โพชฌงค์ 7 กับมรรคปฏิปทา

ก่อนอื่น ผมว่า หากจะรู้จัก โพชฌงค์ 7

อันดับแรก ต้อง รู้จักการคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์

อันนี้ก็หายาก ใครหาเจอแล้วก็โชคดีในขั้นต้น

 

อันเนี้ยคุณควรไปบอกอาจารย์ของคุณนะครับ ไม่ใช่ผม เพราะสิ่งที่ผมโพสต์ตั้งแต่ต้นกระทู้ ถ้าดูให้ดี ถ้าตีความไม่ผิดเพี้ยน สะกดตัวหนังสือถูกต้องดี จะเห็นว่า มีนัยเน้นชี้ปัญหา ชี้ ให้รู้เท่าทันตัณหา รู้เท่าทันความพึงพอใจในรูปสัญญา อรูปสัญญา และที่สำคัญไม่ได้ไปห้ามทำฌานแต่อย่างใด (ไม่เห็นเหรอครับที่ผมทำอักษรเป็นตัวเข้มๆเอาไว้)

แต่ผมเดาว่าประเด็นคือ คุณดันไปยกเขาเป็นอริยะนั่นต่างหาก คุณยกเขาซะสุดตัวหรือเปล่า ดังนั้นคุณจึงพยายามจะมาอะไรกับผมอยู่นี่ไง ที่ผมค้านมาเรื่อยๆ คือค้านว่า ไม่ใช่ อาจารย์คุณยังเห็นผิดอยู่ เข้าใจไหมครับ เผลอๆอาจจะเข้าใจเอาเองด้วยว่าตัวเองเป็นระดับสูง ประมาณเข้านิโรธสมาบัติได้แล้วด้วยซ้ำไป

ดังนั้นเรื่องนี้ก็ถือเสียว่าผมรับฟังเพิ่มชัดๆ ละกัน และก็แปะให้อาจารย์คุณอ่านไปนั่นแหละ เพราะผมเองก็เคยบอกไปแล้วว่า ไม่ว่าอัชฌาสัยไหน ปฏิสัมภิทัปปัตโต ฉฬภิญโญ เตวิชโช สุขวิปัสสโก หรือจะกี่พันวิธีการ ในที่สุดจะต้องมาสู่หนทางเดียวกันคือมัชฌิมาปฏิปทา ดังนั้นใครมาถึงไม่ถึงตรงนี้จะรู้กันได้หมด เข้ามาในทางหรือยังเขาจะรู้กันเอง ดังตัวอย่างความเห็นของพระป่านั่นแหละครับ

ดังนั้นอย่าเบี่ยงประเด็นนะครับ ไม่ใช่ผมไม่รู้นะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะพูดทำไมว่า ไม่ได้ห้ามทำฌาน คุณก็อีกคน ถ้าจะมาทำเพื่อจะเอาตัวรอด อย่าทำ เสียสัจจะเปล่าๆ ไม่มีสัจจะ เมื่อเห็นผิดก็คือเห็นผิด เข้าใจผิดก็คือเข้าใจผิด รับทราบไปตรงๆ เลย แล้วปรับทิฏฐิความเห็นเสียใหม่ แค่นี้สัญญาก็จะไม่เสียแล้วครับ สัจจะความจริงตัวเดียว รู้ให้ทั่วถึง ก็ไปสู่พระนิพพานได้

 

เอใครเป็นอาจารย์ผมกันครับ ท่านอาจารย์ของผมไม่อยู่ในที่นี้แน่ๆครับ
และผมไปยกย่องท่านไหนเป็นอะไรผมก้ไม่เคยกล่าวนะ
*************จากที่ท่านพิมมาท่านคิดไปเองไปหลายเรื่องเลยครับ **************
ท่านเป็นผู้รู้ธรรม ดังนั้นผมอยากจะทราบธรรมจากท่านบางประการครับ
ท่านเห็นว่า มรรค กับ วิมุตติ เหมือนกันเป็นสิ่งๆเดียวกัน หรือต่างกันเป็นคนละอย่างกันครับ

 

อ้อ แสดงว่าผมเข้าใจผิดไปเอง นึกว่ายกย่องกันเป็นอาจารย์ซะอีก

ถ้าจะมาไล่ภาษาบัญญัติกัน เห็นทีผมจะแย่แน่ เพราะที่รู้อยู่ ก็จำๆมาทั้งนั้นครับ ผมไม่เก่งหรอกครับ แต่ถ้าว่าเรื่องมรรคกับวิมุติ เหมือนกันเป็นสิ่งเดียวกันไหม มรรคเป็นเหตุ วิมุติเป็นผล

 

ครับเข้าใจอะไรกันคลาดเคลื่อนไปบ้างก้อย่าได้ใส่ใจเลยครับ เราก้เป็นผู้ศึกษาธรรมเป็นนักปติบัติธรรมด้วยกันเป็นกัลยานมิตรแก่กัน
ที่ผมถามท่านเรื่อง มรรค กับวิมุติต่างกันไหมเพราะท่านยกเรื่อง มรรคมากล่าวครับ ดังเช่นกระทู้นี้
ผมจึงอยากทราบก่อนว่าท่าน เห็น มรรค และเห็น วิมุติ อย่างไรครับ

 

ท่านอย่าได้ติดข้องหมองใจใดๆในตัวผมเลยนะครับ ตอนนี้ผมไม่มีความติดข้องในตัวใครในที่นี้ทั้งนั้นครับ รวมทั้งท่านด้วย เราสนทนาธรรมกันตามกาลซักถามปัญหากันตามกาล ตามข้อธรรมที่เกิดขึ้น มีสิ่งใดที่ล่วงเกินกันไปก้ขออโหสิกรรมไว้ ณ ตรงนี้ครับ

 

เวลาเราเรียนหนังสือเราเรียนกับศาสตราจารย์ทุกอย้างมันดูง่ายนะ มันตีความออกมาเข้าใจง่ายจังบางครั้งเรายังนั่งงงเลยเราคิดอะไรหว่าเรื่องง่ายๆแค่นี้นึกไม่ถึง..พอเราเรียนกับคนที่ไม่ใช่แต่ทำเหมือนเรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก...และยากยิ่งจนเบื่อจะฟัง...สุดท้ายเพราะไม่มีความอดทนจึงไม่ได้อะไรเลย...เป็นแก้วรั่วที่คิดว่าเป็นแก้วว่าง...

 

และเอาจริงๆนะ...โครตเบื่อเลย...พูดแต่เรื่องฌาน...หลายหลวงปู่ก็พูด...บางครั้งก็...นึกขอโอกาสให้สัตว์โลกบ้างเถอะ...อย่าเยอะมากเลย...โง่แบบนี้ต่อให้คูณสิบของวิริยะธิกะบารมีก็คงไม่เข้าใจหรอก...นรกมันรออยู่ตรงหน้าจะสร้างวิมานหลอกกันคงทำได้กับมนุษย์หน้าโง่เท่านั้น

 

ใครที่คิดว่าติดฌานก็ขอบอกเลยว่าละเมอมากๆ เอาเรื่องอย่างนี้มาเป็นพระเอกของชีวิตของธรรมยิ่งโครตละเมอเลย..หัดลืมๆมันบ้างนะความละเมอเพ้อพกนั่นหนะ..จะได้พบกับสิ่งที่ถวิลหา

 

เพราะมันไม่มีจริง...แม้จะยืนยันว่าเคยเห็นก็ขอบอกว่าแค่ตำรา...โครตไร้สาระ..ในบางเรื่อง...แต่มีจริงและยิ่งกว่าตำรามาก

 

ฌานไม่ใช่หลักยึด...ยึดว่ามีแล้วถึงต้องมี...โบราณว่าปั้นน้ำเป็นตัว...แสดงว่ามันไม่ใช่หลักยึด...ที่จริงถ้าไม่นับเรื่องนี้และไม่เอาเรื่องนี้มากังวลคงไปไกลแล้วละ...แต่พอเชื่อว่าต้องมีเท่านั้นแหละ...มันก็ไม่ได้มีจริง..แถมเอามาเป็นข้อแม้ของจิตอีก...ทั้งที่มันเกิดร่วมถ้าพิจารณาปฏิบัติจริง...ล่วงลงสู่อบายภูมิกันหมดไม่รู้ทำไม

 

จาก มหานิทานสูตร เป็นพระสูตรแห่ง ปฏิจจสมุปบาท
ในส่วนท้ายยังได้อทิบายถึง
ปัญญาวิมุติ และ อุภโตภาควิมุตติ
ซึ่งทรงกล่าวว่า
อุภโตภาควิมุตติอื่น จากอุภโตภาควิมุตตินี้ ที่จะยิ่งหรือประณีตไปกว่าไม่มี

[๖๖] ดูกรอานนท์ วิโมกข์ ๘ ประการเหล่านี้ ๘ ประการเป็นไฉน คือ

๑. ผู้ได้รูปฌานย่อมเห็นรูป นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๑

๒. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปในภายใน ย่อมเห็นรูปในภายนอก นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๒

๓. ผู้ที่น้อมใจเชื่อว่า กสิณเป็นของงาม นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๓

๔. ผู้บรรลุอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๔

๕. ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ที่ ๕

๖. ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๖

๗. ผู้ที่บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๗

๘. ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๘

ดูกรอานนท์ เหล่านี้แล
วิโมกข์ ๘ ประการ ภิกษุเข้าวิโมกข์ ๘ ประการเหล่านี้
เป็นอนุโลมบ้าง
เป็นปฏิโลมบ้าง
เข้าทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง
เข้าบ้างออกบ้าง ตามคราวที่ต้องการ
ตามสิ่งที่ปรารถนา
และตามกำหนดที่ต้องประสงค์

จึงบรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะสิ้นไป เพราะทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน

อานนท์ ภิกษุนี้
เราเรียกว่าอุภโตภาควิมุตติ
อุภโตภาควิมุตติอื่นจากอุภโตภาควิมุตตินี้ที่จะยิ่งหรือประณีตไปกว่าไม่มี

พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
ท่านพระอานนท์ยินดี ชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล ฯ

 

ดูกรอานนท์
เพราะภิกษุมาทราบชัดความเกิดและความดับ
ทั้งคุณและโทษ และ อุบายเป็นเครื่องออกไปจาก
วิญญาณฐิติ ๗
และอายตนะ ๒
เหล่านี้ ตามเป็นจริงแล้ว ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นได้ เพราะไม่ยึดมั่น
อานนท์ ภิกษุนี้เราเรียกว่าปัญญาวิมุตติ ฯ

 

ดังนั้นในวิมุติ 5
ย่อมเข้าถึงได้ต่างกันด้วยวิธีการต่างกัน และรู้เห็นต่างกันแต่หลุดพ้นได้เหมือนกัน
จึงไม่แปลกที่ท่านใดท่านหนึ่งจะเข้าถึงวิมุติด้วยทางของท่านและจะไม่เห็นทางเข้าถึงวิมุติของอีกท่าน แม้ในพุทธกาลก้เเช่นกัน เมื่อพระเถระบางรูปบรรลุอรหันต์แล้ว
พระท่านอื่นก้ไม่ทราบจึงไปถามพระพุทธเจ้า ท่านจึงกล่าวว่าท่านนั้นบรรลุแล้วด้วยอะไร

 

ส่วนตัวเห็นเหมือนกับ #Rep 1
ที่อธิบายครับ

 

ถามคำถามง่ายๆนะครับ งูๆปลาๆรู้จักมัชฌิมาปฏิปทาหรือยังครับ จะขยายเอาจากในส่วนที่ผมเคยบอกๆไปก่อนหน้านี้ก็ได้ แต่ขอความเห็นจริงๆของตัวคุณเอง ขอแบบชัดถ้อยชัดคำครับ

 

ผมไม่มีอะไรจะตอบละครับ 555+

 

พิจารณา ปัจจุบัน เข้ามา ตรงนี้เลย

สัญญา ดับ หมด ไม่เหลือ

ยกเห็น สัจจ เพื่อ อริยสัจจ เข้ามา เลย

แล้ว อ่านธรรมะให้มากๆ ไม่ได้ห้าม

คนที่มี วาสนา จะ ภาวนาเห็น สัญญาดับไม่เหลือ ไม่ได้หากันง่ายๆ

กรุณา ด้วย

อย่า แพ้ทริกซ์ paetrix ไปอีก รูปนาม ...........

 

ต่อให้หากปรารถนาพุทธภูมิ ก็จะมาตัดแปะเอาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องศึกษาให้ถึงที่ ให้ตรงทางด้วย ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลา โยนภาระหน้าที่อันควรศึกษาแห่งตน อ้างพุทธภูมิ ยังไม่มีความจำเป็นต้องบรรลุธรรมตอนนี้ มีท่าทีคล้ายรังเกียจเกี่ยงงอนต่อการเห็นสัจธรรมความจริง แบบนี้ต้องเรียกว่า โดนกิเลสมันหลอกเต็มๆ และพวกนี้มักชอบคิดว่าตนมีคุณธรรมสูงส่ง มาเพื่อผดุงความยุติธรรม พยายามจะมาแบบเหนือชั้นเรื่อยๆ น่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องปิดการเสวนาไปก่อน เพราะพวกนี้เขาไม่ได้มุ่งมาเพื่อศึกษาสัจธรรมความจริง แต่มาเพื่ออะไรไม่รู้..???