได้มาในเมืองนี้
    เชิญท่านบอกมาเถิด”


    “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน
    มหาชนชาวโลกเรียกร้องสัตว์ใดว่าอุรคชาติ
    ผู้มีเดชอันสูงในมนุษยโลก เขาเรียกสัตว์นั้นว่านาค
    บุรุษคนนี้จับนาคนั้นมา เพื่อต้องการเลี้ยงชีพ
    นาคนั้นแหละเป็นสามีของหม่อมฉัน
    ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณา
    โปรดปล่อยนาคนั้นเสียจากที่คุมขังเถิดเพคะ


    พระราชาสงสัยจึงตรัสถามว่า

    “ดูก่อนนางนาคกัญญานาคราชนี้ประกอบด้วยกำลังอันแรงกล้า
    ไฉนจึงมาถึงเงื้อมมือของชายวณิพกได้เล่า
    เราจะใคร่รู้ถึงการที่นาคราชถูกกระทำจนถูกจับมาได้
    ขอท่านจงบอกความข้อนั้นแก่เราเถิด”


    นางสุมนา ทูลตอบว่า

    “นาคราชนั้นประกอบด้วยกำลังอันแรงกล้า
    พึงทำแม้นครให้เป็นภัสมธุลีไปได้
    แต่เพราะนาคราชนั้น
    เคารพนบนอบธรรม จึงได้บากบั่นบำเพ็ญตบะ”


    พระราชาตรัสถามต่อไปอีกว่า

    “ไฉนนาคราชจึงยอมให้บุรุษนี้จับมาได้เล่า”
    นางสุมนาเทวี เมื่อจะกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ
    จึงกล่าวคาถาความว่า

    “ข้าแต่องค์ราชันย์
    นาคราชนี้มีปกติรักษาจาตุททสีอุโบสถและปัณณรสีอุโบสถ
    นอนอยู่ใกล้ทางสี่แพร่ง
    บุรุษหมองูจับนาคราชนั้นมาด้วยต้องการหาเลี้ยงชีพ
    นาคราชนี้เป็นสามีของหม่อมฉัน
    ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณา
    โปรดปล่อยนาคราชนั้นจากที่คุมขังเถิด”


    ครั้น นางนาคกัญญาสุมนาเทวี ทูลอย่างนี้แล้ว
    เมื่อจะทูลอ้อนวอนพระราชาซ้ำอีก

    ได้กล่าวคาถาสองคาถาว่า

    “สนมนารีถึงหมื่นหกพันนาง
    ล้วนสวมใส่กุณฑล แก้วมณี
    บันดาลห้วงวารีทำเป็นห้องไสยาสน์

    แม้สนมนารีเหล่านั้น
    ก็ยึดถือนาคราชนั้นเป็นที่พึ่ง
    ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณา
    โปรดปล่อยนาคราชนั้นโดยธรรม
    ปราศจากกรรมอันสาหัส ด้วยบ้านส่วยร้อยบ้าน
    ทองร้อยแท่ง และโคร้อยตัว

    ขอนาคราชผู้แสวงบุญ
    จงเหยียดกายได้ตรงเที่ยวไป
    จงพ้นจากที่คุมขังเถิด”


    พระราชาได้สดับคาถาของนางนาคกัญญา
    จึงให้ปล่อยปล่อยนาคราชไป

    นาคราชออกมาแล้วเลื้อยเข้าไประหว่างกองดอกไม้
    ละอัตภาพนั้นเสียแล้วกลายเพศเป็นมาณพน้อย
    ตบแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับอันงดงาม
    คล้ายกับชำแรกดินออกมายืนอยู่ฉะนั้น

    นางสุมนาเทวี ลอยลงมาจากอากาศ
    ยืนเคียงข้างพระภัสดาของตน
    นาคราชได้ยืนประคองอัญชลีนอบน้อมพระราชาอยู่
    • พญานาคเชิญพระเจ้ากาสิกราชชมเมือง

    จัมเปยยนาคราชเมื่อหลุดพ้นจากที่คุมขังแล้ว
    จึงกราบทูลพระราชาว่า

    "ข้าแต่พระเจ้ากาสิกราช
    ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์
    ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงผดุงกาสิกรัฐให้รุ่งเรือง
    ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์
    ข้าพระพุทธเจ้าขอประคองอัญชลี แด่พระองค์
    ขอเชิญเสด็จทอดพระเนตรนิเวศน์
    ของข้าพระพุทธเจ้าเถิดพระเจ้าข้า"
    เราก็อยากจะไปดูนิเวศน์ของท่าน"



    พระราชาตรัสตอบว่า

    "ดูก่อนนาคราช
    แท้จริงคนทั้งหลายเขากล่าวถึงเหตุที่มนุษย์จะพึงคุ้นเคย
    กับอมนุษย์ว่าพึงคุ้นเคยกันได้ยาก
    ถ้าท่านขอร้องเราถึงเรื่องนั้น"


    พระมหาสัตว์เมื่อจะทำสัตย์สาบาน
    เพื่อให้พระราชาทรงเชื่อถือ ได้ตรัสพระคาถาว่า

    “ข้าแต่พระราชา แม้ถึงว่าลมจะพึงพัดภูเขาไปได้ก็ดี
    พระจันทร์และพระอาทิตย์ จะพึงเผาผลาญแผ่นดินก็ดี
    แม่น้ำทุกสายพึงไหลทวนกระแสก็ดี
    ถึงกระนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็จะไม่กล่าวคำเท็จเลย

    ข้าแต่พระราชา ท้องฟ้าจะทำลายไป
    ทะเลจะเหือดแห้งไป
    มหาปฐพีมีนามว่าภูตธราและพสุนธราจะพึงม้วนได้
    เมรุบรรพตอันหนาแน่นด้วยศิลาจะพึงถอนไปทั้งราก
    ข้าพระพุทธเจ้าก็จะไม่กล่าวคำเท็จเลย”


    เมื่อพระมหาสัตว์กราบทูลอย่างนี้แล้ว
    พระราชาก็มิได้ทรงเชื่อ จึงตรัสพระคาถาอีกว่า

    “เธอเป็นผู้มีพิษร้ายแรงยิ่ง มีเดชมาก ทั้งโกรธง่าย
    เธอหลุดพ้นจากที่คุมขังไปได้ ก็เพราะเหตุที่เราช่วยเหลือ
    เธอควรจะรู้บุญคุณที่เราทำไว้แก่เธอ"


    พระมหาสัตว์เมื่อจะทำสัตย์สาบาน
    เพื่อให้พระราชาทรงเชื่อต่อไป จึงกล่าวคาถาความว่า

    "ข้าพระพุทธเจ้าถูกคุมขังอยู่ในกระโปรงเกือบจะถึงความตาย
    จักไม่รู้จักอุปการคุณที่พระองค์ทรงกระทำแล้วเช่นนั้น
    ก็ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าจงหมกไหม้อยู่ในนรกอันแสนร้ายกาจ
    อย่าได้รับความสำราญกายสักหน่อยหนึ่งเลย"


    พระราชาทรงเชื่อถ้อยคำของพระมหาสัตว์
    เมื่อจะทรงชมเชยจึงตรัสพระคาถาว่า

    “คำปฏิญาณของเธอนั้น จงเป็นคำสัตย์จริง
    เธออย่าได้มีความโกรธ อย่าผูกโกรธไว้
    ขอสุบรรณทั้งหลายจงละเว้นนาคสกุลของท่านทั้งมวล
    เหมือนผู้เว้นไฟในฤดูร้อนฉะนั้น"


    แม้พระมหาสัตว์เจ้า
    เมื่อจะชมเชยพระราชาจึงกล่าวคาถาอีกว่า

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน
    พระองค์ทรงเอ็นดูนาคสกุล
    เหมือนมารดาผู้เอ็นดูบุตรคนเดียวผู้เป็นสุดที่รักฉะนั้น
    ข้าพระพุทธเจ้ากับ นาคสกุลจะขอกระทำเวยยาวฏิกกรรม
    อย่างโอฬารแด่พระองค์"

    • พระราชาเสด็จนาคพิภพ

    พระราชาได้เสด็จไปยังภพพญานาคด้วยขบวนเสด็จใหญ่
    พนักงานเภรี ตะโพน บัณเฑาะว์ และแตรสังข์
    ของพระเจ้าอุคคเสนราช มาพร้อมหน้ากัน
    พระราชาทรงแวดล้อมด้วยสนมนารี
    เสด็จไปในท่ามกลางหมู่สนมนารีงามสง่ายิ่งนัก

    ในกาลเมื่อพระเจ้าพาราณสี
    เสด็จออกจากพระนครไป
    พระมหาสัตว์เจ้าทรงบันดาลนาคพิภพ
    ให้ปรากฏมีกำแพงแก้ว ๗ ประการ
    และประตูป้อมคู หอรบ

    แล้วนิรมิตบรรดาที่จะเสด็จไปยังนาคพิภพ
    ให้ประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับงดงาม
    ด้วยอานุภาพของตน

    พระราชาพร้อมด้วยราชบริพาร
    เสด็จเข้าไปยังนาคพิภพโดยมรรคานั้น
    ได้ทอดพระเนตรเห็นภูมิภาคและปราสาทราชวัง
    น่ารื่นเริง บันเทิงพระทัย

    พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น

    จึงตรัสว่าพระเจ้ากรุงกาสีวัฒนราช
    ได้ทอดพระเนตรเห็นภูมิภาคอันงาม
    วิจิตรลาดแล้วด้วยทรายทอง
    ทั้งสุวรรณปราสาทก็ปูลาดไปด้วยแผ่นกระดานแก้วไพฑูรย์

    พระองค์เสด็จเข้าไปสู่นิเวศน์
    ของจัมเปยยนาคราชมีรัศมี
    อภาสดังแสงอาทิตย์แรกอุทัย
    รุ่งเรืองไปด้วยรัศมีประหนึ่งสายฟ้าในกลุ่มเมฆ

    พระเจ้ากาสิกราชทรงทอดพระเนตร
    จนทั่วนิเวศน์ของจัมเปยยนาคราช
    อันดารดาษไปด้วยพฤกษชาตินานาชนิด
    หอมฟุ้งขจรไปด้วยทิพยสุคนธ์อบอวลล้วนวิเศษ

    เมื่อพระเจ้ากาสิกราช
    เสด็จเข้าไปในนิเวศน์ของท้าวจัมเปยยนาคราช
    เหล่าทิพยดนตรี ก็ประโคมขับบรรเลง
    ทั้งนางนาคกัญญาทั้งหลายก็ฟ้อนรำ ขับร้อง

    พระเจ้ากาสิกราชเสด็จขึ้นนิเวศน์
    ซึ่งมีหมู่นางนาคกัญญาตามเสด็จ
    ทรงพอพระทัย ประทับนั่ง ณ พระสุวรรณแท่นทอง
    อันมีพนักไล้ทาด้วยแก่นจันทน์ทิพย์
    • มนุษยโลกประเสริฐกว่านาคพิภพ

    พระราชาได้เห็นบ้านเมืองอันสวยงามของพญานาค
    จึงสอบถามและได้คำตอบจาก จัมเปยยนาคราช ว่า

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน
    ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบะธรรมเพราะเหตุแห่งบุตร ทรัพย์
    หรือแม้เพราะเหตุแห่งอายุก็หาไม่
    แต่เพราะข้าพระพุทธเจ้า ปรารถนากำเนิดมนุษย์
    ฉะนั้น จึงได้บากบั่นมุ่งมั่นบำเพ็ญสมณธรรม"


    เมื่อพระมหาสัตว์กราบทูลอย่างนี้แล้ว
    พระราชาเมื่อจะทรงทำการชมเชย จึงตรัสพระคาถาว่า

    “ท่านมีดวงเนตรแดง มีรัศมีส่องแสงสว่าง ประดับตกแต่งแล้ว
    ปลงเกศาและมัสสุแล้ว ประพรมด้วยจุรณจันทน์แดง
    ฉายแสงไปทั่วทิศ ดังคนธรรพราชฉะนั้น
    ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยเทวฤทธิ์ มีอานุภาพมาก
    เพรียบพร้อมไปด้วยสรรพกามารมณ์

    ดูก่อนท่านนาคราช เราขอถามเนื้อความนี้กะท่าน

    มนุษยโลกประเสริฐกว่านาคพิภพด้วยเหตุไร


    ลำดับนั้น พระยานาคราช
    เมื่อจะกราบทูลให้พระราชาทรงทราบจึงกราบทูลว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน
    เว้นมนุษยโลกเสียแล้วความบริสุทธิ์
    หรือความสำรวมย่อมไม่มีเลย

    ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบะธรรม
    ด้วยตั้งใจว่าเราได้กำเนิดมนุษย์
    แล้วจักทำที่สุดแห่งชาติและมรณะได้”




    พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้วตรัสพระคาถาความว่า

    "ชนเหล่าใดมีปัญญาเป็นพหูสูต
    ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก
    ชนเหล่านั้นควรคบหาแท้ทีเดียว

    ดูก่อนพระยานาคราช
    เราได้เห็นนางนาคกัญญาทั้งหลายของท่านและตัวท่านแล้ว
    จักทำบุญให้มาก"


    พญานาคราชกราบทูลพระราชาว่า

    "ชนเหล่าใดมีปัญญาเป็นพหูสูต
    ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก
    ชนเหล่านั้นควรคบหาแท้ทีเดียว

    ข้าแต่พระมหาราชาพระองค์
    ได้ทอดพระเนตรเห็นนางนาคกัญญา
    และตัวข้าพระพุทธเจ้าแล้ว
    ขอจงบำเพ็ญบุญให้มากเถิด"


    ครั้นพระมหาสัตว์กราบทูลอย่างนี้แล้ว
    พระเจ้าอุคคเสนะ
    ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จกลับไปยังมนุษยโลก

    จึงตรัสอำลาว่าดูก่อนท่านนาคราชเรามาอยู่ก็เป็นเวลานาน
    จำจักต้องลากลับไปยังมนุษยโลก
    พระมหาสัตว์เจ้าจึงทูลท้าวเธอว่า
    ขอเดชะพระมหาราชเจ้าถ้าเช่นนั้น
    พระองค์โปรดเลือกถือเอาทรัพย์สมบัติไปตามพระประสงค์เถิด

    เมื่อจะทรงแสดงทรัพย์สมบัติ
    จึงกราบทูลว่ากองเงินและกองทองของข้าพระพุทธเจ้านี้มากมาย
    สูงประมาณเท่าต้นตาล

    พระองค์จงตรัสสั่งให้พวกราชบุรุษนี้ไปจากนาคพิภพนี้
    แล้วจงตรัสสั่งให้สร้างพระราชวังด้วยทองคำ
    ให้สร้างกำแพงด้วยเงินเถิด
    นี้กองแก้วมุกดาอันเจือปนด้วยแก้วไพฑูรย์ ห้าพันเล่มเกวียน
    พระองค์จงตรัสสั่งให้ราชบุรุษขนไปจากนาคพิภพนี้
    แล้วให้ลาดลง ณ ภูมิภาคภายในพระราชฐาน

    ภูมิภาคภายในพระราชฐาน
    ก็จักสะอาดปราศจากเปลือกตมและละอองธุลี

    ขอเดชะพระองค์ผู้เป็นราชาอันประเสริฐผู้ทรงพระปรีชาอันล้ำเลิศ
    ขอพระองค์โปรดเสวยราชสมบัติครอบครองพระนครพาราณสี
    อันมั่งคั่งสมบูรณ์ สง่างามล้ำเลิศ
    ดุจทิพยวิมานเห็นปานฉะนี้เถิด พระเจ้าข้า

    พระราชาทรงสดับถ้อยคำของพระมหาสัตว์แล้วก็ทรงรับไว้
    พระมหาสัตว์จึงให้พนักงานเภรี เที่ยวตีกลองประกาศว่า

    ราชบุรุษทั้งปวงจงพากันขนเอาทรัพย์สมบัติ
    มีเงินทองเป็นต้นไปตามปรารถนาเถิด
    แล้วเอาเกวียนหลายร้อยเล่มบรรทุกทรัพย์สมบัติส่งถวายพระราชา

    พระราชาเสด็จออกจากนาคพิภพ
    กลับไปสู่พระนครพาราณสี ด้วยยศบริวารเป็นอันมาก
    เล่ากันว่านับแต่นั้นมา พื้นชมพูทวีปจึงเกิดมีเงินมีทองขึ้น

    พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงตรัสว่า

    “โปราณกบัณฑิตทั้งหลายละนาคสมบัติแล้ว
    อยู่รักษาอุโบสถศีลด้วยอาการอย่างนี้”


    จากนั้นทรงประชุมชาดกว่า

    “หมองูในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเทวทัตในบัดนี้
    นางนาคกัญญาสุมนาเทวี ได้มาเป็นราหุลมารดา
    พระเจ้าอุคคเสนราชได้มาเป็นพระสารีบุตร
    ส่วนจัมเปยยนาคราชได้มาเป็นเราผู้ตถาคตฉะนี้แล”

    <table width="94%" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="postbody" valign="top">(ที่มา : พญานาคกับพระพุทธศาสนารวบรวมและเรียบเรียง โดย พระมหามหาบุญไทย ปุญญมโน : วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๙)
     
  13. ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    พูดตรงไม่ได้แต่ถ้าพูดแบบอ้อมได้ก็เป็นความรู้ได้เหมื่อนกันนะครับ
     
  14. จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    ขออภัยที่ต้องลบหน้านั้นออกเพราะเขาไม่ให้เปิดไม่อยากให้ใครเห็น เดี๋ยวมีเรื่อง

    เขาเก้ายอดนั้น มี 2 แบบ คือ
    1.เขาเก้ายอด
    2.เขากวางคุต

    เขาเก้ายอดก็อย่างที่เอารูปให้ดู(แว๊ปเดียว ใครเห็นทันก็ทัน) จะมีตุ่มตรงกลาง 1
    ล้อมรอบลงมา 4 และลงมาต่ำอีก 4 รวมเก้ายอด เขานี้จะอยู่คนละข้าง บนหัวกวาง
    ส่วนเขากวางคุต จะมี 9 ยอดบ้าง 5 ยอดบ้าง ตุ่มเขาจะสูงล้ำต่ำเตี้ยไม่เท่ากัน
    คือไม่เรียงลงมาทีละชั้นนั่นเอง

    เขาเก้ายอดในสมัยโบราณ จะใช้แทนตัวเจ้าเมืองในบางครั้ง เช่นหัวเมืองโคราช หัวเมือง
    พิษณุโลก หัวเมืองสกลนครเป็นต้น เขาเก้ายอดสมัยก่อนใช้เป็นเครื่องบรรณาการ
    เมื่อหัวเมืองเล็กๆส่งเขาเก้ายอดมา จะงดส่วย 5 ปีบ้าง เก้าปีบ้าง(คุณค่าสูง)
    ใช้เป็นเครื่องราง กันลูกปืน ยิงไม่โดน หรือโดนก็ไม่เข้า กันไฟใหม้บ้าน ให้โชคลาภ
    ซึ่งโชคลาภสักการะจะมีมากกว่าอย่างอื่น พี่น้องฆ่ากันตายเพราะแย่งเขาเก้ายอดเมื่อเจ้า
    เมืองตายลงก็มีไม่น้อย

    เขาเก้ายอดเกิดจากเจ้าแห่งกวาง เมื่อผู้มีบุญมากๆเกิดเป็นกวาง ย่อมเป็นกวางที่มีเขา
    กวางหด ยิ่งเป็นเขาเก้ายอด ยิ่งสูงค่าด้วยว่าเขานั้นป้องกันตัวกวางจากอันตรายเช่น
    เสือย่อมไม่กินกวางที่เขาหด และกวางที่เขาหดย่อมมีตบะไม่กลัวอันตรายใดๆ

    เขาเก้ายอดที่แท้ๆจะเป็นทิพย์ ส่องประกายงดงาม อันนี้ผมมีประสบการณ์มา
    วันนั้นผมถือเขากวางหดไปบ้านแฟน ก็เอาแขวนใว้หัวเตียง แล้วก็ลงมานั่งเล่น
    ตรงแคร่หน้าบ้าน ก็มีลุงคนนึงอายุมากประมาณ 60-70 (มารู้ทีหลังว่าเป็นคนมี
    วิชามาจากเขมร) เดินมาทักว่าขอดูหน่อย สวยเหลือเกินปู่เขา(ทางทิพย์)
    บอกว่ายังไงก็ให้ขอมาจับ มายกเหนือหัวเพื่อเป็นศิริมงคลให้ได้
    ด้วยว่าไม่รู้จักกันผมเลยบอกว่า ไม่มีอะไรหรอกของขลังของผมไม่เท่าไหร่หรอก
    ลุงแกก็บอกว่า มีสิ มันจะเป็นยอด 9 ยอด แตกออกมาเหมือนหมากนัด(สัปปะรด)
    มองไปตรงนี้ก็เห็น แล้วแกก็ชี้ทะลุบ้านไปตรงที่นอนผม ขอลุงจับหน่อยเป็นบุญตา

    ผมเลยรู้ว่าแกมีตามองเห็นของผม เลยเดินขึ้นบ้าน เอาลงมาให้แกดู แกดูก็พูดภาษาเทพ
    ออกมา ยาวเหยียด แล้วเล่าประวัติความเป็นมาของเขาเก้ายอดนี้ให้ผมฟัง แล้วบอกคาถา
    ที่เขาลงใว้ในเขาเก้ายอดนี้ให้ผม ให้ท่อง ห้ามจด บอกใว้ 3 ครั้งผมเลยจำใว้ใช้


    เลยเอารูปมาลงให้ดูนานไม่ได้ต้องรีบลบ เพราะท่านๆมีภาษิตมาเตือนผมว่า
    "คนไม่ผิด ผิดที่มีหยกติดตัว"
     
  15. ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275





    <meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8"><meta name="ProgId" content="Word.Document"><meta name="Generator" content="Microsoft Word 11"><meta name="Originator" content="Microsoft Word 11"><link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5C5AD7%7E1%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:"MS Sans Serif"; panose-1:0 0 0 0 0 0 0 0 0 0; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-format:eek:ther; mso-font-pitch:auto; mso-font-signature:0 0 0 0 0 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:595.3pt 841.9pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:35.4pt; mso-footer-margin:35.4pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]เขากวางคุดนั้นโบราณจารย์ท่านกล่าวว่า[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]จะต้องคุดตั้งแต่อยู่ในท้องแม่กวางเลยเชียว[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]บ้างก็บอกว่ามันเกิดที่เขาทั้งสองข้างของมัน[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]แต่มีบางท่านบอกว่ามันเกิดขึ้นที่บริเวณหน้าผาก[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]อันนี้ผู้เขียนต้องขอออกตัวหนีภัยก่อนนะว่ายังไม่เคยเห็นกับตาตัวเองเลยว่า[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]จริง ๆ แล้วมันเกิดบริเวณส่วนไหนกันแน่[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]หรือว่าเกิดขึ้นได้ทั้งสองแบบดังกล่าว[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ก็ขอละไว้เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาดูเอาเองเถิด[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]แต่ผู้เขียนขอยืนยันว่าเขากวางคุดนั้นมีจริง ๆ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]จัดเป็นของทนสิทธิ์ที่มีอิทธิฤทธิ์สูงไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]มีตั้งแต่สามยอด ห้ายอด เจ็ดยอด เก้ายอด[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ปกติตามธรรมดาเก้ายอดนั้นถือว่าเป็นสุดยอดของบรรดาเขากวางคุด[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]และหาได้ยากยิ่งแล้ว[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]แต่ก็ยังมีอีกชนิดหนึ่งที่โบราณท่านกล่าวกันว่าเป็นกวางพระโพธิสัตว์จุติลง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]มา ซึ่งถือว่าเป็นที่สุดของที่สุด หนึ่งเดียวในปฐพี[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]และแทบจะไม่มีใครเคยพบเห็นกันมาก่อนเลย นั่นก็คือ [/FONT][FONT=&quot]“[/FONT][FONT=&quot]เขากวางคุดสิบสองยอด[/FONT][FONT=&quot]“ [/FONT][FONT=&quot]ซึ่งถือว่าเป็นกายสิทธิ์ชั้นยอดเยี่ยม[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]อานุภาพของเขากวางคุดนั้นดีวิเศษรอบตัวตั้งแต่มหาอุด คงกระพัน เมตตา[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]มหาอำนาจ ราชศักดิ์ โชคลาภ เจริญรุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุข[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ป้องกันภัยทั้งหลายทั้งปวง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]แต่ก็ให้ระมัดระวังกันไว้สักหน่อยเพราะของปลอมระบาดมานานนม[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]โดนกันมานักต่อนักแล้วล่ะจะบอกให้[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275






    ของแปลกที่ว่านี้ก็คือเขาพญากวางคุด เขาพญากวางคุดนี้ พระเกจิอาจารย์ท่านนี้อายประมาน 100 ปีท่านทรงอภิญญาฌานสูงมาก ท่านได้บอกว่าเขาพญากวางคุดที่ท่านได้เคยเห็นมาไม่ใช่เขาพญากวางคุด ส่วนใหญ่เป็นเขากวางคุด หรือไม่ก็มีการทำเลียนแบบขึ้นมา แต่ส่วนเขาพญากวางคุดตัวนี้ที่อยู่ในภาพเป็นของแท้หายากมาก หมื่นปีแสนปีหรือล้านปีไม่รู้ว่าจะมีไหม เป็นเขาพญากวางที่วิเศษมากป้องกันได้ร้อยแปดอย่าง เสริมสิริมงคล และให้โชคลาภ ตลอดทั้งเป็นเมตตา คงกะพัน มหานิยม ชาตรี มหาอุดป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ไม่มีใครสามารถมาทำอันตรายใดๆได้ พระเกจิอาจารย์รูปนี้ยังบอกว่าเขาพญากวางคุดนี้ จะเปล่งแสงที่บรเวณเขาของมันช่วงเวลาประมานพลบค่ำ19.00น. จะเปล่งแสงครบ7สี คนที่มองเห็นต้องมองด้วยตาในเท่านั้น หลวงปู่ท่านยังบอกว่าเขาพญากวางคุดดีกว่าเหล็กไหลทุกชนิด ไม่มีเหล็กไหลชนิดไหนดีเท่าเขาพญากวางคุด ผู้มีบุญจะได้ครอบครองเท่านั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1187.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.7 KB
      เปิดดู:
      1,875
    • 1188.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.4 KB
      เปิดดู:
      1,953
  17. ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    สวยจังเลยนะคะ มองดูเหมือนงาช้าง อันเล็กๆ เสียบวางไว้...
     
  18. saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    ถ้าเขากวางดีวิเศษขนาดนั้น ทำไมเจ้าของถึงถูกล่าล่ะ หรือว่าเจอตอนมันตายแล้ว
     
  19. จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196

    เขากวางหดที่ดีนั้นต้องมาหลุดออกมาเอง จากตายบ้างหรือว่ามัน
    ขวิดต้นใม้เล่นแล้วหลุดบ้าง ส่วนที่ฆ่ามาก็ดีรองลงมา
    ความวิเศษนั้นหนีกรรมไม่ได้ เช่นพระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญานาคยัง
    โดนหมองูจับเอามาโชว์งูแลกเงิน ทั้งๆที่มีฤทธิ์แต่มันเป็นกรรม

    กวางบางตัวเป็นฤาษีมาเกิดใช้กรรม ย่อม"มีดี" ติดตัวมาจากในท้อง
    เมื่อมีภัยที่รู้ว่านี่กรรม จึงยอมให้เขาฆ่า เมื่อเขาฆ่าแล้ว ของดีนั้นย่อม
    ยังอยู่ด้วยว่าเป็นธาตุ วิญญาญนั้นต่างหากที่ไปด้วยเป็นสภาวะ
     
  20. จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    พระเกจิอาจารย์รูปนี้ยังบอกว่าเขาพญากวางคุดนี้ จะเปล่งแสงที่บรเวณเขาของมันช่วงเวลาประมานพลบค่ำ19.00น. จะเปล่งแสงครบ7สี คนที่มองเห็นต้องมองด้วยตาในเท่านั้น หลวงปู่ท่านยังบอกว่าเขาพญากวางคุดดีกว่าเหล็กไหลทุกชนิด ไม่มีเหล็กไหลชนิดไหนดีเท่าเขาพญากวางคุด ผู้มีบุญจะได้ครอบครองเท่านั้น [/QUOTE]


    ของผมเปล่งแสงสวยงามที่สุดวันพระข้างขึ้นครับ วันพระจันทร์เต็มดวงจะ
    สวยงามทั้งคืน ขอบคุณที่เอาภาพให้ชมครับ บุญตาเหลือเกิน
    ผมเคยเห็น 5 ยอดและเก้ายอด(ของผม) ส่วน 12 ยอดไม่เคยเห็นเลย
    ไปตกอยู่กับใคร คนๆนั้นคงไม่เอามาให้ดูง่ายๆ
     

แชร์หน้านี้